วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

แฉ!!ไทยมีน้ำมัน&แก๊สมากอันดับต้นๆของโลก (clip)




ถ้าคุณดูคลิปนี้แล้วจะอึ้ง ว่า ประเทศไทยเรามีทรัพยกรมากมายมหาศาลตามเอกสารอ้างอิงของรัฐบาลไทย และรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเอง

ดั่งคำโบราณที่ว่า ไทยเรานี้อุดมสมบูรณ์ทั้งทรัพย์ในดินสินในน้ำ

และสโลแกนในอดีต ไทยเราจะโชติช่วงชัชวาล 

แต่คนไทยกลับถูกปกปิด เพียงเพื่อให้ผลประโยชน์ของชาติเข้ากระเป๋าพวกนักการเมือง แล้วปล่อยให้คนไทยจนดักดานไปตลอดชาติ!!

ก่อนอื่นต้องย้ำว่า ควรดูให้จบนะครับ อย่าแค่อ่านบทความ เพราะคุณจะพลาดเนื้อหาดีๆ ในคลิป




คือผมต้องอธิบายเสริมนิดหน่อย คือเรามีน้ำมันดิบมากของเราเองพอสมควร แต่ยังไม่สูบขึ้นมาไม่พอใช้ในประเทศ (ยังรอการสำรวจขุดเจาะเพิ่มอีกหลายแห่ง) จึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบมาเสริม 

แต่เราก็นำเข้าน้ำมันดิบเข้ามากลั่นจำนวนมาก จนเหลือน้ำมันสำเร็จรูปส่งออกจำนวนมากพอควร เพราะเรามีโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่มากถึง6โรง

แปลความคือ ไทยนำเข้าน้ำมันดิบมามากเกินที่เราใช้ในประเทศ แล้วก็กลั่นเพื่อส่งออกให้ประเทศที่ไม่มีโรงกลั่นของตัวเอง

(ผมก็ยังสงสัยว่า ถ้าเราไม่มีน้ำมันดิบของเราจำนวนมาก แล้วเราจะมีโรงกลั่นมากไปทำไม? หรือว่า ความจริงเรามีน้ำมันมากพอ ที่ไม่ต้องนำเข้า แต่ต้องนำเข้าเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง อันนี้แค่ตั้งข้อสังเกต)


ขอยกตัวอย่างประเทศเวียตนาม ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันดิบมากติดอันดับต้นๆของโลก มีรายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบเป็นสัดส่วนที่สูงมากของรายได้ประเทศ

แต่เวียตนามเพิ่งจะมีโรงกลั่นแค่โรงเดียวเมื่อไม่นานมานี้ จึงยังไม่เพียงพอต่อการใช้น้ำมันสำเร็จรูปภายในประเทศ

เวียตนามจึงนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากไทยและที่อื่นๆ มากพอควร

แปลความง่ายๆคือ เวียตนามมีน้ำมันดิบมากจนเหลือส่งออก แต่เวียตนามไม่มีโรงกลั่นเพียงพอ จึงต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากไทย


---------------------------------

ข่าวประกอบจากข่าวเดลินิวส์


ยื่นผู้ตรวจการฯสอบขรก.การเมือง-จนท.รัฐกลุ่มพลังงาน


สพม.ยื่นผู้ตรวจการฯสอบขรก.การเมือง-จนท.รัฐกลุ่มพลังงานเบียดบังผลประโยชน์ชาติให้พวกตนเอง

เมื่อวันที่ 27 มี.ค. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี สมาชิกสภาพัฒนาการเมือง(สพม.) พร้อมด้วย น.อ.บัญชา รัตนาภรณ์ นายอภิเดช เดชวัฒนสกุล และนายเรืองศักดิ์ เจริญผล ในฐานะผู้เสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ดำเนินการตรวจ ข้าราชการการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและประมวลจริยธรรม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 และ 279


โดย พ.ท.พญ.กมลพรรณ กล่าวว่า ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน รมว.พลังงาน คณะกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ผอ.สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทร์ อดีต รมว.พลังงาน และพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกฯ เนื่องจากมีการกระทำดังนี้

1.ละเมิดคำสั่งศาลและใช้ทรัพย์สินของประชาชนมาแสวงหาผลประโยชน์ เนื่องจาก ปตท. ถูกศาลปกครองสูงสุดสั่งให้คืนท่อก๊าซให้แก่แผ่นดิน แต่ปรากฏว่า ปตท. ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการคืนท่อก๊าซที่เป็นส่วนของแผ่นดินให้กับรัฐให้ทั้งหมด แต่ ปตท. อีกทั้งยังนำเอาท่อก๊าซที่เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ โดยเรียกเก็บค่าท่อก๊าซผ่านท่อเพิ่มเติมจากเดิม ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าก๊าซในราคาที่แพงกว่าเดิม

พ.ท.พญ.กมลพรรณ กล่าวอีกว่า

2.มีการกระทำที่หมกเม็ดบิดเบือนข้อมูลต่อประชาชน เพื่อให้เข้าใจว่าก๊าซแอลพีจีในประเทศไม่พอใช้สำหรับภาคครัวเรือนและภาคขนส่ง จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ก๊าซแอลพีจีมีราคาแพง ทั้งที่ความจริงการใช้ก๊าซแอลพีจีในภาคครัวและภาคขนส่งมีสัดส่วนน้อยกว่าภาคปิโตรเคมี ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ปตท. จึงมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์และสร้างกำไรให้กับบริษัทลูกของ ปตท. อีกทั้งมีการนำเงินของกองทุนน้ำมัน ไปอุดหนุนราคาแอลพีจี ซึ่งสร้างกำไรให้กับบริษัทเหล่านี้ เช่น บริษัท ปตท. เคมิคอล มีกำไรเพิ่มขึ้น 180 เปอร์เซ็นต์ ในไตรมาสที่ 2 ปี54 

