วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ผู้ว่าปรีชา เรืองจันทร์ หงอต่ออำนาจรัฐ!!







กรณีถุงยังชีพชองกระทรวงพลังงานที่นายอภิสิทธิ์ไปช่วยแจกที่พิษณุโลก ที่เป็นประเด็นอภิปรายในสภาที่ผ่านมา

ผู้ว่าปรีชา เรืองจันทร์ คนดังที่ออกสะเก็ดข่าวประจำ เพราะแกลุยทุกงานชาวบ้าน ก็รีบทำหนังสือมาถึงมหาดไทยเพราะตนเองเกรงกลัวรัฐบาลเอาเรื่อง ว่าไปเข้าข้างฝ่ายค้าน ตามนี้



ตัวท่านผู้ว่าก็ชี้แจงเองว่า ไม่รู้ว่ามีถุงยังชีพของกระทรวงพลังงานมีอยู่ที่สำนักงานพลังงานจังหวัด

พอสส. พิษณุโลกเขารู้ว่ายังมีถุงยังชีพเหลืออยู่ เขาประสานขอมาเพื่อเอาไปช่วยแจก แล้วท่านผู้ว่าก็ให้เขาไปน่ะถูกแล้ว จะเก็บไว้ไม่แจกไปทำซากอะไรล่ะครับ

ผู้ว่าไม่รู้ว่ามีถุงยังชีพเหลือ ถือว่า บกพร่องในการจัดการอยู่แล้ว  อย่ามาบกพร่องเหมือนสันดานศปภ. ที่กั๊กของบริจาคจนขายขี้หน้าเขาไปทั้งประเทศเลยครับ

ความอึดอัด น่ะ คนเรามีเกิดขึ้นได้ทุกคน

แต่ถ้าเอาเรื่องในใจตนเอง ไปบอกเพียงเพราะเกรงกลัวอำนาจรัฐแบบนี้

ผู้ว่าปรีชา ผมผิดหวังกับท่านมากครับ

ผมakecityเสียดาย ที่ชื่นชมท่านผู้ว่า มาหลายปี!!

ต่อมานายศิริโชค โสภา สส.ฝ่ายค้าน ตอบโต้ผู้ว่าปรีชา ผ่านเฟซบุ้ก ตามนี้


นายศิริโชค โสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงกรณี “จดหมาย ผู้ว่าพิษณุโลก” และตอบโต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

ถอดรหัสกรณี ผู้ว่า พิษณุโลก ตอกย้ำ กั๊ก ถุงยังชีพ เลือกปฎิบัติ คิดถึงแต่การเมือง ไม่มีใจให้ชาวบ้าน

1)ในเอกสารผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ระบุชัดว่า "ไม่ทราบว่ามีถุงยังชีพ 500 ถุงอยู่ที่สำนักงานพลังงานจังหวัดพิษณุโลก" ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความล้มเหลวในการบริหารถุงยังชีพเพื่อดูแลพี่น้องประชาชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง 


มีเพียงสองเหตุผลที่ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีอำนาจอนุมัติถุงยังชีพไปแจกจ่ายให้ประชาชนจะไม่รับทราบข้อมูลดังกล่าว คือ
1 ผู้ว่า บกพร่องในหน้าที่จนปล่อยให้ถุงยังชีพตกค้างในสำนักงานพลังงานจังหวัดพิษณุโลก ทั้ง ๆ ที่ยังมีประชาชนต้องการความช่วยเหลือ หรือ
2 กระทรวงพลังงานกั๊กถุงยังชีพไว้ด้วยเหตุผลทางการเมือง ไม่ใช่ด้วยเหตุเพื่อช่วยชาวบ้าน


2) "ในสถานการณ์นั้น ข้าพเจ้ามีความรู้สึกอึดอัดและกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง หากจะปฏิเสธการสนับสนุนกรณีดังกล่าวก็เห็นว่าผู้ที่ร้องขอมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลกต้องการที่จะนำไปช่วยเหลือราษฎรและอาจถูกตำหนิได้ว่าไม่ให้ความสนใจดูแลประชาชน เป็นเสมือนสถานการณ์บังคับให้ข้าพเจ้าต้องอนุญาตให้ไปตามจำนวนเท่าที่สำนักงานพลังงาน จ.พิษณุโลก มีอยู่"

ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ว่าฯเองก็รับทราบดีว่า ส.ส.มีสิทธิ์ที่จะขอความอนุเคราะห์จากทางราชการเพื่อนำสิ่งของไปช่วยผู้ประสบภัย ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ไม่เช่นนั้นผู้ว่าฯคงไม่พูดถึงความรู้สึกของตัวเองเกรงว่า "อาจถูกตำหนิได้ว่าไม่ให้ความสนใจดูแลประชาชน เป็นเสมือนสถานการณ์บังคับให้ข้าพเจ้าต้องอนุญาต" 

แต่ที่ผู้ว่าฯรู้สึกอึดอัดเป็นเพราะคนที่ขอความอนุเคราะห์เป็นส.ส.ฝ่ายค้านใช่หรือไม่ จะไม่ให้ก็ไม่ได้เพราะเป็นสิทธิที่ส.ส.จะขอความอนุเคราะห์จากทางราชการในการช่วยเหลือประชาชน นี่คือสถานการณ์บังคับทำให้ผู้ว่าปฏิเสธคำร้องขอนี้ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ไปบีบบังคับผู้ว่าฯแต่อย่างใด

3 )เนื้อหาในเอกสารดังกล่าวยิ่งตอกย้ำว่ารัฐบาลบริหารถุงยังชีพโดยยึดผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นที่ตั้ง ไม่มีใจให้ประชาชนที่กำลังเดือดร้อน บีบบังคับให้ข้าราชการทำงานลำบาก เพราะมีการเลือกปฏิบัติกีดกัน ส.ส.ฝ่ายค้านไม่ให้ได้รับความอนุเคราะห์จากทางราชการ ทั้ง ๆ ที่เป็นการทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน สะท้อนถึงความคับแคบของรัฐบาล จึงต้องตั้งคำถามไปยังผู้ว่าฯว่า หากเป็นส.ส.รัฐบาลขอความอนุเคราะห์เรื่องถุงยังชีพท่านพร้อมที่จะดำเนินการให้ทันทีใช่หรือไม่?

นอกจากนี้การที่รมว.พลังงานพูดในสภาว่า กรณีที่ผู้ว่าฯมอบถุงยังชีพให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กระทบกับแผนในการแจกจ่ายถุงยังชีพของท่านนั้น น่าสงสัยว่า จะมีแผนอะไรสำหรับรัฐบาลมากไปกว่าการเร่งรีบกระจายถุงยังชีพไปบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึงให้ได้มากที่สุด ถ้าไม่ใช่แผนทางการเมืองที่รัฐบาลมีเจตนาใช้เงินภาษีของประชาชนสร้างคะแนนเสียงบนความทุกข์ยากของประชาชนใช่หรือไม่ ยอมทำแม้กระทั่งกั๊กถุงยังชีพเอาไว้โดยที่แม้แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ยัง ไม่ทราบว่ามีถุงยังชีพอยู่ในความดูแลของตัวเอง

4) พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผอ.ศปภ.ยืนยันมาโดยตลอดว่าถุงยังชีพของทางราชการไม่ได้เลือกปฏิบัติให้เฉพาะ ส.ส.รัฐบาล แต่ส.ส.ฝ่ายค้านก็มีสิทธิ์ขอได้ด้วยการทำเรื่องไปยัง ศปภ.

ซึ่งกรณีนี้ นายแพทย์วรงค์ก็ขออนุมติจากผู้ว่าฯ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนและในการแจกถุงยังชีพก็ระบุชัดว่าเป็นของกระทรวงพลังงานไม่ได้มีการแอบอ้างว่าเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ หรือสวมรอยใส่ชื่อของตัวเอง ซึ่งพรรคยังยืนยันว่า หากมีการแอบอ้างเหมือนที่เกิดขึ้นในหลายกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

น่าแปลกใจว่านายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รมว.มหาดไทย เพิ่งออกมาปกป้อง ส.ส.รัฐบาลที่ใส่ชื่อตัวเองไปใส่ในถุงยังชีพด้วยการตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 28 พ.ย.เกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า "ไม่มีใครว่างคิดมากอย่างนั้น เพราะประชาชนกำลังอดอยาก จะทำอย่างไรก็ได้ ขออย่าให้ประชาชนเดือดร้อนก็พอ"

จึงต้องตั้งคำถามกลับไปว่า ทำไมการที่ส.ส.ฝ่ายค้านนำถุงยังชีพของกระทรวงพลังงานไปแจกจ่ายให้ประชาชน โดยไม่มีการแอบอ้างมาเป็นของตัวเองเพื่อประโยชน์ทางการเมือง กล่าวขอบคุณกระทรวงพลังงานว่าเป็นผู้อนุเคราะห์ถุงยังชีพให้ประชาชนอย่างตรงไปตรงมากลับมีคนว่างคิดมาก

ในขณะที่ประชาชนกำลังอดอยาก ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ถ้าไม่ใช่เพราะ รมว.พลังงานต้องการหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็นการเมืองกลบเกลื่อนการกระทำผิดของพรรคพวกตัวเอง

5) การที่ รมว.พลังงาน กล่าวหาว่า การประสานเพื่อขอความอนุเคราะห์นำถุงยังชีพมาแจกจ่ายให้ประชาชน เป็นการกระทำที่บีบบังคับผู้ว่า กทม.เข้าข่ายกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 266 นั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่า ผู้พูดขาดความเข้าใจในข้อกฎหมายโดยสิ้นเชิง และยังขาดแคลนปัญญาที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างการประสานเพื่อขอความอนุเคราะห์กับการที่ ผอ.ศปภ.มีคำสั่งแต่งตั้ง ส.ส.เพื่อไทยเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ซึ่งทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติเข้าไปแทรกแซงฝ่ายบริหาร ถือเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญชัดเจน

จึงขอท้าให้ รมว.พลังงาน ยื่นถอดถอนนายแพทย์วรงค์ ควบคู่ไปกับการที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะยื่นถอดถอน 9 ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย เพราะบุคลากรของพรรคประชาธิปัตย์เคารพการตรวจสอบ จะไม่มีการไปฟ้องดำเนินคดีแพ่งและอาญากับท่านเหมือนที่นายจตุพรขู่จะดำเนินการกับพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน
เรื่องนี้ผมเข้าใจความหมายของคำว่าผู้มีปัญญาแพ้คนหน้าด้าน แต่ผมยืนยันได้ว่าคนมีปัญญาอย่างพรรคประชาธิปัตย์จะยืนหยัดทำในสิ่งถูกต้อง ไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน



------------------------


ดูคลิปข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ในนาที 3.25เป็นต้นไป

ฟังคุณสรยุทธและน้องไบร์ทเล่า ว่า นายปรีชา เรืองจันทร์ ผจว.พิษณุโลกให้สัมภาษณ์ขัดแย้งกับเอกสารด้านบน ที่ส่งไปที่มหาดไทยอย่างไร?




