วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ก่อนจะแก้มาตรา112 แก้สันดานตัวเองก่อน!!





ผมใหม่เมืองเอก วันนี้ขอเอาข่าวมาลงให้อ่านกัน เพราะข่าววันนี้ตรงกับเจตนารมณ์ของผม

นั่นคือ คนไทยชอบโทษรัฐธรรมนูญ แต่ไม่เคยโทษตัวเอง

คิดแต่จะแก้แต่รัฐธรรมนูญ แต่ไม่เคยคิดแก้ไขตัวเอง

v

v

ประธานศาล รธน.แนะแก้นิสัยคนก่อนแก้ รธน. ค้านแก้ ม.112


“วสันต์” ค้านแก้ ม.112 ชี้คนคิดเลิก หวังหมิ่นสถาบันโดยไม่ผิดกฏหมาย เหน็บได้ลงกินเนสส์บุ๊กแน่ มี กม.คุ้มครองประมุขรัฐต่างประเทศ แต่ไม่คุ้มครองประมุขรัฐตัวเอง แนะแก้ รธน.แก้นิสัยคนก่อนดีกว่า

วันนี้ (29 ธ.ค.) นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้ ซึ่งอาจจะมีการแก้ไขมาตรา 309 ที่ส่งผลกระทบถึงองค์กรอิสระว่า ให้เขาแก้กันก่อน เพราะตอนนี้เท่าที่รับฟังยังไม่รู้ว่าจะแก้กันอย่างไร บางฝ่ายก็บอกว่ามี 6-7 ประเด็นที่ต้องแก้ ขณะที่อีกฝ่ายก็บอกว่าให้ยกร่างใหม่ทั้งฉบับ จึงยังอยู่ในช่วงสับสนอยู่ อย่างไรก็ตาม เห็นว่ารัฐธรรมนูญทุกฉบับมีทั้งข้อดี ข้อเสีย แก้อย่างไรก็ยังมีช่องน้อยๆ ให้หลีกเลี่ยง หลุดรอดไปได้

เพราะบ้านเราถือว่า คนที่เลี่ยงกฎหมายเก่ง ถือว่าเป็นนักกฎหมายที่เก่ง อย่าง ภาษีอากรใครที่หลีกเลี่ยงกฎหมายจนทำให้จ่ายภาษีน้อยได้ ก็จะถือว่านักกฎหมายคนนั้นเป็นคนที่เก่ง ดังนั้นกฎหมายเขียนอย่างไรก็ได้ ถ้าคนมีคุณธรรมปัญหาก็ไม่เกิด แก้นิสัยของคนจึงดีกว่าแก้กฎหมาย

“กฎหมายเขียนว่า ผู้ใดฆ่าคนอื่นจะถูกประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต แต่ก็ยังมีการฆ่ากันทั้งๆ ที่ในหลักพุทธศาสนาก็ถือว่าเป็นบาปหนัก ดังนั้น ถ้าทุกคนมีธรรมในใจ ไม่ต้องมีกฎหมายก็ได้ ก็เหมือนการแก้รัฐธรรมนูญ แก้ให้ดีอย่างไรก็ยังจะมีคนหลีกเลี่ยงและเอาไปเป็นเครื่องมือตนเอง อย่างนักวิชาการบางกลุ่มเคยพูดเลยว่า ถ้าศาลตัดสินมาอย่างไร เขาไม่เห็นด้วยทั้งนั้น ซึ่งอันนี้มันก็อยู่ที่ใครมีหน้าที่อะไร” ประธานศาลรัฐธรรมนูญระบุ

นายวสันต์ยังแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการที่จะยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่บัญญัติความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง โดยระบุว่า ในประมวลกฎหมายอาญา มีหมวดความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ อยู่ในมาตรา 130-135 ที่บัญญัติในลักษณะเป็นการคุ้มครองประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐต่างประเทศ ว่าใครจะดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายมิได้ มีทั้งโทษจำคุกและปรับ

ดังนั้น ถ้ายกเลิกวิ.อาญามาตรา 112 ถามว่าเราจะคุ้มครองแต่ประมุขรัฐต่างประเทศเท่านั้นใช่หรือไม่? 

