วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551

รวมฮิตอเมริกา

.
จากกรณีนมผงจากจีนที่ปนเปื้อนในจีน และก่อนหน้านี้เคยมีการพบสารปนเปื้อนอันตรายในของเล่นเด็กที่ผลิตในจีน จนบริษัทเจ้าของผลิตภัณของเล่นต้องเรียกคืนสินค้านับล้านชิ้นที่วางขายในอเมริกาทั้งหมด

ทำให้มีการแต่งเพลงอวยพรคริสต์มาสที่เสียดสีเกี่ยวกับกรณีของเล่นเด็กปนเปื้อน โดยให้เด็กๆร้องเพื่อเรียกร้องว่า อย่านำของเล่นอันตรายๆมาให้หนูในคริสต์มาสนี้นะ




ต่อมา มีโฆษณาสินค้าชนิดนึงได้นำเรื่องการกลับบ้านของทหารอเมริกันจากสงครามอิรักมาสื่อถึงจิตวิญญาณของคนอเมริกันที่รักชาติได้ดีชิ้นนึง แม้จะมีคนอเมริกันจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการส่งทหารไปรบในอิรักก็ตาม แต่สำหรับทหารลูกหลานอเมริกัน พวกเขาล้วนแต่เป็นHeroทุกคน




แต่ที่ฮือฮาที่สุดในรอบปี ก่อนจะสิ้นปีนี่เอง คือกรณีนักข่าวอิรักเอารองเท้าขว้างใส่หน้าปธน.จอร์ช w บุช ที่แม้จะเป็นเรื่องที่ดูน่าเกียจโดยมารยาท 

แต่สำหรับชาวอาหรับที่เกลียดอเมริกัน กลับสะใจเป็นที่สุด แม้แต่เด็กอายุแค่5ขวบ ที่เป็นหลานนักข่าวอิรักคนนั้นที่ถูกควบคุมตัวหลังจากเหตุการณ์ ยังกล้าขู่ต่อหน้ากล้องที่ไปสัมภาษณ์ที่บ้านว่า "ถ้าไม่ปล่อยอาผมนะ จะเอารองเท้าคู่นี้ขว้างอีก" พูดพร้อมยกรองเท้าของตัวเองขึ้นชูให้กล้องดู

ชิ้นต่อมาคือโฆษณาของ Dove ที่ แสดงให้เห็นถึง ผู้หญิงควรจะสวยจากภายในหรือผิวสวยแท้มากกว่าสวยจากการตบแต่งจากเครื่องสำอางหรือจากโฟโต้ชอป ซึ่งดังมาก จนมีคนนำมาเลียนแบบเพื่อวัตถุประสงค์อื่น  

จากโฆษณาของDove ก็มีโฆษณาเลียนแบบเพื่อรณรงค์ให้เห็นถึงภัยจากจังก์ฟู้ด หรืออาหารขยะ ที่มีต่อสุขภาพ


 


จบแค่นี้ครับ.

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ดวงทักษิณดีหรือดับ? ขึ้นอยู่กับทักษิณเอง?

.
.
เมื่อเวลา20.30น. ของวันนี้วันที่22 ธ.ค. 51 เพิ่งดูรายการThe Exit ทางช่อง์NBT เมื่อตะกี้นี้ ที่มีพิธีกรชื่อ จอม เพชรประดับ เป็นผู้ดำเนินรายการ

ซึ่งวันนี้ รายการพูดถึงเรื่อง "ดวง"หรือโหราศาสตร์ ของประเทศไทยในปีหน้าปี52 และดวงนักการเมืองดังระดับผู้นำประเทศ โดยมีหมอดูชื่อดังมาร่วมรายการ3คน

คนแรกคือ อาจารย์ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล

คนที่2 คือ อาจารย์ขุนทอง อัสนี (หมอดูไพ่ยิบซี)

คนที่3 คือ อาจารย์เอกอนันต์ สรรประดิษฐ์

แต่ผมจะให้น้ำหนักความสำคัญไปที่อาจารย์คนแรกคือ อาจารย์ภาณุวัฒน์ เพราะผมคิดว่า มีชื่อเสียงมากกว่าเพื่อน และดูมีหลักการน่าเชื่อถือ

คำถามแรก คือ ดวงประเทศไทยเป็นอย่างไรในปี52?