และ

3.เจ้าหน้าที่รัฐแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยในปี 2550 นายปิยสวัสดิ์ รมว.พลังงาน ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ได้แก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม มาตรา 22 , 28 และ 99 ให้เอื้อแก่เอกชนและให้อำนาจ รมว.พลังงานสามารถให้สัมปทาน ลดค่าสัมปทานแก่เอกชนโดยไม่ผ่านความเห็นหรือการมีส่วนร่วมของประชาชน ดังนั้นตนในฐานะผู้ร้องเรียนขอให้ทางผู้ตรวจการแผ่นดิน ไต่สวนข้อเท็จจริงและหากพิจารณาแล้วพบว่าผู้ถูกร้องละเมิดต่อกฎหมายจริง ให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรี รัฐบาล คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ด้านนายศรีราชา กล่าวว่า ทางผู้ตรวจการฯ จะรับเรื่องไว้พิจารณา ซึ่งอาจจะมีการตั้งทีมพิเศษขึ้นมาตรวจสอบ เนื่องจากกรณีดังกล่าว ควรมีการให้ข้อมูลที่โปร่งใสและเป็นธรรมกับประชาชน เพราะประชาชนเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหาย และเป็นผู้ที่ใช้พลังงานในราคาที่แพงเกินกว่าเหตุ.

http://www.dailynews.co.th/politics/19319



วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

น้ำมันคนไทยกลับไม่ใช่ของคนไทย!!





จากบทความ น้ำมันของเรากำลังถูกปล้น

การขุดเจาะหาน้ำมันที่พุทธมณฑลสาย 2 เขตทวีวัฒนา ถูกชาวบ้านในพื้นที่ต่อต้านเพราะหวั่นเกรงผลกระทบที่จะตามมา โดยไม่มีหน่วยงานใดออกมาชี้แจงข้อมูลการขุดเจาะน้ำมันของบริษัทเอกชนอย่างชัดเจน

น้ำมันในเขตทวีวัฒนามีหรือไม่ หลายคนสงสัย คำตอบคือมีแน่ และบริษัทที่ได้รับสัมปทานคงสำรวจตรวจสอบก่อนหน้าแล้วโดยรู้ว่ามี เพราะถ้าไม่มี คงไม่ลงทุนขุดเจาะ

อาจมีคำถามต่อว่า ประเทศไทยมีน้ำมันมากขนาดไหน เท่าที่ดูข้อมูลการสำรวจจากหลายแหล่งต้องยืนยันว่ามีมาก และจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีปริมาณน้ำมันติดอันดับต้นของโลก จะด้อยกว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางเท่านั้น

ส.ว.คำนูณ สิทธิสมาน กำลังติดตามข้อมูลปิโตรเลียมในประเทศไทย และเกาะติดการขุดเจาะน้ำมันที่พุทธมณฑลสาย 2 โดยตั้งข้อสังเกตไว้หลายประการ โดยเฉพาะผลกระทบที่ชาวบ้านเขตทวีวัฒนาจะได้รับ

แต่การชี้แจงจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีลักษณะเป็นคำตอบที่อ้อมแอ้ม ไม่ได้ให้ข้อมูลสัมปทานการขุดเจาะปริมาณน้ำมันและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในเขตทวีวัฒนามากนัก

ส.ว.คำนูณรู้ข้อมูลด้านปิโตรเลียมอยู่พอสมควร แต่ก็ยังรับรู้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เช่นเดียวกับประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งไม่มีใครรู้ลึก

และแทบไม่รู้เลยว่า ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มที่มีปิโตรเลีมอุดมสมบูรณ์มาก ทั้งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ

สาเหตุเพราะข้อมูลปิโตรเลียมจัดหมวดหมู่ไว้กระจัดกระจาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลไม่พยายามเปิดเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับรู้ เข้าข่ายการอุ๊บอิ๊บปกปิดข้อมูล

เช่นเดียวกับข้อมูลการบริหารจัดการปิโตรเลียมของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งคนทั่วไปไม่รู้เลยว่า ใช้น้ำมันดิบในประเทศเท่าไหร่ ขุดก๊าซธรรมชาติมาขายเท่าไหร่ และซื้อปิโตรเลียมจากต่างประเทศในราคาต้นทุนเท่าไหร่ กำลังการปรับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศแต่ใช้หลักเกณฑ์ใดในการคำนวณ

ข้อมูลที่สำคัญเพื่อแสดงความโปร่งใสในการบริหารจัดการ ถามให้คอแหบแห้งตาย ก็ไม่ได้รับคำตอบจาก ปตท.และไม่เคยมีรัฐบาลชุดใด เค้นคอให้ ปตท.ตอบเสียด้วย

ผลประโยชน์จากน้ำมันมีมหาศาล และนำไปสู่ความขัดแย้งทั่วโลกจนถึงขั้นเปิดศึกทำสงครามเข่นฆ่ากันเพื่อยึดแหล่งน้ำมัน