คลิก ทีวีไทยเจาะลึกถุงยังชีพฉาวของศปภ.!!



วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ณัฐวุฒิโชว์โง่ โดนรองประธานสภาสอนมวย!!






ต้องขอชื่นชมท่านรองประธานรัฐสภาคนที่1 นายเจริญ จรรย์โกมล สส.เพื่อไทยท่านนี้มากๆ เพราะเท่าที่ผมติดตามการทำหน้าที่ประธานในการประชุมสภาหลายๆครั้ง

ท่านรองประธานรัฐสภาท่านนี้ ทำหน้าที่ได้อย่างเป็นกลางมาก แม้จะเจอสส.จากพรรคเดียวกันกับท่าน ก่อกวนการประชุม ประท้วงต่างๆนานา แต่ท่านก็รักษาความเป็นกลางในการประชุมได้อย่างน่ายกย่องจริงๆ

ท่านรองฯเจริญ จบนิติศาสตร์รามคำแหง ซึ่งท่านรองฯเจริญ ใช้วิชาความรู้ในการเป็นทนายความ

ส่วนนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ จบนิติศาสตร์ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ พอจบออกมาดันไปหากินในสภาโจ๊ก!!

ดูตัวอย่่าง ที่นายณัฐวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยประท้วง แล้วโดยท่านรองได้สอนมวย




วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทีวีไทยเจาะลึกถุงยังชีพ800บาทของศปภ.





รายงานพิเศษนี้ ทีวีไทยเขาทำได้ดีจริงๆ เชิญพินิจเอาเถอะครับ

ว่าการทำสกู๊ปดีๆ เขาทำกันอย่างไร 


เหมาะสำหรับนักศึกษาภาควิชาสื่อสารมวลชนดูไว้เป็นตัวอย่างศึกษาครับ





คลิกอ่าน ทำไมนักวิชาการให้รัฐบาลสอบตกเรื่องแก้ปัญหาน้ำท่วม


วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

นักวิชาการให้รัฐบาลสอบตกแก้ปัญหาน้ำท่วม





จากรายการตอบโจทย์ ทางทีวีไทย

ฟังนักวิชาการวิเคราะห์ความผิดพลาดของศปภ.และรัฐบาล ว่าสอบตกอย่างไร ผิดพลาดจุดไหนครับ




คลิกดู มุมมองสว.รสนา ที่มีต่อยิ่งลักษณ์


วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มุมมองสว.รสนา ที่มีต่อยิ่งลักษณ์






ดูเถอะครับ คลิปจากทีวีไทย รายการตอบโจทย์ตอนนี้ ดีจริงๆ

แต่ใจผมอยากให้คุณรสนา หรือไม่ก็ ดร.ณัฐฐา พิธีกรสุดสวยนี่แหล่ะ เป็นนายกหญิงของไทย!!




วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ดร.สมเกียรติวิจารณ์ภาษาอังกฤษของยิ่งลักษณ์







ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล สื่อมวลชนระดับปรมาจารย์ ได้วิจารณ์การใช้ภาษาอังกฤษของนายกฯยิ่งลักษณ์ ผ่านเฟซบุ๊ค ตามนี้




----------------------


ใหม่เมืองเอก  ขออธิบายเสริม

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!
v

v



คลิกอ่าน ชาญวิทย์ ตีความคำวิจารณ์ของดร.สมเกียรติไม่แตก


วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มุมมองวิษณุ เครืองาม มีต่อ ยิ่งลักษณ์






ในแวดวงการเมือง รักใครอย่ารักจนหมดหัวใจ และเกลียดใครก็อย่าเกลียดเขาจนหมด ทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อเสียทั้งนั้น"

คือคำแนะนำถึงคนดู-คนฟัง-คนติดตามการเมือง ที่หลุดจากปากบุรุษผู้เคยอยุู่ทั้ง "เบื้องหน้า" และ "เบื้องหลัง" ม่านการเมือง

เคยสัมผัสบุคคลระดับ "เบื้องบน" และ "เบื้องล่าง"

จนสามารถเก็บรายละเอียด-ข้อเท็จจริง-บทสนทนาประวัติศาสตร์ ก่อนถ่ายทอด "เบื้องลึก" ในทุกแง่มุมผ่านหนังสือ "เรื่องเล่าจากเนติบริกร"

แม้ "วิษณุ เครืองาม" อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะไม่เคยร่วมงานกับ "นายกฯหญิง" นาม "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"

แต่ประสบการณ์รับใช้ 7 นายกฯ 10 รัฐบาล ทำให้เขาอดติดตามลีลา-ท่วงท่าของ "นักแสดงนำ" บนเวทีการเมืองไม่ได้

"วิษณุ" เปิดปากรับสารภาพว่า รู้สึกเข้าใจ-เห็นใจ "ยิ่งลักษณ์" ที่ต้องขึ้นเป็น "นายกฯ คนที่ 28" ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง

มิหนำซ้ำ เข้ามาไม่ทันไร ก็ต้องรับมือกับอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดของประวัติศาสตร์ชาติไทย

"ถ้าจะให้ประเมิน ให้มอง อย่างไรเสียมันก็ดีไปไม่ได้หรอก ต้องให้เวลาหน่อย แต่ถ้าให้มองเฉพาะตัวคุณยิ่งลักษณ์คนเดียว เรื่องการปฏิบัติการในขีดความสามารถที่จำกัด หรือที่มีอยู่ ท่านทำได้ดีพอสมควร หรือเกินกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะเลย ผมยังนึกว่าถ้าน้ำซัดมาตูมแรก คุณยิ่งลักษณ์คงนั่งร้องไห้ 7 วัน บังเอิญแกร้องอยู่วันเดียวแล้วจบ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำงาน ใครแนะอะไรก็ทำ แต่บังเอิญคนแนะมันมีหลายคน แนะคนละอย่าง แกเลยทำอะไรไม่ถูก ก็ได้ทำไปดีเท่าที่คนคนหนึ่งจะพึงทำได้ในเวลาอันจำกัด และขีดความสามารถอันจำกัด ถ้าเป็นคนอื่น เขาอาจทำได้ดีกว่านี้ หรือถ้าเป็นคนอื่นแล้วดันทำได้เหมือนคุณยิ่งลักษณ์ ต้องโดนตำหนิมากแน่เพราะคุณเจนเวที นี่เขาทำได้แค่นี้ ผมถึงได้ให้คะแนนด้วยความเห็นใจ"

คือเสียงเชียร์จาก "วิษณุ" หลังสลัดบท "เนติบริกร" แล้วมานั่งชมละครการเมืองในฐานะ "คนดู" มาได้ 5 ปีแล้ว

ไม่ว่า "ยิ่งลักษณ์" จะแสดงดี-มีเรตติ้งหรือไม่ แต่ "วิษณุ" ยอมคารวะให้ในฐานะที่ "เธอ" คือ "ผู้นำ"

"เมืองไทยเราเสียอย่าง ใครเป็นผู้นำ เราไม่เรสเปก (เคารพนับถือ) มีแต่จะเหยียบย่ำทำลาย หรือเหยียดหยาม ซึ่งมันผิดทั้งมารยาทและผิดวัฒนธรรมไทย"

ในภาวะวิกฤตธรรมชาติ ผู้นำแบบไหนจะสามารถนำพาประเทศให้ก้าวพ้นภัยได้?

เขาบอกว่า นิยาม "ผู้นำ" ที่ง่ายที่สุดคือคนที่คนเขายอมตาม ใครที่ขึ้นมาแล้วคนไม่ยอมตาม แปลว่าคนคนนั้นสักแต่ว่าเป็นผู้นำเพราะมีคนตั้งให้เป็น แต่เมื่อคนไม่ตาม คุณก็นำใครไม่ได้ วัวก็เป็นผู้นำได้ ถ้าฝูงโคยอมตาม แต่ถ้าผู้นำโคจะเลี้ยวซ้าย ฝูงโคจะเลี้ยวขวา หัวหน้าโคก็นำไม่ได้ฉันใด ผู้นำจึงต้องยอมทำให้คนตามฉันนั้น เราจะเห็นเทคนิคของผู้นำหลากหลาย บางคนใช้เงินเพื่อจะให้คนตาม บางคนใช้สติปัญญา บางคนใช้ความกล้า บางคนใช้คุณธรรม ดังนั้น สไตล์ใคร ศักยภาพของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

"หากใช้สไตล์คนอื่นมาเทียบกับคุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นการไม่ยุติธรรม ต้องดูที่คุณยิ่งลักษณ์เองว่าสามารถทำให้คนตามได้หรือไม่ ผ่านมา 2 เดือนเศษ ผมมองว่ายังไม่เต็มที่ ซึ่งอาจเป็นเพราะคนยังมองว่าเหนือคุณยิ่งลักษณ์มีคนอื่น ถ้าจะตามคือตามคนอื่นดูจะถูกเป้า และตรงประเด็นกว่า แต่คุณยิ่งลักษณ์เองก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างภาวะผู้นำของตัวขึ้นมา เท่าที่เห็นและเท่าที่ผมทราบมา มีหลายเรื่องที่ใครจะว่ายังไงก็ตาม แต่คุณยิ่งลักษณ์คิดว่าจะเป็นอย่างนี้ แล้วแกก็ชนะด้วย แกก็ได้ด้วย"

