วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สาเหตุที่เซ็นทรัลเวิร์ล ยอมติดป้ายเบอร์ 9







ก็เป็นข่าวธรรมดาๆ นะ แต่พวกฟายแดงมันกระดี๋กระด๊า ใช้ตรรกะควายๆ ว่า

ถ้าเสื้อแดงเผาเซ็นทรัลเวิร์ลจริง ห้างเขาจะยอมให้ติดป้ายเชียร์พงศพัศเหรอ ?

เพียงแค่นี้ก็เห็นตรรกะความโง่ของพวกฟายแดงแล้ว ?

ขึ้นชื่อว่านักธุรกิจ เขาคงไม่เอาเรื่องการเมืองมาทำให้ธุรกิจเขาต้องเสียหายซ้ำสองอีกรอบ หรอกครับ

ก็ความชั่ว ความถ่อย ของฟายแดงมันมีมากขนาดไหนใคร ๆก็รู้

ว่าแต่ ถ้าแน่จริงให้ไอ้เสาไฟฟ้ากับอีปู ไปหาเสียงตัวเป็นๆ ที่เซ็นทรัลเวิร์ลหน่อยสิ จะจ๊าบสุดๆ เลย 5555




และสาเหตุที่เซ็นทรัลเวิร์ลต้องติดป้ายหาเสียงเบอร์ 9  (ถ้าเป็นป้ายจริง)

ก็เพราะ

1. ก็ได้เงินค่าติดป้าย ใครจะไม่เอาล่ะ

2. ไม่ต้องการประกาศตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพวกแดงถ่อยเผาเมือง

3. ก็ตามรูปข้างล่าง 5555







แค่โดนพวกฟายแดงขี้ตกใจ เข้าไปลักทรัพย์ของแบรนด์เนมในห้าง ห้างเขาก็เข็ดจะตายห่าอยู่แล้ว

แล้วถ้าต้องโดนเผาห้างอีกรอบ ใครเขาอยากจะเสี่ยงเล่า

สโลแกนของไอ้เสาไฟฟ้า ล่าสุด ถ้ามันไปหาเสียงที่เซ็นทรัลเวิร์ล 

"ถ้าไม่อยากให้ห้างโดนเผารอบ 2 ต้องเลือกเบอร์ 9 นะครับ"


--------------------


ไอ้เต้น กูว่ามึงบอกฟายแดงไปเผาบ้านไอ้เหลิม ก่อนดีกว่าว่ะ 555


เพราะไอ้เหลิม บอกไอ้เสาไฟฟ้า มันเบอร์ 4 ว่ะ






คลิกอ่าน พวกล้มเจ้า พวกเผาเมือง เลือกพงศพัศ !!


วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปัญหาภาคใต้ยังระอุ ยิ่งลักษณ์ระรื่นที่พารากอน !!







พาดหัวข่าวหน้า 1 มติชนฉบับวันอาทิตย์ที่ 17 ก.พ. ก็ยังเกี่ยวกับปัญหาการก่อการร้ายรุนแรงต่อเนื่องทางใต้่

แต่พาดหัวมาประชิดติดกับความอ้อล้อระรื่นชื่นบานของนายกยิ่งลักษณ์ขณะช่วยเสาไฟฟ้า หุ่นเชิดตัวใหม่พอดิบพอดี ช่างได้อารมณ์สะตอของนายกปูมาก 5555






วันอาทิตย์วันหยุด ยิ่งลักษณ์เลยพาพงศพัศไปหาเสียงที่สยามพารากอน ที่รอดจากการโดนเผาในปี53 ซึ่งผมก็กำลังรออยู่ว่า เมื่อไหร่คู่นี้จะไปหาเสียงที่เซ็นทรัลเวิร์ลสักที จะได้มีสโลแกนหาเสียงว่า

"ถ้าไม่อยากให้เซ็นทรัลเวิร์ลโดนเผาอีกรอบ เลือกพงสพัศ"






ที่แท้ ยิ่งลักษณ์ไปสยามพารากอนด้วยเหตุผลบางประการ 5555




-------------------------

เก็บตกหวยล็อคพงศพัศ

ปู จูดี้ โชว์ใบ้หวยก่อนล็อค



แล้วการล็อคก็ซื้อใจคนได้จริง ๆ 5555





ชาวบ้านเขาฝากบอกมาว่า อยากขอพิสูจน์ ว่า

ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ คิดว่า เบอร์ 9 พงศพัศ ดีจริง เจ๋งจริง

งวดหน้าก่อนเลือกตั้ง 2 วัน ขอ 09 บน สักงวดเถอะ 5555


คลิกอ่าน รวมรูปน่ารักยื่งลักษณ์ ในวันวาเลนไทน์


วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รวมรูปน่ารักของยิ่งลักษณ์ เนื่องในวันวาเลนไทน์







ยิ่งลักษณ์ไปเชียงราย แล้วก็แวะไปโครงการหลวง

หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ได้ประทานดอกกุหลาบโครงการหลวงให้แก่นายกฯ เนื่องในวันวาเลนไทน์ 14 ก.พ. 2556



(อีนี่ สวาปามไม่เลือกจริง ๆ 555)



แล้วยิ่งลักษณ์ก็ได้เจอมิสเวิร์ล เมื่อความงามมาปะทะความโง่ 555







ยิ่งลักษณ์เธอเป็นนายกหญิงที่มีรูปปากที่ซวยได้รูปมากๆ 5555





เมื่อยิ่งลักษณ์ไปเยือนเชียงราย ก็มีกลุ่มประชาชนนำเรื่องร้องเรียนมาให้เพียบ

จนยิ่งลักษณ์ต้องร้องยู้ฮู!!