จะไม่คุ้มครองประมุขรัฐไทยใช่หรือไม่? ซึ่งตนเห็นเหมือนกับนักกฎหมายหลายคนที่แสดงความเห็นก่อนหน้านี้ว่า คนที่คิดจะเลิกมาตรา 112 เขาต้องการที่จะหมิ่นสถาบันฯโดยไม่ผิดกฎหมายใช่หรือไม่ ซึ่งกฎหมายอยู่ดีๆ ถ้าเขาไม่ไปหมิ่นก็ไม่มีใครเดือดร้อน

ถ้าจะยกเลิกมาตรา 112 มันก็ต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ที่บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ด้วย และถ้าเราทำจริง ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศแรกที่ยกย่องประมุขต่างประเทศยิ่งกว่าประมุขของเราเอง แล้วก็จะได้ลงบันทึกกินเนสส์บุ๊กเลย นายวสันต์กล่าว





http://astv.mobi/AOAWRzK



คลิกอ่าน จะปกป้องสถาบันกษัตริย์ ต้องรู้ทันพวกล้มเจ้า!!


วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จะปกป้องสถาบันกษัตริย์ต้องรู้ทันพวกล้มเจ้า!!







วันนี้ ผมอยากนำบทความเก่าๆของผม มาแนะนำให้คุณผู้อ่านได้อ่านกัน

เพราะว่าบทความนี้เขียนไว้นานแล้ว แต่ตอนนั้น บล็อคของผมอาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักมากเท่าวันนี้ เป็นบทความที่อธิบายถึงที่มาที่ไป ว่าทำไมชาติไทยต้องมีสถาบันกษัตริย์ และทำไมพวกล้มเจ้าถึงจ้องโจมตีสถาบันในประเด็นต่างๆ

ในบทความชื่อ พวกไม่จงรักภักดีสถาบัน ซึ่งมีทั้งหมด8ตอน (คลิกที่ชื่อตอนได้เลย)

ถ้าคุณได้อ่าน คุณจะเข้าใจที่มาที่ไปการเมืองไทย การแย่งชิงอำนาจและตรรกะของพวกล้มเจ้า

ตอนที่1  เหตุคอมมิวนิสต์พ่ายแพ้

ตอนที่2  คอมมิวนิสต์กลายพันธุ์

ตอนที่3  พวกฝันเฟื่อง

ตอนที่4  เผด็จการ

ตอนที่5  นิตยสาร fobes

ตอนที่6  รู้ให้จริงเรื่องโครงการหลวง

ตอนที่7  เศรษฐกิจพอเพียง

ตอนที่8  ตอนจบที่ไร้....

-----------------------

เสริม

1. ความโง่แต่ชองโชว์โง่ของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

2. ตรรกะโง่ ๆ ของสมศักดิ์ เจียม เกี่ยวกับกลอนขู่ฆ่าประธานาธิบดีสหรัฐ


คลิกอ่าน ความน่าสมเพชของไอ้พวกล้มเจ้า!!


วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ป๋าเปลว สีเงินเปิดกะโหลกประชา พรหมนอก






เมื่อพูดถึงกรณี ถุงยังชีพกระทรวงพลังงาน ที่นายอภิสิทธิ์นำไปแจกที่พิษณุโลกนั้น แล้วผู้ว่าฯที่ท่าดีทีเหลวอย่าง ผู้ว่าปรีชา เรืองจันทร์ ที่กลัวลนลานกลัวจะโดนรัฐบาลเพื่อแม้วเอาเรื่อง ที่ดันไปมอบถุงยังชีพให้นายอภิสิทธิ์ไปแจกนั้น

ผมเคยตั้งกระทู้ที่สนุก กระทู้ ท่านปรีชา ผู้ว่าพิษณุโลกบกพร่องในหน้าที่!!

ผมก็ได้ถกเถียงกับอีกท่านนึง ที่เข้าข้างฝ่ายรัฐบาลเพื่อแม้ว พอประมาณ

ซึ่งจากกระทู้นั้นผมก็เอามาลงในบทความด้วย ในบทความ ผู้ว่าปรีชา หงอต่ออำนาจรัฐ

มาวันนี้ เปลว สีเงิน ได้หยิบปยกประเด็นนี้ขึ้นมาวิจารณ์ อันเนื่องจากตาประชา พรหมนอก ไปยื่นหนังสื่อถอดถอนนายอภิสิทธิ์จากกรณีนี้ ถ้าใครได้อ่านป๋าเปลวเขียน ก็คงเข้าใจว่า คดีนี้อภิสิทธิ์ไม่ผิดแน่นอน เว้นแต่พวกตะแบงเท่านั้นที่จะไม่เข้าใจ

v

v

เนื้อหาเปลว สีเงิน ภาวะหน้ามืดของ "พล.ต.อ.ประชา"

