วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ต้องประหารพลเอกสนธิ & การลงโทษคณะรัฐประหารในตุรกี






จากบทความของผม เรื่อง แก้มาตรา 309 ทักษิณมีไว้หลอกฟายแดง

ผมได้เขียนไว้ว่า หากล้มรัฐธรรมนูญ 2550 ลง หรือแก้ไขมาตรา 309 ได้แล้ว

แน่จริงพรรคเพื่อไทย และเสื้อแดง ต้องกล้านำพลเอกสนธิ ผู้นำคณะคมช. มาลงโทษด้วย เพื่อไม่ให้อนาคตมีคณะหนึ่งคณะใด มาทำรัฐประหารได้อีก

ถ้าเสื้อแดงรักประชาธิปไตยจริงๆ แน่จริงอย่ารักแต่ปาก ต้องกล้าจับพลเอกสนธิมาลงโทษด้วย

ซึ่งผมเชื่อว่า พลเอกสนธิ จะไม่มีทางถูกลงโทษแน่ๆ ตามที่อธิบายเหตุผลในบทความ แก้มาตรา309 ทักษิณมีไว้หลอกฟายแดง ไว้แล้ว

ฉะนั้น เมื่อไม่สามารถประหารพลเอกสนธิ ได้ มันก็คือ การหลอกลวงตามทฤษฎีสมคบคิดตามที่ผมเคยเขียนไว้นั่นเองครับ 

เสื้อแดงเอ๋ย เลิกโง่ให้ทักษิณสนตะพายสักทีเถิด

-----------------------


ตัวอย่างการเอาผิดย้อนหลัง พวกคณะรัฐประหารในตรุกี

ในทุกๆ ประเทศที่มีการรัฐประหาร พวกคณะรัฐประหาร ก็จะเขียนกฎหมายป้องกันตัวเองไว้เช่นเดียวกับที่ คมช. ได้ทำในรธน. 50

แต่เมื่อการรัฐประหาร เป็นเรื่องไม่ชอบธรรมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว การล้มกฎหมายปกป้องคณะรัฐประหารลง แล้วย้อนมาเอาผิดคณะรัฐประหารในภายหลัง จึงสามารถทำได้แน่นอน

เพราะคณะรัฐประหาร มาด้วยวิธีการที่ผิดอยู่แล้ว เช่นเดียวกัน หากล้มรัฐธรรมนูญ 50 ได้ทั้งหมด หรือแม้แต่ถ้าแก้มาตรา 309 แล้ว

ก็สามารถจับเอาคณะ คมช. มาลงโทษได้เช่นกันครับ

ให้ดู 3คลิป นี้แล้วคุณจะเข้าใจ

คลิปแรก ชาวตรุกี คาดหวังเอาคณะรัฐประหารมาขึ้นศาล



คลิป2 ยกเลิกกฎหมายที่คุ้มครองคณะรัฐประหาร



คลิป3 ศาลตัดสินลงโทษคณะรัฐประหาร



วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พระนามบัตร 2 กษัตริย์คู่ พระนามบัตรแรกแห่งสยาม







ต่อเนื่องจาก บทความเรื่อง คนไทยเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่เมื่อไหร่

ในบทความนั้น ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่เรื่องนึง คือ การกล่าวถึงว่า สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพิมพ์นามบัตรใช้ครั้งแรกในกรุงสยาม หรือเป็นนามบัตรแรกของคนไทย

ซึ่งชาวตะวันตก เรียกพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ว่า The Second King of Siam

ผมเลยอยากจะเห็นว่า พระนามบัตรของสมเด็จพระปิ่นเกล้า มีลักษณะเป็นอย่างไร ก็ได้พบเจอตามบทความนี้ครับ

--------------------------

พระปิ่นเกล้า อ่าน เขียน เรียน“ฝรั่ง”

สุจิตต์ วงศ์เทศ มติชนรายวัน 7 มกราคม 2554



สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระปิ่นเกล้า อ่าน เขียน เรียน“ฝรั่ง” รู้เท่าทันตะวันตก

เป็นชื่อกิจกรรมของกรมศิลปากร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

ปีนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2554 จัดในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ตั้งแต่เช้า

ครั้นตอนบ่ายมีเสวนาและดนตรีฝรั่งในโรงละครแห่งชาติ(โรงเล็ก) กับตอนเย็นมีดนตรีไทยพร้อมการแสดงบริเวณลานอนุสาวรีย์พระปิ่นเกล้าฯที่หน้าโรงละครแห่งชาติ เข้าชมฟรี มีสูจิบัตรแจก

ส. พลายน้อย อ้างถึง ส. ธรรมยศ เขียนไว้ในหนังสือพระเจ้ากรุงสยามว่า รัชกาลที่ 4 กับพระปิ่นเกล้าเมื่อทรงพระเยาว์ทรงลงเรือข้ามฟากไปบ้านหมอบรัดเลย์ (อยู่ปากคลองบางกอกใหญ่ ใกล้ป้อมวิไชยประสิทธิ์ วัดอรุณฯ) เป็นกิจวัตรประจำ เพื่อเรียนหนังสือและตอบโต้ปัญหากันด้วยภาษาอังกฤษ และครูภาษาอังกฤษมีอีกหลายคน

(มีรายละเอียดในหนังสือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กษัตริย์วังหน้า ของ ส. พลายน้อย สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ. 2545 หน้า 45-55)

รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระปิ่นเกล้า คุยกันเองเป็นส่วนพระองค์ โดยทรงอักษร “ฝรั่ง” แต่สะกดเป็นคำไทย เช่น

“Xan ock pai chack wang Hluang wan sau ram kham nung wela bai sam mong—”

ถอดคำไทยได้ความว่า “ฉันออกไปจากวังหลวงวันเสาร์ แรมค่ำหนึ่ง เวลาบ่ายสามโมง—”

พระราชหัตถเลขาชุดนี้มีเก็บอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากรเคยพิมพ์เผยแพร่ในสูจิบัตรงานพระปิ่นเกล้า เมื่อ 7 มกราคม 2547