ท้ายสุด ขอจบด้วยช่วงหาเสียงระหว่างยิ่งลักษณ์กับพงศพัศ ผมว่าสองคนนี้สงสัยอาจมีซัมติ้งรอง ฝึกท่ายาก เข้าสักวัน 555





วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เหตุผลที่ดร.โกร่งและกิตติรัตน์ อยากลดอัตราดอกเบี้ยลง







ช่วงนี้เป็นช่วงที่เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาในระบบเศรษฐกิจไทยเป็นจำนวนมาก นักเศรษฐศาสตร์โบราณ อย่างดร.โกร่ง นายวีรพงษ์ รามางกูร กับ ขี้ข้าทักษิณ อย่างนายกิตติรัตน์ รมว.คลัง มีความพยายามจะบีบให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศ เพื่อชะลอการไหลเข้าของเงินต่างชาติ จนเป็นผลให้ค่าเงินบาทแข็งนั้น

สำหรับผม เคยเขียนบทความในเรื่องนี้มาครั้งนึงแล้ว ซึ่งอาจต้องเขียนอีกว่า ทำไม 2 คนนี้ถึงอยากจะให้ลดอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายลงนักหนา แต่ก่อนที่ผมจะเขียนอีก อยากแนะนำให้อ่านบทความนี้จาก ASTV เขาเขียนได้ดีทีเดียวครับ

คลิกอ่าน มุมมองสั้น akecity ค่าเงินบาทแข็ง คิดลดดอกเบี้ย คือมาตรการห่วยแตก 

----------------------------------

โค้งสุดท้ายของวีรพงษ์ รามางกูร

เหลือเวลาอีกเพียง 6 เดือน นายวีรพงษ์ รามางกูร ก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เพราะจะมีอายุครบ 70 ปี หมดวาระการดำรงตำแหน่ง ตามข้อกำหนดของ พระราชบัญญํติธนาคารแห่งประเทศไทย

หกเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2555 ภารกิจหลักที่นายวีรพงษ์ จะต้องทำให้ได้ ยังไม่สำเร็จสักอย่าง ภารกิจทีว่านี้ ได้แก่ การตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ หรือ SWF –Sovereign Wealth Fund โดยใช้เงินทุนสำรองที่แบงก์ชาติดูแลอยู่ การกดดันให้แบงก์ชาติเลิกการใช้เป้าหมายเงินเฟ้อ เป็นกรอบการดำเนินนโยบายการเงิน ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนแทน และการให้แบงก์ชาติใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำ

ที่ว่า เป็นภารกิจของนายวีรพงษ์ ก็เพราะว่า ทั้งสามเรื่องนี้เป็นเรื่องที่นายวีรพงษ์เคยวิพากษ์วิจารณ์แบงก์ชาติอย่างรุนแรง ถึงขั้นที่ว่า แบงก์ชาติจะเป็นตัวการทำให้เศรษฐกิจของชาติฉิบหาย ดังนั้น เมื่อนายวีรพงษ์เข้ามาเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ จึงเป็นที่คาดหมายว่า จะต้องผลักดันเรื่องเหล่านี้ให้สำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ที่เป็นความต้องการของ นช.ทักษิณ ชินวัตร

หกเดือนผ่านไป นายวีรพงษ์ไม่สามารถผลักดันภารกิจเหล่านี้ให้สำเร็จได้จะมีก็เพียงเรื่องการลดดอกเบี้ยเท่านั้น ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ซึ่งมีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นประธาน มีมติด้วยเสียง 5 ต่อ 2 ลดดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 3 ลงมาเหลือ 2.75 ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2555 หลังจากที่ยืนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 มาตั้งแต่ต้นปี 2555

แต่การประชุม กนง.ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 9 มกราคมปีนี้ กนง.มีมติเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 3 ต่อไป เพราะเป็นห่วงเรื่องการขยายตัวของสินเชื่อและหนี้ครัวเรือน

ใครตกที่นั่งเดียวกับนายวีรพงษ์คงต้องร้อนอกร้อนใจ เพราะเวลาของตัวเองใกล้จะหมดแล้ว ภารกิจที่รับอาสามายังไม่สำเร็จสักอย่าง และคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง อะไรที่ว่านั้น คือการเขย่าเก้าอี้ผู้ว่าแบงก์ชาติ ด้วยการยกเรื่องดอกเบี้ยขึ้นมาอัดแบงก์ชาติอีกครั้ง ในจังหวะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากตั้งแต่ต้นปี