อดีตเสนาธิการ ครม.ชี้ว่าคุณสมบัติที่ "ผู้นำ" พึงมี-พึงเป็น มีอย่างน้อย 4 ประการ

1.มีเวลาในการทำงาน แต่ของไทยอยู่ 3 เดือน 6 เดือน เดี๋ยวก็ยุบสภา เดี๋ยวก็ลาออก ทำอะไรยังไม่ทันเห็นผลสำเร็จก็ไปแล้ว "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เปรียบเพราะเป็นผู้นำคนแรกที่อยู่ครบเทอม 4 ปี ชนิดไม่มีรัฐบาลไหนเสมอเหมือน จึงได้ประโยชน์จากเวลา

2.มีเสนาคือ มีลูกมือเอาไว้คอยช่วยงาน ผู้นำที่เก่งคนเดียว คิดคนเดียว เหนื่อยคนเดียว ก็บ้าอยู่คนเดียว นายกฯไทยหลายคนคิดแล้วไม่มีคนเอาไปทำต่อ แต่หลายคนคิดแล้วมีคนเอาไปทำต่อ อย่าง "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ มีบุญตรงนี้ พอคิดก็จะมีคนเอาไปทำต่อ ถ้าเศรษฐกิจ "เสนาะ อูนากูล" เอาไปทำต่อ ถ้ากฎหมาย "มีชัย ฤชุพันธ์" เอาไปทำต่อ การเมืองมีอีกคนเอาไปทำต่อ ดังนั้น ไม่ต้องคิดจนจบ คิดสัก 2 ประโยค ก็จะมีคนมาต่อให้ 3, 4, 5

3.มีวิสัยทัศน์ ซึ่งต้องยกให้ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่เห็นอะไรนิดเดียว คิดไปคืบหนึ่ง พอเห็นคืบ คิดไปศอก

4.มีธรรมะ ซึ่งผู้นำไทยหาไม่ค่อยเห็นในเรื่องนี้

"ถ้าผู้นำมีสิ่งเหล่านี้จะประสบความสำเร็จได้ง่าย จริงๆ นายกฯอย่างคุณชวน (หลีกภัย) คุณบรรหาร (ศิลปอาชา) คุณทักษิณ (ชินวัตร) ก็มีสิ่งเหล่านี้ แต่อาจจะยังไม่ครบ แต่คุณยิ่งลักษณ์อาจยังไม่มีเลยสักข้อ ก็ต้องใช้เวลาสร้างขึ้นมาให้ได้ ทำอย่างไรจะให้มีครบทุกข้อ หรือไม่ครบ แต่ทำได้สัก 2 ใน 4 ก็จะเป็นผู้นำที่นั่งอยู่ในใจคนได้"

นอกจาก "คุณสมบัติเฉพาะตัว" ซึ่งเป็นเรื่องที่ "ผู้นำ" แต่ละคนต้องสร้าง-สั่งสมขึ้นเองแล้ว หลายครั้งเมื่อต้องเผชิญวิกฤต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประทานกำลังใจให้รัฐบาล ดุจ "น้ำทิพย์ชโลมใจ"

ทว่าในช่วงที่ผ่านมาพระบรมราโชวาท พระราชดำรัส ที่รับสั่งกับคณะบุคคลต่างๆ มักถูกนำไปแปลความเข้าข้างตนเอง โดย "สุรเกียรติ์ เสถียรไทย" อดีตรองนายกฯ ใช้คำว่า "รู้สึกว่าเจ้านายท่านไม่กลับรับสั่งอะไรแล้ว?"

ในฐานะที่เคยทำงานใกล้ชิดราชสำนัก มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพร้อมนายกฯหลายคน "วิษณุ" กล่าวยืนยันว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาต่อรัฐบาลทุกรัฐบาลเท่าเทียมกัน ในความหมายที่ว่าต้องการให้ท่านช่วยอะไร ท่านช่วยเสมอเหมือนกัน และไม่ต้องไปดูว่าพรรคไหน ใคร มาจากไหน เรื่องอย่างนี้คนอย่างคุณทักษิณรู้แก่ใจ คนอย่างคุณบรรหาร คุณชวน พล.อ.ชวลิตรู้อยู่แก่ใจทั้งหมดว่าหากไม่ได้พระมหากรุณา รัฐบาลจะเป็นอย่างไร และในฐานะที่ท่านเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นผู้นำ ท่านมีอำนาจที่เราเปิดไม่เจอในรัฐธรรมนูญ แต่เขาพูดกันมาตั้งแต่โบราณ พูดมาตั้งแต่อังกฤษว่าพระมหากษัตริย์แม้จะอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ก็มีอำนาจตักเตือนรัฐบาล มีอำนาจจะให้กำลังใจรัฐบาล มีอำนาจจะแนะนำรัฐบาล เป็นอำนาจ ไม่ใช่หน้าที่ ดังนั้น ถ้าจะมาบอกว่าอ้าว! ทำไมไม่เห็นทรงแนะนำเลย ก็มันไม่ใช่หน้าที่ท่าน เมื่อเป็นอำนาจ ท่านจะทรงใช้ก็ได้ ไม่ใช้ก็ได้ ทางที่ดีเนี่ย รัฐบาลขอพระราชทานให้ทรงใช้อำนาจเสียเองสิ ถ้าไม่ขอ ท่านก็ไม่พูด เพราะเมื่อพูดไปแล้วก็ไม่รู้ใครจะเอาไปทำตามหรือเปล่า นายกฯหลายคนกล้ากราบบังคมทูลฯขอ แล้วได้รับสิ่งดีๆ กลับคืนมาทั้งนั้น"

ไม่ว่าจะเป็น "บรรหาร" ที่ก้มลงกราบพระบาท เมื่อได้เข้าเฝ้าฯ หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกฯ ในปี 2538 โดยบอกว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาไม่เคยเป็นนายกฯ ข้าพเจ้าหนักใจเหลือเกินว่าจะไม่สามารถจัดการปกครองบ้านเมืองให้ดีได้ กลัวเหลือเกิน ไม่มั่นใจ"

พระองค์ท่านรับสั่งเลยว่า "ไม่ต้องคิดอะไรมาก คุณบรรหารทำสุพรรณบุรีได้ คุณบรรหารก็ทำกรุงเทพฯได้ คุณบรรหารทำกรุงเทพฯได้ ก็ทำประเทศไทยได้ ช่วยทำกับประเทศไทยเหมือนที่ทำกับสุพรรณฯน่ะพอแล้ว" แค่นี้ชื่นใจแล้ว

หรือในรัฐบาล "พล.อ.ชวลิต" ซึ่งเกิดเรื่องใหญ่ จะรบกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งรัฐบาลคิดว่าควรจะลงพระปรมาภิไธย พอถวายขึ้นไป รับสั่งว่านายกฯ กลับเมื่อไรให้มาพบ จากนั้นเมื่อนายกฯได้เข้าเฝ้าฯ หายไป 2 ชั่วโมง

"พอกลับออกมาทุกคนรุมถามท่านว่าทรงลงพระปรมาภิไธยหรือไม่ พล.อ.ชวลิตถือกระดาษเปล่าออกมา บอกว่าไม่ทรงลง แต่พระราชทานสิ่งที่ดีกว่านั้น เอาไปทำกันเถอะ แล้วก็มาจัดการทำกัน หายไป 1-2 เดือน วิกฤตการณ์ผ่านไปโดยเรียบร้อย ไม่มีเหตุเภทภัยใดๆ เกิดขึ้น พล.อ.ชวลิตจึงลงมือร่างหนังสือด้วยตนเอง กราบบังคมทูลฯว่า "ถ้าไม่ได้อาศัยพระมหากรุณาธิคุณ เหตุเภทภัยจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ ด้วยอาศัยพระมหากรุณาธิคุณในวันนั้น ภยันตรายจึงผ่านพ้นไปด้วยดี" ในเวลาต่อมาเมื่อนายกฯไปเฝ้าฯ ท่านทรงถือจดหมายนั้นแล้วถามว่าท่านนายกฯคิดอย่างนี้จริงๆ หรือ พล.อ.ชวลิตบอกว่าคิดอย่างนั้นจริงๆ ก็ทรงพระสรวลอย่างพอพระทัย

"ดังนั้น คนเป็นรัฐบาล ถ้าขอพระมหากรุณาก็จะได้มหากรุณา ในช่วง 3-4 วันนี้ เห็นภาพข่าวหนังสือพิมพ์ นายกฯยิ่งลักษณ์ก็ไปเข้าเฝ้าฯ ขอประทานพระราชกระแสเรื่องน้ำท่วม ก็กลับออกมาก็อิ่มเอิบยิ้มแย้มแจ่มใส รู้แล้วว่าควรต้องทำอย่างไร เรื่องอย่างนี้เวลาจะทรงแนะนำอะไร จะจบด้วยประโยคหนึ่งเสมอว่า "ก็แนะไปอย่างนั้น แต่เอาไปคิดดู ถ้าคิดว่าไม่ถูกก็ไม่ต้องทำตามนะ และถ้าคิดว่ามันไม่ถูกก็ช่วยมาบอกหน่อย คราวต่อไปฉันจะได้แก้ไขเสียใหม่ แต่ถ้าคิดว่าดีก็ลองทำเถิด" นี่คือพระเจ้าแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยครับ"

ท้ายที่สุดก่อนรูดม่านบนเวทีสนทนา "วิษณุ" ถูกถามถึงโอกาสหวนคืนเวทีทางการเมืองอีกครั้ง?

"คงได้เห็นผมบนเวทีที่มานั่งคุยเรื่องหนังสือ มานั่งเซ็นหนังสือแน่ เพราะเขียนไว้อีกหลายเล่ม ส่วนเวทีการเมืองนั้น ผมไม่ได้คิดอยากจะเข้าไปตั้งแต่ต้น แต่มีความจำเป็นต้องเข้าไป และเมื่อออกมาแล้วยังจะดันดิ้นรนกลับเข้าไป โดยไม่ได้มีความจำเป็นอีกเนี่ย ผมก็ไม่รู้จะหาเรื่องไปทำไม ทุกวันนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว"

เป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า "วิษณุ" ไม่สนใจรับบท "เนติบริกร" ให้รัฐบาลไหน เว้นแต่ "มีความจำเป็น"!!!