เย็นวาน (๘ ธ.ค.๕๔) ดูข่าวแปลก ก็เลยอยากนำมาคุยกัน นั่นคือข่าวที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม นำรายชื่อ ๘๔ ส.ส.เพื่อไทยยื่นคำร้องถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ และ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ให้พ้นจากความเป็น ส.ส.ด้วยข้อหา ใช้ความเป็น ส.ส.ไปบีบผู้ว่าฯ พิษณุโลก ให้เอาถุงยังชีพไปแจกชาวบ้านน้ำท่วม
พล.ต.อ.ประชากับคณะพรรค ส.ส.ส่วนหนึ่ง ทำคำร้องไปยื่นต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เพื่อให้ส่งต่อ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ตีความสมาชิกภาพความเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์และ นพ.วรงค์สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๐๖ (๖)
ก็หารัฐธรรมนูญมาเปิดดูเอา มาตรา ๑๐๖ (๖) จะโยงไปมาตรา ๒๖๕ และ ๒๖๖ สรุปๆ ก็ตามคำร้องกล่าวหานั่นแหละว่า ก้าวก่าย แทรกแซงการทำหน้าที่ประจำของผู้ว่าฯ พิษณุโลก อันเป็นข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญ

ก้าวก่ายแบบไหน...พล.ต.อ.ประชาระบุในคำร้องว่า........

"โดย นพ.วรงค์ได้ใช้สถานภาพความเป็น ส.ส.โทรศัพท์ไปบีบบังคับเอาถุงยังชีพของกระทรวงพลังงาน จำนวน ๕๐๐ ถุง จากผู้ว่าฯ พิษณุโลก และนำถุงยังชีพดังกล่าวไปให้นายอภิสิทธิ์ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อแจกจ่ายตามวัตถุประสงค์ของตนเองและพรรคประชาธิปัตย์ มิใช่การช่วยเหลือตามแผนงานของราชการ"

ครับ...เห็นแล้ว พูดได้คำเดียวว่า "อายแทน"!

เคยเป็นถึง ผบ.ตร. และตอนนี้เป็นถึง รมว.ยุติธรรม หมายถึงว่ามีตำแหน่งฐานะเป็นผู้นำองค์กรกฎหมาย เป็นหัวหน้าเจ้าพนักงานผู้ใช้กฎหมายกับประชาชนโดยตรง แต่กับการยื่นถอดถอนนายอภิสิทธิ์กับ นพ.วรงค์นี้ ใช้กฎหมายแบบ

"ตะแบง...ด้วยตัณหาหน้ามืด" จริงๆ!

ทำไมจึงต้องไปหงอ และเป็นเครื่องมือให้พวกสมุนแม้วหลอกใช้ถึงขนาดนี้ ทั้งเนื้อทั้งตัวท่าน ในความเป็นอินทรีอีสาน ขณะนี้แทบไม่เหลือขน-เหลือหนัง สภาพไม่ต่างจากอีแร้งแล้ว ในฐานะคนเคยรัก-เคยชอบกัน ก็ช่วยได้แค่เตือนสติเท่านี้แหละ
ด้วยฐานความผิดตามที่อ้าง ใครเขาก็รู้ทั้งเมืองว่า อ้างรัฐธรรมนูญแบบบ้องตื้น จะแก้เกี้ยว-แก้แค้นประชาธิปัตย์ที่อภิปรายไม่ไว้วางใจและยื่นถอดถอนท่านเท่านั้น พวกทะแนะตะแบงรัฐธรรมนูญพอให้เป็นข่าว ก็เชื่อตามเขาไปหมด
เรื่องถุงยังชีพพิษณุโลก ดูเหมือนเพื่อไทยกระหยิ่มยิ้มย่องมากว่าเป็น "หมัดโต้" จับเปาะเข้าปลายคางประชาธิปัตย์จนลงไปนอนดิ้นปั๊ดๆ กับพื้น