ลายเซ็นสมเด็จพระปิ่นเกล้า



ลายเซ็นเป็นภาษาอังกฤษที่ตัวอักษรเอนไปข้างซ้าย หรือโย้หน้า มีผู้อธิบายว่า พระปิ่นเกล้า “ถนัดซ้าย” จึงทรงพระอักษรด้วยพระหัตถ์ซ้าย

พระปิ่นเกล้า อ่าน เขียน เรียน“ฝรั่ง” อย่างรู้เท่าทันตะวันตก แล้วปรับเปลี่ยนตัว “สยาม”เองเป็นตะวันตกเพื่อความทันสมัย และให้รอดจากการล่าอาณานิคมครั้งนั้น แล้วเป็นต้นแบบให้สังคมไทย “เป็นฝรั่ง” สืบมาจนทุกวันนี้

ผู้มีปากชอบตำหนิคนไทยยุคใหม่ว่านิยมฝรั่ง ขอให้ตั้งสติย้อนหลังศึกษา “คนชั้นนำ”ต้นแบบสังคมสยามสมัยพระจอมเกล้ากับพระปิ่นเกล้าให้ถ่องแท้เสียก่อน อย่าสักแต่ด่าทอต่อว่าคนไทยรุ่นใหม่

กระทรวงศึกษาฯควรให้ภาษาอังกฤษในโรงเรียนเป็นภาษาที่สอง จะได้รู้เท่าทันทั้งโลก แล้วเท่ากับต่อยอดจากยุคพระปิ่นเกล้า



พระนามบัตร (บัตรพระปรมาภิไธย) เป็นภาษาอังกฤษของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีตราส่วนพระองค์ คือ ตราพระปิ่น, สมอเรือ, และปืนใหญ่ นามบัตรเช่นนี้เป็นของทันสมัยที่ทรงใช้เป็นพระองค์แรก

“ก๊าดของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ที่ท่านส่งไปให้ดูนั้นประณีตมาก ได้ส่งคืนมาให้นี้แล้ว ลายพระราชหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฉันได้เคยเห็นหลายฉะบับ เขียนตัวโรมันทั้งนั้น แต่เขียนเปนภาษาไทย ลายพระหัตถ์งามมาก”
(จดหมาย 29 กรกฎาคม 2482, จากหนังสือบันทึกเรื่องความรู้ต่างๆ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ ทรงบันทึกประทานพระยาอนุมานราชธน)


-----------------------


พระนามบัตร รัชกาลที่ 4



รัชกาลที่ ๔


พระนามบัตรของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ไม่มีเหลืออยู่ในเมืองไทยเลย เพราะพระองค์ทรงพระราชทานให้ราชฑูตต่างชาติไปเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งได้มีครอบครัวชาวต่างชาติ ได้มอบพระนามบัตรรัชกาลที่ 4 คืนแก่ประเทศไทย

รศ.ดร.อรัญ หาญสืบสาย หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางภาพถ่ายและเทคโนโลยีทางการพิมพ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า

""พระนามบัตรไม่เป็นที่ปรากฏว่ามีชาวไทยคนใดเป็นผู้ครอบครองด้วย เนื่องจากในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น มีการค้าขายติดต่อกับชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงทรงโปรดฯให้จัดทำพระนามบัตรของพระองค์ เพื่อมอบให้กับราชฑูตและชาวต่างชาติที่ทรงติดต่อภาระกิจด้วย "

"ภาพพระนามบัตรฉบับนี้ ทางคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯได้รับมอบมาจากครอบครัวของนายเรเน่ พรูเดนท์ ดา-กรอน (MR.Rene Prudent Dagron) ช่างภาพและนักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศส ผ่านการประสานงานของ นางฌอง สก็อตต์ (Mrs. Jean Scott ) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ที่ให้ความสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์ไทย และมีโอกาสได้พบเอกสารและจดหมายโต้ตอบระหว่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ นายดา-กรอน ผู้มีความเชี่ยวชาญในการถ่ายภาพจิ๋วเป็นเครื่องประดับและของสะสมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งในกลุ่มราชวงศ์ชั้นสูงในสมัยนั้นซึ่งรัชกาลที่ 4 ได้ส่งพระนามบัตรแนบไปกับจดหมาย เมื่อปี พ.ศ.2410 (ค.ศ.1867)

นางฌอง สก็อตต์ จึงเป็นผู้ประสานงานระหว่างคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และทางครอบครัวดา-กรอน เพื่อมอบสำเนาเอกสารต่างๆ ที่ได้รับนำมาให้กับพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีทางภาพ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางภาพถ่ายฯเก็บไว้เพื่อการศึกษาเพียงแห่งเดียวเท่านั้น" รศ.ดร.อรัญกล่าว


รัชกาลที่ 4 พระบิดาแห่งการพิมพ์ไทย โดยภาพพระนามบัตรเป็นภาพเดียวในประเทศไทย


รศ.ดร.อรัญกล่าวว่า "ภาพพระนามบัตรของรัชกาลที่ 4 เป็นการพิมพ์โดยใช้ระบบตัวเรียง (Letter Press) ซึ่งใช้ตัวอักษรหล่อจากโลหะ (ตะกั่ว,ดีบุก,พลวง) เรียงเป็นบล็อกแล้วพิมพ์ลงบนกระดาษแข็ง โดยองค์ประกอบบนพระนามบัตร ประกอบด้วยตราสัญลักษณ์ประจำรัชกาล และพระนามตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ออกเสียงเป็นภาษาไทย พระนามในภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศษ และลาติน อย่างละบรรทัด

เชื่อว่าน่าจะเป็นการจัดพิมพ์ขึ้นที่โรงพิมพ์หลวง (อักษรพิมพการ) โรงพิมพ์แห่งแรกของประเทศไทยที่รัชกาลที่ 4 ทรงเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นบริเวณวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร"


มติชนออนไลน์


วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คนไทยเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?






