วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

รายการกฤษณะล้วงลูก อาลัยสมัคร!



ชมภาพความประทับใจเก่าๆของท่านสมัคร สุนทรเวช ในบรรยากาศสบายๆที่บ้านพัก




คลิปต่อไป มาดูกันว่า ทำไมท่านสมัครไม่ได้เป็นนายกฯรอบ2 ใครหักหลังสมัคร??



.
.
.
.

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทักษิณไม่เคยโทร.หาสมัครหลังป่วยมะเร็ง





เกริ่น

วันนี้ผมขอนำบทความจากมติชนเมื่อไม่กี่เดือนก่อนมาให้อ่านอีกครั้ง บทความเผยถึงคนหน้าเหลี่ยมที่อยู่ไกล แต่ไม่เคยโทร.เยี่ยมเยียนหาสมัครในยามป่วยเลยสักครั้ง

ความเจ็บปวดจากการที่ถูกทักษิณหลอกว่าจะให้กลับมาเป็นนายกฯอีกสมัย แต่กลับถูกหักหลัง โดยเปลี่ยนใจหันไปสนับสนุนน้องเขยของตัวเองขึ้นเป็นนายกฯแทน ในวันจะลงมติเลือกนายก

(กฎหมายไม่ได้ห้ามในการกลับมาเป็นนายกฯ รอบ 2ของนายสมัคร)

ภาพข้างบนคือวันที่นายสมัคร ออกจากรัฐสภาอย่างผิดหวังไม่ได้เป็นนายกฯ รอบ2 เพราะพรรคพลังประชาชนมีปัญหาแตกแยกกันเองระหว่างกลุ่มเพื่อนเนวิน กลับกลุ่มนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

เพราะทางกลุ่มเพื่อนเนวิน ต้องการเลือกนายสมัครกลับมาเป็นนายกฯในรอบที่ 2 ตามคำสั่งทักษิณในตอนแรก

แต่ทักษิณกลับเปลี่ยนใจกะทันหันโดยไม่บอกกล่าวกลุ่มเพื่อนเนวิน ว่าไม่ต้องการนายสมัครอีกแล้ว เพราะสั่งการไม่ค่อยได้

ทักษิณต้องการให้นายสมชาย น้องเขยมาเป็นนายก ฯ แทนนายสมัคร จึงทำให้วันนั้นสส.พลังประชาชน กลุ่มนายสมชายไม่มาสภา จนสส.ไม่ครบองค์ประชุม

หลังจากนั้นนายสมัครก็ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคพลังประชาชนเพราะความเจ็บปวด!!

สุดท้ายพรรคพลังประชาชนได้เสนอชื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน

ดังนั้น การที่นายสมัครผิดหวัง เพราะโดนหักหลังจากทักษิณและขี้ข้าทักษิณนั่นเอง

หลังจากนั้นไม่นานกลุ่มนายเนวิน จึงแยกทางออกจากพรรคพลังประชาชนภายหลังพรรคถูกยุบในอีกไม่กี่เดือนต่อมา



คุณสมัคร ขึ้นรถกลับบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก


------------------------------------

ต่อไปนี้เป็นบทความในมติชน ที่ตีแผ่เบื้องหลังความเสียใจของนายสมัคร เพราะโดนไอ้เหลี่ยมหักหลัง


วันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11506 มติชนรายวัน


"เสียใจ"

(คอลัมน์ ปิดไม่ลับ)


ชะตากรรมของ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดอาญากรณีสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ถือเป็นเคราะห์กรรมที่มาจากการกระทำของตนเองในช่วงดำรงตำแหน่งบริหารสูงสุด ที่ต้องไปต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม

แต่สำหรับอดีตผู้นำอีกคนหนึ่งที่ละวางจากการเมือง เก็บตัวเงียบไม่ออกสังคม แต่คนในวงการเมืองไม่เคยลืมคือ "สมัคร สุนทรเวช" อดีตนายกฯอีกคนหนึ่ง ที่ประสบชะตากรรมหลุดจากตำแหน่งเพราะการกระทำของคนกันเองที่อยู่ต่างแดน จากคนที่สนิทคุ้นเคยที่ก่อนหน้านั้นโทรศัพท์หาเช้าสายบ่ายเย็น ปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด ซึ่ง "ป๋าหมัก" ก็รับใช้จนหัวชนฝา