คือฝ่ายค้านแฉในสภาว่า ศปภ.ส่อไม่สุจริตในการจัดซื้อถุงยังชีพ แล้วยังปล่อยปละให้ ส.ส.และคนรัฐบาลเอาของที่ชาวบ้านบริจาคไปติดชื่อตัวเอง แล้วนำไปแจกในนามตัวเองบ้าง ในนามทักษิณบ้าง
คืนนั้น ผมก็ดูที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน ลุกขึ้นมาแก้ลำว่า ฝ่ายค้าน-ประชาธิปัตย์ก็ทำอย่างนั้น โดย นพ.วรงค์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ไปบีบบังคับเอาถุงยังชีพ ๕๐๐ ถุง ที่กระทรวงพลังงานส่งไปให้ผู้ว่าฯ พิษณุโลกแจกชาวบ้าน นำไปให้นายอภิสิทธิ์ที่เดินทางไปเยี่ยมคนถูกน้ำท่วมแจก

นายพิชัยพูดทำนอง ถุงยังชีพที่นายอภิสิทธิ์แจกนั้น เหมือนขู่กรรโชกเอาไปจากผู้ว่าฯ พิษณุโลก เพื่อนำไปแจกแลกผลประโยชน์ทางชื่อเสียงตัวเอง ซึ่งก็ไม่ต่างกับที่กำลังสาวไส้พวกเขาอยู่หรอก
สภาถ่ายทอดโทรทัศน์ที่นายพิชัยพูดไปทั่วประเทศว่า...ผู้ว่าฯ พิษณุโลกอึดอัดลำบากใจต่อการข่มขู่ บีบบังคับของ นพ.วรงค์มาก จะไม่ให้ก็ไม่ได้ เพราะ นพ.วรงค์เป็น ส.ส. จำเป็นต้องให้ไป ๕๐๐ ถุง นี่...ผู้ว่าฯ ทำจดหมายมาฟ้อง มาบอกให้ทราบ...นายพิชัยขยับทำนองว่าจดหมายผู้ว่าฯ พิษณุโลกอยู่ในมือ

เอาละ...พล.ต.อ.ประชาไปยื่นคำร้องถอดถอนนายอภิสิทธิ์และ นพ.วรงค์ก็ดีแล้ว ผมก็จะได้ฟังแจ้งๆ จะจะจากปากผู้ว่าฯ พิษณุโลกตัวเป็นๆ ต่อหน้าศาลในฐานะพยานปากเอกซะทีว่า
จริงหรือ...ที่ทำหนังสือแจ้งไปยังนายพิชัย นริพทะพันธุ์ ว่าถูก นพ.วรงค์ใช้ฐานะ ส.ส.ขมขู่ บีบบังคับเอาถุงยังชีพไปแจกชาวบ้าน และจำต้องให้ไปด้วยความจำใจที่ไม่สามารถขัดได้?

ไม่ใช่...มีใครในรัฐบาล ในมหาดไทย ไปขมขู่-บีบบังคับผู้ว่าฯ เสียเอง โดยให้ทำหนังสือว่า ถูก นพ.วรงค์บีบบังคับเอาถุงยังชีพ จำต้องให้ไปเพราะเกรงในอำนาจ ส.ส. ด้วยหวังใช้หนังสือผู้ว่าฯ นั้น แก้เผ็ด-แก้ลำ ประชาธิปัตย์ที่กำลังถลกหนังรัฐบาลอยู่ในสภาคืนวันอภิปรายนั้น?

และอีกอย่าง ก็อยากจะฟังปากคำ พล.ต.อ.ประชาด้วยว่า "การช่วยเหลือตามแผนงานของราชการ" มันคืออะไร การที่อดีตนายกฯ และผู้นำฝ่ายค้านช่วยนำถุงยังชีพชนิด "ไม่ปรุงแต่ง" ให้ผิดจากเดิมไปแจกชาวบ้าน มันขัดกับแผนงานของราชการแบบไหน อย่างไร?

ก็เอาละ ผมจะแยกข้อกล่าวหาของ พล.ต.อ.ประชา "ถามกลับ" ทีละประเด็นก่อน เพื่อซักซ้อมความเข้าใจที่ตรงกัน โดยจะแยกเป็นประเด็นๆ ไป ดังนี้

๑.ถุงยังชีพตีตรา "กระทรวงพลังงาน" แสดงว่า จัดทำด้วยเงินหลวงเพื่อชาวบ้านใช่ไหม?
๒.เป้าหมาย ส่งไปให้จังหวัดเพื่อกระจายแจกชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วมใช่ไหม?
๓.การไปแจก คนอื่นๆ แจกไม่ได้ ต้องให้ผู้ว่าฯ แจกด้วยมือตัวเองทุกครั้งอย่างนั้นใช่ไหม?
๔.วัตถุประสงค์ให้แจกถึงมือชาวบ้านทั่วถึง-รวดเร็ว ไม่ต้องการซุกเก็บคาโกดังใช่ไหม?
๕.มีการเบิกจ่ายมอบให้องค์กร คณะบุคคล หน่วยงาน ช่วยกันนำออกแจกประจำใช่ไหม?

