วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คลิปสารคดีอัตชีวประวัติ กัปตันเจมส์ คุก!!




คุณผู้อ่านครับ สารคดีอัตชีวประวัติเจมส์ คุก (James Cook)ผมเคยได้ดูเมื่อเกือบ3ปีก่อน บอกตามตรงว่า ประทับใจสุดๆ เพราะสนุก แถมมีสาระ และทำให้เราได้ย้อนกลับไปดูความยิ่งใหญ่และความยากลำบากในการค้นพบมหาทวีปทางโลกใต้ ของกัปตันเจมส์ คุก

ย้อนกลับไปในอดีต โคลัมบัส จากสเปนค้นพบทวีปอเมริกา อังกฤษไม่ยอมแพ้ ต้องการค้นพบทวีปใหม่ทางโลกใต้เพื่อแข่งกับสเปน โดยมีกัปตันผู้ยิ่งใหญ่เจมส์ คุก อาสาเดินทางไปในที่ๆไม่เคยมีใครไปมาก่อน ซึ่งมหาทวีปทางโลกใต้มีจริงหรือไม่?? ก็ไม่มีใครล่วงรู้

การเดินทางที่ไปแล้วอาจไม่มีวันได้กลับมาอีกก็ได้ การเดินทางที่เหมือนเอาชีวิตไปทิ้งในท้องทะเล ความเสียสละและความกล้าหาญของนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ที่ทำให้อังกฤษได้กลายเป็นเจ้าแห่งพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน

กัปตันเจมส์ คุก คือผู้ปฏิวัติวิชาการเขียนแผนที่โลกที่ถูกต้องแม่นยำ(แม่นยำมากเมื่อเทียบกับแผนที่จากดาวเทียมในยุคนี้) และทฤษฎีการเขียนแผนที่ยุคใหม่ของกัปตันเจมส์ คุกก็ยังใช้จนถึงปัจจุบันนี้

และเราจะได้เห็นความเอาเปรียบจากผู้ที่เรียกตัวเองว่า ผู้เจริญกว่าซื้อผู้หญิงพื้นเมืองมานอนด้วยเพียงแค่แลกด้วยตะปูเพียงตัวเดียว

เชื่อผมได้เลยครับ ถ้าคุณผู้อ่านได้ชมสารคดีชุดนี้จบลง เราจะได้ข้อคิดดีๆที่น่าทึ่งหลายอย่างจากกัปตันเจมส์ คุก!!

1.



2.



3.



4.



------------------------------------------


5.



6.



7.



8.



--------------------------------


9.




10.




11.




12.



ขอบคุณ คุณladyEdnaMode เจ้าของคลิปผู้ที่ทำให้โลกออนไลน์มีน้ำใจกันมากขึ้น!!


วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

นักเศรษฐศาสตร์บอกทักษิณหลอกเรื่องค่าแรง300บาท




บทความที่ผมนำเสนอนี้ นำมาจากมติชนออนไลน์ เขียนโดยไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ สถาบันวิจัยสังคมและเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต

ซึ่งผมก็ขอตัดมาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องค่าแรง300บาท เนื้อหาตามนี้

V


V



ความขัดแย้งในสังคมประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ แต่ผู้นำที่มีลักษณะและมีสไตล์ทางการเมืองเป็น populist ที่ผ่านมาในรอบเกือบสิบปี อย่างคุณทักษิณและพรรคของคุณทักษิณ มีแนวโน้มเพิ่มความขัดแย้งจนเกิดเป็นความรุนแรงและความเสียหายแก่ประเทศได้ง่าย โดยเฉพาะการคิดว่าการได้เสียงข้างมากจากประชาชนนั้นสามารถจะทำอะไรได้ตามใจชอบหรือมีการใช้อำนาจในทางที่มิชอบและขาดความชอบธรรม

ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของวิธีการและกระบวนการซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเป้าหมาย กรณีที่มาของข้อเสนอค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทของพรรคเพื่อไทยอาจจะเป็นตัวอย่างหนึ่งซึ่งมีที่มาเป็นส่วนผสมของ