เงินบาทแข็งค่าทีไรเป็นธรรมเนียมที่ผู้ส่งออกจะต้องส่งเสียงร้องว่าไม่ไหวแล้วๆ พร้อมกับเรียกร้องให้แบงก์ชาติแทรกแซง และเป็นธรรมเนียมทุกครั้งเหมือนกันที่นายวีรพงษ์จะต้องออกมาโจมตีธนาคารแห่งประเทศไทยว่า ดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนผิดพลาด ทำให้ค่าเงินแข็ง การส่งออกจะพังพินาศ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่า สมมติฐานและความเชื่อของนายวีรพงษ์ผิด ค่าเงินบาทที่แข็งไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจไทยพินาศ การส่งออกยังทำได้ตามปกติ ยกเว้นการส่งออกข้าวซึ่งฉิบหายไปเพราะ นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลที่นายวีรพงษ์ไม่กล้าค้าน แม้จะไม่เห็นด้วย

เหตุผลที่จะอ้างมาอัดแบงก์ชาติในรอบนี้ว่า เป็นตัวการทำให้ค่าบาทแข็ง จึงต้องเปลี่ยนไปเป็นเรื่องดอกเบี้ย จากการที่แบงก์ชาติคงดอกเบี้ยสูง มีส่วนต่างกับดอกเบี้ยต่างประเทศมาก ทำให้ “เงินร้อน” ไหลเข้ามาแสวงหากำไร ทำให้ค่าเงินบาทแข็ง และทำให้แบงก์ชาติมีผลขาดทุนจากดอกเบี้ย เพราะต้องออกพันธบัตรดูดเงินบาทที่มีผู้นำเงินดอลลาร์มาแลกออกจากตลาด จึงเรียกร้องให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย ในการประชุมคณะกรรมการ กนง.ครั้งต่อไปในวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้

เงินบาทแข็งค่าขี้นครั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ทั่วไป ทั้งที่เป็นนักวิชาการ และนักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันการเงิน ต่างมีความเห็นสอดคล้องกันว่า เกิดจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินดอลลาร์ เพราะการอัดฉีดเม็ดเงินตามนโยบายQE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลใหม่ของญี่ปุ่นก็ประกาศว่า จะใช้นโยบายนี้เช่นกัน ทำให้มีเงินอยู่ในตลาดมากมายมหาศาล เงินทุนต่างชาติจำนวนมากนี้จึงไหลมาหากำไรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย

ในความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ การลดดอกเบี้ยไม่ได้ช่วยชะลอการไหลของเงินร้อนเหล่านี้ เพราะจะลดอย่างไร ส่วนต่างดอกเบี้ยไทยก็ยังสูงกว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อยู่ที่ร้อยละ 0.25 ดอกเบี้ยญี่ปุ่น 0.1% และดอกเบี้ยยุโรป 0.75%

มีแต่นายวีรพงษ์กับรัฐมนตรีคลัง นายกิตติรัตน์ ณ ระนองเท่านั้น ที่เชื่อว่า การลดดอกเบี้ยเป็นวิธีการสะกัดกั้นเงินร้อนจากต่างชาติ

แต่นายประสารกลับเห็นว่า การลดดอกเบี้ยจะทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น และการจะขึ้นหรือลดดอกเบี้ย ควรจะสะท้อนภาวะเศรษฐกิจไทย ไม่ใช่สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐ ญี่ปุ่น หรือยุโรป

พฤติกรรมของนายกิตติรัตน์ที่รับลูกต่อจากนายวีรพงษ์ด้วยการส่งจดหมายถึงนายวีรพงษ์ ในฐานะประธานบอร์ดแบงก์ชาติ คาดโทษกรรมการแบงก์ชาติทุกคนว่าจะต้องรับผิดชอบหากเศรษฐกิจไทยพัง เพราะแบงก์ชาติไม่ลดดอกเบี้ย และหลังจากนั้นนายวีรพงษ์ก็เล่นตามบท ด้วยการอ่านจดหมายให้ที่ประชุมบอร์ดฟัง หลังจากนั้นสั่งให้เลขานุการบอร์ด ไปรวบรวมข้อมูลมาว่า ประธารบอร์ด และบอร์ดเคยแนะนำให้ผู้ว่าแบงก์ชาติทำอะไรบ้างและให้รวบรวมตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้น

การจัดฉากเล่นละครของสองผู้นำองค์กรที่กำหนดนโยบายสูงสุดด้านการเงินการคลังของชาตินั้น ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การประชุมคณะกรรมการ กนง. ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ลดดอกเบี้ยเท่านั้น แต่เพื่อปูทางไปสู่การปลดนายประสารออกจากตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติ เพราะตาม พ.ร.บ.แบงก์ชาติ มาตรา 29 รัฐมนตรีคลังสามารถเสนอให้ ครม.ปลดผู้ว่า แบงก์ชาติได้ ตามคำเสนอของคณะกรรมการ ธปท. แต่ต้องแสดงเหตุผลว่า ผู้ว่าฯ มีข้อบกพร่องร้ายแรงอย่างไร

จดหมายคาดโทษบอร์ดแบงก์ชาติของนายกิตติรัตน์ที่ส่งไปให้นายวีรพงษ์อ่านให้บอร์ดฟัง และการที่นายวีรพงษ์สั่งให้เลขานุการบอร์ดรวบรวมข้อเสนอที่บอร์ดเคยเสนอต่อนายประสารทำนั้น ก็คือลูกไม้เดียวกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ใช้ย้ายพลตำรวจเอกวิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้พี่เมียทักษิณมาเป็นแทน โดยการสร้างกระแสข่าวเรื่องเรื่องการปล่อยให้มีบ่อนการพนันและยาเสพติดนำร่องปูทางไปก่อน