๖.นอกจาก นพ.วรงค์แล้ว ส.ส.อื่นขอนำไปแจกบ้างก็ได้ แต่ไม่มีใครมาขอนำไปแจกใช่ไหม?
๗.นายอภิสิทธิ์กับคณะ นำไปแจกโดยประกาศว่า "เป็นของกระทรวงพลังงาน" ใช่ไหม?
๘.ไม่มีการนำชื่อนายอภิสิทธิ์ หรือ นพ.วรงค์ หรือประชาธิปัตย์ ไปฉีดพ่นทับชื่อ "กระทรวงพลังงาน" ใช่ไหม?
๙.ชาวบ้านรับไป สิ่งปรากฏชัดคือชื่อ "กระทรวงพลังงาน" ไม่มีรูปรอยใดๆ เป็นของนายอภิสิทธิ์ใช่ไหม?


ตามข้อ ๗, ๘, ๙ ผมเห็นในรูปที่นายพิชัยนำมาแฉ ถุงที่ชาวบ้านกำลังรับจากนายอภิสิทธิ์ ชื่อ "กระทรวงพลังงาน" เห็นชัด และนายอภิสิทธิ์ก็อธิบายในสภาว่า ก่อนแจกได้ประกาศให้ชาวบ้านทราบ "เป็นถุงยังชีพกระทรวงพลังงาน" ซึ่งนายพิชัยก็ยอมรับตรงนี้
เอาละ เอาคำถามชุดเดียวกันนี้ ย้อนกลับไปถามรัฐบาล ผ่านทาง พล.ต.อ.ประชา ในฐานะ ผอ.ศปภ.บ้าง ก็จะได้ผลออกมาตรงกันข้าม

ถุงยังชีพและสิ่งของที่จัดซื้อก็เงินหลวงบ้าง เงินบริจาคชาวบ้านบ้าง แต่ออกมาเป็นสิ่งของ-เป็นถุงยังชีพชื่อรัฐมนตรี ชื่อ ส.ส. ชื่อนายกฯ ชื่อคนแดนไกล คละกันไป
ข้าวของกองพะเนินใน ศปภ.ก็ล้วนชาวบ้านบริจาค แล้วสิ่งที่ปรากฏเป็นไง ทิ้งไว้กองพะเนินเทินทึก ไม่อินังขังขอบที่จะรีบนำออกกระจายจ่ายแจกให้ถึงมือชาวบ้านที่กำลังต้องการ จนกระทั่งถูกวิจารณ์ และประจาน เป็นผลให้คนเสื่อมศรัทธา ไม่นำของมาบริจาคผ่าน ศปภ.อีกมากนัก

ส่วนที่นำแจก ก็แจกแบบมีการพ่นสีทับชื่อเจ้าของผู้บริจาคแล้วเอาชื่อตัวเองใส่แทนบ้าง ข้าวของก็เอาไปบรรจุถุงแล้วพิมพ์ชื่อตัวเองใส่บ้าง เอารถบรรทุกมาขนไปแจก โดยเขียนป้ายชื่อตัวเองติดข้างรถบ้าง ใครที่ไม่ใช่พวกรัฐบาล อาสานำไปช่วยกระจายแจกบ้างก็ไม่ได้ จนมีเสียงผู้เดือดร้อนตะโกนก้อง
"ไม่เคยได้รับถุงยังชีพจากรัฐบาลเลย" ทั้งที่ของบริจาคมีมากมายเป็นภูเขา!