ปริมาณน้ำมันของไทยมีอยู่ไม่ใช่น้อย มีกลุ่มคนและกลุ่มทุนสามานย์เข้าไปกอบโกยผลประโยชน์กันนับสิบๆ ปีแล้ว เพียงแต่ประชาชนถูกปิดหูปิดตา

ถ้าประชาชนได้รับรู้ว่า ปู่ย่าตายายของเราทิ้งสมบัติเป็นทองคำอยู่ใต้ดิน ถ้าได้รับรู้ว่า ลูกหลานเรามีทรัพยากรล้ำค่า มีน้ำมันที่ขุดขึ้นมาใช้มาขายทำให้ประเทศมั่นคั่ง ทุกคนได้มีชีวิตที่สุขสบายขึ้น ความขัดแย้งในทางสังคมคงปะทุขึ้น

เพราะประชาชนคงไม่ยอมให้ใครมาปล้นทรัพยากรเหมือนที่เป็นมาหลายสิบปี

ทุกวันนี้มีการขุดปิโตรเลียมขึ้นมาขายไม่ต่ำกว่าวันละ 8 แสนบาร์เรล โดยเป็นปิโตรเลียมในประเทศไทยล้วนๆ กว่า 6 แสนบาร์เรล และอีกกว่า 1 แสนบาร์เรลเป็นการขุดเจาะเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-มาเลเซีย

ในอนาคตจะมีการขุดเจาะขึ้นอีกในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งมีปิโตรเลียมอย่างสมบูรณ์ทั้งน้ำมันและก๊าซโดยบริษัท เชฟรอน บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก ปักหลักยึดสัมปทานพื้นที่ส่วนใหญ่ไว้แล้ว

ต้องขอบอกว่า พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างไทย-กัมพูชา มีทรัพยากรปิโตรเลียมมหาศาล และผลประโยชน์ควรตกทอดถึงประชาชนทุกคน

แต่กำลังมีกลุ่มคนทำให้ประเทศเสียผลประโยชน์ ทำให้ไทยเสียเปรียบในข้อตกลงพื้นที่ทับซ้อน เพื่อกอบโกยผลประโยชน์มหาศาลเข้ากระเป๋าตัวเอง

ปัจจุบันประเทศมีการบริโภคน้ำมันวันละประมาณ 100 ล้านลิตร คำนวณคร่าวๆ ใช้น้ำมันดิบประมาณวันละ 1 ล้านบาร์เรล โดย 1 บาร์เรลเท่ากับน้ำมันประมาณ 149 ลิตร

ถ้ามีการขุดเจาะน้ำมันจากพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาเพิ่มเติม จะทำให้มีการขุดเจาะน้ำมันดิบได้ประมาณวันละ 1 ล้านบาร์เรลเป็นอย่างน้อย เมื่อรวมกับแหล่งที่ขุดเจาะเดิม

ปริมาณน้ำมัน 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประเทศไทยโชติช่วงชัชวาลไม่ต้องเดือดร้อนการนำเข้า ไม่ต้องบริโภคน้ำมันแพง ไม่ต้องหวั่นไหวว่าน้ำมันในตลาดโลกจะทะลุไปเท่าไหร่แล้ว

แต่เสียใจด้วย ถึงเราจะมีน้ำมันใต้ดินเท่าไหร่ ประชาชนก็ยังต้องบริโภคน้ำมันแพงต่อไป เพราะพวกเราทุกคนถูกปล้นน้ำมันไปแล้ว

http://astv.mobi/AbCXbyR


ราคาขายปลีกน้ำมันไทยเมือเทียบกับเพื่อนบ้าน



-----------------------

น้ำมันของเรากำลังถูกปล้น (จบ)

ความขัดแย้งในการขุดเจาะน้ำมันที่ถนนพุทธมณฑลสาย 2 เขตทวีวัฒนา เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นทั่วประเทศในอนาคตเท่านั้น

เพราะสัมปทานการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม ถูกอนุมัติครอบคลุมเกือบทั้งประเทศแล้ว โดยเฉพาะภาคอีสานแทบทั้งเขต เป็นพื้นที่สัมปทานหมด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ชุมชน ไร่นาหรือป่าเขา เพียงแต่ข้อมูลยังไม่เป็นที่รับรู้ในวงกว้างเท่านั้น

การเปลี่ยนแปลงการพิจารณาอนุมัติสัมปทานการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมครั้งสำคัญเกิดขึ้นในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อแหล่งทรัพยากรและผลประโยชน์ของประชาชนอย่างมาก

รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การปิโตรเลียมใหม่ โดยจากเดิมการอนุมัติสัมปทานสำรวจและขุดเจาะกำหนดแปลงสัมปทานไม่เกิน 20,000 ไร่ แต่ได้ขยายแปลงสัมปทานเป็น 100,000 ไร่ และอนุมัติสัมปทานบริษัทเอกชนจำนวนมาก

นอกจากนั้นยังกำหนดให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดิน มีกรรมสิทธิ์บนพื้นดินเพียง 100 เมตร ลึกลงใต้ดินเกินกว่า 100 เมตร ถือเป็นสมบัติของรัฐ ทรัพยากรใต้แผ่นดินที่ลึกลงไปเกินกว่า 100 เมตร ชาวบ้านผู้ครอบครองไม่มีสิทธิ์ในผลประโยชน์