ทุกคนก็ตอบทำนองเดียวกันคือ ความขัดแย้งยังมีอยู่ เศรษฐกิจและการเงินยังแย่ต่อเนื่อง แต่อาจารย์ภาณุวัฒน์ เสริมว่า หลังกลางปีจะดีกว่าต้นปี

คำถามที่2 คือ ดวงของนายกฯอภิสิทธิ์?

อาจารย์อนันต์ บอกว่า ดวงปีหน้าหลังเดือนเมษายน อภิสิทธิ์ จะมีดวงกาลกิณี รัฐบาลอาจสั่นคลอน จะมีความขัดแย้งมากขึ้น จนแก้ไขยาก และมีเกณฑ์ยุบสภาภายใน6เดือน

อาจารย์ขุนทอง บอกว่า ดวงอภิสิทธิ์ เป็นคนดวงดีมาก มีดวงผู้ใหญ่อุปถัมป์แบบดีสุดๆ ถ้าเป็นนักธุรกิจจะอยู่ในระดับเลิศ แต่ยังไม่สรุปถึงอายุรัฐบาล

อาจารย์ภาณุวัฒน์ บอกว่า ดวงอภิสิทธิ์ ปี51 ดีมาก รัฐบาลจะดีหรือไม่ ต้องอยู่ที่ดวงรัฐมนตรีในคณะที่ร่วมรัฐบาลด้วย ถ้าดวงรัฐมนตรีเกินครึ่งเป็นคนดวงดี โอกาสจะอยู่รอดได้นานก็จะมีมากขึ้น แต่ปีหน้ารัฐบาลจะพบปัญหาหนักมากขึ้น

คำถามที่3 เรื่อง การต่อสู้ตีกัน แบบสงครามกลางเมือง จะมีมั้ย?

อาจารย์เอกอนันต์ บอกว่า แนวโน้มจะดีขึ้น เพราะทั้งสองฝ่ายจะเริ่มเลิกรากันไปเอง ส่วนอาจารย์อีก2คนไม่ได้ตอบคำถามนี้

แต่อาจารย์ขุนทอง กลับพูดเสริมเรื่อง เศรษฐกิจว่า ถ้าอยากให้ฟื้น ต้องเปิดโอกาสให้ต่างชาตืถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น โอกาสจะรอดวิกฤติได้จะเร็วขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นจะดีที่สุด (ตรงนี้ผมขอแสดงความเห็นนิดนึงคือ ถ้าจะต้องขายแผ่นดิน เพื่อแลกกับเงินแล้ว ผมคัดค้านเต็มที่ครับ)

ต่อมา จอม เพชรประดับ ตั้งคำถามเจาะจงให้อาจารย์ภาณุวัฒน์ตอบ คือคำถามเกี่ยวกับดวงของ พลเอกอนุพงษ์ เหล่าจินดา ผบทบ.ว่าดวงเป็นยังไง?

อาจารย์ภาณุวัฒน์บอกว่า ปีหน้าดวงอนุพงษ์จะดีขึ้นกว่าปีนี้ แล้วอาจารย์ภาณุวัฒน์ยังเสริมอีกว่า ที่จริงดวงพลเอกอนุพงษ์ ถ้าอยากเป็นถึงนายกฯ ก็เป็นได้ ถ้าคิดอยากเป็นจริงๆ แต่คิดว่าอนุพงษ์คงไม่อยาก

ทีนี้คำถามสำคัญคือ ดวงทักษิณ ชินวัตร?

อาจารย์เอกอนันต์ บอกว่า ทักษิณมีโอกาสกลับไทย และจะกลับมาใหญ่กว่าเดิม แต่ต้องอยู่เบื้องหลังเท่านั้น อย่าออกหน้าเอง จะดีกว่า

ส่วนอาจารย์ภาณุวัฒน์ กลับเห็นในทางตรงข้ามกับอาจารย์เอกอนันต์ โดยอาจารย์ภาณุวัฒน์ กล่าวเท้าความย้อนหลังว่า อาจารย์ภาณุวัฒน์เองเคยดูดวงทักษิณตั้งแต่ปี46 และเป็นโหรฯคนแรกที่กล้าดูดวงทักษิณว่า "ทักษิณจะไม่มีแผ่นดินจะอยู่"