เมื่อหมดความสำคัญก็เข้าตำรา "เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล"

และการหักหลังทางการเมืองหนนั้นทำให้ "สมัคร" รู้สึกเจ็บปวดที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ทำใจเพราะอาการเจ็บป่วยทางกาย จึงต้องละจากการเมืองโดยเด็ดขาด

ทุกวันนี้เจ้าตัวอยู่บ้าน มีเฉพาะบรรดามิตรสหายที่รู้ใจพากันไปเยี่ยมเยียนถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ พูดคุยเรื่องการเมืองบ้างในบางโอกาส แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจถือเป็นสาระสำคัญ

แต่สิ่งหนึ่งที่คนสนิทที่เข้าไปเยี่ยมเยียนเปรยให้หลายๆ คนฟังว่า "สมัคร"เคยพูดให้ฟังว่า "ทุกวันนี้ยังมีสิ่งที่เสียใจมากที่สุดอีกอย่างหนึ่ง"

คือตั้งแต่หลุดออกจากเก้าอี้นายกฯและมีโรคภัยเข้ารุมเร้าเป็นข่าวใหญ่โตมานานกว่า 1 ปี "สมัคร" ยังไม่เคยได้รับโทรศัพท์จากคนที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเลยสักครั้งเดียว!!

เพราะอย่างน้อยก็น่าจะโทร.เข้ามาทักทายถามไถ่ให้กำลังใจในฐานะคนที่รู้จักและทำงานร่วมกันมา แต่ไม่เคยสักครั้งเดียวที่จะได้เสียงกริ๊งจากแดนไกล

จึงพากันสงสัยว่า ทำไม "ทักษิณ" ที่สามารถโฟนอินคุยกับใครๆ โฟนอินคุยกับคนเสื้อแดง โฟนอินคุยกับแท็กซี่

แต่ทำไมแค่น้ำใจ "โฟนอิน" หาคนชื่อ "สมัคร สุนทรเวช" คนที่อยู่แดนไกลอย่าง "ทักษิณ" จึงทำไม่ได้...



----------------

ถ้าสนใจรายละเอียดคคีชิมไปบ่นไป แนะนำอ่านเพิ่มในบทความ ตรองวาทกรรมเท็จเสื้อแดง คลิก !!


วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ครอบครัวนายศิวรักษ์




(แม่วิศวกรหน้าึคล้ายเจ๊หน่อยเหมือนกันนะ)
.
.
.
ผมเริ่มสงสัียเรื่องครอบครัววิศวกรไทยที่ถูกเขมรจับ

ผมสงสัยมาหลายวันแล้วว่า แผนการลวงโลกของฮุนเซ็น ทักษิณครั้งนี้ มีการรู้เห็นกับครอบครับวิศวกรมาก่อน

เพราะแม่วิศวกรส่อพิรุธหลายอย่าง อันนี้ขอตั้งข้อสังเกตไว้ ฟังหูไว้หูนะครับเพราะข้อมูลยังน้อย

-------------------------

จาก http://www.esanclick.com/newstour.php?No=16681

นางสิมารักษ์ ณ นครพนม อายุ 57 ปี ข้าราชการครูชำนาญการพิเศษ หัวหน้าแผนกวิชาพณิชยการ วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา มารดา นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์

กล่าวเปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงลูกชายมาก เพราะครอบครัวมีกัน 3 คนแม่ลูก โดยมีลูกชาย 2 คน คือ นายศิวรักษ์ หรือ “เต๋า” ลูกชายคนโต และ นายพงษ์สุรีย์ อายุ 25 ปี น้องชายกำลังศึกษาอยู่ระดับมหาวิทยาลัย ส่วนสามีคือ นายสุวิทย์ ชุติพงษ์ มีอาชีพเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ เสียชีวิตไปนานกว่า 10 ปีแล้ว



q*033และพ่อวิศวกรคนนี้ เป็นอดีตผู้อำนวยการภาพยนตร์ ซึ่งเคยทำมาหากินกับแม้วสมัยเร่ขายหนังมาก่อน

-----------------------

ต่อมาเป็นข่าวจากคมชัดลึก วันนี้ คลิกที่นี่

ข่าวรัฐบาลไทยยันดูแลวิศวกรเต็มที่ แม้ทางครอบครัวศิวรักษ์จะสนิทกับแม้ว!!
.
.
--------------------------
.
.
ข่าวจากสายวงในพรรคเพื่อไทย เล่าว่า ตอนที่วิศวกรโดนจับที่เขมรแล้ว ส.ส.ในพรรคหลายคนยิ้มและถามกลับว่า เอ้า!จับแล้วเหรอ ? เหมือนรู้อยู่แล้วมาก่อน เหมือนกับเขมรได้แจ้งให้พรรคเพื่อไทยรู้ หรืออาจเป็นทักษิณรู้ก่อนอยู่แล้ว จึงบอกลูกพรรค?