นั่นก็คือ ประเด็นเรื่องแจก "ถุงยังชีพ" ไม่ได้อยู่ที่ใครเอาไปแจก แต่อยู่ที่...ทำไมไม่รีบนำออกแจก, เอาไปแจกถึงมือชาวบ้านจริงไหม, แจกด้วยบริสุทธ์-โปร่งใสจริงไหม?
ส.ส.รัฐบาล คนรัฐบาล ศัตรูรัฐบาล ฝ่ายค้าน เสื้อแดง เสื้อเขียว เหลือง ใครก็ได้ ถ้ามีความบริสุทธิ์เป็นที่ตั้ง ไปช่วยกันนำของที่กองพะเนินแจกให้ถึงมือคนไม่มีข้าวกิน ไม่มีของใช้ยามน้ำท่วม ถือเป็นเรื่องดี เรื่องถูก เรื่องควร เป็นบุคคลควรได้รับการขอบคุณและสรรเสริญทั้งสิ้น

แต่ที่เป็นข้อครหา และนำไปพูดกันในสภา ก็เพราะ "แจกไม่บริสุทธิ์" นั่นต่างหาก ของชาวบ้านบริจาคกลับเอาไปติดชื่อตัวเองแจก เงินหลวง-เงินชาวบ้าน ก็ไปจ้างทำถุงยังชีพ "แพงเกินราคาของ" แล้วยังแถมพะชื่อกันเอง
ที่นายอภิสิทธิ์ไปแจกถุงยังชีพกระทรวงพลังงาน ไม่ได้อ้างเป็นของตัวเอง ไม่ได้ใส่รถบรรทุกติดตราประชาธิปัตย์ แล้วตะโกนปาวๆ ประชาธิปัตย์แจก ชาวบ้านก็ได้ยินและรู้ชัดว่า ที่นายอภิสิทธิ์แจกนั้น ถุงยังชีพของกระทรวงพลังงาน ที่นายพิชัยเพิ่งเข้ามาเป็นเจ้ากระทรวงวานซืนนี้เอง

ผู้ว่าฯ ควรขอบใจด้วยซ้ำที่ "ใครก็ได้" ช่วยกันคนละไม้ละมือ ลุยน้ำนำไปกระจายแจกให้ถึงปาก-ถึงท้องชาวบ้านไวๆ และผมไม่เชื่อว่า จะมีผู้ว่าฯ คนไหนเกิดทัศนคติทำนอง นักการเมืองที่ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาล คือศัตรูรัฐบาลและประชาชน ที่จะให้เข้ามาแตะต้องข้องแวะกับระบบราชการใดๆ ไม่ได้!?
ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้ว่าฯ กักตุนถุงยังชีพไว้ในโกดังเฉยๆ นี่แหละ...ควรถอดถอนผู้ว่าฯ มากกว่าไปถอดถอนอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ และ ส.ส.วรงค์!

ท่าน พล.ต.อ.ประชาครับ ถ้าจะถอดถอนความเป็น ส.ส.จากนายอภิสิทธิ์-นพ.วรงค์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๐๖ (๖) ด้วยฐานความผิด ก้าวก่ายแทรกแซงการทำหน้าที่ประจำของผู้ว่าราชการจังหวัดในภาวะน้ำท่วมนี้ คงจะต้องถูกถอดถอนเกือบหมดทั้งสภาแหละครับ
โดยเฉพาะ ส.ส.เพื่อไทยที่กระวีกระวาดช่วยชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วม เพราะเห็นกันทนโท่ และทั้งพูดเองปาวๆ ในสภา ฮีโร่ของตัวเองนั้น ก็ล้วนต้องเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการทำหน้าที่ประจำของผู้ว่าฯ เขาแทบทั้งนั้น ทั้งที่นนทบุรี ปทุมธานี อยุธยา ชัยนาท อ่างทอง สุพรรณบุรี สมุทรสาคร นครปฐม อุทัยธานี จนถึงนครสวรรค์

เคราะห์ดีนะ ผู้ว่าฯ กทม.เป็นข้าราชการการเมือง ไม่งั้น...ทั้งนายกฯ ทั้ง พล.ต.อ.ประชา เรียกว่าทั้ง ศปภ.ถูกถอดถอนเกลี้ยง
โทษฐาน แทรกแซงการทำหน้าที่ประจำของ "สุขุมพันธุ์" จนหน้าเขียว!

http://www.thaipost.net/news/091211/49371





วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เพลงในหลวงของแผ่นดิน เวอร์ชันที่ไพเราะที่สุดเพื่อในหลวง





เมื่อได้ฟังเพลงนี้ ที่แม่พลอยวัยเด็กขับร้อง ใน4แผ่นดินเดอะมิวสิเคิลแล้ว

ทำให้ผมรู้สึกปิติ ขนลุก น้ำตาจะไหลเลยครับ เพราะเพลงไพเราะ พร้อมความหมายงดงาม มหัศจรรย์มาก ๆ