พอดีผมเห็นบทความอยู่ 2 บทความจาก 2แหล่ง ที่น่าสนใจ น่าอ่านไว้ประดับสมอง

------------------------------

แรก เริ่มภาษาอังกฤษ

สยามเริ่มติดต่อกับพวกฝรั่ง ตั้งแต่สมัยอยุธยา จนในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อชาวตะวันตกส่งทูตเข้ามาในสมัย ร. 2 และ ร. 3 ไม่เคยมีบันทึกว่าคนไทยพูดภาษาฝรั่งได้ จึงต้องใช้ล่าม

โรม บุนนาค

โรม บุนนาค เขียนไว้ในหนังสือเรื่องเก่า เล่าสนุก เล่ม 3 (สำนักพิมพ์สยามบันทึก) ว่า แต่ล่ามที่เป็นคนมลายู ก็ไม่ค่อยรู้ภาษาลึกซึ้งนัก แปลอังกฤษเป็นมลายู แล้วก็แปลมลายูเป็นไทย การสื่อสารจึงคลาดเคลื่อนไปมาก

เหตุการณ์โลกภายนอกเป็นอย่างไร คนไทยก็ไม่มีโอกาสรู้ ต้องฟังจากคนจีน อินเดียและมลายูที่เดินทางไปมา...ซึ่งก็ไม่ชัดเจน คนไทยจึงเหมือนอยู่แต่ในโลกใบเก่า ในขณะที่อังกฤษยึดสิงคโปร์ไว้แล้ว

เจ้าฟ้ามงกุฎ ขณะทรงผนวชจำพรรษาอยู่ที่วัดวัดราชาธิวาส ทรงมีความใกล้ชิดกับ สังฆราช ยวง หรือ บับติสต์ ปาลเลอกัวซ์ ชาวฝรั่งเศส เจ้าอธิการวัดคอนเซบซิออง หรือวัดบ้านเขมร ซึ่งอยู่ติดกัน ไปมาหาสู่แลกเปลี่ยนความรู้กันเป็นประจำ

(เจ้าฟ้ามงกุฏ ซึ่งต่อมาก็คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4)

เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฏ ทรงย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศฯ ทรงเห็นว่าฝรั่งเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในย่านนี้ สยามจำเป็น ต้องเกี่ยวข้อง การรู้ภาษาอังกฤษ จะทำให้เข้าใจกันและกันได้ จึงโปรดให้เปิดการเรียนภาษาอังกฤษ ขึ้นที่วัดบวรฯ

นับเป็นการเรียนภาษาอังกฤษครั้งแรกของกรุงสยาม

หมอหัสกัน นพ.เจสซี คาสแวล มิชชันนารีอเมริกัน ครูสอนภาษาอังกฤษ บันทึกในไดอารี วันที่ 1 ก.ค. พ.ศ. 2388 ว่า

“วันนี้เริ่มสอนภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้าสอนตั้งแต่ 09.00-10.00 น.ในชั้นเรียนมี 15 คน หนึ่งในสามเป็นพระสงฆ์ ที่เหลือเป็นชาวบ้านธรรมดา นักเรียนรุ่นนี้ นอกจากเจ้าฟ้ามงกุฎ หรือเจ้าฟ้าใหญ่แล้ว ยังมีสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ หรือเจ้าฟ้าน้อย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระวชิรญาณวโรรส สมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปกรณ์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และหม่อมราโชทัย (ม.ร.ว.กระต่าย อิศรางกูร)

(เจ้าฟ้าน้อย ซึ่งต่อมาก็คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว )

ส่วนสามัญชน มีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เมื่อครั้งยังเป็น หลวง และนายสิทธิ์ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค)

(ช่วง บุนนาค ต่อมาได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5)

หมอบรัดเลย์ บันทึกไว้เมื่อ 1 มิ.ย. 2389 ว่า

“เย็นวันนี้ ฉันกำลังนั่งเรียนภาษาไทย อยู่ในห้อง ได้ยินเสียงฝรั่งร้องทักจากระเบียงหน้าบ้าน อยากรู้ว่าคนอังกฤษที่ไหน ลุกขึ้นไปดูก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างสันทัดผิวคล้ำ แต่งชุดนายทหารเรืออังกฤษใหม่เอี่ยม ห้อยกระบี่ด้ามทอง ยืนท่าทางผึ่งผาย ฉันเดินเข้าไปหา จึงจำได้ว่า ที่แท้คือเจ้าฟ้าน้อย

เรียนภาษาอังกฤษได้ 1 ปี เจ้าฟ้าน้อยรับสั่งภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่คนอเมริกันยังฟังไม่ออกว่า เป็นคนไทยหรืออังกฤษ แสดงว่าท่านแตกฉานได้เร็วมาก

เจ้าฟ้าน้อยยังทรงสั่งตำราปืนใหญ่มาศึกษา ทางแปลออกมาให้คนอื่นได้อ่านเล่มหนึ่ง และทรงนิพนธ์ตำราปืนใหญ่ขึ้นเองอีกเล่มหนึ่ง ทรงต่อเรือกลไฟ กับดัดแปลงเรือธรรมดาเป็นเรือรบอีกหลายลำ

ความรู้ในเรื่องปืนใหญ่ จึงทรงคัดค้านการตัดถนนเจริญกรุงในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งแต่แรกวางแนวตรงเข้าหาพระบรมมหาราชวัง ว่าจะเป็นแนวให้ปืนใหญ่ (ข้าศึก) เล็งได้สะดวก เป็นผลให้ถนนเจริญกรุงต้องเบี่ยงแนวออกไปไม่ตรงในบางจุด

ความรู้ที่ได้จากฝรั่ง ทำให้ทรงชื่นชมวัฒน-ธรรมตะวันตกมาก ในวังทรงใช้ช้อนส้อมแบบฝรั่ง ทรงพิมพ์นามบัตร ซึ่งถือเป็นนามบัตรใบแรกของเมืองไทย ไว้ว่า “Second King of Siam”


ปธน.จอร์ช วอชิงตัน ปธน.คนแรกของสหรัฐอเมริกา

เจ้าฟ้าน้อยทรงชื่นชม ยอร์ช วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา จนประธานาธิบดียอร์ช วอชิงตัน รู้และส่งรูปและกระจกแผ่นใหญ่มาถวาย ทรงตั้งพระนามพระโอรส พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ ให้มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ว่า ยอร์ช วอชิงตัน

(พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ ซึงต่อมาคือ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าพระองค์สุดท้ายแห่งรัตนโกสินทร์)


กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ

ครั้งหนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เสด็จพระราชดำเนินทางชล-มาร์คผ่านหน้าพระราชวังเดิม ที่ประทับเจ้าฟ้าน้อย ทอดพระเนตรเห็นธงที่ชักไว้หน้าวัง ตามแบบอย่างตะวันตก ก็ทรงรับสั่งเสียดสีขึ้นว่า

“นั่นเจ้าฟ้าน้อย เอาผ้าขี้ริ้วขึ้นมาตากไว้ทำไม”

โรม บุนนาค เขียนว่า ในการสอนภาษาอังกฤษที่วัดบวร ครั้งนั้น หมอหัสกัน (นพ.คาสแวล) ไม่ยอมรับค่าจ้างสอน กลับทูลขอเปิดสอนศาสนาคริสต์ ในวัดบวรฯแทน ซึ่งเจ้าฟ้ามงกุฎ ก็ประทานอนุญาต

นี่คือความใจกว้างของเจ้าฟ้าชาวพุทธไม่ถือศาสนาอื่นเป็นคู่แข่งที่จะต้องกีดกัน ทั้งยังเป็นการท้าพิสูจน์ความศรัทธาของชาวพุทธด้วยกัน.


O บาราย O

เครดิต ไทยรัฐออนไลน์

-----------------------------------

ล่ามหลวงคนสำคัญ ต้นรัตนโกสินทร์



หม่อมราโชทัย

ถ้าเอ่ยถึงคำว่า ล่าม ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้แปลคำพูดจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งโดยทันที คงมีหลายคนที่ชื่นชมและอีกหลายคนอาจรู้สึกยิ่งไปกว่านั้นคืออยากเป็นล่ามเสียเอง

วันนี้จึงขอเสนอเรื่องของ ล่ามหลวง ผู้มีบทบาทสำคัญประจำคณะทูตไทยที่ไปเจริญพระราชไมตรีกับประเทศอังกฤษครั้งแรกในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้นั้นคือหม่อมราชวงศ์กระต่าย เรียนภาษาอังกฤษอิศรางกูร หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนาม หม่อมราโชทัย

สารานุกรมประวัติศาสตร์ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน บันทึกไว้ว่า หม่อมราโชทัยเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๒ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นโอรสกรมหมื่นเทวานุรักษ์ (หม่อมเจ้าชะอุ่ม) ในวัยเด็กหม่อมราชวงศ์กระต่ายได้ถวายตัวเป็นข้าหลวงในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมัยที่ทรงผนวชอยู่

ขณะเดียวกันก็สนใจเรียนภาษาอังกฤษตามพระราชนิยมของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามงกุฎ จนใช้การได้ดีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ในภายหลังเมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามงกุฎได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราชวงศ์กระต่าย อิศรางกูร เลื่อนฐานันดรศักดิ์เป็นหม่อมราโชทัย

ใน พ.ศ. ๒๔๐๐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะส่งคณะทูตไทยไปเจริญพระราชไมตรีกับประเทศอังกฤษ จึงทรงแต่งตั้งพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) เป็นราชทูตหัวหน้าคณะ พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราโชทัยร่วมเดินทางไปกับคณะทูตในตำแหน่งล่ามหลวง

ความรู้ภาษาอังกฤษของหม่อมราโชทัยในตำแหน่งล่ามหลวง นับว่าได้ทำประโยชน์ให้แก่กิจการทูตของไทยเป็นอย่างยิ่ง มิใช่เพียงคนไทยเท่านั้นที่ประทับใจในความสามารถด้านภาษาอังกฤษของหม่อมราโชทัย

แม้แต่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย แห่งประเทศอังกฤษก็ทรงสนพระทัย ถึงกับมีรับสั่งถามหม่อมราโชทัยว่า เรียนภาษาอังกฤษมาจากที่ใด 

หลังจากเดินทางกลับจากประเทศอังกฤษใน พ.ศ. ๒๔๐๑ หม่อมราโชทัยได้ทูลเกล้าถวายจดหมายเหตุเรื่องราชทูตไทยไปลอนดอนแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาก็ได้แต่งบทกวีเรื่องนิราศลอนดอนขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง และได้รับราชการสนองพระมหากรุณาธิคุณอยู่จนถึง พ.ศ. ๒๔๑๐ ขณะมีอายุ ๔๘ ปี จึงได้ถึงแก่อนิจกรรม.

เครดิต http://pvconnect.com


คลิกอ่าน นิราศลอนดอน โดย หม่อมราโชทัย


---------------------


คลิกอ่าน พระนามบัตรแรก 2 กษัตริย์คู่ พระนามบัตรแรกแห่งสยาม


วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Michael Yon สื่ออเมริกันยันเสื้อแดงมีอาวุธ,ทหารไทยมีวินัย







Michale Yon นักข่าวสงครามอเมริกันชื่อดัง เขียนบันทึกลงเฟซบุ๊กระบุ “อภิสิทธิ์” ไม่ใช่ฆาตกรกรณีแดงชุมนุมและเผาเมืองปี 53 เผยเห็นด้วยตาตัวเองว่า จนท.ไทยปฏิบัติหน้าที่อย่างมีเกียรติภายใต้ความกดดัน มิฉะนั้นคนอาจตายเป็นพัน !!

ระบุถ้ามีอะไรผิดปกตินักข่าวไม่พลาดรูปส่งชิงพูลิตเซอร์แน่ ยันแดงอาจไม่พอใจแต่ก็ต้องเขียนเพราะเป็นเรื่องจริง

จากกรณีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ธ.ค. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เรียกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เข้าพบคณะพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในคดีร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล วันนี้ (15 ธ.ค.)