แม่ของวิศวกรคนนี้ ในเว็บชั่วฟดก. ก็มีคนบอกว่าเป็นญาติกับตัวเองและบอกอีกว่า แม่วิศวกรคนนี้เป็นเสื้อแดง!กลุ่มแดงโคราช!

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตีแผ่ เส้นทางซุกเงินของทักษิณ






.
.
เส้นทาง "ทักษิณ" ซุกเงินนอกประเทศผ่านกองทุนลับ "ซิเนตรา ทรัสต์" ถึงบ.คู่แฝด "วินมาร์ค-แอมเพิลริชฯ"?



หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โอนหุ้นบริษัทต่างๆ ให้แก่บุตรและพี่น้องเมื่อกลางปี 2543


รายการบัญชีทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ (ทั้งในและนอกประเทศ) ยื่นแสดงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในชื่อของตนเองมีอยู่ในราว 500-600 ล้านบาท เช่น กรณีเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2548 ระบุว่า มีทรัพย์สิน 506,493,972 บาท


หลังจากที่ต้องตกจากเก้าอี้หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 รายการบัญชีทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยื่นต่อ ป.ป.ช.กรณีพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ระบุว่า มีทรัพย์สิน 557,363,123 บาท และหลังจากพ้นตำแหน่งครบ 1 ปี(เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2550) ระบุว่า มีทรัพย์สิน 614,393,259 บาท


อย่างไรก็ตาม เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ซื้อทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ในปี 2550 มูลค่า 108 ล้านปอนด์ (ประมาณ 7,560 ล้านบาท อัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณเอาเงินมากจากไหน แต่พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยมีคำตอบเรื่องนี้อย่างชัดเจน

กระทั่งเดือนกันยายน 2551 พ.ต.ท.ทักษิณได้ขายทีมฟุตบอลดังกล่าวออกไปในราคา 200 ล้านปอนด์หรือราว 12,000 ล้านบาท คาดกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีกำไรราว 50 ล้านบาทหรือประมาณ 3,000 ล้านบาท

ล่าสุด ในการให้สัมภาษณ์ "ไทม์ส ออนไลน์" เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน2552 พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับ (หลังจากถูกถามย้ำหลายครั้ง)ว่า มีเงินอยู่ประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ (ประมาณหมื่นล้านบาท) แต่ใช้ไปแล้ว 200 ล้านดอลลาร์ในเรื่องต่างๆ เช่น การซื้อบ้าน

ขณะเดียวกันพ.ต.ท.ทักษิณคุยว่า ได้ไปลงทุนไปมากมาย อาทิ เหมืองทอง 10 แห่งและการออกล็อตเตอรี่ในประเทศอูกันดา ทวีปแอฟฟริกา

คำถามคือ พ.ต.ท.ทักษิณเอาเงินและทรัพย์สินเหล่านี้มาจากไหน? เพราะรายการบัญชีทรัพย์สินที่แสดงต่อ ป.ป.ช.มีเพียง 500-600 ล้านบาท 


ส่วนทรัพย์สินของครอบครัวเกือบ 70,000 ล้านบาทซึ่งได้จากการขายหุ้นบริษัทชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ปให้แก่ บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้ง สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ถูกอายัดไว้ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (คดี พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกล่าวหาว่า ร่ำรวยผิดปกติและได้ทรัพย์ดังกล่าวมาจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี)

มีข้อสงสัยมานานแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะมีทรัพย์สินซุกอยู่ในต่างประเทศจำนวนมากผ่านบริษัท วินมาร์ค ลิมิเต็ดและบริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เมนต์ จำกัดซึ่งตั้งอยู่บนเกาะบริติชเวอร์จิ้น เพราะการทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นผ่านทั้ง 2 บริษัท มีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก

สำหรับบริษัท แอมเพิลริชฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับว่า เป็นผู้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2542 และโอนหุ้นชินคอร์ปให้จำนวน 32.92 ล้านหุ้น (ต่อมาแตกพาร์เป็น 329.2 ล้านหุ้น)

ส่วนบริษัท วินมาร์ค ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร โอนหุ้น กลุ่มบริษัทเอสซี แอสเสท 6 บริษัท มูลค่า 1,527 ล้านบาทให้ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2543 นั้น พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับว่า เป็นของตนเอง

"ข้าพเจ้าและคู่สมรส ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นหรือกรรมการบริษัท วินมาร์คและข้าพเจ้ามิได้เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินอคร์ป นอกเหนือไปจากที่โอนให้แก่บริษัท แอมเพิลริช ฯและญาติพี่น้องคนอื่น..และกรณีบริษัท วินมาร์คฯมีหุ้นบริษัทชินคอร์ปอยู่จริงก็เป็นเรื่องของบริษัท วินมาร์ค เพราะหุ้นบริษัทชินคอร์ป(54ล้านหุ้น) เป็นบริษัทมหาชนที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์" (คำให้ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ยื่นต่อคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)

สำหรับหุ้น 6 บริษัทที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่า ขายให้แก่บริษัท วินมาร์คได้แก่ บริษัท โอเอไอ พร็อพเพอร์ตี้ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2546 และแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน ในวันที่ 23 สิงหาคม 2546 และนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เดือนกันยายน 2546) บริษัท เอสซี ออฟฟิซ ปาร์ค,บริษัท เวิร์ธ ซัพพลายส์ บริษัท พีที คอร์ปอเรชั่น บริษัท เอสซีเค เอสเตท และบริษัท บี.พี.พร็อพเพอร์ตี้

แต่แล้วจู่ๆ บริษัท วินมาร์คซึ่งถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสทฯ จำนวน 61,165,144 หุ้น (เกือบ 20% ของทุนจดทะเบียน) มานานกว่า 3 ปี ก็โอนหุ้นจำนวนดังกล่าวให้แก่ แวลู แอสเสทส์ ฟันด์ (VAF) ตั้งอยู่บนเกาะลาบวน ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2546 ก่อนนำบริษัทเอสซี แอสเสทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพียง 2 สัปดาห์ ทั้งๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณเคยให้สัมภาษณ์ว่า บริษัท วินมาร์ค มาซื้อหุ้นบริษัทเอสซี แอสเสท เพื่อผลประโยชน์จากการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น

ต่อมาในวันที่ 1 กันยายน 2546 (จดทะเบียนในตลาดหุ้นวันที่ 5 กันยายน) VAF โอนหุ้นเอสซี แอสเสทต่อให้แก่ กองทุนโอเวอร์ซี โกรว์ธ ฟันด์ อินซ์ (OGF) และกองทุน ออฟชอร์ ไดนามิค ฟันด์ อินซ์ (ODF) ซึ่งตั้งบนเกาะลาบวนเช่นเดียวกัน

ขณะเดียวกัน VAF ได้สละสิทธิ์การซื้อหุ้นเพิ่มทุนบริษัท เอสซี แอสเสทฯ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2546 ให้แก่ น.ส.พิณทองทาและ แพทองธาร บุตรสาว 2 คนของพ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ VAF เสียประโยชน์ถึง71 ล้านบาท

นอกจากนั้น มีการตรวจสอบพบว่า ที่อยู่ของบริษัทวินมาร์ค และแอมเพิลริชมีสถานที่ตั้งอยู่ที่เดียวกัน คือ ตู้ ป.ณ.3151 โรด ทาวน์ ทอร์โตลา เกาะบริติช เวอร์จิ้น (P.O.BOX 3151, Road Town, Tortola, British Virgin Island )

โดยนายสุวรรณ วลัยเสถียร ที่ปรึกษาด้านภาษีของครอบครัวชินวัตร ขณะนั้น ยอมรับว่า บริษัท แมธีสัน ทรัสต์ (Matheson Trust Company (BVI) ได้รับการว่าจ้างให้จัดตั้งบริษัท แอมเพิลริชฯ