ผมว่าในบรรดาเพลงที่แต่งเพื่อในหลวงทุก ๆ เพลง ไม่ว่าจะเพลงของพี่เบิร์ดร้อง หรือเพลงอื่นใด ที่แต่งเพื่อในหลวง

ผมว่า เพลงในหลวงของแผ่นดินนี้ คือ เพลงที่แต่งเพื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ไพเราะที่สุดในโลกแล้วครับ (คห.ส่วนตัว)

"ในหลวงของแผ่นดิน" โดยน้องพินต้า



ในหลวงของแผ่นดิน เวอร์ชัน น้องพินต้า แม่พลอยตอนเด็ก ในสี่แผ่นดินเดอะมิวสิเคิล เป็นเวอร์ชันออริจินอลที่ผมว่านี้ เป็นเวอร์ชันไพเราะที่สุดแล้ว

สำหรับเนื้อเพลงท่อนที่กินใจ และไพเราะที่สุดของเวอร์ชันน้องพินต้า ก็คือ ท่อนนี้ครับ




"ในหลวงของแผ่นดินได้อยู่บนพื้นดินของพระองค์เป็นคนโชคดี แผ่นดินนี้มากล้นบุญคุณทวี ระลึกด้วยความภักดีแผ่นดินนี้คือชีวิตเรา"

ถ้าคุณดูไปคลิปเพลง "ในหลวงของแผ่นดิน" ในเวอร์ชันอื่น ๆ ต่อมา คุณจะไม่เจอเนื้อเพลงแบบที่น้องพินต้าร้องเลยครับ โดยเฉพาะท่อนที่ผมว่ากินใจที่สุด เพราะเนื้อเพลงในเวอร์ชันต่อมาได้ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงแล้ว

และเหตุที่ผมประทับใจเพลง ในหลวงของแผ่นดิน อย่างมาก ก็เพราะเพลงนี้เทิดทูนพระเกียรติในหลวงอย่างสูงสุด  โดยใช้คำว่า ในหลวง ในเพลงทุกคำ ซึ่งหายากในเพลงอื่น ๆ ที่แต่งเพื่อในหลวง

เพราะเพลงอื่น ๆ มักใช้คำว่า พ่อ แทนคำว่า ในหลวง

แต่เพลง ในหลวงของแผ่นดิน ใช้คำว่า ในหลวง อย่างชัดเจน

นี่จึงเป็นสิ่งที่ผมยกย่องเพลงนี้มาก ๆ ครับ

เพลง “ในหลวงของแผ่นดิน” ที่ คุณถกลเกียรติ วีรวรรณ เป็นผู้นำในการสร้างสรรค์เพลงนี้ขึ้นมา โดยมี คุณวิเชียร ตันติพิมลพันธ์ เป็นผู้เขียนเนื้อร้อง และประพันธ์ทำนองโดย สราวุธ เลิศปัญญา



ทำไมคุณบอย ถึงเลือกน้องพินต้า เป็นแม่พลอย??





สัมภาษณ์ พินต้า ในวัย 17 ปี กับความรู้สึกซาบซึ้งที่สุดในชีวิต ที่ได้ร้องเพลง ในหลวงของแผ่นดิน





มาดู น้องพินต้า ในวัยสาว ร้องเพลงในหลวงของแผ่นดิน ต่อหน้าพระพักตร์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พระองค์ภาฯ และพระองค์โสมฯ



คลิกชม การแสดงแสงสีเสียงบนกำแพงวัดพระแก้ว ๘๔ แห่งความเรืองรอง


วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ชมภาพยนตร์พาโนรามาเฉลิมพระเกียรติ (ที่ถูกสั่งงด)





ท่านที่พลาดชม ภาพยนตร์พาโนรามาสื่อผสมเฉลิมพระเกียรติ แสงสีเสียงบนกำแพงวัดพระแก้ว

ที่เพิ่งถูกรัฐบาลสั่งงดไป เพราะอ้างว่า เป็นงานรื่นเริง (วันที่5ธ.ค. เป็นวันแสดงวันสุดท้าย)

เชิญชมได้ตามคลิปนี้ครับ

๘๔ ปีแห่งความเรืองรอง




วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เหตุแห่งความเหลื่อมล้ำในเมืองไทย






คลิปนี้ เป็นของกลุ่มกระต่ายตื่นตัว ซึ่งทำได้ออกมาอย่างเข้าใจง่ายมากๆ ถึงสาเหตุของความเหลื่อมล้ำทางด้านฐานะเศรษฐกิจ ทำไมถึงเกิดภาวะรวยกระจุก จนกระจายในประเทศนี้มากเหลือเกิน

เชิญชมครับ ดูให้จบ แล้วคุณจะเข้าใจอย่างง่ายๆ เยี่ยมมากๆ


ความเหลื่อมล้ำฉบับพกพา!!