ที่มา - ส่วนหนึ่งของเนื้อหาบนเวทีเสวนาในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 16 หัวข้อ "เรื่องเล่าจากเนติบริกร : ความลับและความจริงในทำเนียบที่ยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน" ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์


ขอบคุณ มติชนออนไลน์



คลิกอ่าน ดร.สมเกียรติ วิจารณ์ภาษาอังกฤษของ ยิงลักษณ์


วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รมว.เกษตรยอมรับสั่งชะลอน้ำช่วยชาวนา





คุณผู้อ่านครับ ผมเขียนบทความเรื่องเขื่อนมาหลายบทความ และผมยืนยันว่า เขื่อนไม่ได้ทำงานพลาด แต่มีปัจจัยภายนอกที่ทำให้เขื่อนต้องชะลอน้ำเพื่อไม่ให้ซ้ำเติมพื้นที่ใต้เขื่อนที่มีภาวะน้ำท่วมอยู่แล้ว

และที่สำคัญ ประตูน้ำในคลองต่างๆ ก็มีการแทรกแซงจากนักการเมือง เพื่อไม่ให้เปิดประตูระบายน้ำเพราะต้องการช่วยชาวนาให้ได้เก็บเกี่ยวเสร็จก่อน

เมื่อประตูน้ำเปิดระบายน้ำไม่ได้ แล้วเขื่อนจะปล่อยน้ำลงมามากได้อย่างไร เพราะปลายทางยังปิด ต้นทางก็ปล่อยมากไม่ได้

และก็เป็นจริงดังนั้นว่า นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรฯและสหกรณ์ ได้เคยสั่งให้มีการชะลอน้ำเพื่อช่วชาวนา

ตามข่าวนี้ครับ

v

v

ส.ส.ปชป. โวย รัฐบาลบริหารน้ำในเขื่อนผิดพลาด โชว์ไทม์ไลน์ "ระดับน้ำ - เวลาเข้ารับตำแหน่ง" "รมว.เกษตรฯ" รับกลางสภา สั่งชะลอน้ำให้ชาวนาได้เก็บเกี่ยวก่อนปล่อยเข้าทุ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. รายจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายถึงงบประมาณแก้ปัญหาน้ำท่วม 1.2 แสนล้านบาท พร้อมเปิดเพาร์เวอพอยท์ตารางสรุปอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ของกรมชลประทาน 3 เขื่อนใหญ่ ประกอบด้วยเขื่อนภูมิพล เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และ เขื่อนสิริกิติ์ว่า

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2554 เป็นวันเลือกนายกฯ อำนาจรัฐไปอยู่ในมือของรัฐบาลแล้ว ศูนย์กลางอำนาจไปอยู่ที่พรรคเพื่อไทยแล้ว หรือวันที่โปรดเกล้าฯนายกฯวันที่ 8 ส.ค. น้ำในเขื่อนเหล่านี้ไม่ผิดปกติเลย และแม้กฎหมายจะกำหนดว่าจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่เมื่อแถลงนโยบายต่อสภา แต่หากเกิดหากเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นสามารถใช้อำนาจได้อยู่แล้ว แต่มีพายุกระเตนเข้าเขื่อนมากที่สุด จังหวะที่ต้องระบายน้ำคือต้องหลังจากวันที่ 7 ส.ค.หรือเลยไปเดือนก.ย.ไม่มีสิทธิแล้ว ซึ่งถือว่ารัฐบาลบริหารความเสี่ยงผิดพลาด

นายนิพิฏฐ์กล่าวอีกว่า ขอให้ดูเฟสบุคของนายธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง บอกว่าขอร้องให้ทุกท่านติดตามหน้านี้และแสดงความคิดเห็นเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2554 บอกว่า

1. อุปสรรคจัดการน้ำในปีนี้ เกิดจากก่อนหน้าฝนมีการพร่องน้ำในเขื่อนใหญ่ๆ น้อยเกินไป ประกอบกับปริมาณน้ำปีนี้มีมากกว่าปกติเขื่อนจึงล้น และต้องปล่อยน้ำออกจากเขื่อนอย่างเต็มที่ น้ำจากเขื่อนจึงประดังกับน้ำฝน ทำให้ปัญหาทวีคูณ

2. ปริมาณน้ำฝนที่ลงภาคเหนือและภาคกลางในปีนี้ 12,000 ล้าน ลบ.ม. มีปริมาณเท่ากับเขื่อนภูมิพลหนึ่งเขื่อนเท่านั้นเอง ดังนั้นก่อนหน้าฝน หากสามารถพร่องน้ำให้เหลือเพียงครึ่งเขื่อน หรือเหลือหนึ่งในสาม เพื่อให้เขื่อนเก็บกักน้ำฝนที่จะเกิดขึ้นในฤดูใหม่ได้เต็มที่ ก็จะทำให้ปัญหาเบาลง
และ

3.สาเหตุที่มีการพร่องน้ำในเขื่อนน้อยเกินไปนั้น เนื่องจากที่ผ่านมาต้องเก็บน้ำไว้สำหรับการปลูกข้าว 3 ครั้งต่อปี แต่หากเปลี่ยนปฏิทินการปลูกข้าวให้เหลือเพียง 2 ครั้ง เดือนพฤศจิกายน-เดือนกรกฎาคม แล้วปล่อยให้พื้นนาว่างเปล่า เดือนสิงหาคม-ตุลาคม ก็น่าจะสามารถพร่องน้ำในเขื่อนได้มากขึ้น จะไม่จำเป็นต้องเก็บน้ำไว้มากเท่าเดิม

นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า เมื่อไม่มีการปล่อยน้ำให้เป็นไปตามธรรมชาติน้ำก็ไหลเข้าทุ่ง หากวันนั้นปล่อยน้ำลงมาน้ำจะไม่วิกฤติ เราไม่ปล่อยให้น้ำเดินไปตามธรรมชาติน้ำก็ไหลสู่ทุ่ง เหมือนที่ท่วมกทม.และปริมณฑล เพราะไปกักน้ำไว้ที่จ.สุพรรณบุรีวิกฤติของประเทศเลยเกิดขึ้น เพราะไปกักน้ำไว้น้ำเลยไหลลงทุ่ง

โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ได้ให้สัมภาษณ์ 27 ก.ย. โดยตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่าเมื่อไหร่จะน้ำหยุดท่วมว่า แต่ละจังหวัดพยายามป้องกันพื้นที่ของตัวเอง ไม่ให้ไปจ.สุรรณบุรี ไม่ให้ไปจ.ปทุมธานี ทำให้ไม่มีการบูรณการ น้ำเลยไม่ไหลไปตามธรรมชาติ ทุกอย่างไม่ใช่อยู่ที่ปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นแค่ 15%เท่านั้นเอง ความเสียหายไม่ใช่เป็น แสนๆล้านบาท แต่เป็นล้านล้านบาท เพราะไม่เชื่อมั่นต่อการจัดการน้ำ นายกฯไม่มีบารมี พูดไปไม่มีใครเชื่อ ไปเชื่อคนนอก มีคนเสนอให้นายกฯพูดน้อยๆหน่อยก็เห็น พูดเยอะผิดเยอะ คนโง่หรือฉลาดให้ดูได้ที่การพูด

จากนั้นนายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรฯและสหกรณ์ จึงได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า ความจริงต้องการฟังสมาชิกทั้งหมดแล้วชี้แจงคราวเดียวเลย แต่ขอชี้แจงสั้นๆถึงการบริหารจัดการน้ำที่เป็นเรื่องสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น การจัดการน้ำต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในเขื่อนแต่ละเขื่อนมีหลักเกณฑ์เก็บน้ำสูงสุดและต่ำสุดเป็นอย่างไร่ โดยไม่พยายามให้เกิดเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แล้วทำไมไม่บริหารน้ำออกจากเขื่อน เพราะปลายเดือนมิ.ย.เป็นต้นมามีพายุเข้ามาติดต่อกัน และฝนในภาคเหนือมากกว่าค่าเฉลี่ยมาก 50% ทำให้น้ำเหนือเขื่อน น้ำท้ายเขื่อนมีปริมาณมาก แล้วจะระบายน้ำมาซ้ำเติมประชาชนอีกเหรอ

 หากทุกคนคาดการณ์ได้ล่วงหน้าหยั่งรู้ฟ้าดินเหมือนขงเบ้งคงไม่ต้องมานั่งเถียงกันอยู่อย่างนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ได้แค่ 1 สัปดาห์เดียวเท่านั้น ทั้งหมดจึงไหลมาร่วมกันที่จ.นครสวรรค์ แล้วแบ่งน้ำไปทางตะวันออกและตะวันตกโดยมีข้อจำกัดในการรับมวลน้ำ ที่จ.สุพรรณบุรีก็ท่วมที่ตลาดร้อยปี บางปะม้า บางเลน ระยะทางก่อนออกทะเลอีกนาน หากปล่อยน้ำเข้ามาอีกก็ตู้มเข้าไปอีก

"ผมยอมรับว่าพูดจริงที่สั่งชะลอน้ำเพื่อให้พี่น้องชาวนาได้เกี่ยวข้าว ก่อนปล่อยน้ำเข้าทุ่ง" นายธีระกล่าว

"แล้วในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2554 ลุ่มน้ำยมก็ท่วม ลุ่มน้ำน่านก็ท่วม ในวันนั้นจะให้เขื่อนสิริกิตต์ระบายน้ำลงมาซ้ำเติมพี่น้องอีกหรือครับ ไม่ว่าผมอยู่ในรัฐบาลไหนผมก็ต้องให้ทำอย่างนี้ เพราะการพยากรณ์กรมอุตุนิยมวิทยาบอกเราล่วงหน้าได้แค่สัปดาห์เดียว ถ้าทุกคนคาดการณ์ได้หมด เหมือนขงเบ้งที่รู้ดินฟ้าอากาศ ก็ไม่ต้องมานั่งเถียงกันอย่างนี้"นายธีระกล่าว และว่า 


"ส่วนที่บอกว่าผมให้สัมภาษณ์สั่งให้ชะลอการปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลนั้นจริง เพราะตอนนั้นเราชะลอการโหลดน้ำลงเจ้าพระยา เพราะไม่ว่าที่ไหนหรือทุ่งไหนจะเกี่ยวข้าว เราก็ต้องทำแบบนี้ อยู่รัฐบาลที่แล้วผมก็ทำ เพราะประชาชนกำลังจะเกี่ยวข้าว" นายธีระกล่าว 