(ก.) การมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับค่าจ้างของคนระดับล่างและการใช้ค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเครื่องมือของพรรคของทักษิณและทีมเศรษฐกิจซึ่งจะถูกจะผิดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และ

(ข.) การแข่งขันทางการเมืองซึ่งทำให้พรรคต้องฉวยโอกาสในการให้ข้อเสนอที่ดีกว่าคู่แข่งทั้งที่รู้ว่า ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะถ้าค่าจ้าง 300 บาทนี้ทำเหมือนกันทั่วประเทศ ซึ่งคุณทักษิณก็คงรู้ว่าพรรคกำลังหลอกประชาชน!!

ผู้เขียนไม่แปลกใจที่ว่า แม้พรรคเพื่อไทยจะได้เสียงข้างมากแต่ความเหมาะสมของนโยบายเมื่อถูกประเมินโดยนักเศรษฐศาสตร์กว่าเจ็ดสิบคน นโยบายของพรรคเพื่อไทยได้คะแนนน้อยกว่าพรรคประชาธิปัตย์

ที่คุณทักษิณทำเช่นนี้ได้เพราะวัฒนธรรมทางการเมืองทั้งในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งและก่อนหน้าไม่ใช่กระบวนการประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสและเป็นผลมาจากกระบวนการไตร่ตรองผ่านการถกเถียงอย่างเข้มข้นกว้างขวางของประชาชนโดยการใช้ฐานความรู้ ข้อมูล เหตุและผลซึ่งเป็นแนวคิดกระบวนการประชาธิปไตยแบบไตร่ตรอง หรือ deliberative democracy ตามแนวคิดของ Habermas นักปรัชญาชาวเยอรมัน

ในเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท คุณทักษิณและพวกสามารถปกปิดไม่ให้รายละเอียด นโยบายที่เสนอขาดกระบวนการไตร่ตรองถกเถียงอย่างเข้มข้นโดยประชาชนอย่างเท่าเทียมกันเพราะวัฒนธรรมทางการเมืองสามารถเปิดโอกาสให้แม้กระทั่งว่าที่นายกฯ หัวหน้าพรรคและผู้บริหารของพรรคไม่จำเป็นต้องผูกมัดตัวเองที่จะต้องมาเข้าสู่กระบวนการอภิปรายอย่างเข้มข้นในระดับชาติเหมือนที่เราพบเห็นในประเทศอื่น

กกต.ก็ไม่สามารถออกกติกาเพื่อให้นโยบายที่เสนอมาต้องผ่านกระบวนการไตร่ตรองก่อนการเลือกตั้ง พรรคการเมืองสามารถขึ้นป้ายเพียงหนึ่งบรรทัดก็โฆษณาชวนเชื่อได้แล้ว

ทักษิณและทีมเศรษฐกิจต้องการเห็นอะไรจากการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท นอกเหนือจากการดึงแรงงานระดับล่างมาเป็นฐานเสียง ถ้าคิดว่าการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 เพราะคิดว่าค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันเป็นอุปสรรคทำให้ไทยโตได้ช้าไม่เหมือนจีน หรือเห็นว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในกับดักภาวะเงินฝืดเพราะค่าจ้างนิ่งเกินไปถ้าเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 40% ถึงกว่า 100 แล้วจะกระชากเศรษฐกิจไทยได้

คุณทักษิณกำลังเข้าใจผิดและจะทำร้ายเศรษฐกิจไทย

PERON ในปี ค.ศ.1947 เคยหาเสียงกับสหภาพแรงงานของอาร์เจนตินา โดยเพิ่มค่าแรงที่แท้จริงปีละ 25% PERON ทำได้ 2 ปีเศรษฐกิจก็ทรุด เป็นที่ทราบกันดีว่ามรดกประชานิยมของ PERON นอกจากประเทศแตกแยกแล้วเงินเฟ้อระดับปีละเป็นร้อยเป็นพันเปอร์เซ็นต์ เศรษฐกิจก็ล่มสลายอยู่หลายทศวรรษ