ขุมทรัพย์ที่อยู่ใต้ดินเกินกว่า 100 เมตร กลายเป็นสัมปทานเอกชนและทุนข้ามชาติไปเสียแล้ว

ถ้าบริษัทที่ได้รับสัมปทานสำรวจและขุดเจาะทั้งหมด ขุดหาน้ำมันพร้อมกัน ประเทศไทยจะเต็มไปด้วยแท่นขุดเจาะ แผ่นดินไทยจะถูกเจาะจนพรุน ความขัดแย้งระหว่างประชาชนในท้องถิ่นกับบริษัทขุดเจาะน้ำมันจะปะทุทั่วประเทศ

ถึงวันนั้นสังคมไทยจะวุ่นวายปั่นป่วน และหาคนรับผิดชอบแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะเพียงพุทธมณฑลสาย 2 เพียงจุดเดียว ยังไม่มีใครโผล่หน้ามาบอกว่า จะแก้ผลกระทบของชาวบ้านอย่างไร

หลายสิบปีแล้วที่มีการสำรวจและขุดน้ำมันขึ้นมาขาย หลายสิบรัฐบาลแล้วที่มีส่วนรู้เห็น และเปลี่ยนแปลงกฎเกณท์เงื่อนไขการพิจารณาสัมปทานหลายครั้ง แต่อัตราค่าภาคหลวงที่ต่ำติดดิน ไม่เคยมีผู้บริหารประเทศคนใดคิดจะเปลี่ยน

อัตราค่าภาคหลวงปิโตรเลียมของไทย กำหนดไว้ระหว่าง 5-15% ซึ่งน่าจะเป็นค่าภาคหลวงต่ำที่สุดในโลก

ประเทศกัมพูชาซึ่งถูกดูแคลนว่า ด้อยพัฒนา ล้าหลังกว่าประเทศไทยหลายขุม เป็นประชาธิปไตยน้อยกว่า และนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ก็มีภาพลักษณ์นักตักตวงผลประโยชน์

แต่เขมรกำหนดค่าภาคหลวง 40-60% ส่วนพม่าซึ่งเพิ่งเปิดประเทศต้อนรับการลงทุน กำหนดค่าภาคหลวงอัตราใกล้เคียงกับเขมร

บางประเทศกำหนดค่าภาคหลวงประมาณ 85% และไม่ได้คิดจากส่วนแบ่งรายได้จากการขายน้ำมันเสียด้วย แต่แบ่งค่าภาคหลวงจากน้ำมันที่ขุดขึ้นมา ขุดน้ำมันดิบขึ้นมาปริมาณเท่าไหร่ รัฐต้องได้ 85% อีก 15% บริษัทสัมปทานเอาไป

อัตราค่าภาคหลวงที่กำหนดไว้สูง เพราะผู้บริหารประเทศสำนึกความหวงแหนทรัพยากร โดยราคาน้ำมันมีแต่จะสูงขึ้น

ถ้าขายไม่ได้ราคา ขายแล้วประชาชนไม่ได้ผลประโยชน์สูงสุด ก็ปล่อยทิ้งไว้เป็นสมบัติใต้ดิน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขุด วันหน้าใครให้ประโยชน์รัฐสูงสุด ค่อยขุดขึ้นมา

อัตราค่าภาคหลวงที่กำหนดไว้โบร่ำโบราณ ควรจะต้องทบทวนเสียที แต่ไม่รู้ทำไม จึงยังไม่มีรัฐบาลไหนทบทวนเสียที ทรัพยากรของประเทศจึงถูกนำไปขายในราคาถูกๆ และทำให้ประชาชนทุกคนเสียประโยชน์

แต่จะมีคนบางกลุ่มได้ประโยชน์ และคนกลุ่มนี้ร่วมกันปกปิดข้อมูลน้ำมัน ร่วมกันเมินเฉยต่อความเสียเปรียบในสัมปทานปิโตรเลียม

ประเทศไทยแม้ไม่ใช่ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ แต่ปริมาณน้ำมันก็มีจำนวนไม่น้อย จนสามารถจูงใจให้บริษัทน้ำมันข้ามชาติเดินเข้ามาประเทศไทยกันขวักไขว่

ปริมาณน้ำมันที่มี ถ้าบริหารจัดการดีๆ บริหารจัดการด้วยความโปร่งใส ประชาชนคนไทยอาจมีโอกาสลืมตาอ้าปาก เพราะประเทศจะมีรายได้หลักเพิ่มขึ้นจากการส่งออกน้ำมันและก๊าซแล้ว ผู้บริโภคอาจได้ใช้น้ำมันในราคาต่ำ ไม่ต้องเดือดร้อนแทบเป็นแทบตาย เมื่อราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งทะยานแต่ละครั้ง

ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สามารถดูแลพลเมืองตัวเอง โดยขายน้ำมันราคาต่ำ ทำให้ต้นทุนการผลิตของประเทศลดลง ประชาชนไม่ต้องปากกัดตีนถีบ เพราะผลกระทบจากราคาน้ำมัน

ประชาชนที่บริโภคราคาน้ำมันต่ำที่สุดในโลก คือ เวเนซุเอรา โดยประธานาธิบดี ฮูโก้ ชาเวซ ตรึงราคาน้ำมันไว้เพียงลิตรละประมาณ 3.60 บาทเท่านั้น เลือกตั้งทีไร เสียงของนายชาเวซจึงท่วมท้น