ไมเคิล ยอน นักข่าวและช่างภาพสงครามอิสระชื่อดังได้เขียนบันทึกเรื่อง ตั้งข้อหาฆาตกรรมกับอภิสิทธิ์เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง (Abhisit charged with Murder: This is Wrong) ลงใน แฟนเพจ Michael Yon

นักข่าวอเมริกัน ระบุว่า เขาอยู่ในเหตุการณ์ความรุนแรงในปี 2553 ทว่า ข้อเท็จจริงคือ อภิสิทธิ์มิใช่ฆาตกรเลือดเย็น และสิ่งที่เขาเห็นด้วยตาของตัวเองก็คือ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีเกียรติ ภายใต้ข้อจำกัดมหาศาล มิฉะนั้นจะมีผู้คนต้องเสียชีวิตอีกมากเป็นพันๆ คน และความสูญเสียจำนวนมากก็ไม่ได้เกิดจากทหาร

“ทุกคนที่ได้อ่านงานของผมในช่วงหลายปีที่ผ่านมารู้ดีว่า ผมก็จะไม่ลังเลที่จะพูดความจริงหากว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นอีกอย่างหนึ่ง ผมอยู่ที่นั่นพร้อมกับกล้องถ่ายรูป และหากเจ้าหน้าที่ทหารไทยทำอะไรผิดพลาดไป ผมและผู้คนอีกพันคนย่อมได้ภาพเพื่อชิงรางวัลพูลิตเซอร์กลับไปแน่ๆ” ยอนระบุ

นอกจากนี้ ยอนยังกล่าวด้วยว่า บรรดาคนเสื้อแดงซึ่งส่วนหนึ่งคือเพื่อนสนิทของเขา อาจจะไม่พอใจในข้อเขียนชิ้นนี้ แต่ความจริงก็คือความจริง และสิ่งที่เขายืนยันก็คือ อภิสิทธิ์ไม่ใช่ฆาตกร

สำหรับบันทึกฉบับเต็มของไมเคิล ยอน มีรายละเอียดดังนี้


อภิสิทธิ์ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม : สิ่งนี้ไม่ถูกต้อง


ชายผู้นี้มิใช่ฆาตกรที่ฆ่าคนไม่กะพริบตา ผมเห็นการต่อสู้ด้วยตาของผมเอง และกองทหารของไทย รวมถึงตำรวจนั้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีเกียรติ จากสิ่งที่ผมเห็น เจ้าหน้าที่ของไทยปฏิบัติงานภายใต้ข้อจำกัดที่มหาศาล มิฉะนั้น อาจมีผู้คนอีกนับเป็นพันๆ ต้องเสียชีวิต ส่วนความสูญเสียจำนวนมากก็ไม่ได้เกิดจากทหาร นี่คือข้อเท็จจริง

ทุกคนที่ได้อ่านงานของผมในช่วงหลายปีที่ผ่านมารู้ดีว่า ผมก็จะไม่ลังเลที่จะพูดความจริงหากว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นอีกอย่างหนึ่ง ผมอยู่ที่นั่นพร้อมกับกล้องถ่ายรูป และหากเจ้าหน้าที่ทหารไทยทำอะไรผิดพลาดไป ผมและผู้คนอีกพันคนย่อมได้ภาพเพื่อชิงรางวัลพูลิตเซอร์กลับไปแน่ๆ

นี่เป็นเรื่องการเมือง หลายปีก่อนผมมีโอกาสร่วมเดินทางไปกับนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ผมเห็นว่าเขาหรือผู้คนของเขาไม่ได้เป็นคนชั่วร้ายอะไร เพื่อนสนิทของผมบางคนเป็นเสื้อแดง พวกเขาอาจจะโกรธที่ผมเขียนนี้ แต่เรื่องจริงก็คือเรื่องนี้ อภิสิทธิ์ทำได้ดีมากในช่วงวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรง

ความจริงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก บางคนอาจจะเกลียดอภิสิทธิ์ แต่ความจริงก็ยังคงมีความสำคัญ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ไม่ใช่ฆาตกร

ผมนับถือในความอดทนและสติปัญญาของเขา ถึงตอนนี้วันพรุ่งนี้เพื่อนคนเสื้อแดงของผมคงจะโกรธ แต่อย่างน้อยขอให้ผมได้พูดความจริง

ราชอาณาจักรไทยจงเจริญ!




-----------------------

ชี้เสื้อแดงส่วนใหญ่สงบ แต่แฝงด้วยกองกำลังติดอาวุธ

ต่อมาในช่วงบ่ายของวันที่ (15 ธ.ค.) ตามเวลาในประเทศไทย ไมเคิล ยอน ได้เขียนข้อความเพิ่มเติมลงในแฟนเพจ โดยระบุหัวข้อว่า คนไทยไม่ควรสู้กับคนไทย (Thai people should not fight Thai people) โดยระบุว่า เรื่องเหตุการณ์ความรุนแรงในปี 2553 เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับราชอาณาจักรไทย

“ผมนับถือกองทัพบกไทยนับตั้งแต่ช่วงนั้น เป็นที่ชัดเจนว่า กองทัพไม่ต้องการที่จะยิงผู้คน แต่พวกเขาจำเป็นที่จะต้องปกป้องกรุงเทพฯ ผู้ประท้วงเสื้อแดงส่วนใหญ่ประท้วงด้วยความสงบ แต่บางคนก็ใช้อาวุธอัตโนมัติ ระเบิดมือ และใช้ระเบิดทำลาย ห้องของผมเกือบถูกยิ่งด้วยจรวดอาร์พีจี (พลาดไปโดนห้องข้างบนห่างไปไม่กี่ชั้น) บางคนในคนเสื้อแดงเป็นทหารที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเชี่ยวชาญ คุณจะรู้สึกได้เลยว่า พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นทหารที่ออกรบจริงๆ ไมเคิล ยอน นักข่าวสงครามที่ในอดีตเคยเป็นทหารหน่วยรบพิเศษของกองทัพอเมริกันระบุ

พร้อมกันนี้ยอนยังได้เชื่อมโยงข้อมูลในแฟนเพจของเขาไปยัง รายงาน Even as the World Watched IV: Peaceful, or Pistol? ที่เขาบันทึกและถ่ายภาพเกี่ยวกับเหตุการณ์ประท้วงของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และการเข้าสลายการชุมนุมโดยกำลังทหารในเดือนพฤษภาคม 2553 ด้วย

http://astv.mobi/AbCPoO2


----------------------

คลิปไมเคิล ยอน สื่ออเมริกันให้สัมภาษณ์แก่ทีวีไทย เมื่อมิ.ย. 53 ถึงเหตุการณ์ สลายการชุมนุมปี 53