ตลอดระยะเวลาที่นายวีรพงษ์และนายกิตติรัตน์เข้ามามีตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลนี้ทั้งสองคนนี้แม้ว่าจะมีอำนาจทางการเมืองหนุนหลัง มีสื่อเป็นพวก แต่ไม่สามารถสยบนายประสารลงได้ ยามใดที่มีความเห็นต่างกันในเรื่องการดำเนินงานของแบงก์ชาติ คำอธิบายของนายประสารนั้นมีเหตุผล มีข้อเท็จจริงรองรับ และเมื่อเวลาผ่านไปพิสูจน์ได้ว่าถูกต้อง

ในขณะที่เหตุผลของนายวีรพงษ์กับนายกิตติรัตน์นั้นกำกวม ผิดไปจากข้อเท็จจริง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอย่างนายประสารยืนอยู่ได้ท่ามกลางพายุลมแรง จากฝ่ายการเมืองที่ต้องการเขี่ยเขาให้พ้นทาง

ทั้งนายวีรพงษ์และนายกิตติรัตน์ซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบายการเงินการคลังนั้นต่างก็เป็นผู้เล่นที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการกำหนดนโยบายการเงินการคลัง

 เพราะนายวีรพงษ์เป็นประธานกรรมการบริษัทดับเบิลเอ ธุรกิจกระดาษในเครือสุ่นหัวเซ้ง เป็นประธานบริษัททางด่วนกรุงเทพธุรกิจในเครือ ช.การช่าง การลดดอกเบี้ยย่อมทำให้เอกชนได้ประโยชน์ ทั้งทางตรงในเรื่องของต้นทุนทางการเงินและทางอ้อมในเรื่องการกระตุ้นการบริโภค

นายกิตติรัตน์ทำมาหากินอยู่ในตลาดทุนมาโดยตลอด บริษัทยูนิเวนเจอร์ซึ่งน้องสาวนายกิตติรัตน์เป็นซีอีโอ แม้จะไม่มีชื่อนายกิตติรัตน์ถือหุ้น แต่คนในตลาดหุ้นก็รู้ว่า บริษัทนี้เป็นของนายกิตติรัตน์ นายเจริญ ศิริวัฒนาภักดี ก็รู้ จึงเข้าไปร่วมทุนเป็นผู้ถิอหุ้นใหญ่ เพราะเห็นว่ายูนิเวนเจอร์มีสินทรัพย์ที่มีค่าคือเป็นบริษัทของรัฐมนตรีคลัง มีน้องสาวรัฐมนตรีเป็นผู้บริหาร

ยูนิเวนเจอร์เป็นกิจการโฮลดิ้งคัมปะนี ด้านอสังหาริมทรัพย์ใช้กลยุทธ์ การซื้อกิจการ เพื่อขยายสินทรัพย์ซึ่งเป็นกลยุทธ์การเงินที่นายกิตติรัตน์มีความชำนาญตั้งแต่สมัยอยู่ในกลุ่มฟินวัน ของนายปิ่น จักกะพาก อัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งในการกำหนดกลยุทธ์!!

ในจดหมายคาดโทษโยนความผิดให้บอร์ดแบงก์ชาติที่นายกิตติรัตน์ส่งถึงนายวีรพงษ์นั้น ข้อมูลบางอย่างผิด เช่น การขาดทุนสะสมของ ธปท.จะกลายเป็นความเสียหายต่อเศรษฐกิจหรือหนี้สาธารณะ

เรื่องนี้ นายธีรชัย ภูวนารถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีคลังเขียนในเฟซบุ๊กของเขา เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ว่า การขาดทุนของแบง์ชาติไม่ถือเป็นหนี้สาธารณะ ทั่วโลกถือปฏิบัติกันเช่นนี้

นายธีรชัยยังเขียนอีกว่า การประชุม ครม.เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2544 นายกิตติรัตน์ซึ่งเป็นรองนายกฯ เสนอให้โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 1.14 ล้านล้านบาท เป็นภาระของแบงก์ชาติ เพราะแบงก์ชาติฐานะดีขึ้นแล้ว แต่นายธีรชัยซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีคลังคัดค้าน

“ในวันนั้น สมมติหากคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้โอนหนี้กองทุนฟื้นฟู ฯไปให้แบงก์ชาติตามที่นายกิตติรัตน์เสนอจริงๆ ผลขาดทุนของแบงก์ชาติในวันนี้จะไม่ใช่ 400,000 ล้านบาทนะครับ แต่จะเป็น 1.5 ล้านล้าน"

“ถ้าในวันนั้น นายกิตติรัตน์ไม่ได้กังวลที่แบงก์ชาติจะขาดทุนบานเบิกออกไป ถึงระดับ 1.55 ล้านล้าน ทำไมวันนี้กลับจะมากังวลกับตัวเลขขาดทุน เพียง 400,000 ล้าน ผมไม่เข้าใจ” นายธีรชัย เขียนตบท้ายในเฟซบุ๊ก