ค่าจ่ายขั้นต่ำของไทยต่ำไปหรือไม่ ? ถ้าดูตามหลักเกณท์ของ ILO ค่าจ้างขั้นต่ำควรจะอยู่ระหว่างร้อยละ 40 ถึง 60 ของรายได้ต่อหัวค่าจ้างเฉลี่ย หรือ MEDIAN ซึ่งของไทยก็อยู่ในเกณท์นี้ (เช่น ระดับค่าจ้างขั้นต่ำระดับ 6,000 บาทเมื่อเทียบกับค่าจ้างเฉลี่ยที่ 9,600 บาท ในปี 2553) เมื่อเทียบกับร้อยละ 20 ถึง 30 กรณีของรัสเซียและจีนตามลำดับ

คนที่บอกว่าอยากเห็นประเทศไทยใช้นโยบายสองสูงคือค่าจ้างสูงและราคาสินค้าเกษตรสูงสับสนความเป็นเหตุและผล

ประเทศที่มีค่าจ้างสูงและเจริญมาได้เพราะประเทศนั้นมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงเพราะแรงงานการสะสมทุนเทคโนโลยีและการจัดการมีคุณภาพสูง

มูลค่าเพิ่มต่อคนงานในภาคการผลิตของเกาหลีสูงกว่าไทยอย่างน้อย 3 เท่า ค่าจ้างโดยเฉลี่ยของเราต่ำ เพราะ PRODUCTIVITY โดยรวมต่ำ

ถ้าทีมเศรษฐกิจของคุณทักษิณมีกึ๋นจริงไม่ต้องเล่นแร่แปรธาตุและสร้างวิมานในอากาศขอให้ใช้เวลาที่จะได้เป็นรัฐบาลอยู่ได้นานๆ สามารถสร้างสถาบันทางเศรษฐกิจและสังคมและระบบแรงจูงใจที่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการกำหนดอัตราต่อการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนให้ดูประเทศกลุ่ม NICS เป็นตัวอย่าง

คุณทักษิณต้องไม่ลืมว่าตั้งแต่ประเทศไทยเจอวิกฤตจากต้มยำกุ้งในสิบกว่าปีที่ผ่านมา ที่มาของความเจริญเติบโตของเรามาจากการสะสมทุนน้อยลงและมาจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีก็น้อยมาก

ที่มาของ GROWTH ส่วนใหญ่มาจากแรงงานที่ไร้ฝีมือจากภาคชนบทและจากแรงงานต่างด้าวซึ่งทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นไม่ได้มาก

จากการศึกษาของธนาคารโลกการศึกษาของไทยมีบทบาทต่อการเพิ่มคุณภาพของแรงงานที่มีส่วนช่วยการเจริญเติบโตของไทยเพียง 0.35% ต่อปี ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา

การไม่ดันทุรังและยอมรับความจริงและขอโทษประชาชนเรื่องความเป็นไปไม่ได้ที่จะขึ้นค่าแรง 300 บาททันที โดยไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศน่าจะเป็นความกล้าหาญของพรรคเพื่อไทย แค่นี้ก็ถือว่าตบหน้าว่าที่นายกฯหญิงและพี่ชายพอสมควรแล้ว จากการที่ 3 สมาคมการค้าและอุตสาหกรรมรวมทั้งนักวิชาการที่ไม่เห็นด้วย และไม่ยอมรับนโยบายที่ไม่ผ่านการไตร่ตรองด้วยเหตุด้วยผล แถมยังสอนด้วยว่าอัตรานี้ควรเป็นอัตราที่ควรใช้ในสามถึงสี่ปีข้างหน้าซึ่งเหมือนกับให้ว่าที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ไปดูข้อเสนอของพรรคประชาธิปัตย์จะดีกว่า