ใครทำให้ราคาน้ำมันในประเทศไทยเหลือต่ำกว่าลิตรละ 10 บาทได้ รับรองเลือกตั้งเมื่อไหร่ ได้รับชัยชนะท่วมท้น

ผลประโยชน์น้ำมันมหาศาลเพียงใด ไม่มีใครรู้ เพราะไม่เคยมีรัฐบาลชุดใดเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดต่อสาธารณชน ไม่เคยมีนักการเมืองคนใดนำข้อมูลทรัพยากรปิโตรเลียมที่อยู่ใต้ดินมาตั้งบนดิน เพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด

ขณะที่ประชาชนกำลังถูกปั่นหัวถูกเสี้ยมให้ห้ำหั่นแทบฆ่ากันตาย ถูกมอมเมากับลัทธิการเมืองว่าด้วยเรื่องเสื้อ “สี” คนกลุ่มหนึ่งกลับเสวยสุขกับการตักตวงน้ำมัน ปล้นทรัพยากรของประเทศไปขายให้ต่างชาติ

น้ำมันกำลังสูบกินทุกคน ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไร

เลิกบ้า เลิกบูชานักการเมืองหรือพรรคการเมืองได้แล้ว หูตาสว่างกันเสียที เพราะทรัพยากรบรรพบุรุษของเรา และของลูกของหลานเรากำลังถูกปล้น

ใครล่ะที่ปล้นน้ำมันของพวกเรา ก็นักการเมือง พรรคการเมือง รัฐบาล และปล้นกันทุกรัฐบาลแหละ ปล้นกันมานานแล้วด้วย ไม่ว่าโดยไม่ตั้งใจหรือสมคบคิดกับทุนข้ามชาติปล้นคนไทยด้วยกันโดยตั้งใจก็ตาม

http://astv.mobi/AowW7pv


วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

แม่ค้าส้มตำถุงละ5บาท คนค้นฅน





พ่อค้าแม่ค้าในประเทศนี้ ยุคนี้ ส่วนใหญ่ บอกของแพง ต้องขึ้นราคา

แต่ทำไมแม่ค้าส้มตำคนนี้ ยังไม่ขึ้นราคา?

ต้องดู และฟังมุมมองความคิดดีของป้าคนนี้ดูครับ



ขออนุโมทนาบุญกับป้าแดง ส้มตำ5บาท ด้วยครับ

ขอให้ป้าเจริญ รุ่งเรือง สุขภาพแข็งแรงทั้งโลกนี้และโลกหน้าครับ

ที่จริงยังมีร้านใจดีแบบนี้อีกหลายที่ ที่เคยออกรายการข่าว และรายการตลาดสดสนามเป้า

ถ้าคนไทยเห็นอกเห็นใจกันแบบนี้ ประเทศชาติจะรุ่งเรือง

ใครที่เป็นพ่อค้าแม่ขาย คงไม่ต้องขายถูกเท่าป้าคนนี้ก็ได้ แต่ขอให้เห็นใจคนจนที่ยังมีอยู่มากในประเทศนี้บ้างว่า

ถ้าคุณขายแพง คนจนๆ ที่เขายังลำบาก เขาก็คงไม่มีปัญญาจะซื้อทาน ถ้าใครเคยจน ย่อมเข้าใจที่ผมว่า

หากค่าครองชีพสูง แต่รายได้ต่ำ นั่นคือหายนะของชาติ เพราะทุกอย่างย่อมมีผลกระทบต่อกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดั่งคำว่า เด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาว

เราคงไม่อยากแบกเงินหนักเป็นกิโล เพื่อไปซื้อส้มตำแค่ถุงเดียวจริงมั้ยครับ??


วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

เกลียด Girl generation snsd จังเลย





เกลียดsnsd จังเลย ทำไมถึงได้เก่งแบบนี้ ทำไมซอฮยอน น่ารักสวยสุดๆ ขนาดนี้นะ เกลียดเหลือเกิน

บทความนี้ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากให้พวกเกลียดsnsd ได้เจ็บใจเล่นๆ

เพราะผมชอบวงsnsd และชอบแบบเน้นมากๆที่ น้องSeohyun สำหรับผมคนนี้ถูกใจใช่เลย และน้องyoona ช่างยั่วเย้าเหลือเกินนะแม่คนนี้



ทีนี้ คนไทยเกลียดเกาหลี อยากเกลียดก็เกลียดไป แต่วันนี้ผมขอยกข่าวเก่าจากไทยรัฐมาลงในบทความ พร้อมคลิปโชว์ของsnsd ที่ฝรั่งเศส ที่ทำเอาพวกฝรั่งคลั่งไคล้ และไม่ใช่แค่ชาติเดียว พวกฝรั่งมันคลั่งไคล้ snsd กันไปทั่วโลกแล้ว

ก็ต้องยินดีที่ กระแสk ป็อปจากเอเซียด้วยกันเขาทำได้

เราจะไปอิจฉาเขาทำไม ต้องร่วมชื่นชมสิจึงจะถูก อย่าเห็นฝรั่งดีกว่าเอเซียด้วยกัน


เมืองน้ำหอม อึ้ง!! 'เกิลส์เจเนอเรชัน' แผงฤทธิ์ตัวแม่





GIRLS GENERATION - Le Grand Journal

"The Boys"




วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

พระราชดำรัสของพระมหากษัตริย์กับประชาธิปไตย






The King 's speech of Democracy

กระแสพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 5-7 ที่เกี่ยวกับการปกครองแบบประชาธิปไตย