จดหมายของนายกิตติรัตน์ยังแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยบริษัทในตลาดหุ้น ซึ่งมียูนิเวนเจอร์ของเขารวมอยู่ด้วย ข้อความตอนหนึ่งระบุว่า

“ประเด็นสำคัญอีกประการคือ การดำเนินนโยบายแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า หรือลดกระแสการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศลง จะต้องไม่กระทบผลร้ายแรงเหมือนในอดีต หาก ธปท.ดำเนินการใดๆ โดยไม่หารือจนเกิดความเสียหายรุนแรงก็จะแก้กฎหมายที่กำหนดอำนาจหน้าที่ของ ธปท. ทันที”

ผลร้ายแรงในอดีตนั้น นายกิตติรัตน์หมายถึงมาตรการ 30% ที่แบงก์ชาติสมัยนางธาริษา วัฒนเกษ เป็นผู้ว่าฯ เคยใช้เพื่อชะลอการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดหุ้น

นายกิตติรัตน์ทำให้คนเข้าใจว่า มีแต่แบงก์ชาติเท่านั้น ที่มีหน้าที่สกัดกั้นการไหลเข้ามาของเงินทุนระยะสั้นจากต่างชาติ หรือ Hot Money และต้องใช้การลดดอกเบี้ยเท่านั้น

แต่ความจริง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีหน้าที่และมีอำนาจในการสกัดกั้น Hot Money ด้วย โดยใช้นโยบายการคลัง คือ การเก็บภาษีเงินที่ไหลเข้ามากินส่วนต่างดอกเบี้ย ในตลาดตราสารหนี้และตลาดเงิน แต่ทำไมนายกิตติรัตน์ไม่ทำ เพราะมันจะกระทบกับตลาดเงินที่เป็นหม้อข้าวของเขา

ประเทศไทยมีรัฐมนตรีกระทรวงการคลังเช่นนายกิตติรัตน์นี่เอง สถาบันการจัดอันดับเครดิตสองในสามแห่งของโลก คือ มูดี้ส์ กับ เอสแอนด์พี จึงไม่ปรับเครดิตประเทศไทย ทั้งๆ ที่นายกิตติรัตน์ออกข่าวก่อนล่วงหน้าแสดงความเชื่อมั่นว่าไทยจะได้ปรับเครดิต อุตส่าห์ลงทุนไปหาเขาถึงบ้าน มูดี้ส์ กับเอสแอนด์พี ให้เหตุผลว่าไทยมีความเสี่ยงเรื่องหนี้สาธารณะ และปัญหาการเมือง ส่วนฟิทช์ เครดิตเรตติ้ง ยังไม่ประกาศผลการจัดอันดับ แต่คาดว่าคงไม่ปรับให้เช่นกัน

มุมมองของมูดีส์และเอสแอนด์พี สะท้อนความไม่มั่นใจในฝีมือการบริหารจัดการเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย นายกิตติรัตน์คาดโทษบอร์ดแบงก์ชาติว่าต้องรับผิดชอบถ้าเศรษฐกิจไทยพัง กรณีที่เกิดขึ้นแล้วคือสถาบันจัดอันดับเครดิตไม่เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย นายกิตติรัตน์จะโทษใครดี

นายวีรพงษ์มีเวลาอีกหกเดือนเท่านั้น ภารกิจสำคัญหลายอย่างที่เขาอาสามาทำ ยังไม่สำเร็จสักอย่าง เพราะไม่สามารถฝืนความเป็นจริง และหลักการเหตุผลของผู้ว่าแบงก์ชาติคนปัจจุบันได้ วิธีการที่นายวีรพงษ์กับนายกิตติรัตน์ทำกับแบงก์ชาติขณะนี้ คงได้แรงบันดาลใจมาจากนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่กดดันแบงก์ชาติญี่ปุ่นให้เปลี่ยนนโยบายการเงิน ให้มีลักษณะผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2555 นายวีรพง์ รามางกูร ให้คำมั่นต่อคณะกรรมาธิการการเงินการคลังการธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา โดยมีสื่อมวลชนและคณะศิษย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนร่วมรับฟังอยู่ด้วย หนึ่งในคำมั่นเหล่านั้นคือ

“ไม่ว่าผู้ว่าแบงก์ชาติจะเห็นด้วยกับแนวความคิดของตนในที่สุดหรือไม่ จะไม่ถือว่าเป็นความผิดพลาดบกพร่องของผู้ว่าแบงก์ชาติ จนนำไปสู่การประเมินของบอร์ดแบงก์ชาติตามมาตรา 25(1) ว่า ผู้ว่าแบงก์ชาติบกพร่องอย่างร้ายแรงอันเป็นฐานนำไปสู่การปลดผู้ว่า แบงก์ชาติ ตามมาตรา 28/ 19 ( 5)”


ที่มา http://astv.mobi/Azu0EVE

------------------------

ถ้าคุณผู้อ่าน ได้อ่านบทความนี้โดยละเอียด ก็จะรู้ว่า ทั้งดร. โกร่ง และนายกิตติรัตน์ ไม่ได้เห็นแก่หนี้ครัวเรือนของประชาชนเลย เพราะทั้ง 2 คนนี้มีผลประโยชน์ทับซ้อนในธุรกิจที่พวกเขาได้ผลประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ยลง นั่นเองครับ