อย่าลืมว่าการที่สหภาพแรงงานไทยอ่อนแอเมื่อบวกกับความมีเอกภาพของสมาคมธุรกิจทั้งหลายรวมทั้งความสามารถในการปรับตัว ถ้าค่าแรงขั้นต่ำเริ่มเป็นภาระที่ผู้ประกอบการรับไม่ได้ผู้ประกอบการมีวิธีปรับตัว ซึ่งหมายความว่าอำนาจของรัฐตามกฎหมายจะไม่ศักดิ์สิทธิ์จะเกิดผลที่คาดไม่ถึงตามมามากมายทำให้ได้ไม่คุ้มเสีย

อันที่จริงมีสัญญาณตั้งแต่ปีที่แล้วที่การแข่งขันทางการเมืองเริ่มให้ความสำคัญกับแรงงานระดับล่าง คุณอภิสิทธิ์อยากเห็นค่าจ้างขั้นต่ำที่ 250 บาท จนทำให้เพื่อไทยทนไม่ได้ต้องเสนอเป็น 300 บาท ถ้าใช้สูตรของประชาธิปัตย์ที่ค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นได้ 12.5% ค่าจ้างขั้นต่ำก็สามารถจะเพิ่มได้ 1 เท่าตัว ภายในเวลาไม่เกิน 6 ปี ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย

ผู้เขียนอยากเห็นค่าจ้างขั้นต่ำที่อิงกับผลิตภาพและอัตราเงินเฟ้อ โดยให้ค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นสูงกว่าอัตราค่าจ้างทั่วๆ ไปเพื่อลดความแตกต่างทางด้านค่าจ้างและลดความไม่เท่าเทียมกันในรายได้ โดยทำควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับระบบสวัสดิการสังคม การศึกษา และการสาธารณสุข

อ่านบทความต้นฉบับที่นี่

------------------------------


ใหม่เมืองเอก ขอสรุปคร่าวๆง่ายๆของสาระสำคัญของบทความนี้ ก็คือ


ค่าแรงไทยจะสูงก็ได้ ถ้าไทยเราเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยี คนงานไทยส่วนใหญ่ ย้ำ!! คนงานไทยส่วนใหญ่ ต้องมีต้นทุนความรู้ทางด้านเทคโนโลยีสูง สามารถผลิตสินค้าไฮเทคของตัวเองได้ (สินค้าไฮเทคที่ผลิตในเมืองไทย เขาก็จ้างแรงงานมีฝีมือสูงกว่า300บาทอยู่แล้ว)


แต่ทุกวันนี้ แรงงานไทยส่วนใหญ่ยังเป็นแค่รับจ้างผลิตสินค้าให้ประเทศที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เท่านั้น


และสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าไฮเทค คนงานไทยก็เป็นแค่ลูกจ้างแรงงานธรรมดา ถ้าค่าแรงแพง เขาก็ไปจ้างแรงงานไม่ต้องการฝีมือที่ประเทศอื่นก็ได้


วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คนเยอรมันซึ้งใจความจงรักภักดีของคนไทย




ผมขอตัดบางส่วนจากคอลัมภ์ของคุณเปลว สีเงินมาให้ท่านผู้อ่านได้อ่าน เป็นเรื่องของอาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ เล่าถึงการเสด็จเยือนเยอรมันของสมเด็จพระเทพรัตนฯ


อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์

(ตัดจากบางส่วนจากบทความเปลว สีเงิน)

V

V

ต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องราวของท่านอาจารย์ชัยวัฒน์ อ่านแล้วท่านใดต้องการรู้จัก "ความคิดและตัวตน" ท่านให้ยิ่งกว่านี้ ผมขอแนะนำให้ไปหาหนังสือเรื่อง "ทฤษฎีไร้ระเบียบ กับทางแพร่งของสังคมไทย" และ "อีก ๕ ปี ประเทศไทยจะเปลี่ยน" อ่านนะครับ