ซึ่งเขายืนยันว่า เขาเห็นชายชุดดำติดอาวุธ อยู่ในกลุ่มเสื้อแดงจริง ๆ เพราะมีรูปถ่ายยืนยัน

ซึ่งทหารไม่ได้ยิงกราดตามข้อกล่าวหาของเสื้อแดง เพราะหลังเหตุการณ์สงบ ไม่มีร่องรอยกระสุนตามตึกและถนนหนทาง เหมือนในอาฟานิสถานที่ทุกแห่งเต็มไปด้วยรอยกระสุน









"น้ำมันล้านขวด ก็ล้านลิตร กรุงเทพฯ จะเป็นทะเลเพลิง แม้แต่ศิริราชก็จะไม่เหลือในแผนที่"

ถ้าทหารไม่หยุดพวกอันธพาลที่ถอดเสื้อแดงออกตามคำสั่งแกนนำชั่ว วันนั้นกรุงเทพฯ ทั้งเมืองก็คงเป็นทะเลเพลิงไปแล้วจริง ๆ

ขอขอบคุณทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้นทุกท่านครับ

ใหม่เมืองเอก


--------------------------

เสื้อแดงมันชอบโทษว่า ทหารปลอมตัวมาเผา แต่สื่อนอกระบุ เสื้อแดงคือคนเผา แถมซวย ดันพลาดเผาตัวเอง !! 555

ทหารบ้านพ่อแม้วมึงน่ะสิ ผมรุงรัง มีรอยสักเต็มตัว

อ่านที่มาของรูป จากบทความของสื่อนอก คลิกที่นี่

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


เสื้อแดงได้ถอดเสื้อแดง ก่อนการสลายการชุมนุม

เมื่อมีรูปใครเผา นั่นไม่ใช่เสื้อแดง แต่พอตายปุ๊บ กลายเป็นเสื้อแดงทันที แต่สื่อนอกระบุ นี่คือ Red Shirt !!

---------------------------

เสื้อแดงมัดขวดระเบิดเพลิงหลายขวดขว้าง
ถามว่า ถ้ามีคนกำลังจะเผาบ้านคุณ แถมพวกมันเป็นอันธพาลพร้อมเข้าทำร้ายคุณ เป็นคุณจะเดินเข้าไปห้ามมัน หรือจะยิงมันเลย ?



บางครั้ง เจ้าของตึกรามบ้านช่องแถวนั้น เขาอาจยิงพวกอันธพาลเพื่อป้องกันบ้านเขาก็ได้ แต่พวกเสื้อแดงโบ้ยทุกศพไปที่ทหารหมด




แม้แต่เด็กเสื้อแดงก็เผาเมืองเป็น ถ้าไปขึ้นศาลโลก แกนนำเสื้อแดงแพ้แน่ เพราะทั้งโลกเขาไม่ยอมรับการมีเด็กเป็นกองกำลัง


คลิกอ่าน เมื่อนักข่าว BBC อ่อนหัดข้อมูลสัมภาษณ์อภิสิทธิ์



วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ธกส. คือหน่วยงานรับใช้นายทุนหลอกใช้คนไทย







ความจริงเรื่อง รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ ร่วมมือกับพวกนายทุน หลอกใช้เกษตรกรไทย ผมเขียนมาในหลายบทความ ซึ่งผมรู้นานแล้วว่า หน่วยงานที่หลอกให้เกษตรกรหลงเดินทางผิดมาตลอด คือ กระทรวงเกษครและสหกรณ์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์

เพราะ 2 หน่วยงานนี้ มันมีคำว่า สหกรณ์ อยู่ในชื่อทั้งกระทรวงและหน่วยงานแท้ ๆ แต่ทั้ง2 หน่วยงานมันไม่คิดสนใจส่งเสริมระบบสหกรณ์ให้เกษตรกรอย่างจริงจัง แต่กลับไปรับใช้นายทุนปุ๋ย ยา และพวกพ่อค้าคนกลางแทน

----------------------

ช่วยคิดช่วยทำ ตอน เลิกจนอย่างยั่งยืนเพราะเศรษฐกิจพอเพียง

เมื่อเช้าวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ผมดูรายการช่วยคิดช่วยทำ ตอนตี 5 คุณศิริบูรณ์ ได้พาไปพบเกษตรกรหญิงท่านนึง ชื่อคุณวิไลวรรณ ธานี อดีตผู้ใหญ่บ้านหญิงรางวัลแหนบทอง ที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี

ซึ่งคุณวิไล อดีตก็เคยยากจนมาก่อน ซึ่งต่อมาเธอมาทบทวนวิถีชีวิตชาวนาว่ามันเริ่มผิดพลาด มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และเธอได้ค้นพบว่า

ตั้งแต่พ.ศ.2516 มีหน่วยงานธกส. ได้เข้ามาสอนให้ชาวบ้านหักร้างถางพงเพิ่มขึ้น สอนให้ชาวนาเพื่มเนื้อที่ในการทำนาให้เพิ่มขึ้น ขยายจำนวนไร่เพิ่มขึ้น แนะนำทำเกษตรเชิงเดี่ยว

แถมธกส. ยังสอนให้ชาวบ้านใช้ปุ๋ยเคมีเพิมขึ้น เพราะมันเห็นผลเร็ว เพื่อให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อนำไปขาย แถมสอนให้ชาวบ้านหันมาใช้เครื่องทุ่นแรงมากขึ้น เช่นรถไถนาในการทำนา จนชาวบ้านก็เริ่มขายวัวควายทิ้ง

ตั้งแต่บัดนั้น ชาวนาทุกคนในพื้นที่ก็ไม่เคยเลิกจนอีกเลย เป็นหนี้ธกส. กันถ้วนหน้า  แถมมีหนี้สินทุกครัวเรือนมาตลอด ตั้งแต่รุ่นพ่อ ยันมารุ่นหลาน

คุณวิไล ยังบอกอีกว่า ทุกครั้งที่เกษตรกรจะกู้เงิน ธกส. เช่นกู้เงิน 10,000บาท ธกส.จะให้เงินแค่ 7 พันบาท อีก 3พันบาท ต้องซื้อปุ๋ยจากที่คนของธกส.แนะนำ 