หลังจากคุณผู้อ่านดูคลิปแล้ว พอจะเข้าใจเหตุพอควร ผมจึงขออธิบายเพิ่มเติมสักนิด

อย่างเช่นกรณี ตระกูลชินวัตร หรือตระกูลอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ และเศรษฐีที่ดินในเมืองไทย ก็มักจะสะสมที่ดินไว้มากมายเกินกว่าคนปกติจะทำ การกักตุนที่ดินมากๆ ทั้งๆที่ ที่ดินที่มีอยู่เท่าเดิม แต่ตกอยู่ในมือคนรวยเพียงไม่กี่คน

ย่อมทำให้ที่ดินแพงขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุให้ประชาชนธรรมดาๆ ยากที่จะมีบ้านเป็นของตัวเอง ยากที่จะมีที่ดินเป็นของตนเอง

คิดดูประเทศไทยอาจจะเป็นประเทศไม่กี่ประเทศในโลก หรืออาจเป็นประเทศเดียวในโลก ที่ประชาชนประเทศนี้ต้องแบกภาระผ่อนบ้านยาวนานกันเป็น20-30ปี นั่นเพราราคาบ้านและที่ดินมันแพงเกินไป

ฉะนั้นจึงไม่มีพรรคการเมืองไหน ทำเรื่องกฏหมายภาษีที่ดินก้าวหน้าสำหรับที่ดินที่ทิ้งไว้ไม่ใช้ประโยชน์ สำเร็จสักราย เพราะพวกนักการเมืองและนายทุนฮั้วกัน

พวกอสังหาริมทรัพย์ กับพวกธนาคาร ต่างร่วมมือกันกดขี่คนไทย เพราะ ธนาคารปล่อยกู้ให้พวกอสังหาริมทรัพย์ไปซื้อที่ดินกักตุน ไปก่อสร้างอย่างง่ายๆ

ต่างประเทศเขาต้องสร้างอสังหาริมทรัพย์เสร็จก่อน จึงจะประกาศขายได้ แต่ประเทศไทย อสังหาริมทรัพย์มักจะจองซื้อก่อนจะสร้างเสร็จ ประชาชนผ่อนกันเข้าไป แต่ก็ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ ธนาคารก็กินดอกกันเพลิน

ต่างประเทศเวลาธนาคารเขายึดบ้านจากคนที่ขาดการส่ง เมื่อยึดบ้านมาแล้วคือจบ.

แต่ประเทศไทย ธนาคารยึดบ้านแล้วไม่จบ เพราะเอาบ้านไปขายทอดตลาดราคาถูกๆ ซึ่งมักจะต่ำกว่าหนี้ที่เหลือ พอได้เงินไม่พอ ก็มาไล่เบี้ยกับคนซื้ออีก นี่คือการเอาเปรียบขูดรีดคนไทยชัดๆ

นั่นเพราะปัญหามันเกิดจาก ธนาคารปล่อยกู้ให้พวกอสังหาริมทรัพย์ง่ายๅเพื่อเอามาปั่นราคาที่ดินจนแพงเกินจริง บ้านจึงแพงเกินความเป็นจริง เวลาธนาคารยึดจึงมักได้ราคาต่ำกว่าราคาขาย สุดท้ายขายทอดตลาดได้เงินน้อย ก็มาไล่เบี้ยกับผู้ซื้อเหมือนเดิม

ปฏิรูปกฏหมายภาษีที่ดิน ช่วยลดช่องว่างเรื่องความเหลื่อมล้ำได้ แต่เชื่อมั้ย แม้แต่ตระกูลชินวัตรแม้มีอำนาจในรัฐบาล ก็ไม่มีทางแก้กฏหมายเรื่องนี้


คลิก การ์ตูน อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว!!


วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การ์ตูนชาดก อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว






คงจะได้ยินสำนวนนี้กันมานานแล้ว อย่าเห็นกงจักร เป็นดอกบัว

สำนวนนี้มีจุดกำเนิดมาจากอะไร เชิญดูได้จากการ์ตูนชาดก เรื่องนี้ครับ