ด้านนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง กล่าวชี้แจงว่า การเขียนข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัวนั้นเป็นการแสดงความคิดเห็นที่ตอบคนที่เข้ามาสอบถามถึงแผนการบริหารจัดการน้ำในอนาคต โดยอธิบายถึงระดับน้ำในปี 2554 จากระดับต่ำสุดถึงสูงสุดในพื้นที่เหนือเขื่อนสูงถึง 7,500 ล้าน ลบ.ม. สูงกว่าระดับน้ำในปี 2552 และ 2553 ที่มีเพียง 5,000 ล้านลบ.ม. สูงกว่า ระดับปกติถึง 50 % ดังนั้นจึงทำให้การป้องกันรับมือทำได้ยากขึ้น

“จากพื้นที่เดิมที่เคยท่วม 2 เมตร ปีนี้ก็จะท่วม 3-4.5 เมตร จากชุมชนที่เคยสร้างกำแพงป้องกันไว้ระดับเดิมคิดว่าจะพอป้องกันได้ มาปีนี้น้ำเพิ่มมา 50 % ก็ไม่สามารถป้องกันได้ ​ทางออกที่พยามจะป้องกันน้้ำท่วมผ่านการบริหารน้ำไปทำการเกษตรให้ยืดหยุ่นมากขึ้น อาจทำได้สองทาง คือ
1หากกักน้ำน้อยเกินไปก็เสี่ยงที่จะกระทบต่อภาวะน้ำแล้ง ควรจะทำแหล่งน้ำชุมชนขึ้นมา และ
2. การปลูกข้าวจากเดิมทำปีละ 3 ครั้งควรทำเหลือเพียงแค่ 2 ครั้ง เพื่อจะได้มีเวลาพัฒนาคุณภาพดินและลดการระบาดของเพลี้ยและโรคอื่นๆได้ด้วย” นายธีระชัย ชี้แจง


http://www.suthichaiyoon.com/detail/17814




** นายธีระ วงศ์สมุทร เป็นอดีตอธิบดีกรมชลประทาน และต่อมาก็เป็นนักการเมืองในสังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา และได้รับตำแหน่งเป็นรมว.เกษตรและสหกรณ์ติดต่อกัน2สมัย มาตั้งแต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ต่อเนื่องมารัฐบาลยิ่งลักษณ์ 

---------------------------


สำหรับความเห็นของผม ผมไม่โทษเขื่อน แต่เรื่องประตูระบายน้ำมีปัญหา อันนี้ผมยอมรับว่ามีแน่ เพราะชาวนากับชาวบ้านทะเลาะกันหลายพื้นที่ ส่วนที่นายธีระบอกสั่งชะลอเพื่อช่วยชาวนานั้น ฟังดูดี และเข้าใจเจตนาดี แต่มันแปลกตรงที่สุพรรณท่วมช้ากว่าที่อื่นนี่แหล่ะครับท่านรมว. 


และผมยังเชื่อว่า ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์เอาจริงเอาจังเรื่องการระบายน้ำ เพื่อแบ่งเบาภาระของแม่น้ำเจ้าพระยา ผันน้ำลงแม่น้ำทางด้านตะวันดก และตะวันออกเสียแต่เนิ่นๆ ถ้าเริ่มทำอย่างจริงจังตั้งแต่เดือนกันยายน ผมว่าน้ำจะไม่ท่วมกรุงเทพฯหนักแบบนี้แน่นอน

จนขนาดน้ำทะลักเข้ากรุงไปเป็นเดือนแล้ว รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยังมีปัญหาการผันน้ำไปทางตะวันออกไม่ได้เท่าที่่ควร ทั้งปัญหาขาดเครื่องสูบน้ำ ปัญหาชาวบ้านไม่ยอมให้เปิดหรือปิดประตูน้ำหลายจุด

นี่คือความล้มเหลวในการบริหารจัดการน้ำที่ล่าช้าเกินไปของรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นเองครับ



วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แฉ! ใครอยากแก้ผังเมืองฟลัดเวย์จนน้ำท่วมหนัก!!






คุผู้อ่านครับ ทำไมสนามบินดอนเมืองน้ำท่วม ก็เพราะไม่มีการผันน้ำไปทาง
ตะวันออก ที่ ๆ ซึ่งถูกวางให้เป็นแนวฟลัดเวย์มาตั้งแต่รัชกาลที่ 5

ในหลวงทรงตรัสถึงเรื่องรัชกาลที่5 ทรงมีพระบรมราชโองการเวรคืน ให้ที่ดินย่านตะวันออกของกรุงเทพฯ (นอกแนวคันตามพระราชดำริ ร.๙) ถูกกันให้เป็นพื้นที่ฟลัดเวย์

ดังนั้นใครที่อยู่ตรงนี้ มีที่ดินแถวนี้ ก็ต้องยอมรับสภาพว่าบ้านตัวเองต้องน้ำท่วม เพราะนี่คือสิ่งที่ระบุมานานนับร้อยปีแล้ว

แต่ทีนี้ทำไมปัจจุบันนี้ถึงมีการก่อสร้างและสิ่งกีดขวางมากมายสร้างขวางทางฟลัดเวย์ Flood way นั่นเพราะมีหมู่บ้านจัดสรรเกิดขึ้นขวางแนวฟลัดเวย์นั่นเอง

จนกระทั่งน้ำเหนือที่หลากมาจนอั้นต่อไปไม่ได้ ถึงได้ท่วมเขตมีนบุรีบ้างในบางส่วนภายหลัง

ลองอ่านข่าวเก่าจากฐานเศรษฐกิจ ในปี 2547 ช่วงรัฐบาลทักษิณสมัย2 ตามข่าวนี้ดูครับ กับเรื่องความพยายามแก้ไขผังเมืองด้านตะวันออก

v

v

เด็ก ทรท. รุมฉีกฟลัดเวย์ 10 บิ๊กอสังหาฯส้มหล่น ( December 19, 2004 )

กลุ่มทุนอสังหาฯ-นักการเมือง ดิ้นอีกรอบ! ขอปรับสีผังที่ดินแนว "ฟลัดเวย์" กว่าแสนไร่รอบสนามบินสุวรรณภูมิ วิ่งฝุ่นตลบ ล็อบบี้รัฐบาลทักษิณขอปรับสีผัง ระบุหัวโจกใหญ่ เป็นกลุ่ม ส.ส. พรรคไทยรักไทยเขตมีนบุรี "วิชาญ มีนชัยนันท์" ครอบครองที่ดิน กว่า1,000 ไร่ 


ปัจจุบัน นายวิชาญ เป็นสส.มีนบุรี พรรคเพื่อไทย

เผย10 บิ๊กนักพัฒนาที่ดิน ตุนที่ดินในเขตเขียวลายเพียบ ไล่ตั้งแต่ "ประสงค์ เอาฬาร-หมอบุญ –ศุภาลัย-พฤกษา –แลนด์แอนด์เฮาส์-เค.ซี –บีแลนด์-ประภาวรรณกรุ๊ป รวมถึงตระกูลดัง"อัศวเหม" และอดีตเจ้าแม่อาวุธ "ราศี บัวเลิศ" พ้องเสียงผลักดันอยากปรับสีผังเป็นสีเหลือง

ขณะที่ "วิษณุ" สั่งกทม.รื้อร่างผังเมืองใหม่ข้อ 38 อ้างให้อำนาจกทม.เกินขอบเขต พร้อมฟันธงเลื่อนประกาศใช้หลังเลือกตั้ง "อภิรักษ์"ผู้ว่ากทม.เสียงอ่อยแก้ไม่แก้สีผังแล้วแต่ ครม.

สืบเนื่องจากหนังสือพิมพ์ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มนักการเมืองที่ได้ออกมาเคลื่อนไหว ขอแก้ไขผ่อนปรนร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร(กทม.)ฉบับใหม่ ที่จะประกาศใช้แทนผังเมืองรวมกทม.ฉบับที่ 414ที่หมดอายุลงไปเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2547 และกทม.กำหนดที่จะประกาศใช้ในช่วงสิ้นปี 2547ไม่เกินเดือนมกราคม2548นั้น

ล่าสุด นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ "ว่าขณะนี้ร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่ อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาเห็นชอบตั้งแต่ช่วงปลายปี 2547 ที่ผ่านมา และ คาดว่าจะสามารถประกาศได้ในราวต้นปี 2548 แต่ยังไม่สามารถระบุว่าจะเป็นช่วงไหนขึ้นอยู่กับครม.จะพิจารณาแก้ไขหรือจะมีการเลื่อนการประกาศผังเมืองกทม.ใหม่ออกออกไป

ต่อข้อถามที่ว่าจะต้องมีการแก้ไขเนื้อหาสาระเพิ่มเติมหรือไม่? หากเอกชนเห็นว่าร่างผังดังกล่าวมีความเข้มงวดเกินไป 

นายอภิรักษ์ กล่าวว่า "ยอมรับว่าร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับที่จะออกมาบังคับใช้แทนผังเมืองฉบับเก่าที่หมดอายุลง เนื้อหาสาระน่าจะเหมาะสมแล้ว เพียงต้องการให้ภาคเอกชนและประชาชนร่วมทำความเข้าใจและวางแผนพัฒนาที่ดินตามผังเมืองในอนาคตมากกว่า อย่างไรก็ดีกรณีที่จะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระของร่างผังเมืองรวมกทม.ตามที่มีการร้องเรียนให้แก้ไขหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ ครม.ว่าจะเห็นสมควรอย่างไร"

ในขณะที่ แหล่งข่าวจากศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ทางสำนักนายกรัฐมนตรี โดย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กำหนดจะนำร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่เข้า ครม.เพื่อพิจารณาเห็นชอบภายหลังจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือในการจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า ที่เชื่อว่ารัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมีเสียงข้างมาก และเข้ามาบริหารประเทศต่ออีกสมัย