(เรื่องนี้ผมก็เคยได้ยินจากเด็กที่บ้านที่ดูแลแม่ของผม ได้เล่าให้ฟังเหมือนกัน ว่าใครกู้ธกส. ต้องซื้อปุ๋ยเคมีที่ คนของธกส. แนะนำ)

เพราะปุ๋ยเคมี ยิ่งใช้ ยิ่งต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นทุกปี หนี้สินจากต้นทุนการเกษตรก็เพิ่มขึ้นทุกปีไปด้วย

ดังนั้นผู้คนในพื้นที่ก็เริ่มเห็นแก่ตัวมากขึ้น เพราะต่างคนก็ต่างจน ต่างคนก็ต่างมีหนี้สิน จิตใจดี ๆ ที่เคยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ที่เคยมีมาในอดีต ก็เริ่มหายไปจนหมด

แต่เมื่อคุณวิไลหันกลับมายึดแนวเศรษฐกิจพอเพียง เลิกเชื่อนายทุน นำโดยธกส.ว่า ต้องใช้รถไถนา เลิกเชื่อเรื่องการใส่ปุ๋ยเคมีลงในนา

คุณวิไลหันกลับมาทำนาตามรุ่นปู่รุ่นย่าเคยทำ  ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีใหม่ (เกษตรประณีต) พร้อมทั้งหัดทำบัญชีครัวเรือนทุกวัน ทำและคิดแบบที่ในหลวงทรงสอน คือทำเพื่อกินก่อน ไม่ใช่ทำเพื่อขาย

ตั้งแต่บัดนั้นที่คุณวิไลเชื่อในหลวง คุณวิไลเธอก็เลิกจน ปลดหนี้ได้ ครอบครัวมีรายได้อย่างต่ำๆ เดือนละ 7 หมื่นบาท (เฉลี่ยจากรายได้ทั้งปี)

แถมเงินที่ใช้เพื่อซื้ออาหารในแต่ละวันก็น้อยมาก เพราะหาได้จากเรือกสวนในนาของเธอเอง

หากใครไม่เชื่อ หรือยังไม่เข้าใจ ก็ดูคลิปรายการตอนนี้ได้ครับ




--------------------------

แนะนำบทความเก่าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ความล้มเหลวของชาวนาไทยจากแผนเศรษฐกิจฯ ฉบับที่1 

บทความนี้เป็นบทความแรกของผม ที่ได้อธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเกษตรกรว่า ชาวนาโดนหลอกจากแผนของรัฐบาลอย่างไร สภาพพื้นที่นา ต้องโดนแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร ลองอ่านนะครับ ง่ายๆ และเห็นภาพเลย


-----------------------

ใครคือตัวตันเหตุ ความยากจนของเกษตรกรไทย

บทความนี้คุณจะเข้าใจว่า ไอ้ตัวต้นเหตุ มันคิดอย่างไร ถึงต้องหลอกให้เกษตรกรไทยยากจนทั้งชาติ

--------------------------

สวนลุงนิล มหัศจรรย์เศรษฐกิจพอเพียง

บทความนี้ นำเสนอเรื่องราวของชาวสวนที่เลิกเป็นหนี้ร่วม 3 ล้าน จากการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง จนมีรายได้ปีนึงๆ ร่วมๆ 10 ล้านบาท

-----------------------

ทำไมชาวนาอินเดียถึงยากจน เหมือนชาวนาไทย

บทความนี้ ชี้ให้เห็นว่า ชาวนาอินเดีย กับชาวนาไทย มีรากเหง้าแห่งความยากจนเหมือนกัน

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความตกต่ำยากจนของ เฮคเตอร์ คามาโช







เฮคเตอร์ คามาโช (Hector Camacho) อดีตนักมวยดังระดับโลก เมื่อกว่า 20 ปีก่อน ได้เสียชีวิตจากการถูกลอบยิง ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน

ซึ่ง คามาโช โด่งดังมาจากสไตล์การชกที่ดุเดือดสะใจแฟนๆ เพราะออกหมัดรวดเร็วมาก แถมมีลีลายียวนกวนโอ๊ย เรียกความสนใจจากแฟนมวยได้มาก จนแฟนหมัดมวยหลายคนก็ออกอาการหมั่นไส้เขาจำนวนมากเช่นกัน

ทีนี้ มีบทความจากมติชน เขียนโดยคุณพิศณุ นิลกลัด ได้พูดถึงความตกต่ำของคามาโช และนักกีฬาร่ำรวยในวงการอื่น ๆ ว่า

ทำไมอยู่ ๆ จากที่ร่ำรวยมหาศาล กลับกลายเป็นตกยาก ในเวลาไม่กี่ปีหลังเลิกเล่นกีฬา

ซึ่งเป็นบทความที่ให้ข้อคิดได้ดีทีเดียว



-----------------------------

พิศณุ นิลกลัด : เหตุผลที่นักกีฬาเศรษฐีหมดตัว


มพากย์มวยชิงแชมป์โลกให้ทีวีช่อง 7 มาตั้งแต่ปี 2530 ทำให้มีโอกาสอ่านเรื่องราวของนักมวยเอกของโลกตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างเยอะ

อ่านทั้งประวัติครอบครัว ประวัติชีวิต ความฝัน ความมุ่งมั่น ความสำเร็จ รวมถึงความล้มเหลวของนักมวยระดับสุดยอดของโลกในแต่ละยุค

การได้อ่านมาก ได้พากย์บ่อย ทำให้เกิดความสนิทสนมรักใคร่โดยที่ไม่เคยพบหน้ารู้จักกัน

ผมไม่เคยไม่ชอบนักมวยที่พากย์แม้แต่คนเดียว มีแต่ชอบมากหรือชอบน้อย

นักมวยบางคนผมพากย์บ่นบ้าง เขียนติบ้างก็ไม่ใช่เพราะเกลียด

บ่น-ติเพราะไม่ถูกใจหรือเห็นว่าเขาทำไม่ถูกมากกว่า

ก็เพราะความ "สนิทสนมรักใคร่" เพราะเห็นกันมานานนี่แหละ เวลาได้ยินข่าวนักกีฬาตกอับหรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพราะดำเนินชีวิตผิดพลาด ผมรู้สึกเศร้าใจทุกครั้ง