ถึงพี่น้องทุกคน

เมื่อวานนี้ วันพุธที่ ๒๙ มิถุนายน สมเด็จพระเทพรัตนฯ เสด็จฯ มาทรงเยี่ยม "สถาบันเอเชีย-อาฟริกา" ที่มหาวิทยาลัยฮัมบวร์ก พวกทีมงานและนักศึกษาทั้งเยอรมันและไทยตื่นเต้นกันพอสมควร เตรียมงานกันดึกดื่น ก่อนที่ท่านจะมาถึง

อู-ลูกชายคุณนิวัติ กองเพียร ซึ่งเป็นคนสำคัญในการจัดการต่างๆ อย่างละเอียด ได้ซักซ้อมความเข้าใจกันอีกครั้งว่า นักศึกษาที่ต้องการถ่ายรูปกับ "สมเด็จพระเทพรัตนฯ" ขอให้รีบมานั่งเบื้องหลังเก้าอี้ที่ประทับอย่างรวดเร็ว เพราะจะมีเวลาไม่มากสำหรับถ่ายรูป และขอให้นั่งให้สุภาพเรียบร้อยแบบไทยดังที่เคยชี้แจงไว้แล้ว ครั้นพระองค์ท่านทรงพระดำเนินมาในห้องประชุมแล้วประทับนั่ง บรรยากาศในห้องก็ผ่อนคลายโดยฉับพลัน สมเด็จพระเทพรัตนฯ ทรงฉลองพระองค์สีชมพูอมม่วงแบบง่ายๆ และสะพายย่ามที่มีสมุดบันทึกของพระองค์ท่าน

จากนั้น ผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้กล่าวต้อนรับ และศาสตราจารย์สำคัญ ๓ คนของสถาบันฯ ได้กล่าวถวายรายงานความเป็นมาของสถาบันและขอบเขตของงานวิจัย และการเรียนการสอนที่เกี่ยวกับจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ไทย ลาว และพุทธศาสนา เป็นต้น จัดได้ว่าเป็นสถาบันฯ ที่มีพลังที่สุดในการเรียนการสอนและการวิจัยด้านอุษาคเนย์ แต่จุดเด่นของงานอยู่ที่นักศึกษาเยอรมัน ๕ คนที่กำลังทำปริญญาโทและเอก ชาย ๒ หญิง ๓ ได้มาถวายรายงานคนละประมาณ ๓-๔ นาที เป็นภาษาไทย และใช้ราชาศัพท์ได้เป็นอย่างดี (ดีกว่าผมแน่ๆ) ว่ามีแรงจูงใจอะไรจึงมาเรียนภาษาไทย และจะทำการวิจัยหัวข้ออะไร ฯลฯ

สมเด็จพระเทพรัตนฯ จะทรงบันทึกมากกว่าตอนอาจารย์รายงานเสียอีก (นี่เป็นข้อสังเกตของเพื่อนเยอรมัน) นศ.แต่ละคนตื่นเต้น แต่พูดได้ดีมากๆ พูดจากความรู้สึกที่ผูกพันกับเมืองไทย บางคนที่ชอบกินข้าวเหนียวเมื่ออยู่ขอนแก่นก็จะเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ฟังในห้องที่มีกว่า ๑๐๐ คน ซึ่งเป็นชาวไทยกว่าครึ่งที่มารอรับเสด็จ เมื่อแต่ละคนพูดจบ จะได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้อง ผมคิดว่านักศึกษาเยอรมันทั้ง ๕ คน จะไม่มีวันลืมเหตุการณ์วันนั้นตลอดชีวิต บรรยากาศในห้องยิ่งแจ่มใสผ่อนคลาย เมื่อจบรายงานของนักศึกษา