และก็โดนทักษิณ ตอกกลับมาว่า "หมอดูเคยดูดวงตัวเองบ้างหรือเปล่า เพราะถ้าดูผิด ระวังจะเข้าตัวเอง" ซึ่งสุดท้ายคำทำนายของอาจารย์ภาณุวัฒน์ ก็เป็นจริง ส่วนดวงทักษิณในอนาคต อาจารย์ภาณุวัฒน์ทำนายว่า

"ถ้าคุณทักษิณ ยังไม่ยอมหยุด ระวังจะไม่มีโลกให้อยู่ด้วยซ้ำ ดวงจะเป็นเหมือนอดีตประธานาธิบดีมากอส แห่งฟิลิปปินส์"

ตรงนี้อาจารย์ขุนทอง เข้ามาเสริมว่า เนวิน ชิดชอบ ก็น่าจะนำดวงทักษิณไปดูแล้ว เพราะการเมืองระดับชาติเขาต้องดูเช็คทุกด้าน เนวินถึงได้ตัดสินใจว่า ต้องเปลี่ยนขั้ว เนวินคงรู้ชัดแล้วว่า หมดยุคของทักษิณแน่แล้ว ถึงได้กล้าทิ้งนายไป

ประเด็นสุดท้ายที่อาจารย์ภาณุวัฒน์ เสริมก็คือ เรื่องฮวงจุ้ยของทำเนียบรัฐบาล ว่า ยุคนี้หมดยุครุ่งเรืองของทำเนียบรัฐบาลในปัจจุบันแล้ว เห็นที่ต้องย้ายทำเนียบใหม่ แต่ถ้ายังไม่ย้าย ก็ต้องมีการแก้ฮวงจุ้ย ที่ประตู? โดยเฉพาะรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่พึ่งเข้ามาใช้ทำเนียบ คือต้องเปลี่ยนทางเข้าออกใหม่

ทั้งหมดที่เล่ามา ผมค่อนข้างเชื่อถือ อาจารย์ภาณุวัฒน์ ที่ทำนายว่า ทักษิณ หากไม่หยุด ซึ่งน่าจะหมายถึง ให้การสนับสนุนนปช. และพรรคการเมืองนอมินี่ของตัวเอง โอกาสจะไร้ที่ยืนบนโลกใบนี้ ก็จะเกิดขึ้นได้ ตรงนี้แหล่ะครับ ที่ผมเชื่อ

เพราะบ้านเมืองจะสงบหรือวุ่นวาย ตอนนี้มีทักษิณคนเดียว ที่จะเป็นปลดล็อคแห่งปัญหาทั้งหมดได้ดีที่สุดครับ
.
.
อ่านทักษิณยังกินบุญเก่าอยู่!!



.

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ไฮไลท์คู่มวยหยุดโลก ปาเกียวชนะเดอลาโฮยา


ข้อมูลก่อนชกจากไทยรัฐ

การแข่งขันชกมวยไฟต์สำคัญ ซึ่งแฟนหมัดมวยทั่วโลกเฝ้ารอ ระหว่าง ออสการ์ เดอ ลา โฮยา วัย 35 ปี กับแมนนี แพคเกียว หรือปาเกียว วัย 29 ปี ชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งกำหนดจะมีขึ้นที่เอ็มจีเอ็มแกรนด์ ลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา ในคืนวันที่ 6 ธ.ค. ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลาในประเทศไทย เช้าวันอาทิตย์ที่ 7 ธ.ค. เวลาประมาณ 08.00

การชกของคู่นี้จะต่อยในรุ่นเวลเตอร์เวทพิกัด 147 ปอนด์ ออสการ์ เดอ ลา โฮยา เจ้าของฉายา “โกลเด้น บอย” อดีตเป็นนักชกเหรียญทองโอลิมปิกของทีมชาติสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1992 ที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน

ก่อนจะเทิร์นโปรเป็นนักมวยอาชีพและคว้าแชมป์ โลกมา 7 รุ่น ตั้งแต่รุ่นซุปเปอร์ฟลายเวท ไปจนถึงมิดเดิลเวท และยังผันตัวเป็นโปรโมเตอร์และทำธุรกิจมวยเต็มตัว มีสถิติการชกชนะ 39 แพ้ 5 ในจำนวนนี้เป็นการชนะน็อกถึง 30 ครั้ง แต่ใน 6 ไฟต์หลังสุดสถิติไม่ดีนัก ชนะ 3 และแพ้ 3 ไฟต์ล่าสุดชกในรุ่นซุปเปอร์เวลเตอร์เวท 153 ปอนด์ แพ้คะแนน ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ปีที่แล้ว ครั้งนี้เท่ากับว่าต้องลดน้ำหนักลงมาชก