ทั้งนี้ทางสำนักนายกรฐมนตรี ได้ท้วงติงว่า กทม. ไปพิจารณาร่างผังเมืองข้อ 38 ใหม่ ที่กำหนดให้ใช้ประโยชน์ที่ดินในที่ดินรองหรือพื้นที่โควต้า 10 % ของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลัก อาทิ การอนุญาตให้พัฒนาเชิงพาณิชย์10 % ในพื้นที่สีเขียว ซึ่งกำหนดให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมเป็นหลักฯลฯ โดยตั้งข้อสังเกตว่า ไม่จำเป็นต้องสอบถามจาก กทม. อีกว่าใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ได้ เพราะจะเกิดความล่าช้าและมอบหมายให้กทม.ไปหารือกับกฤษฎีกาว่าสามารถดำเนินการได้อย่างไร

อย่างไรก็ดีตามข้อเท็จจริงแล้วกรณีที่มีการประกาศบังคับใช้ผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่ล่าช้าออกไปแหล่งข่าวกล่าวยืนยันว่า เพราะ มีกลุ่มนักการเมืองหลายกลุ่มในพื้นที่ อย่างกรณีของนายวิชาญ มีนชัยนันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขตมีนบุรี พรรคไทยรักไทย และพวกพ้อง เป็นแกนนำในการวิ่งล็อบบี้รัฐบาลพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อขอปรับสีผังบริเวณแนว "ฟลัดเวย์" หรือพื้นที่สีขาวทะแยงเขียวทั้งหมด ที่กำหนดให้เป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม โซนตะวันออก บริเวณรอบสนามบินสุวรรณภูมิจำนวนกว่าแสนไร่ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่บริเวณเขตมีนบุรี เขตหนองจอกบางส่วน เขตลาดกระบัง เขตคลองสามวา ที่ร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่กำหนดให้ใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเท่านั้น

หากต้องการจัดสรรที่ดินเชิงพาณิชย์จะต้องมีขนาดแปลงที่ดินขนาด 1,000 ตารางวา หรือ 2.5 ไร่ขึ้นไป จากผังเดิมกำหนดให้พัฒนาตั้งแต่ 100 ตารางวาขึ้นไปได้ โดยเสนอให้ปรับจากสีขาวทะแยงเขียวหรือเขียวลายเป็นเป็นพื้นที่สีเหลือง หรือที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย เพื่อสามารถพัฒนาได้ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์

ทั้งๆที่บริเวณดังกล่าวเป็นแนวพระราชดำริ กำหนดให้เป็นแนวฟลัดเวย์หรือพื้นที่รับน้ำมาตั้งแต่ปี 2535 ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำจากทางตอนเหนือของกทม.เพื่อระบายลงสู่อ่าวไทยเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ดังนั้นกทม.จึงไม่สามารถที่จะปรับตามที่เอกชนและนักการเมืองกลุ่มดังกล่าวต้องการได้

แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้แล้วช่วงที่ผ่านมา มีนักลงทุน นักการเมืองได้พยายามยืมมือประชาชนเจ้าของพื้นที่ โดยร่วมกับกลุ่มพัฒนาที่ดิน ส่งเรื่องร้องเรียนมายังกทม.และสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดเสียงร้องเรียนจำนวนมาก ๆ เพื่อต้องการผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้องเพราะมีที่ดินอยู่ในแถบนั้นไม่ต่ำากว่า1,000 ไร่

ทั้งนี้จากปัญหาในเรื่องของการเรียกร้องการปรับสีผังแนวฟลัดเวย์ ดังกล่าว ทาง กทม.จะร่วมกันหาทางออกกับกรมชลประทาน ด้วยการขุดคลองระบายน้ำใหม่ ขึ้นมาแทนที่แนวฟลัดเวย์ที่กำหนดเป็นพื้นที่รับน้ำทั้งหมด ซึ่งจะสามารถปรับพพื้นที่แนวฟลัดเวย์ที่เหลือเป็นพื้นที่สีเหลืองในอนาคต ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้ เวลาในการศึกษาเรื่องนี้ ราว 2 ปีนับจากนี้เป็นต้นไป แต่ขณะนี้กทม.ขอยืนยันว่าจะขณะนี้ไม่ปรับเปลี่ยนสีผังแต่อย่างเด็ดขาด"

จากการสำรวจของ "ฐานเศรษฐกิจ" พบว่ามีกลุ่มนักการเมืองและบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่มีที่ดินอยู่ในพื้นที่ขาวทะแยงเขียวจำนวนมาก อาทิ

กลุ่มของวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขตมีนบุรี พรรคไทยรักไทย และพี่น้องที่เป็นทั้งสมาชิกสภากทม.(ส.ก.)และสมาชิกสภาเขต กทม.(ส.ข.) โดยมีที่ดินรวมกันประมาณ กว่า1,000ไร่

กลุ่มนายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัทเวชธานีกรุ๊ป มีที่ดิน ประมาณ 500 ไร่

นางราศรี บัวเลิศ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทแชลเลนจ์ กรุ๊ป มีที่ดินบริเวณย่ายสุวินทวงค์ จำนวน 600 ไร่

นายประสงค์ เอาฬาร กรรมการบริษัท ฟอร์ร่าวิล์ จำกัดและในฐานะนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรมีที่ดินบริเวณสุวินทวงค์ จำนวน 300 ไร่

บริษัทศุภลัย จำกัด(มหาชน) ของนายประทีบ ตั้งมติธรรม มีที่ดินอยู่ย่านสุวินทวงค์ 50 ไร่

นอกจากนี้บริษัทพฤกษา จำกัด มีที่ดินประมาณ 300 ไร่

ของนายเจ้าพ่อบ่านราคาถูก นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ บริษัทเค.ซีกรุ๊ป ของนายอภิสิทธิ งามอัจฉริยะกุล มีที่ดินประมาณ 2,000 ไร่บริเวณคลองสามวา

บริษัทแลนด์แอนเฮ้าส์จำกัด (มหาชน) ของนายอนันต์ อัศวโภคินมีทีดินจำนวน 50 ไร่

นาง เพียงใจ อัศวโภคคิน ซึ่งเป็นมารดาของนายอนันต์ มีที่ดินอยู่บริเวณเขตลาดกระบังใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิจำนวน 2 แปลงรวม 1,000 กว่าไร่

นายวันชัย ชูประภาวรรณ เจ้าของบริษัทประภาวรรณกรุ๊ปมีที่ดินย่านสุวินทวงค์ประมาณ 100-200 ไร่

บางกอกแลนด์ มีที่ดินหลายร้อยไร่ และยังพบว่าตระกูลดังเมืองปากน้ำ "อัศวเหม" เองก็มีที่ดินในย่านดังกล่าวหลายร้อยไร่เช่นเดียวกันกัน

ทางด้านนายวันชัย ชูประภาวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัทประภาวรรณ กรุ๊ป กล่าวว่า มีที่ดินบริเวณพื้นที่ขาวทะแยงเขียวย่านสุวินทวงค์ จำนวน 100 ไร่ แต่ที่ผ่านมาได้ทะยอยพัฒนาไปบ้างแล้วเพราะซื้อเก็บไว้นานแล้ว โดยได้ขอใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทิ้งไว้ ก่อนหน้าที่ผังเมืองรวมกทม.ฉบับปัจจุบันที่หมดอายุลง จะบังคับใช้ ดังนั้นจึงสามารถพัฒนาขนาดพื้นที่ 50-100 ตารางวาได้

อย่างไรก็ดีหากมีการชะลอใช้ผังเมืองฉบับใหม่ออกไป ก็จะเป็นผลดี เพราะพื้นที่ดังกล่าวกำหนดให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม หากจะทำจัดสรรต้องมีขนาดแปลง 1,000ตารางวา หรือ 2.5 ไร่ขึ้นไป แต่ขณะนี้มีปัญหาว่าบ้านหรูในบริเวณรอบหนองงูเห่าเริ่มขายไม่ออกแล้ว ที่ผ่านมาตนพยายามอุทธรณ์ให้มีการปรับเปลี่ยนสีผังมาโดยตลอด และเห็นว่าส.ส.วิชาญ มีความตั้งใจจริงในการทำงานในพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนมากกว่า

ในขณะที่นายแพทย์ บุญวนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท เวชธานีกรุ๊ป กล่าวเช่นกันว่า มีที่ดินอยู่ในพื้นที่ขาวทะแยงเขียว เขตมีนบุรี ประมาณ 400-500 ไร่ ซื้อมาเมื่อ 15 ปีก่อน ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถพัฒนาอะไรได้ คงจะต้องรอกทม.ปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินก่อน ที่ผ่านมาเอกชนก็เรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณนี้แต่ก็ขึ้นอยู่กับกทม.ว่าจะดำเนินการอย่างไร

นอกจากนี้แล้ว นายประสงค์ เอาฬาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์ร่าวิลล์ จำกัด และในฐานะนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่าบริษัทมีที่ดินอยู่ย่านสุวินทวงศ์ 300 ไร่ ซึ่งเดิมทีได้พัฒนาโครงการมาแล้วส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเดี่ยว 100 ตารางวา ตามผังเมืองฉบับเก่า

ทางด้านนายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล ประธานกรรมการ บริษัท เค.ซี.กรุ๊ป ให้ความเห็นว่า มีที่ดินอยู่ประมาณ 1,000 ไร่ ขณะนี้เหลือ 200-300 ไร่ บริเวณ เขตคลองสามวา โดยที่ผ่านมาได้ยื่นขออนุญาตจัดสรรไว้ก่อนเมื่อปี 2542 ช่วงผังเมืองฉบับเก่า ส่วนพื้นที่ที่เหลือก็ต้องรอต่อไป อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาได้ยื่นอุทธรณ์ไปแล้วของปรับสีผังเป็นสีเหลือง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวควรยกเลิกแนวฟลัดเวย์เพราะไม่เคยปรากฏว่ามีน้ำท่วม

นอกจากนี้แล้วในหลวงท่านให้ก่อสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ ที่จังหวัดสระบุรี และแก้มลิง ซึ่งไม่น่าจะมีผลกระทบเกี่ยวกับน้ำท่วมอีกต่อไป ที่สำคัญทำเลดังกล่าวอยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิกำลังจะเปิดใช้ในอีกไม่นานนี้ ควรจะเปิดใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยเฉพาะบ้านทาวน์เฮ้าส์อาคารชุดเพื่อรองรับกลุ่มคนทำงานย่านนี้ได้แล้ว อย่างไรก็ดีได้มีเอกชนและประชาชนได้ร้องเรียนผ่านนายวิชาญ ซึ่งเป็นส.ส.ในพื้นที่จำนวนมาก ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะเรียกร้องรัฐบาลให้แก้ไขในเรื่องดังกล่าว