นักการเมืองไทยมันเลวกันจริงๆ


วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ย้อนดูวีรเวรของไอ้เหวงและความชั่วแกนนำแดงในปี 2552








การก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองโดยกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันสงกรานต์2552  ซึ่งจากข่าวที่ปรากฏทั้งทางสื่อไทยและสื่อเทศ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็ชัดเจนอยู่แล้ว

แต่แกนนำคนเสื้อแดงตลอดจน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ยังคงพยายามบิดเบือนว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถูกจัดฉาก โดยรัฐบาลเพื่อทำลายชื่อเสียงของคนเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นการเผารถเมล์ การบุกไปกระทรวงมหาดไทย หรือแม้กระทั่งการโกหกว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในรถขณะคนเสื้อแดงไล่ทุบ

อย่างไรก็ตาม จากวิดีโอคลิปต่อไปนี้ซึ่งมีการบันทึกไว้โดยทีวีของกลุ่มคนเสื้อแดงเองและฟรีทีวีทั่วไป พิสูจน์อย่างชัดเจนว่าเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงวันสงกรานต์นั้น มาจากการสั่งการของแกนนำคนเสื้อแดงเอง


1.คำสั่งบุกมหาดไทยขัดขวางนายกรัฐมนตรี โดย นายสุพร อัตถาวงศ์ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย วันที่ 12 เมษายน 2552

“พี่น้องครับ ตอนนี้เนี่ย คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับคณะรัฐมนตรี จะมีการแถลงข่าว ประกาศ คาดว่า จะประกาศ พระราชกำหนดฉุกเฉิน ที่นี่ ที่ทำเนียบแห่งนี้ ตอนนี้จะมีการแถลงข่าวที่กระทรวงมหาดไทย เราจำเป็นที่จะต้องไม่ให้มีการแถลงข่าวก่อนพี่น้อง เราจำเป็นที่จะต้องไปขัดขวางไม่ให้มีการแถลงข่าว พี่น้องครับ ใครจะไป มหาดไทยนะครับ เดี๋ยวไปเจอกันหน้าที่พระบรมรูปทรงม้า เอ๊ย ที่สนามม้านางเลิ้งนะฮะ ไป รถจอดที่นั่นนะครับ เดี๋ยวผมพาไป ไปเหมือนเดิม เหมือนที่เราไป สตช.นะครับ ไปครับ คือวันนี้ถ้าเขาประกาศได้เนี่ย นั่นหมายถึงว่าเขาก็จะต้องสลายเราในวันนี้ นะครับ ดังนั้นเราต้องไปประกาศ เราต้องเข้าไปที่หมาดไทย แล้วไม่ให้มีการแถลงข่าวเด็ดขาด พี่น้องไปครับ เชิญครับ ผมไม่มีเวลาแล้วครับ พี่น้องใครจะไปเชิญเลย”


2.คำสารภาพ จะจับนายกรัฐมนตรี และโกหกว่ามีคนถูกยิง โดย นายสุพร อัตถาวงศ์ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย วันที่ 12 เมษายน 2552

พี่น้องมันใช้ปืนกลอูซี่ยิงพี่น้องเราตายไป 2 ศพ ส่งโรงบาลไปอีกศพพี่น้อง เนื่องจากเราเห็นตัวนายอภิสิทธิ์ เราบอกว่าเราจะต้องเอา นายอภิสิทธิ์ มาแลกกับ จตุพร กับ อริสมันต์ เราถึงจะยอม พอเราบุกจะไปจับตัว อภิสิทธิ์ มันก็รัวปืนกลใส่พวกเราเลยครับพี่น้องครับ ตอนนี้มันเอาศพของพี่น้องเอาไปเก็บไว้ไหน คนเจ็บมันเอาส่งโรงพยาบาลหนึ่งคน แต่เราจะต้องเข้าไปค้นหาศพ คนของเราให้ได้ใช่ไหมพี่น้องครับ พี่น้องครับ ขณะที่มันเล็งเป้ามาใส่ผมเนี่ย นะครับพอดีมีผู้หวังดีแล้วกระชากแขนผมลงจากรถ ผมเลยรีบมารายงานสถานการณ์เพราะติดต่อณัฐวุฒิไม่ได้ ผมมาขอกำลังไปสมทบ เดี๋ยวผมจะย้อนกลับไปเดี๋ยวนี้แหละพี่น้องครับ ตายเป็นตาย”


3.โฟนอินที่ทำเนียบรัฐบาล ปลุกคนต่อต้าน “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน”และหลอกว่าจะกลับมาถ้าจำเป็น โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น 12 เมษายน 2552