ข้อพิรุธเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดข้อสงสัยว่า บริษัทวินมาร์ค ตลอคจนทั้ง 3 กองทุนในมาเลซียมีความเกี่ยวพันกับครอบครัวชินวัตร

คำให้การของนางวรัชญา ศรีมาจันทร์ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552(คดีกล่าวหา พ.ต.ท.ทักาณ ร่ำรวยผิดปกติและขอให้ศาลยึดทรัพย์สิน 76,621 ล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน) ได้ไขปริศนาที่ค้างคาใจอยู่ทั้งหมดให้กระจ่าง

เพราะจากการตรวจสอบข้อมูล (คดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสทฯ) จากสำนักงาน ก.ล.ต.ในต่างประเทศพบหลักฐานดังนี้

หนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานจัดตั้งกองทุนลับ "ซิเนตรา ทรัสต์" ขึ้น จากนั้นให้กองทุนดังกล่าวเข้าไปถือหุ้นบริษัท บลูไดมอนด์ จำกัด 100% และบริษัท บลูไดมอนด์ ถือหุ้นในบริษัท วินมาร์ค 100% โดย พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานได้ว่าจ้าง บริษัท แมธีสัน ทรัสต์ บนเกาะฮ่องกง ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่ว่าจ้างให้จัดตั้งบริษัท แอมเพิลริชฯ ดำเนินการจัดตั้งบริษัททั้งสามและในการทำธุรกรรมแต่ละครั้งต้องฟังคำสั่งจากผู้ว่าจ้าง

สอง เอกสารการจัดตั้ง "ซิเนตรา ทรัสต์" ระบุชัดว่า ผู้รับประโยชน์จากกองทุนดังกล่าวคือพ.ต.ท.ทักษิณ คุณหญิงพจมานและลูกๆ

สาม เอกสารในการเปิดบัญชีหุ้นของบริษัท วินมาร์ค ที่ธนาคารยูบีเอสที่สิงคโปร์ระบุผู้รับประโยชน์คือ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน

สี่ เงินที่บริษัทวินมาร์คอ้างว่า ใช้ในการซื้อหุ้นกลุ่มบริษัทเอสซี แอสเสทฯ 6 บริษัท มูลค่า 1,527 ล้านบาทฯและโอนเข้าบัญชีคุณหญิงพจมานนั้น ปรากฏว่าเมื่อตรวจย้อนกลับไปพบว่า ในจำนวนเงิน 1,527 ล้านบาท เงิน 300 ล้านบาทโอนมาจากบัญชีของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานจากธนาคาร 3 แห่งในสิงคโปร์ ที่เหลือ 1,200 ล้านบาทเป็นเงินจากบริษัท วินมาร์ค ในสิงคโปร์

ห้า กองทุน VAF ที่รับโอนหุ้นเอสซี แอสเสทฯ ต่อจากบริษัท วินมาร์ค ถือหุ้นโดยบริษัท วินมาร์ค 100 % เช่นเดียวกับ OGF และ ODF ถือหุ้นโดย VAF

หก บริษัทวินมาร์ค ถือหุ้นชินคอร์ปตั้งแต่ปี 2544 อยู่ 54 ล้านหุ้น (1.8%) โดยเปิดบัญชีที่ธนาคารยูบีเอส สิงคโปร์ซึ่งมีเลขบัญชีเดียวกับบริษัท แอมเพิลริชฯที่มีหุ้นชินคอร์ปอยู่ 329.2 ล้านหุ้น (เป็นหลักฐานจาก คตส.)

หลักฐานดังกล่าวทั้งหมด บ่งชี้ว่า

1.พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวชินวัตร มีเงินซุกซ่อนอยู่ต่างประเทศที่เป็นจำนวนมหาศาลตั้งแต่ก่อนและระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมิได้ยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ?
นอกจากจะขัดต่อรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นการโกหกต่อประชาชนมาตลอด?