โดย เทพมนตรี ลิมปพยอม


ตอน1

ในระยะนี้มีคณะบุคคลคณะหนึ่งนามว่า “คณะนิติราษฎร์” พยายามเสนอให้รัฐสภาแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อลดทอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์และเกิดการต่อต้านจากประชาชนกลุ่มต่างๆ เป็นอันมาก

ในบทความของผมนี้ไม่ต้องการจะกล่าวถึงพวก “คณะนิติราษฎร์” ในประเด็นอื่นๆ เกี่ยวกับข้อเสนอของพวกเขา หรือให้ความสำคัญต่อสิ่งที่พวกเขาได้นำเสนอเพราะผมเห็นว่าข้อเสนอของพวกเขาไม่สนใจต่อความทุกข์ร้อนของประชาชน หากแต่พวกเขาทำเพื่อตัวพวกเขาเอง

ในบทความของผมต้องการเสนอข้อมูลสำคัญที่พวกคณะนิติราษฎร์ไม่เคยสนใจ หรือไม่เคยรับรู้หรือนำไปคิดพิจารณาถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ที่พวกเขาอาศัยแผ่นดินเกิดอยู่

พวกเขาทำตัวเหมือนทารกน้อยที่ลืมตาดูโลกโดยไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ให้ที่อยู่ที่อาศัยที่ทำมาหากิน ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ผมจึงขออัญเชิญกระแสพระราชดำรัสของพระมหากษัตริย์ที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในเรื่องสิทธิเสรีภาพและความเป็นประชาธิปไตยที่มีมานับร้อยปีแล้ว

1. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในหลวงรัชกาลที่ 5 ได้มีกระแสพระราชดำรัสดังนี้




บทวิเคราะห์

จากกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานตามวาระและโอกาสต่างๆ สามารถแยกแยะประเด็นได้ว่า

1. เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงมีความเข้าใจเรื่องระบอบประชาธิปไตยการจัดตั้งพรรคการเมือง และคณะรัฐบาลอย่างไม่ต้องเคลือบแคลงสงสัย

2. ทรงมีความกังวลต่อเรื่องที่ประชาชนหรือราษฎรยังไม่มีความพร้อม

3. ทรงแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างราษฎรกับสถาบัน

4. ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานระบอบประชาธิปไตยให้กับราษฎรเมื่อในหลวงรัชกาลที่ 6 ได้ขึ้นครองราชย์แล้ว และพระองค์ท่าน (ในหลวงรัชกาลที่ 5) จะทรงอยู่เบื้องหลังเพื่อถวายคำแนะนำ


--------------------------------

ตอน2


อันที่จริงแล้วรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ยังมีพระราชกระแสรับสั่งที่เกี่ยวกับการจัดการปกครองแบบประชาธิปไตยและในส่วนที่เกี่ยวกับ “คณะรัฐมนตรีและรัฐบาล” อีกจำนวนหนึ่งซึ่งจะนำเสนอในบทสรุปต่อไป

ในบทความครั้งนี้ ผมจึงขอนำเสนอกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงสืบสานพระราชปณิธานของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งเอาไว้ตอนปลายรัชกาลดังที่ผมได้นำเสนอไปแล้วในตอนที่ 1

ในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงทดลองการปกครองแบบประชาธิปไตยด้วยการสร้างเมือง “ดุสิตธานี” ขึ้นอย่างเสร็จสมบูรณ์ ณ บริเวณพระราชวังพญาไท โดยให้มีคณะรัฐบาล มีพรรคการเมือง มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร (เรียกว่า เชษฐบุรุษ) มีการออกหนังสือพิมพ์ดุสิตสมิต เพื่อเผยแพร่แนวความคิดในการปกครองแบบประชาธิปไตย ดังความว่าในจดหมายเหตุรายวัน รัตนโกสินทร์ศก 130 เล่ม 2 วันที่ 13 มกราคมถึงวันที่ 31 มีนาคม หน้า 49-50



นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงมีพระราชหัตถเลขาที่ตอบไปยังพระยาราชไมตรี เรื่องควรจัดให้สมาชิกรัฐมนตรีได้มีการทำและออกพระราชบัญญัติกำหนดหน้าที่ของสภาใหม่ เมื่อวันที่ 21-30 เษายน 2460 (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ สบ.001/6) ความว่า



พระราชปรารภในช่วงระยะเวลาที่มีพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือ “ศุกรหัศน์” หน้า 327 ใจความว่า



------------------------

ตอน3

หลักฐานประวัติศาสตร์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงเตรียมการที่จะพระราชทานอำนาจอธิปไตยให้กับปวงชนชาวไทยด้วยการเริ่มจัดตั้ง “อภิรัฐมนตรีสภา” ขึ้นเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินของพระองค์ ทรงตราพระราชบัญญัติองคมนตรี พ.ศ. 2470 ขึ้น มีจัดระเบียบวิธีการประชุมคล้ายกับรัฐสภา ให้มีสภาเสนาบดีทำหน้าที่คล้ายกับคณะรัฐมนตรี เตรียมการให้มีการปกครองท้องถิ่นแบบ “เทศบาล” ขึ้น เพื่อสอนให้ประชาชนรู้จักการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง พระราชดำรัสของพระองค์ท่านปรากฏอยู่ดังความว่า