ขณะที่ แมนนี แพคเกียว นักมวยที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดถ้าเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ในปัจจุบัน จากเด็กยากจนในครอบครัวคนปลูกผักของฟิลิปปินส์ ต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 12 ปี และหากินอยู่ข้างถนน ก่อนจะชกมวยอาชีพตั้งแต่ปี 1995 และมาผงาดคว้าแชมป์โลกในรุ่นฟลายเวทของสภามวยโลก โดยมาได้เข็มขัดในเมืองไทยด้วยการชนะน็อก “ไอ้หนึ่ง” ฉัตรชัย สาสกุล ยกแรก ตั้งแต่อายุ 20 ปี และได้แชมป์โลกมาอีก 3 รุ่น ในรุ่นซุปเปอร์แบนตัมเวท, ซุปเปอร์เฟเธอร์เวท และล่าสุดเป็นแชมป์โลกรุ่นไลต์เวทของสภามวยโลก พิกัด 134.5 ปอนด์ ด้วยการชนะ เดวิด ดิอาซ เมื่อ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา รวมมีสถิติการชก ชนะ 47 เสมอ 3 และแพ้ 2 ครั้ง เป็นการชนะน็อก 35 ครั้ง ไฟต์นี้แพคเกียวต้องข้ามรุ่นขึ้นมาชกถึง 2 รุ่น และเป็นการชกในน้ำหนักตัวมากที่สุดเท่าที่ผ่านมา

ด้านบรรดาเกจิอาจารย์มวยทั้งหลายต่างยกให้ ออสการ์ เดอ ลา โฮยา ที่มีรูปร่างที่สูงกว่าถึง 4 นิ้ว และได้เปรียบช่วงชก 6 นิ้ว มีโอกาสมากกว่าที่จะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะ โดย “เดอะริง” สื่อด้านหมัดมวย วิเคราะห์ว่า แพคเกียวมีดีที่เป็นมวยดุดันใจเต็มร้อย และมีความรวดเร็ว ถึงเดอ ลา โฮยา จะอายุมากกว่า และต่อยในพิกัดนี้ไม่ดีนัก ต้องลดน้ำหนักลงมา แต่หากชกด้วยความฉลาดอย่างที่เป็นอยู่ คุมเกมอยู่ด้านนอก น่าจะเอาชนะได้ยังคาดการว่า “โกลเด้น บอย” จะชนะน็อกในยกที่ 10

ส่วนเฟรดดี้ โรช เทรนเนอร์ของ แมนนี แพคเกียว กล่าวว่า เชื่อว่าออสการ์ไม่ฟิตเท่าไหร่ ดูจะอ่อนล้าหลังจากที่แพ้เมย์เวทเธอร์มา อย่างไรก็ตาม คงไม่บอกว่าแพคเกียว จะต้องน็อกออสการ์ให้ได้ แม้ว่าจริงๆแล้วอะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ว่ากันไปทีละยกดีกว่า เราซ้อมกันมาเต็มที่ และเตรียมตัวที่จะต้องระมัดระวังกับหมัดแย็บของออสการ์ รวมทั้งฮุกซ้ายที่อันตราย

สำหรับการชกครั้งนี้ เป็นที่คาดว่าแมนนี แพคเกียว จะได้รับค่าตัวกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากกว่า 525 ล้านบาท ส่วน ออสการ์ เดอ ลา โฮยา เป็นโปรโมเตอร์ผู้จัด ฟันเงินมหาศาลแน่นอน โดยบัตรชุดวีไอพีพร้อมห้องพัก 2 คืน ราคา 3,399 เหรียญ (ราว 120,000 บาท), บัตรริงไซด์ 1,500 เหรียญ (ประมาณ 52,500 บาท) ขายหมดเกลี้ยง รวมถึงค่าดูผ่านช่องเคเบิลทีวีที่เก็บในสหรัฐอเมริกาครัวเรือนละ 54.95 เหรียญ (ราว 1,925 บาท) รวมทั้งค่าลิขสิทธิ์ทั่วโลกจะทำเงินให้กับออสการ์ เดอ ลา โฮยา กว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯทีเดียว

ดูคลิปไฮไลท์การชกของคู่มวยหยุดโลก




แมนนี่ปาเกียว ชนะ ออสกาเดอลาโฮยา

แมนนี่ ปาเกียว นักชกชาวฟิลิปปินส์ ไล่ถลุงนักชกที่ตัวใหญ่และมีชื่อเสียงกว่ามากอย่าง ออสการ์ เดอ ลา โฮย่า เจ้าของฉายา "โกลเด้น บอย" ตั้งแต่เสียงระฆังยกแรกกังวาลขึ้นที่เวทีใน MGM แกรนด์ ในลาส เวกัส เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้เดอ ลา โฮยา ไม่ยอมออกจากมุมมาชกในยกที่ 9 หลังถูกไล่ถลุงจนเบ้าตาซ้ายเกือบปิดในยกที่ 8 ทำให้ปาเกียวชนะเท็คนิเคิล น็อคเอ๊าท์ ไปโดยอัตโนมัติ

การชกครั้งนี้ ซึ่งเดอ ลา โฮย่า ต้องลดน้ำหนักลงมา และปาเกียวต้องเพิ่มน้ำหนักขึ้นไปนั้น ทำให้ถูกมองว่า ไม่ใช่คู่ชกที่เหมาะสม และเดอ ลา โฮย่า ก็ถูกมองว่าอยู่ในสภาพที่อาจต้องยุติเส้นทางดาราแห่งสังเวียนกำปั้นที่ร่ำรวยที่สุด และขายได้มากที่สุด และแม้จะเป็นความพ่ายแพ้ในรอบ 16 ปี ของการชกมวยอาชีพของเดอ บา โฮย่า

แต่ดูเหมือนเส้นทางของเขาจะปิดฉากลงแล้ว ท่ามกลางความรู้สึกช็อคของแฟน ๆ จากการที่เขาต้องลดน้ำหนักตัวลงเหลือ 129 ปอนด์ ด้วยวัย 35 ปี ทำให้เขาไม่คล่องตัวและแข็งแกร่งเหมือนในอดีต และไม่สามารถตอบโต้หมัดที่แม่นยำและความเร็วของปาเกียวได้

เดอ ลา โฮย่า ถูกหมัดของปาเกียว จนตาซ้ายเกือบปิดสนิท และไม่ได้ออกจากมุม เมื่อแพทย์และกรรมการ รวมถึงพี่เลี้ยงหารือกันถึงอาการของเขา และเขาก็ไม่ได้ทักท้วงเมื่อทุกฝ่ายลงความเห็นว่า ไม่ควรชกต่อ จากนั้นเขาได้ลุกจากมุม เข้าไปแสดงความยินดีกับปาเกียว ซึ่งกล่าวยกย่องเดอ ลา โฮย่าว่า เป็นไอดอลของเขา และยังจะเป็นอยู่ต่อไป

การชกครั้งนี้ กรรมการ 2 ใน 3 คน ให้ปาเกียวชนะเดอ ลา โฮยา ทั้ง 8 ยก ส่วนคนที่สาม ให้เดอ ลา โฮย่า ชนะในยกแรก

ปาเกียว ซึ่งเป็นเจ้าของเข็มชัดแชมป์โลกรุ่นไลท์เวทจ์ ของสภามวยโลก ต้องเพิ่มน้ำหนักถึง 2 รุ่นเพื่อขึ้นไปชกกับเดอ ลา โฮย่า แชมป์โลก 10 สมัย ในการชก 6 รุ่น ที่ชนะน็อคมาแล้วถึง 30 ครั้ง จากการเปรียบมวย เดอ ลาโฮย่า มีความสูงกว่า 4 นิ้ว แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับปาเกียว ที่บอกว่าเขาไม่ประหลาดใจต่อผลการชก เนื่องจากเตรียมตัวมาดี และคุมเกมได้ตั้งแต่เริ่มชก เขามีความสุขและขอมอบชัยชนะให้ประเทศบ้านเกิด ส่วนเดอ ลา โฮย่า กล่าวว่า เขารู้สึกไม่มีแรง และพยายามจะเดินหน้า แต่ปาเกียวเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้

ภายหลังความพ่ายแพ้ เดอลาโฮยา กล่าวสั้นๆแค่เพียงว่า
"I felt empty, without power," said De la Hoya. "I tried to go forward but Pacquiao's leg speed and movement didn't allow me to connect with anything."