“แต่วันนี้เนี่ย ประกาศภาวะฉุกเฉินทั้งๆ ที่ ทำร้ายร่างกายประชาชน จน แล้วก็มีการ เอ่อ..ยิงประชาชนด้วยนะฮะ ไม่ต้องตกใจเรื่อง พ.ร.ก.ในฐานะที่ผมออกมาเองนี่ ผมเป็นคนออกตรงนี้เพื่อจะใช้กับภาคใต้ ก็วัตถุประสงค์ก็คือว่า กรณีที่ เอ่อ...ที่ ที่ ที่จะจับกุมใครเนี่ย ที่ว่าจะจับไว้ 7 วันมันต้องให้ผ่านศาล ต้องไปขออนุญาตศาล ศาลต้องโอเค ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ เดินไป เฮ้ย..ผมไม่ชอบหน้าคุณ ผมจะจับ แล้วก็ต้องคิดว่าความผิดที่กระทำต้องเป็นความผิดที่ทำขึ้นหลังจากการประกาศแล้ว นะครับ อ่า..ก็อยากจะบอกพี่น้องประชาชนตรงนี้อีกครั้งหนึ่งว่า พวกเรา เข้มแข็ง อ่า..กันไว้นะครับ ผม..ก็จะคอยดูอย่างใกล้ชิดครับ มีความจำเป็นที่ผมจะเข้ามาเมื่อไหร่ ผมก็จะเข้ามาทันที ขอบคุณมากคร้าบ ขอบคุณมากครับ

“...วันนี้สื่อไทย โดยเฉพาะทีวีไทย ไม่ค่อยออกข่าวสมดุล อย่างเช่น ข่าวที่ กรณีที่ อ่า...คนถูกรถ ที่เป็นคน ขับรถทั่นนายกฯ อภิสิทธิ์เนี่ยถูกม็อบ แต่คือ แต่ไม่ถ่ายตอนเขาไล่ชนประชาชน แล้วก็ไม่ถ่ายตอนที่ มีการ ยิงประชาชน”


4.คำสารภาพบนเวที กลุ่มแท็กซี่ใช้แก๊สเผาบ้านเผาเมือง 13 เมษายน 2552

“...แล้วก็พี่น้องที่รักครับ วันนี้พี่น้องแท็กซี่ของเรา 2 แสนคัน ลงมติชัดเจนครับว่า ... แท็กซี่ 2 แสนคัน คืออาวุธที่จะทำลายทุกที่ถ้ามีการปราบปรามประชาชน นี่คือมติของแท็กซี่ แท็กซี่เป็นแนวร่วมของเรา แท็กซี่ใช้แก๊ส ใช้เอ็นจีวี เพื่อป้องกันตัวเองนะครับ เราไม่ใช่เป็นฝ่ายกระทำก่อน ถ้าทหาร เทพเทือก สั่งฆ่าประชาชน แท็กซี่ 2 แสนคัน จะกระจายกันทุกจุดในกรุงเทพฯ แล้วจะปล่อยแก๊สและเอ็นจีวีหมดทั้งประเทศ”


5.คำสั่งบุกสามเหลี่ยมดินแดง ยึดปืนทหาร โดย นายอดิศร เพียงเกษ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย วันที่ 13 เมษายน 2552

“...ตอนนี้พี่น้องเราต้องการกำลังเสริมที่สามเหลี่ยมดินแดงนะครับ เพราะว่าพวกเรากำลังปะทะกับทหารบางส่วน

“...ไปสัก 500 คนก็พอนะครับ ไม่ต้องไปทำอะไรนะครับ คือ เจอทหารก็ขอปืนมาน่ะครับ ไปยึดปืนจากทหารนั่นแหละ ผมไม่เชื่อว่าทหารจะฆ่าประชาชน ขอกำลังเสริมด่วนนะครับ สามเหลี่ยมดินแดง”


6.อดีตผู้พิพากษาปลุกประชาชนจับอาวุธขึ้นสู้ และหลอกว่าไม่ผิดกฎหมาย โดย นายมานิตย์ จิตจันทร์กลับ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย วันที่ 13 เมษายน 2552

“...พี่น้องครับ ตอนนี้เป็นที่ปรากฏชัดแล้ว ว่า เราถูกกระทำ ทั้งฆ่า ทั้งทำร้าย จากทหารที่ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลโจรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พี่น้องมีสิทธิ์ที่จะหยิบอาวุธขึ้นทำร้ายไอ้โจรที่มาปล้นแผ่นดิน ไม่ผิดกฎหมายครับ อาจารย์มานิตย์ยืนยัน ครับ มีปืนใช้ปืน มีมีดใช้มีด มีขวานใช้ขวาน มีจอบมีเสียม ทำลายโจรได้ครับ ไม่มีความผิด เพราะมันรับคำสั่งจากหัวหน้าโจร”


7.คนไม่เห็นข่าว ไม่เห็นคนตายที่กระทรวงมหาดไทย โดย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตโฆษกรัฐบาลยุคนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ วันที่ 13 เมษายน 2552