นอกจากนี้ทรงปรึกษานายเรมอนด์ บี. สตีเฟนส์ ชาวอเมริกัน ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ และพระยาศรีวิสารวาจา ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศในการร่างรัฐธรรมนูญ และทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานให้แก่ราษฎรในวันที่ 6 เมษายน 2475 วันที่ราชวงศ์จักรีครบ 150 ปี

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นภาษาอังกฤษชื่อว่า “An Outline of Changes in the Form of Government” ซึ่งกำหนดให้มี 4 สถาบัน คือ พระมหากษัตริย์, อภิรัฐมนตรีสภา, นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี, และสถาบันนิติบัญญัติ ให้พระมหากษัตริย์ยังทรงดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหาร

แต่ผู้ยกร่างทั้งสองก็ยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวเพราะความไม่พร้อมในเรื่องการศึกษาและความไม่พร้อมของประชาชนส่วนใหญ่ ที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาก็คัดค้านเช่นกัน จึงทรงระงับการผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไว้ก่อน ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศในขณะนั้นตกต่ำ

แต่ในที่สุดเมื่อวันที่24 มิถุนายน2475   คณะราษฎรได้ดำเนินการยึดอำนาจเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy)

โดยที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ แปรพระราชฐานประทับอยู่ที่วังไกลกังวล มีผู้ถวายความแนะนำให้จัดการกับพวกคณะราษฎร แต่พระองค์ท่านไม่ต้องการให้เสียเลือดเนื้อ ไม่มีการต่อสู้ขัดขวาง

คณะราษฎรได้ขอร้องให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามเพื่อบ้านเมืองจะได้เจริญขึ้น ได้ทรงยอมรับตามคำขอร้องและให้ตราพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475

และต่อมาก็มีการพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแรกขึ้นในวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ดังมีพระราชดำริ ตอนหนึ่งว่า



ในเวลาต่อมาพระองค์ท่านยังมีลายพระราชหัตถเลขาถึงนายกรัฐมนตรีความว่า



ในตอนปลายรัชกาลมีความขัดแย้งขึ้นหลายประการระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับคณะราษฎร โดยเฉพาะเมื่อพระราชทานคำแนะนำแก่นายกรัฐมนตรี ทรงเสนอให้มีการแก้ไขพระราชอำนาจในการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ซึ่งพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นอำนาจในส่วนของพระองค์โดยแท้ แต่รัฐบาลเป็นผู้คัดเลือกเอาแล้วนำมาถวายให้ทรงลงพระนามในช่วงเวลาที่จำกัด ต้องทรงลงพระนามตามข้อเสนอของรัฐบาลเท่านั้น

พระองค์ประสงค์จะให้ใช้วิธีเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน หรือโดยอ้อมจากบุคคลที่มีความรู้เป็นผู้เลือกหรือเลือกจากบุคคลที่เป็นข้าราชการ หรือเคยเป็นข้าราชการชั้นสัญญาบัตร มีอายุไม่ต่ำกว่า35 ปี พระองค์ทรงคาดหวังว่า สมาชิกสภาประเภทที่ 2 ที่จะทรงตั้งนั้น จะได้คัดเลือกจากบุคคลที่มีความรู้ และความชำนาญในการปกครองทั่วๆ ไป แต่คณะราษฎรและคณะรัฐบาลไม่เห็นด้วย

ต่อมาเมื่อทรงมีพระราชดำริเห็นว่าสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นยังมิได้เป็นผู้แทนของราษฎรอย่างแท้จริง กรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงยับยั้งร่างกฎหมายซึ่งจะต้องเป็นเรื่องสำคัญและเกี่ยวข้องกับประชาชน ควรจะได้สอบถามประชาชนหรือต้องใช้เสียงข้างมากถึง 2 ใน 3 หรือ 3 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกสภาทั้งหมดหรือต้องยุบสภา

แต่รัฐบาลก็ไม่เห็นด้วย รวมไปถึงทรงมีพระราชดำริว่า การพระราชทานอภัยโทษ ควรให้สิทธิถวายฎีกาถึงพระองค์โดยตรง ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้กลายเป็นความขัดแย้งอย่างมาก จนในที่สุด พระองค์ทรงประกาศสละราชสมบัติ




----------------------------

ตอน4

จากกระแสพระราชดำรัสและพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 5-7 จะเห็นได้ว่าทรงระมัดระวังการจัดให้มีรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก ทรงแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพของแต่ละพระองค์

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 อำนาจอธิปไตยที่ประชาชนได้รับก็เนื่องด้วยเป็นมรดกตกทอดมาจากอำนาจ แม้พูดกันตรงๆ ก็คือการลดทอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่เราเรียกว่าอาชญาสิทธิ์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้แก่พระเจ้าแผ่นดิน เจ้าของแผ่นดินและเจ้าชีวิต มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญและใช้พระราชอำนาจโดยผ่านฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าก่อนมีการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 พระมหากษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์ได้ทรงวางรากฐานการพระราชทานการปกครองแบบประชาธิปไตยอยู่แล้วด้วย

อย่างไรก็ตามเราต้องไม่ลืมว่าเมื่อมีการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 ของคณะราษฎร เราได้เห็นพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 7 ที่มีแก่ประชาชนโดยทรงยอมตามความประสงค์ของคณะราษฎรเพื่อไม่ให้มีการสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อของคนไทย ไม่มีการต่อสู้หรือขัดขวางแต่ประการใด ทรงยอมประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองฉบับชั่วคราวและฉบับถาวร