ทางด้านนายอิสระ บุญยัง อุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่าเป็นเกมการเมืองที่จะยื้อประกาศใช้ผังเมือง รวมกทม.ฉบับใหม่ออกไป แม้ว่าที่ผ่านมา3 สมาคมบ้านฯ ได้แก่ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และสมาคมอาคารชุดไทย ได้เรียกร้องให้มีการผ่อนปรนการใช้ประโยชน์ที่ดินมาหลายครั้งแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นที่สภาผู้แทนราษฎร, กทม. ฯลฯ แต่ก็เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคทั่วไป เพื่อให้มีที่อยู่อาศัยราคาถูกในเขตกทม.ได้

แต่ขณะนี้ได้มีกลุ่มนักการเมืองที่มากกว่า 1-2 ราย ในพื้นที่ ต้องการวิ่งเต้นของแก้ไขผังบริเวณแนวฟลัดเวย์เพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ซึ่งตนมองว่าไม่น่าจะทำเช่นนั้น หากจะช่วยประชาชนจริงๆ ควรผลักดันเพื่อขอแก้ไขทั้งหมดจะดีกว่า นอกจากนี้แล้วทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการสภาฯเพื่อรับเรื่องร้องเรียนจากผลกระทบของร่างผังเมืองกทม.ฉบับดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีโดยตรงอีกด้วย

นายโชคชัย บรรลุทางธรรม นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยกล่าวว่า เชื่อว่าสาเหตุที่รัฐบาลได้เลื่อนการพิจารณาร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่ออกไป พิจารณาหลังการเลือกตั้งเนื่องจาก เล็งเห็นถึงความไม่พร้อมของร่างผังเมืองฉบับดังกล่าวมากกว่า โดยเฉพาะความเข้มงวดการใช้ประโยชน์ที่ดินที่จะเป็นปัญหาอุปสรรคของเอกชนและประชาชนเจ้าของที่ดิน อย่างไรก็ดีสมาคมฯอาจจะอาศัยจังหวะนี้เข้าร้องเรียนต่อสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อช่วยผลักดันในการแก้ไขผังต่อไป

“ ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ”

http://www.reic.or.th/home_eng/news/news_detail.asp?nID=570&p=9&s=15&t=14


V

V

-----------------------------

แม้ภายหลังจะไม่ได้แก้เปลี่ยนสีผังเมืองก็ตาม แต่ก็มีการละเมิดผังเมืองจากกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ ตามข่าวนี้ครับ

คลิกอ่านข่าว ผังเมือง กทม.ซัดกลุ่มทุนรุกฟลัดเวย์ ขวางทางน้ำ


-------------------

เราจึงสังเกตได้อย่างนึงว่า มีการรุกล้ำไม่ปฏิบัติตามผังเมือง และพอผังเมืองมีอายุครบ 5 ปี ก็จะมีการแก้ไขปรับใช้ให้ตรงกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน เช่น

สำนักผังเมืองได้ประเมินผลการใช้บังคับผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2549 แล้วเห็นว่าสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจและการลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนโดยภาครัฐ ประกอบกับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2549 ได้กำหนดประเภทและข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินที่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดความไม่ชัดเจนในทางปฏิบัติบางประการโดยเฉพาะส่วนที่คาบเกี่ยวกับกฎหมายอื่น สำนักผังเมืองจึงเห็นควรและมอบหมายให้ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ดำเนินการวางและจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ปรับปรุงครั้งที่ 3) เพื่อให้มีผังเมืองรวมที่สอดคล้องกับสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อมของเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถใช้เป็นกรอบการพัฒนาเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ


เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีคนละเมิดผังเมืองอย่างไม่เกรงกลัว

แล้วสำนักผังเมืองก็จะมาคอยตามแก้ไขระเบียบผังเมืองให้หย่อนยานเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน แล้วแบบนี้จะมีผังเมืองไว้ทำหอกอะไร?

แนะนำอ่านบทความตามลิงค์ข้างล่าง ท่านจะมองเห็นภาพของนักการเมืองเลว ๆ มากขึ้น

คลิกอ่าน Old Thailand vs New Thailand

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Old thailand vs. New Thailand






คุณผู้อ่านครับ จากสภาวะอุทกภัยพิบัติ54คราวนี้ นักการเมืองสันดานนายทุน ไม่มองถึงต้นเหตุที่เกิดนำท่วม แต่ดันมองไปที่ปลายเหตุในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม

วันนี้มีบทความดีๆมานำเสนอ ซึ่งเขียนได้ดี เมื่อเขียนได้ดี เลยอยากร่วมเผยแพร่ เกี่ยวกับแนวคิดกู้เงินอลังการมหาศาลสร้างNew Thailandขึ้น

ซึ่งแน่ใจเหรอว่า New Thailand จะแก้ปัญหาน้ำท่วมได้จริง หรือเป็นเพียงการหลอกฟันเค้กงบประมาณกองโตเท่านั้น

เนื้อหาบทความมีดังนี้

v

v

เรามี Old Thailand ที่ป้องกันน้ำท่วมได้อยู่แล้ว อย่าอ้าง New Thailand เพื่อผลาญงบประมาณ


การยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาล นช.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 กลายเป็นแพะตัวล่าสุดที่ถูกโยนบาปให้รับผิดแทนรัฐบาลหุ่นเชิดนายกรัฐมนตรีโคลนนิ่งที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการแก้ปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อ นช.ทักษิณ ชินวัตรอ้างในทวิตเตอร์ของเขาว่า เมื่อปี 2548 เขามีโครงการเมกะโปรเจกต์ที่จะช่วยป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ น้ำท่วมประเทศไทยไว้แล้ว แต่ถูกยึดอำนาจเสียก่อน โครงการดังกล่าวจึงไม่เกิดขึ้น

ดีแล้วที่ คมช.ทำการยึดอำนาจ นช.ทักษิณ เมื่อ 5 ปีก่อน เพราะหากเขายังเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีกจนครบสมัยที่สอง กรุงเทพมหานครอาจจะจมบาดาลหนักไปกว่านี้ก็ได้ เพราะหนึ่งในโครงการขนาดใหญ่ของ นช.ทักษิณ คือการสร้างเมืองใหม่สุวรรณภูมิ ในพื้นที่ที่เป็นทางน้ำของ กทม.

น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ เราได้เห็นกันแล้วว่า สนามบินสุวรรณภูมิซึ่งเร่งมือก่อสร้างในสมัยของ นช.ทักษิณ ตลอดจนบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างในฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ เป็นอุปสรรคขัดขวางทางน้ำไม่ให้ไหลลงทะเลได้สะดวกอย่างไร

หาก นช. ทักษิณยังมีอำนาจอยู่ และโครงการเมืองใหม่สุวรรณภูมิเกิดขึ้นมา มีความเป็นไปได้สูงอย่างยิ่งว่า มวลน้ำขนาดใหญ่จากภาคเหนือจะต้องถูกผันเข้าสู่กรุงะทพมหานครทั้งหมด เพื่อไม่ให้ท่วมเมืองใหม่สุวรรณภูมิของเขา

เมื่อเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในที่ราบลุ่มภาคกลางและไหลบ่าเข้ามาท่วมในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งจังหวัดปริมณฑลอยู่ในขณะนี้ ข้อมูลข่าวสารที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งสื่อแบบดั้งเดิมและสื่อใหม่ในโลกไซเบอร์ ทั้งข้อมูลที่เป็นเรื่องสถานการณ์ และข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับทิศทางการไหลของน้ำ ระดับสูงต่ำของพื้นที่ใน กทม. ทำให้ความรู้เรื่องลำคลอง ทางน้ำ ของกรุงเทพฯ และธนบุรี ค่อยๆบังเกิดขึ้นกับคนจำนวนมาก เป็นความรับรู้ที่เกิดขึ้นจากความจำเป็นของสถานการณ์ บีบบังคับให้ต้องศึกษาว่า บ้านเรือนของตัวเองอยู่ใกล้คลองอะไร มีความเสี่ยงที่จะถูกน้ำท่วมมากน้อยเพียงไหน น้ำจะมาจากทิศทางไหนบ้าง จากเดิมที่ไม่เคยสนใจ รู้จักแต่ถนนหนทาง

แผนที่แม่น้ำลำคลอง เส้นทางเดินของน้ำ ที่บรรดาผู้รู้นักวิชาการนำมาแสดงประกอบการวิเคราะห์สถานการณ์ ทำให้เราได้เห็นเครือข่ายแม่น้ำลำคลองที่เชื่อมโยงกันอย่างกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดชัยนาท อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร และฉะเชิงเทรา เราได้รู้จักคลองเล็กคลองใหญ่จำนวนมาก ซึ่งก่อนนี้อาจจะเคยได้ยินเต่ชื่อ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ไหลจากไหนไปไหน เชื่อมต่อกับคลองอะไร เช่น คลองระพีพัฒนศักดิ์ คลองรังสิตประยูรศักดิ์ คลองเปรมประชากร คลองมหาสวัสดิ์ คลองทวีวัฒนา คลองภาษีเจริญ คลองแสนแสบ คลองลาดพร้าว ฯลฯ หลายๆ คลองไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน เช่น คลองพระพิมล คลองพระยาบันลือ คลองราชมนตรี คลองสนามชัย คลองขุนราชพินิจ ฯลฯ ก็ได้รู้จักกันจากสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้

เครือข่ายแม่น้ำลำคลองเหล่านี้ คือมรดกแห่งระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ที่พระมหากษัตริย์ไทยแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราโชบายให้ขุดคลองสายหลักๆ เหล่านี้สมทบกับลำคลองที่มีอยู่ก่อนแล้ว เพื่อเป็นทางระบายน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาลงสู่ทะเล

และในสมัยรัชกาลปัจจุบันทรงมีพระราชดำริ และทรงสร้างนวตกรรมที่เกียวกับการเก็บกักน้ำ การระบายน้ำ เพื่อป้องกันปัญหาน้ำขาดปัญหาน้ำมากไว้อย่างมากมาย เช่น โครงการคันกันน้ำพระราชดำริ โครงการแก้มลิง โครงการคลองลัดน้ำฯ ซึ่งอุทกภัยใหญ่ครั้นี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องมือ เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพหากผู้ใช้ใช้เป็น