“...ที่กระทรวงมหาดไทย ผมถามแรมโบ้อีสาน ผมถามย้ำสามรอบ แรมโบ้อีสานยังยืนยันกับผมจนวินาทีนี้นะครับ ว่าน่าจะมีคนเสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน แต่แปลกเหลือเกินจนป่านนี้ยังไม่ปรากฏเป็นข่าว ยังไม่ปรากฏพบร่างไร้วิญญาณของ 2 คนนั้นตามที่แรมโบ้อีสานยืนยัน นี่เป็นเรื่องที่ต้องค้นหากันต่อไปนะครับว่าความจริงอยู่ที่ไหน ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ผมจะมาบอกว่าแรมโบ้อีสานไม่น่าเชื่อ คนเราเนี่ยพี่น้อง นำพาผู้คนออกไปสู้ คนเรานำพาผู้คนออกไปแนวหน้า แล้วเกิดเหตุการณ์อย่างงั้นแก่สายตาเนี่ย มันมาโกหกไม่ได้ล่ะครับ มาโกหกว่าคนถูกยิง เพื่อที่จะสร้างกระแสอะไรต่างๆ เนี่ย มันบาปติดตัวตายไปชั่วชีวิต พี่น้องที่เคารพครับ"


8. “ทหารและรัฐบาลต้องตาย” โดย นายสุรชัย แซ่ด่าน อดีตผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ วันที่ 13 เมษายน 2552

“...นี่คือการหาทางออกที่นิ่มที่สุด เพราะถ้าเขาไม่ยอมเราต้องยึด ก็ตัดสินใจแล้ว หมายความว่าอาวุธที่ครบมือเขายิงเราตายหลายสิบศพแน่นอน แต่เขาก็ต้องตาย นอกจากว่าทหารชุดนั้นต้องตายแล้ว รัฐบาลนี้ และก็ผู้บัญชาการทหารบกตายด้วยครับพี่น้อง”



9.คำโกหก คนเสื้อแดง “ทุกรายถูกยิงด้วย M16” โดย นายเหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. วันที่ 13 เมษายน 2552

“...แต่ผมยืนยันนะครับว่า ผู้บาดเจ็บที่ผมไปดูที่โรงพยาบาลรามาฯ เช้าวันนี้นะครับ ทุกรายบาดเจ็บจากกระสุนเอ็ม 16 ครับพี่น้อง ทรราชอภิสิทธิ์สั่งยิงแล้วนะครับ ทรราชอภิสิทธิ์เป็นผู้ยิง”

10.คำสั่งยึดรถเมล์ ปิดเมือง โดย นายเหวง โตจิราการ แกนนำ นปช.
วันที่ 13 เมษายน 2552

“...ใครที่สามารถเอารถเมล์มาได้นะครับ อาสาสมัคร ใครที่สามารถที่จะไปขอรถเมล์มาได้ นะครับ เอารถเมล์มาขวางไว้หน่อย ที่อรทัย ที่มัฆวาน ที่สวนมิสกวัน ที่วัดเบญฯ และที่นางเลิ้งนะครับ

“...ปฏิบัติการภายในเวลา 2 ชั่วโมงนี้ ได้โปรดกรุณาหารถเมล์มาขวางทุกด่านเลยนะครับ เพราะว่าเวลาหารถเมล์มาขวาง และทุกๆ ด่านขอให้ขวางรถเมล์ได้เป็น 2 แนวเลยนะครับ”

11.คำสั่ง “ขับรถพุ่งชนทหาร” โดย นายเหวง โตจิราการ แกนนำ นปช.
วันที่ 13 เมษายน 2552

“...ดังนั้น มันต้องผ่านถนนหลวงฮะ มันไม่มีทางเหาะลงมาจากฟ้าเนี่ย แล้วก็ตกมาอยู่ที่เวทีทำเนียบอย่างแน่นอน มันต้องมาตามถนน ดังนั้นเนี่ย พี่น้องซึ่งอยู่บนเส้นทางที่ทหารบรรทุก ยีเอ็มซีนะครับ บรรทุกมาปราบเราเนี่ย ขอให้พี่น้องนะครับ ตัดสินใจเอารถพุ่งชนมันเลย ที่ไหน เจอที่ไหนชนมันที่นั่นเลยครับ เพราะการเอารถชนเฉยๆ นี่มันผิดกฎจราจรเท่านั้นเองนะครับ พุ่งชนมันเลย กี่คันพุ่งชนมันได้ก็ชนมันเลย เจอรถทหารที่ไหนที่กำลังขนกำลังเข้ามายิงประชาชนเนี่ย เรามีสิทธิในการที่จะขับรถพุ่งชนนะครับ ไม่ว่าใช้รถอะไรก็ตามเนี่ยพุ่งชนเลยครับ จะเป็นรถกระบะ รถสิบล้อ รถปิกอัพ รถเก๋งคันใหญ่ๆ นะครับ พุ่งชนมันเลย

“...ผมคิดว่าการต้านโดยพวกเรานี่ที่ยืนอยู่บนถนนเนี่ยเห็นจะต้านลำบาก ยกเว้นต้องมีสิ่งกีดขวางนะครับ ท่านอาจจะต้องเอาสิ่งกีดขวางทั้งหลายทั้งปวงนี่มานะครับ ทีวีที่เสียแล้วก็เอามาโยนไว้กลางถนนเลย ตู้เย็นที่เสียแล้วนะครับก็โยนมาไว้กลางถนนเลย รถเก่าๆ ที่เสียแล้วก็โยนไว้กลางถนนเลย หรือไม่ถ้ามีรถที่มีแรงปะทะสูงนี่ก็ขับชนเลยครับ”

http://astv.mobi/A8PINHy