เฮกเตอร์ คาร์มาโช อดีตนักมวยชาวเปอร์โตริกัน แชมป์โลก 3 สถาบันรุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวต ไลต์เวต และ ไลต์เวลเตอร์เวต ช่วงปี 1983-1991 เพิ่งเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ขณะอายุ 50 ปี

คามาโชถูกยิงที่ใบหน้าเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน บาดเจ็บสาหัสและมีชีวิตอยู่ด้วยเครื่องช่วยหายใจ หลังจากครอบครัวตัดสินใจให้ถอดเครื่องช่วยหายใจออก คามาโชก็สิ้นลม

ตอนนี้ยังจับตัวมือปืนไม่ได้ ตำรวจสันนิษฐานว่าการฆาตกรรมมีสาเหตุเกี่ยวพันกับยาเสพติด เพราะในรถยนต์ที่คามาโชนั่งด้านข้างคนขับขณะถูกยิง พบโคเคนอยู่หลายถุง

สมัยเป็นแชมป์โลก คามาโชใช้ชีวิตหรูหรา ฟุ่มเฟือย เสื้อคลุมขณะเดินขึ้นเวทีและกางเกงชกมวยปักเลื่อมสั่งทำพิเศษของเขานั้น ราคาประมาณ 8,000 ดอลลาร์ หรือ 320,000 บาท

ค่าตัวสูงที่สุดในอาชีพนักมวยของคามาโช คือ 3 ล้านดอลลาร์ตอนชกกับ ออสการ์ เดอ ลา โฮยา ในปี 1997 ซึ่งคามาโชแพ้คะแนนอย่างเอกฉันท์

คามาโชเคยมีเงินมหาศาล แต่หมดตัวเพราะติดยาเสพติดและบริหารจัดการไม่เป็น เขาขาดเงินถึงขั้นตัดสินใจปล้นร้านคอมพิวเตอร์และถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 7 ปี แต่ศาลลดโทษเหลือแค่รอลงอาญาด้วยเห็นว่าก่อเหตุปล้นขณะอยู่ในอาการเมายาเสพติด

แต่ไม่กี่วันให้หลังเขาทำผิดเงื่อนไขรอลงอาญา เลยถูกส่งเข้าคุก 2 สัปดาห์

คามาโชไม่ใช่นักกีฬาคนแรกและคนสุดท้ายที่ชีวิตจบลงอย่างน่าเศร้าหลังหมดยุครุ่งเรือง

เมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา ช่องกีฬา ESPN ได้เสนอสารคดีเรื่อง Broke หรือ ถังแตก แสดงเรื่องราวน่าสนใจของนักกีฬาที่เคยร่ำรวยมหาศาล แต่ปัจจุบันสิ้นเนื้อประดาตัว

จากสถิติพบว่า นักบาสเกตบอล NBA จำนวน 60 เปอร์เซ็นต์ หมดตัวหลังจากเลิกเล่นได้ 5 ปีทั้งๆ ที่โดยเฉลี่ย นักบาสเกตบอล ได้เงินฤดูกาลละ 5.15 ล้านดอลลาร์ หรือ 155 ล้านบาท

ส่วนนักอเมริกันฟุตบอล NFL จำนวน 78 เปอร์เซ็นต์หมดตัวหลังจากเลิกแข่งเพียง 2 ปี

โดยเฉลี่ย นักอเมริกันฟุตบอล NFL ได้ค่าตัวฤดูกาลแข่งขันละ 1.1 ล้านดอลลาร์ หรือ 33 ล้านบาท

"สูตรสำเร็จ" แห่งความล้มเหลวของนักกีฬาอาชีพ คือ ซื้อบ้านหลายหลัง ซื้อรถราคาแพงมากหลายคัน ซื้อเครื่องเพชรเต็มตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักกีฬาแอฟริกันอเมริกัน เครื่องเพชรชิ้นโตหรือที่มีศัพท์แสลงเรียกสั้นๆ ว่า บลิง (Bling) เป็นเครื่องแสดงสถานภาพของนักกีฬา

นักกีฬาในทีมเดียวกันก็แข่งกันเองว่าใครมีเพชรเม็ดโตกว่ากัน ลานจอดรถของทีมจึงกลายเป็นลานประชันความฟู่ฟ่าว่ารถใครราคาแพงกว่ากัน

ถามว่า นักอเมริกันฟุตบอล NFL กับนักกีฬา NBA ใครขี้อวดกว่ากัน คำตอบก็คือ นักอเมริกันฟุตบอล

เหตุผลก็เพราะนักอเมริกันฟุตบอลมีอาการที่คนตั้งชื่อล้อเลียนว่า Helmet Syndrome เนื่องจากขณะที่กำลังแข่งขันอยู่ในสนาม นักอเมริกันฟุตบอลต้องสวมหมวกกันน็อก เวลาถ่ายทอดโทรทัศน์ ผู้ชมก็ไม่ค่อยคุ้นหรือไม่เคยเห็นหน้ายกเว้นแต่นักกีฬาคนดังๆ พอเวลาอยู่นอกสนามจึงต้องอวดรวยเต็มที่เพื่อที่ตัวเองจะได้เป็นที่สนใจ ไปไหนมาไหนต้องมีผู้ติดตามเป็นสิบๆ คน

หลังเลิกราจากการเป็นนักกีฬาอาชีพในวัยเพียง 30 ต้นๆ นักกีฬาเหล่านี้ก็บริหารจัดการเงินไม่เป็นเพราะร่ำรวยภายในเวลาพริบตาขณะอายุ 20 กว่าๆ มีทั้งลงทุนผิดพลาด ผู้จัดการส่วนตัวที่จ้างให้มาดูแลทรัพย์สินโกง

นักกีฬาที่หมดตัวทุกคนเคยคิดเหมือนกันหมดว่าเรื่องอย่างนี้ไม่มีวันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

มติชนออนไลน์



คลิกอ่าน สันดาน หว่อง พิสิทธิ์ รายการ คอข่าว