ครั้นพระเทพรัตนฯ จะเสด็จฯ กลับ พระองค์ท่านกลับให้เวลาทรงสนทนาซักถามอาจารย์ที่ทำวิจัยเรื่องภาษาเย้าและอื่นๆ อย่างจริงจัง พวกเรารู้กันดีว่าพระองค์ทรงสนพระทัยเรื่องวิชาการอยู่แล้ว แต่พวกชาวเยอรมันนึกไม่ถึงว่าพระองค์ท่านจะสนพระทัยจริงจังและทรงถามลึกซึ้ง ผมเห็นสีหน้าของอาจารย์ที่ตอบคำถามของสมเด็จพระเทพรัตนฯ (ผมยืนห่างๆ ไม่ได้ยินคำถามและคำตอบ) ตื่นเต้นดีใจ ที่พระองค์สนพระทัยจริงๆ พวกเด็กๆ และคนไทยที่นั่งรอ ยืนรอเวลาจะได้ถ่ายภาพร่วมกับพระองค์ก็สนใจดูเหตุการณ์ในห้องไปด้วย (ตามธรรมดาหนุ่มสาวชาวเยอรมันจะทนกับพิธีการแบบนี้ไม่ได้ หรือไม่ชอบเสียด้วยซ้ำ) ที่คนไทยและเยอรมันรุมกันถ่ายภาพสมเด็จพระเทพรัตนฯ และวุ่นวายไม่เป็นระเบียบนิดหน่อย แต่กันเองง่ายๆ

อาจารย์ชาวญี่ปุนยืนอยู่ข้างๆ พูดว่า บุคลิกสมเด็จพระเทพรัตนฯ สบายๆ กันเอง แต่สง่างามนะ และให้เวลากับผู้คนไม่ยึดติดเคร่งครัดกับพิธีการ หลังจากจบการสนทนา สมเด็จพระเทพรัตนฯ ประทับที่เก้าอี้ที่ผู้คนรอถ่ายภาพร่วมกันอยู่ พระองค์ก็ทรงให้เวลาหลายนาที แล้วเสด็จฯ กลับ เมื่อทรงพระดำเนินลงไปข้างล่างก่อนขึ้นรถยนต์พระที่นั่ง ก็ยังทรงสนทนากับพวกคณาจารย์อย่างสบายๆ อีกหลายนาที พวกอาจารย์ปลื้มเอามากๆ ที่สมเด็จพระเทพรัตนฯ ทรงให้เวลากับพวกเขา

สิ่งที่ผมคาดไม่ถึงก็คือ เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนฯ ทรงพระดำเนินออกจากห้องผ่านผมกับชาวเยอรมันคนหนึ่ง ถ้าจำชื่อไม่ผิดชื่อนิโคลัส ซึ่งมาเข้าเวทีไทยฟอรั่มของผม ๒-๓ ครั้ง และผมสังเกตว่าเขาเป็นคนจิตละเอียดและรักเมืองไทย (คาดว่ามีเมียไทย) ผมกับเขาโค้งคำนับให้พระองค์ท่าน พอพระองค์ท่านพ้นห้อง เจ้านิโคลัสพูดกับผมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้.....

"บางคนอาจจะมองว่าการไปคุกเข่า นั่งพับเพียบให้ผู้สูงศักดิ์ นั่นเป็นสิ่งล้าหลัง น่าหัวเราะ น่าเย้ยหยัน แต่สำหรับนี่แล้วมันไม่ใช่นะ การที่คนเขาคุกเข่าไปนั่ง เขาทำด้วยความสมัครใจ เต็มใจ แล้วมันกระทบมาถึงหัวใจของผม ที่ผมได้เห็นภาพอย่างนี้ในวันนี้ ผมน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าทำไมจึงกระทบใจผม.." ผมเงยหน้าขึ้นมองแล้ว เห็นน้ำตาของนิโคลัสไหลออกมาเป็นทางจริงๆ มันก็กระทบใจผมด้วย ที่ผู้ชายฝรั่งเห็นภาพแบบนี้แล้วร้องไห้.....