"ผมรู้สึกหมดแรง ผมพยายามรุกไล่แต่ความเร็วของขาและการเคลื่อนไหวของปาเกียวไม่อนุญาตให้ผมบรรลุเป้าหมายได้เลย"

"I just don't have it any more. My heart still wants to fight, but when you physically can't respond, what can you do?

"ใจผมยังต้องการสู้ แต่เมื่อเรี่ยวแรงไม่ตอบสนอง แล้วคุณจะทำไงได้"
.


.

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551

อเมริกันบริโภค





พอดีผมไปเห็นบทความในหนังสือพิมพ์ของคนไทยในอเมริกาบทความหนึ่ง ซึ่งพูดถึงกรณีพระพยอมอนุญาตให้รายการความจริงวันนี้เข้ามาจัดรายการในวัด

แต่ผมขอคัดลอกบางส่วนของบทความที่เกี่ยวข้องกับ วัฒนธรรมบริโภคความฟุ้งเฟ้อของคนอเมริกัน ที่มีส่วนอย่างมากที่ทำให้อเมริกาต้องมาเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบันครับ

------------

จากเว็บ thaitownusa.com
เขียนโดยคุณธนรัตน์ ยงวานิชจิต



นักเศรษฐศาสตร์ได้ชี้สาเหตุ "เศรษฐกิจย่ำแย่ของอเมริกา" ไปที่ปัญหาซับไพร์มเกี่ยวกับการซื้อขายบ้านในสหรัฐอเมริกา

ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์อเมริกันเองก็ยอมรับกันว่า เกิดจากการบริโภคเกินกำลังทรัพย์สินที่มีอยู่หรือหามาได้ของแต่ละคน คือเกิดจาก วัฒนธรรม Conspicuous Consumption ซึ่งถอดความได้ว่า วัฒนธรรมใน "การบริโภคเพื่อโอ้อวดความมั่งมีศรีสุข"

กล่าวอีกนัยหนึ่งวัฒนธรรม "กิน กาม เกียรติ" ซึ่งได้ก่อให้เกิดวิถีชีวิตของลูกหนี้และการเมินศีลธรรมโดยสิ้นเชิง

วิถีชีวิตของลูกหนี้และการเมินศีลธรรมโดยสิ้นเชิงนี้ มีพื้นฐานอยู่ที่การใช้ชีวิตแบบมุ่งบริโภคให้เกิดความสุขทางประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส

ยิ่งบำรุงบำเรอมากก็ยิ่งต้องการมากขึ้น พอเบื่อหน่ายกับสรรพสิ่งที่มีอยู่ก็เกิดความต้องการสิ่งแปลกใหม่กว่าดีกว่าเดิมยิ่งขึ้นไป ไม่สิ้นสุด


ตัวอย่างเช่น บ้านที่อยู่อาศัยของคนอเมริกันจำนวนมาก มีขนาดใหญ่โตยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่จำนวนสมาชิกครอบครัวมีเท่าเดิม

แม้ว่าจะเกษียณงานตามอายุขัยและอยู่กันเพียงสองคนตายาย ก็ยังเกิดมีความจำเป็นต้องย้ายเข้าไปอยู่บ้านที่มีห้องนอนมากกว่าเดิม มีเครื่องใช้ไม้สอยทันสมัยที่สุด ยิ่งมากยิ่งชอบยิ่งเป็นเลิศ นี่คือฤทธิ์เดชของวัฒนธรรม "การบริโภคเพื่อโอ้อวดความมั่งมีศรีสุข" หรือ "กิน กาม เกียรติ"

วัฒนธรรม "กิน กาม เกียรติ" ได้แพร่หลายเข้าในประเทศไทยอย่างง่ายดาย คนไทยบางคนสรรหาทรัพยากรด้วยความสุจริต บางคนก็ทุจริต เพื่อรับกับวิถีชีวิตแบบนี้

วิธีการทุจริตได้ระบาดเข้าไปในทุกวงการและสายอาชีพ โดยเฉพาะ "นักการเมือง" ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยที่ได้ฉกฉวยโอกาส "หากินกับตำแหน่งทางการเมือง" อย่างอุกอาจ มุ่งสร้างอาณาจักรส่วนตัวไปเรื่อยๆ

.
ขอบคณ