เงินที่ใช้ซื้อหุ้น 6 บริษัทมูลค่า 1,527 ล้านบาท เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง? แต่เงินส่วนใหญ่ที่ยังซุกซ่อนอยู่และได้จากธุรกรรมใดยังคงเป็นปริศนาอยู่

2. เป็นการบ่งชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงมีอำนาจในการจัดการหุ้นและทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมด ดังนั้น หุ้นชินคอร์ปที่ถือโดยบริษัทต่างๆ และลูกๆ จึงเป็นเพียงการถือหุ้นแทนหรือ"นอมินี" ซึ่งหากศาลฎีกาฯเชื่อในหลักฐานดังกล่าวหรือพยานฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่อาจโต้แย้งได้

ทั้งหมดนี้จึงอาจเป็น "จุดตาย" ของพ.ต.ท.ทักษิณในคดียึดทรัพย์ 76,600 ล้านบาท




วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แฟนบอลสิงคโปร์ร่วมถวายพระพร

.
.
เมื่อวานทีมบอลไทยแ้พ้สิงคโปร์ในบ้าน 1:0 จากการแข่งขันรอบคัดเลือกฟุตบอลเอเชียนคัพ

แม้จะผิดหวังเพราะบอลแพ้ เพราะเล่นแบบเดิมๆไม่พัฒนา ชนะสิงคโปร์ไมได้ หวังไปบอลโลกผมคงต้องรอชาติหน้าๆๆ

แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็มีข่าวน่าชื่นใจบ้างก็คือ
.
ไทยรัฐ

วันนี้ แฟนบอลสิงคโปร์ร่วมถวายพระพรในหลวง ที่รพ.ศิริราช

นายอับรา ฮาซิ หัวหน้ากลุ่มดาย ฮาร์ทแฟนคลับ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทราบข่าวว่ากษัตริย์ของเมืองไทยเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ไม่เหมือนที่ไหนของโลก เพราะพระองค์ทรงงานอย่างหนักเพื่อพสกนิกรของพระองค์ให้มีความกินดีอยู่ดี เช่น โครงการฝนหลวง ที่ไม่มีผู้นำประเทศไหนทำได้ แม้ว่าจะอยู่คนละศาสนา ก็รู้สึกรักพระองค์ โดยไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้

พวกเราได้สวดดูอาร์ ขอถวายพระพรให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เข้าถึงและเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประชาชน ที่สำคัญเป็นพระมหากษัตริย์ที่ประชาชนสามารถสัมผ้สได้

.
.

.
.

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

มติชน-เจาะแผนฮุนเซ็นจับวิศวกรไทย

.
.
มติชนวิเคราะห์
.
.

ทักษิณ"ร่วมมือ"ฮุนเซน"จับ"สปายไทย"กลบข่าว"ปากไว"สร้าง"จิ๋ว"เป็น "ฮีโร่"หักหน้า"อภิสิทธิ์"

ไปไหนมาไหนเจอแต่คำถามว่า สถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นว่าระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาโดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นชนวนเหตุ จะจบลงอย่างไร โดยเฉพาะความขัดแย้งมีทีท่าจะลุกลามเพิ่มมากขึ้น

เมื่อรัฐบาลฮุนเซนจับวิศวกรชาวไทย ตั้งข้อกล่าวหาว่า เป็น"สปาย"หรือ"จารชน"ขโมยข้อมูลตารางการบินของพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อแจ้งให้สถานทูตไทยในกรุงพพนมเปญทราบ จนเป็นข้ออ้างในการขับเจ้าหน้าที่ทูตไทยกลับประเทศภายใน 48 ชั่วโมง

ข่าวดังกล่าวได้ถูกกระพือให้เป็นจริงเป็นจังมากขึ้นโดย ส.ส.เพื่อไทย เช่น อ้างว่า เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่บินกลับไปนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไม่กล้าบินผ่านน่านฟ้าไทย เพราะกลัวถูกสอย เลยต้องบินอ้อมทางอ่าวไทย

นักข่าวอาวุโสรายหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ในต่างประเทศและติดตามข่าวต่างประเทศมานานวิเคราะห์ว่า สถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นเกมที่พ.ต.ท.ทักษิณร่วมกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาสร้างขึ้นเพื่อต้องการกลบข่าว"ปากไว"ของ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งให้สัมภาษณ์ไทม์สออนไลน์พาดพิงถึงสถาบัน ทำให้เกิดกระแสไม่พอใจอย่างกว้างขวาง

ขณะเดียวกันทั้งพ.ต.ท.ทักษิณและสมเด็จฮุนเซนนั้นมีเป้าหมายเดียวกันต้องการโค่นล้มนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีพ้นจากเก้าอี้ แต่ด้วยเหตุผลต่างกันคือ สมเด็จฮุนเซนเห็นว่า ถ้าปล่อยให้นายอภิสิทธิ์เติบโตขึ้นและสามารถอยู่ในตำแหน่งได้นาน อาจเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในอาเซียน

ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณต้องการกลับเข้ามามีอำนาจในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่ง ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณสามารถกลับมาครองอำนาจได้ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆด้วยคือสมเด็จฮุนเซน
เท่ากับกัมพูชายิงกระสุนนัดเดียวได้ นกถึง 2 ตัว

การจับวิศวกรไทยโดยยัดข้อหาจารกรรม นอกจากเป็นกลบข่าว"ปากไว"แล้ว ยังทำให้กระแสข่าวพุ่งเป้าไปที่นายอภิสิทธิ์ว่า จะแก้ไขปัญหาอย่างไร

แน่นอนว่า สมเด็จฮุนเซนต้องเล่นเกมแรงเพื่อทำให้ดูว่า นายอภิสิทธิ์ไร้น้ำยาที่จะช่วยเหลือวิศวกรไทยได้

อย่าลืมว่า กลุ่มบริษัทสามารถของตระกูลวิไลลักษณ์ลงทุนอยู่กัมพูชานานนับสิบปี จึงมีสายสัมพันธ์อันดักับรัฐบาลฮุนเซนอย่างมาก แต่กลับไม่สามารถช่วยเหลือพนักงานบริษัทที่ตกเป็นจำเลยในครั้งนี้ได้

เมื่อวิกฤตการจับวิศวกรไทยถูกปลุกจนถึงขีดสุด(มีการตัดสินจำคุกเพื่อให้เห็นว่าผิดจริง)และเห็นว่า รัฐบาลไทยไม่สามารถช่วยเหลือวิศวกรไทยได้

ก็จะมีบุรุษร่างอ้วน ใสแว่นปราดเข้ามาทำทีเป็นเจรจากับรัฐบาลฮุนเซน พาวิศวกรไทยกลับบ้านเยี่ยง"วีรบุรุษ"ในรูปของการอภัยโทษตามการขอร้องของมหามิตรอย่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยหรือของพ.ต.ท.ทักษิณ โดยลอกซีนมาจากนายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐที่นำนักข่าวอเมริกันที่ถูกเกาหลีเหนือจับตัวไปกลับบ้านได้สำเร็จ

นอกจาก พล.อ.ชวลิต จะได้คะแนนนิยมไปเต็มๆแล้ว ยังเป็นการตบหน้ารัฐบาลอภิสิทธิ์ฉาดใหญ่

ขณะเดียวกันก็เป็นการปูทางให้พล.อ.ชวลิตกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งเพื่อแก้ไขวิกฤตความขัดแย้งรหว่างไทย-กัมพูชาอีกด้วย

แต่เมื่อพล.อ.ชวลิตเป็นนายกฯแล้วภารกิจที่สำคัญกว่า คือการทำทุกวิถีทางเพื่อให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้ามามีอำนาจในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง!!
.
.
บทความจาก มติชนวิเคราะห์
.
.

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทักษิณ-ฮุนเซนจากศัตรูสู่มิตร กัมพูชาประเทศที่มีไว้ขาย

.
.
คมชัดลึก


ก่อนจะมาเป็นเพื่อนรักของ ทักษิณ ชินวัตร นั้นใครต่อใครคงจะสงสัยว่า เส้นทางเดินของ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา

ประเทศที่เพิ่งรู้จักคำว่า "การเลือกตั้ง" ไปเมื่อไม่ถึง 20 ปีนี้ มีเส้นทางมาอย่างไร และจู่ๆ ไปรู้จักมักจี่กับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปัจจุบัน เป็นนักโทษหนีอาญา 2 ปี ของไทยได้อย่างไร

เมื่อปี 2540 เป็นที่รู้กันว่า ทักษิณ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนความพยายามปฏิวัติโค่นพรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี) ของฮุน เซน และหันไปสนับสนุน สม รังสี และพรรคสมรังสี รวมทั้งพรรคฟุนซินเปก ของสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์

จากที่ก่อนหน้านั้น เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2539 มีการใช้ระเบิดมือโจมตีในกัมพูชา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 16 คน บาดเจ็บกว่า 100 คน

ไม่ต้องถามว่าในยามนั้น ฮุน เซน รู้สึกอย่างไรกับ ทักษิณ ซึ่งทำธุรกิจด้านการสื่อสารในกัมพูชา