เมื่อประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยมาจนถึงปัจจุบันกลับปรากฏว่า อำนาจนั้นตกอยู่ในมือของข้าราชการและนักการเมือง เกิดมีการปฏิวัติรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ร่างขึ้นใหม่ แล้วฉีกกันอีก ร่างใหม่กันอีก เป็นวัฏจักรวนเวียนเช่นนี้ จนมีรัฐธรรมนูญใช้ถึง 17 ฉบับ ตามที่เราได้ทราบกัน

รัฐธรรมนูญของไทยทั้ง 17 ฉบับ บัญญัติให้ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผ่านร้อนผ่านหนาวมาสารพัด ส่วนใหญ่มาจากนักการเมืองและข้าราชการที่ลุแก่อำนาจ ทุจริตคอร์รัปชัน ปัญหาที่ตามมาจึงเป็นเหตุให้มีการพึ่งพระบารมีเพื่อยุติปัญหาทางการเมืองอยู่หลายครั้ง จนทำให้ภาระการปกครองประเทศแทนที่จะเป็นหน้าที่ของประชาชน กลับไปทำให้ “ในหลวง” ทรงหนักพระทัย และทรงห่วงใยบ้านเมือง

จนถึงทุกวันนี้ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้แทนของนิตยสาร National Geographic เมื่อหลายปีก่อน ตอนหนึ่งว่า



เนื่องจากพระมหากษัตริย์ของไทยทรงเป็นประมุขของประเทศ จะต้องวางพระองค์ไว้ให้เป็นกลางทางการเมือง ดังคำพระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าววิทยุ โทรทัศน์ บีบีซี หลายสิบปีที่ผ่านมาว่า



บทพระราชทานสัมภาษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่องค์ปัจจุบันของเรา แสดงให้เห็นถึงน้ำพระราชหฤทัยของพระองค์ท่านที่มีต่อประชาชน และคงไม่จำเป็นที่จะต้องไปตอบปัญหาของ “พวกนิติราษฎร์” คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่มีปัญญาคิดแต่ไม่เคยใส่ใจต่อประโยชน์ของส่วนรวม อยากสานต่อความคิดของคณะราษฎรที่เคยบังคับพระบรมราชวงศ์จนฉุดให้ตกต่ำดุจสามัญชน จึงอยู่ด้วยบุญญาธิการของพระมหากษัตริย์

และพระบรมราชวงศ์จักรีในเวลานั้น ทำให้บุคคลในคณะราษฎรหลายคนได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงปรับเปลี่ยนแนวความคิดใหม่

แต่คณะนิติราษฎร์ คณะนี้ไปหยิบเอาบางประเด็นขึ้นมาใช้ เป็นการตลบตะแลงปลิ้นปล้อนไปเท่านั้น ผมจึงคิดว่าเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม “กรรมใครก็กรรมมัน”

ผมจึงสันนิษฐานว่าคณะของบุคคลเหล่านี้ก็คงพบจุดจบอีกไม่นานเกินรอ

“ด้วยเหตุว่าคนในเมืองไทยเคยรวบรวมกันเป็นความคิดอันหนึ่งอันเดียว คือ เอากระแสพระราชดำริพระเจ้าแผ่นดินเป็นประมาณ เมื่อกระแสพระราชดำริเป็นไปอย่างไร คนทั้งปวงเห็นตามโดยจริง เป็นตกลงไปได้โดยง่าย เป็นธรรมยั่งยืนเคยฝึกมาหลายชั่วคนแล้ว…อาศัยพระเมตตากรุณาต่อประชาราษฎรอันแรงกล้า เป็นที่นิยมยินดีชอบใจของราษฎรทั้งหลายทั้งปวง จึงได้เป็นที่เชื่อใจวางใจของคนทั้งปวง เคยออมชอมยอมตามมาไม่มีผู้ใดจะคิดฝ่าฝืน ไม่เหมือนในประเทศยุโรปซึ่งมีพระเจ้าแผ่นดินประพฤติต่างๆ รุนแรงไปตามอัธยาศัย มีบังคับเรื่องศาสนา เป็นต้น จนคนทั้งปวงมีความเบื่อหน่าย คิดอ่านต่อสู้ลดหย่อนอำนาจพระเจ้าแผ่นดิน”






วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

ภาพล้อ"Obama Yingluck" แบบสุดกึ่น...มุขนี้เล่นแรง





พอดีเจอข่าวจากมติชน เรื่องฝรั่งล้อโอบามาแรง ผมเลยขอดัดแปลงข่าว เล่นเพิ่มอีกนิดหน่อยบ้าง 555


ภาพล้อ"โอบามา ยิ่งลักษณ์" แบบสุดกึ่น...มุขนี้เล่นแรง

กระแสการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปี 2012 เริ่มคักคึก โดยประธานาธิบดีBarack Obama ซึ่งประกาศตัวชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง จะหันมาใช้โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค เพื่อการหาเสียงอีกครั้ง จากที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในการเลือกตั้งปี 2008


แต่ลองมาดู ภาพล้อ บารัค โอบามา และ ยิ่งลักษณ์ ปูวอห้า จากกลุ่มทุนพรรครีพับลิกัน ดูบ้างว่า แรงแค่ไหน !!!

















(poo แปลว่า ขี้)


มติชนออนไลน์