สิ่งเหล่านี้คือ Old Thailand คือ โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการป้องกันน้ำท่วมในที่ราบลุ่มภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีอยู่แล้ว

แต่นักการเมืองที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นตัวแทนของเสียงสวรรค์ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนไม่ให้ความสำคัญที่จะสานต่อปรับปรุงโครงสร้างเหล่านี้ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ใช้งานได้ ปล่อยให้แม่น้ำลำคลองตื้นเขิน ปล่อยให้มีการตั้งโรงงาน ตัดถนน สร้างบ้านเรือนขวางทางน้ำ เมื่อภัยมาถึงตัวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ก็อ้างว่าน้ำมากผิดปกติ สุดวิสัยที่จะรับมือ ทั้งๆ ที่มีข้อมูลมีสัญญาเตือนมาล่วงหน้าแล้วอย่างน้อย 2 เดือน แต่ดูเบาปัญหา

ข้อเสนอเรื่อง “รัฐไทยใหม่” หรือ New Thailand ของรัฐบาลที่ล้มเหลวแล้วล้มเหลวอีกในการป้องกันภัยพิบัติจากน้ำท่วม โดยต้องใช้งบประมาณมากถึง 8 แสนล้านบาท จึงเป็นการฉวยโอกาสพลิกวิกฤติศรัทธาในตัวนายกรัฐมนตรีโคลนนิ่งที่กำลังก่อตัวใหญ่ขึ้นๆ เป็นโอกาสในการผลาญงบประมาณแผ่นดิน อาศัยเหตุน้ำท่วมใหญ่บังหน้าเพื่อแสวงหาผลประโยชน์

http://astv.mobi/ApXFDKw


คลิกอ่าน แฉ!! ใครแก้ผังเมืองฟลัดเวย์จนน้ำท่วมหนัก!!


วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ป๋าเปลว สอนวิธีการแจกของบริจาคให้ทั่วถึง






เมื่อเรามีผู้บริหารที่เก่งแต่ด้านยุยงประชาชนใช้ความรุนแรง พอเมื่อต้องมาบริหารจัดการช่วยเหลือประชาชนกลับล่มปากอ่าว บ่มิไก๊ ไม่เป็นท่า ราวกับพวกผู้บริหารเหล่านี้เกิดมาเพื่อสอนคนเผาเมือง ไม่ได้เกิดมาเพื่อช่วยคนตกน้ำ!!

วันนี้ผมขอยกส่วนหนึ่งของบทความคุณเปลว สีเงิน ที่สอนวิธีง่ายๆไม่ซับซ้อนในการบริหารจัดการของบริจาคให้ได้ทั่วถึง

วิธีง่ายๆแบบนี้ แต่ศปภ.กลับคิดไม่เป็น

ส่วนเนื้อหาที่คุณเปลว สีเงินเขียนตามนี้ครับ

v

v

การบ้านที่ต้องทำ ข้อขณะนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ "ไม่ผ่าน" ซักข้อ เลิกคิดจะอาศัย "วิบัติภัย" เป็นโอกาสสร้างงาน-สร้างเงินบนซากประเทศ-ซากประชาชนเสียเถอะ ผมจะบอกให้ เรื่อง "ของบริจาค" ที่กลายเป็น "ของประจาน" รัฐบาล นปช.นั้น

การกระจายไปให้ถึงมือผู้เดือดร้อนตามเจตนารมณ์ผู้บริจาค คนพรรคเพื่อไทยจะเอาของบริจาคไปปะชื่อตัวเองแจกหาเสียง ผมก็ไม่ว่า ถ้านำของบริจาคที่ ศปภ.รับไว้เป็นภูเขากระจายแจกได้หมดและทั่วถึง

แต่ที่เป็นจริงก็คือ รับของบริจาคเอาหน้ากันเท่านั้น แต่ ศปภ.ไม่สนใจที่จะหาวิธีกระจายของที่เก็บไว้ให้ถึงมือ-ถึงท้องชาวบ้านเลย

วิธีกระจายจริงๆ ไม่ยาก รัฐมนตรีมหาดไทยไปนั่งสอยชายกระโปรงใครอยู่ที่ไหน การจะให้ ศปภ.ไปแจกเองมันทำไม่ทั่วถึงทันการณ์ แต่ถ้าใช้สติปัญญา และไม่งกกักเอาของไว้

รัฐมนตรีมหาดไทยนั่นแหละ สั่งให้ผู้ว่าฯ แต่ละจังหวัด เรียกนายอำเภอ เรียก อบต. เรียกกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ทำบัญชีลูกบ้านของแต่ละคนมา แล้วมาเบิกของบริจาคไปจาก ศปภ. หรือจะให้ ศปภ.จัดส่งไป ณ จุดไหน ก็นัดแนะประสานกัน เพราะแต่ละผู้นำในพื้นที่เขาจะรู้จำนวน รู้ที่ตั้งบ้านเรือนของลูกบ้านทะลุปรุโปร่ง

เมื่อได้ของ เขาก็จะแยกย้ายกระจายกันนำของไปแจกจ่ายลูกบ้านเขาเอง อมมั่ง ไม่อมมั่ง ใครได้มาก-ได้น้อย จะเป็นไรไป เราก็ต้องการให้เอาไปกิน-เอาไปใช้อยู่แล้ว ข้อสำคัญ ขอให้นำไปแจกจ่ายแบบกระจายให้ทั่วถึงเท่านั้น

เพราะถึงอย่างไร ก็ดีกว่าเก็บกองทิ้งไว้เป็นภูเขาจนถูกน้ำท่วมเสียหาย หรือไม่ก็เลือกกันแต่ของดีๆ ไป ส่วนที่ไม่ดี ไม่ชอบ ก็ทิ้งเกลื่อนกลาด อย่างที่ปรากฏเป็นภาพเป็นเรื่องประจานอยู่ตอนนี้ มันเป็นเรื่องที่คนต้องการเสียดาย ส่วนคนที่บริจาคก็เสียใจ

ส่วนเรื่อง "ที่พักพิงผู้อพยพ" งานที่ทำมันฟ้องชัดเจนว่า ที่ ศปภ.คิดได้-ทำได้ อย่างที่ทำไปนั้น อย่าต้องให้ไปคิด-ไปบริหารอะไร ให้มันวิบัติฉิบหายมากไปกว่านี้อีกเลย!

น้ำท่วมครั้งนี้ ไม่ใช่น้ำหลากมาโครมเดียวแล้วหายไป น้ำค่อยๆ เดินทางเป็นเดือน ด้วยความรัฐบาล คุณไม่รู้ ไม่คิดคำนวณกันเลยหรือ คือสติ-ปัญญากลวงโบ๋ไม่สามารถคิดอ่านรับมือ-รับสถานการณ์ทั้งทางป้องกันและทางแก้ไขใดๆ ได้เลย นอกจาก "ตามเฮง-ตามซวย"

ถ้ามีวิชั่นระดับผู้บริหารประเทศ ต้องไม่อพยพชาวบ้านหนีน้ำไปอยู่ใน "สมรภูมิน้ำ" อย่างที่เป็นอยู่

เช่น น้ำท่วมอยุธยา กลับให้ตั้งศูนย์อพยพที่ธรรมศาสตร์งี้
น้ำท่วมมาถึงรังสิต ตั้งศูนย์อพยพในสนามบินดอนเมืองงี้
แล้วสุดท้ายก็ต้องมีสภาพเหมือน "หมาคาบลูก" หนีไปทางโน้นที คาบมาทางนี้ที
มันสิ้นเปลืองงบแบบสูญเปล่าขนาดไหน มันซ้ำเติมความลำบากผู้อพยพขนาดไหน

มันเสียกำลังพล-กำลังขนส่งขนาดไหน?

เรียกว่าเสียทุกอย่าง เหตุเพราะวิสั้นของรัฐบาลมันสั้น แทนที่จะวางแผนเลือกหาพื้นที่ "นอกสมรภูมิน้ำ" แล้วอพยพไปทีเดียว...อยู่ จะอพยพจากกี่แห่ง ก็พยายามให้ไปพักในพื้นที่เดียวกัน หรือในละแวกเดียวกัน
ทั้งนี้ เพื่อสะดวกในการดูแล และจัดหาทั้งข้าวปลาอาหาร น้ำท่า ไฟฟืน เรียกว่า "ประหยัดคุ้ม-ประโยชน์สุด" ใครจะไปบริจาคอะไร หรือจะไปจัดกิจกรรมอะไร ก็ไปในพื้นที่เดียว จะให้ข่าวอะไร ก็ได้รับพร้อมกัน เหมือนกัน

ผิดกับที่เป็นอยู่เวลานี้ ใครนึกที่ไหนได้ หรือมีที่ไหนใจดี ก็เฮละโลไปกัน เอ้า...น้ำตามมาอีกแล้ววุ้ย...ก็เฮละโลเขยิบหนีน้ำไปอีก โดยไม่มีแผนบนแนวคิด-แนวบริหารที่เรียกว่ามีวิสัยทัศน์เลย

ไม่ต้องดูว่ารัฐบาลนี้ "คิดได้ไกล" ขนาดไหน ก็ไกลขนาดไปตั้ง ศปภ.ในทางเดินน้ำก้อนใหญ่ที่ดอนเมือง พอน้ำไล่ท่วม ก็เขยิบ ศปภ.ไปตั้งในเส้นทางเดียวกัน คือตามเส้นทางน้ำถนนวิภาวดี ที่กระทรวงพลังงาน
ก็คงต้องย้ายอีก ไม่ย้ายตอนนี้ กลาง "พฤศจิกาคม" รอดยาก!?

ยับเยิน ถอยทัพกลับถึงทำเนียบฯ วันไหน.....
แม่พระคงคาคงตามขึ้นไปท่วมถึงดาดฟ้าที่ "พระพรหมแดง" นั่นเลย!?


--------------------


ปล.ก่อนเกิดเรื่องของบริจาคลอยน้ำ ที่แท้นายการุณ โหสกุลเป็นผู้ดูแลเบิกและอนุมัติการเบิกจ่ายสิ่งของถุงยังชีพ