แต่ด้วยความที่เป็นนักธุรกิจที่ใจถึง ทำให้เกิดข่าวลือว่า ของขวัญที่เป็นกระดาษมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ถูกส่งไปยังผู้ครองอำนาจในกัมพูชา เรื่องราวจึงค่อยๆ ซาลง ขณะที่มิตรภาพก็ค่อยพอกพูน

แต่จะเพิ่มขึ้นเพราะผลประโยชน์อย่างที่เล่าลือกันหรือไม่ ยังคงต้องรอการพิสูจน์

แต่ที่แน่ๆ ในเวลาต่อมา ฮุน เซน ยึดอำนาจจาก เจ้ารณฤทธิ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 1 ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวของประเทศ (http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/138761.stm )

มิตรภาพของทั้งสองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่ง ทักษิณ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำของประเทศไทย การเจรจาตกลงทางการค้า และความช่วยเหลือในลักษณะก้าวไปด้วยกันทางเศรษฐกิจ ก็ยิ่งทำให้ฮุน เซน วางใจมากขึ้น


อ่านรายละเอียดต่อ คลิกที่นี่
.
.

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประเทศเล็กๆอย่างกัมพูชาเอาตัวรอดมาได้อย่างไร?

.
.
บทความโดยนิธิ เอียวศรีวงศ์


ในฐานะประเทศเล็กๆ ซึ่งต้องถูกขนาบข้างด้วยอำนาจที่เหนือกว่าทั้งสองฝั่ง กัมพูชาจะเอาตัวรอดได้อย่างไร?

ผมคิดว่านี่คือปัญหาใหญ่ของชนชั้นนำกัมพูชามาหลายศตวรรษแล้ว ความวิตกกังวลนี้ไม่ได้คิดขึ้นเอง แต่มาจากประสบการณ์จริงที่ผ่านมาในอดีตหลายร้อยปี แม้จนเมื่อไม่นานเกินความทรงจำนี้เอง ฝรั่งเศสบอกและคงจะสอดคล้องกับความคิดของเขมรด้วยว่า หากไม่มีฝรั่งเศส กัมพูชาคงถูกทั้งไทยและเวียดนามกลืนหายไปจากแผนที่โลกแล้ว

ฉะนั้น ประเด็นทางการเมืองที่สำคัญในกัมพูชา ไม่ว่าผู้นำจะเป็นใคร ก็ต้องรวมเอาการรักษากัมพูชาที่เหลืออยู่นิดเดียวนี้ให้รอดในฐานะประเทศเอกราชตลอดไป

หนทางหนึ่งที่ผู้นำกัมพูชาใช้ตลอดมา (ตั้งแต่ก่อนตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส) ก็คืออาศัยเงื่อนไขในสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในวงแคบๆ เฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือในวงกว้างระดับโลกก็ตาม แต่สถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชาสามารถเอาตัวรอดจากไทยและเวียดนามได้

ในระหว่างสงครามเย็น เจ้าสีหนุ (เมื่อทรงออกจากพระราชอิสริยยศกษัตริย์เพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี) ทรงเลือกที่จะสังกัดฝ่ายที่ "เป็นกลาง" เพราะรู้ว่ากัมพูชาไร้ความสำคัญทางเศรษฐกิจหรือยุทธศาสตร์เสียจนกระทั่งสหรัฐคงปล่อยให้กัมพูชาเป็นกลางได้ต่อไป

ในขณะเดียวกัน ก็ใช้ความเป็นกลางนี้เป็นอำนาจต่อรองกับไทย รวมทั้งนำเรื่องปราสาทพระวิหารขึ้นศาลโลก สิ่งที่กัมพูชาได้มาจากชัยชนะในครั้งนั้น ไม่ใช่แค่ตัวปราสาทพระวิหาร

แต่คือการรับรองเส้นเขตแดนที่ไทยทำไว้กับฝรั่งเศส อันเป็นสิ่งที่กัมพูชาสามารถใช้เป็นกุญแจสำหรับไขล็อคอันเป็นข้อพิพาททางพรมแดนกับไทยได้อีกหลายจุดในอนาคต... (มีต่อ)


กรุณาอ่านรายละเอียดที่เหลือต่อที่ มติชนออนไลน์
.