มันสอนอะไรให้แก่พวกเราที่เป็นคนไทยบ้างไหม? เหตุการณ์เล็กๆ แบบนี้มีนัยที่ลึกซึ้งหลายอย่างทั้งทางการเมือง สังคมและจิตวิทยา สำหรับผมแล้วภาวะผู้นำที่มีความสง่างาม เรียบง่าย ฉลาดเฉลียว และเปล่งประกายแห่งความเมตตา มีความหมายมากต่อการเป็น representative of the nation

ผมเองได้มีโอกาสกล่าวบรรยายต่อพระพักตร์ และมีโอกาสยืนใกล้สมเด็จพระเทพรัตนฯ สองสามครั้งเมื่ออยู่ในกรุงเทพฯ แต่ไม่เคยเห็นพระองค์ท่านในบริบทต่างประเทศและท่ามกลางชาวเยอรมันที่มีการศึกษาจำนวนมาก ให้ความสง่างาม เกียรติภูมิแก่เมืองไทยจริงๆ ผมเองก็ดีใจที่ได้เห็นความลึกซึ้งบางอย่างที่มีคุณค่าและความหมายที่ยิ่งใหญ่ต่ออนาคตของชาติไทย เป็นเรื่องที่คนไทยต้องช่วยกันรักษาและส่งเสริม มันจะเป็น positive feedback กลับมาถึงเมืองไทย และคนไทยด้วย

คิดถึงทุกคน

ชัยวัฒน์

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ชูวิทย์ วิเคราะห์ปชป.แพ้เพราะอะไร?




ผมฟังชูวิทย์กี่ทีกี่ที ก็ไม่เคยเบื่อ คนอะไรหัวสมองเฉียบเหลม!! ตอบได้แหลมคมกว่าพวกนักพูดหัวขวดที่ทักษิณจ้างมารับใช้เสียอีก

คลิปนี้ ชูวิทย์วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ พรรคประชาธิปัตย์แพ้ แพ้เพราะอะไร??

และประโยคเด็ดชูวิทย์

"BBC เขาบอกในเมืองไทยเขาอยากสัมภาษณ์อยู่2คน คือคุณอภิสิทธิ์ กับผมเท่านั้น ส่วนนายกฯต้องไปสัมภาษณ์คนที่อยู่เมืองนอกอีกคน" (555)



คลิป2 ชูวิทย์แฉสันดานนักการเมืองไทย

คุณผู้อ่านครับ คลิปอาจยาวสักหน่อย แต่สาระเนื้อหาของชูวิทย์เขาเพียบจริงๆ ทั้งฮา ทั้งสาระ มีพร้อม

แถมประกาศกล้าชนกับ2หัวขวด องครักษ์พิทักษ์ยิ่งลักษณ์ด้วย



คลิป3 ชูวิทย์อธิบาย นิสัยนักการเมืองแย่กว่าหมา!!




แนะนำอ่าน มั่นใจชูวิทย์ เหนือกว่าไอ้เต้นไอ้ตู่

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มั่นใจ ชูวิทย์ เหนือชั้นกว่าไอ้เต้นไอ้ตู่!!




เมื่อวันอังคารที่5 ก.ค.54 คุณชูวิทย์มาออกเจาะข่าวเด่น นำเสนอแนวทางการทำงานในนามฝ่ายค้าน!!

ดูและฟังเถอะครับ ชูวิทย์ เจ๋ง และสุดยอด!!

ผมมั่นใจว่า ชูวิทย์เหนือชั้น ทั้งลูกล่อลูกชน เหนือชั้น ทั้งมันสมอง แบบที่ทั้งไอ้เต้น ไอ้ตู่ ไม่มีปัญญาเทียบชูวิทย์ได้ 555

"ผมเป็นสส.ในปี48 เป็นฝ่ายค้าน คุณณัฐวุฒิยังอยู่สภาโจ๊กอยู่เลย คุณจตุพรยังขี่รถกระบะอยู่รึเปล่าไม่รู้" ประโยคเด็ดเฮียชูวิทย์

คุณชูวิทย์ ผมเลือกคุณมาตลอด อย่าทำให้ผมผิดหวังล่ะ







แนะนำอ่าน ชูวิทย์เบอร์5 สุดยอด (เจาะข่าวเด่น)