วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

เขตแดนทางทะเลไทยไม่เกี่ยวกับเขาพระวิหารจริงหรือ?







คือพอดีไอ้หนักแผ่นดินสมศักดิ์ เจียมสถุล มันอ้างจากข่าวในไทยรัฐ เพื่อจะบอกว่า หากไทยเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบเขาพระวิหารไป ยังไง ๆ ก็ไม่กระทบพื้นที่ทะเลของไทยแน่นอน ซึ่งข่าวไทยรัฐ ก็ได้นำความเห็นของ พล.ร.อ.ถนอม เจริญลาภ อดีตเจ้ากรมอุทกศาสตร์ มาลงไว้

คลิกอ่านข่าวไทยรัฐ เขตทะเลไทย - เขมร ไม่เกี่ยวกับพระวิหาร

พอผมได้อ่านข่าวแล้ว บอกตามตรง ทฤษฎีของพล.ร.อ.ถนอม มันเก่าไปแล้ว เพราะโลกนี้ยืนอยู่บนสัจธรรมที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ยั่งยืน สิ่งใดมนุษย์กำหนดขึ้น ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ง่ายยิ่งกว่า

โดยเฉพาะในกรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น ต่างฝ่ายต่างอ้างเขตไหล่ทวีปคนละฉบับคนละปีกัน นั่นคือ

กัมพูชาประกาศอ้างสิทธิ์ฝ่ายเดียวในเขตไหล่ทวีป เมื่อปีพ.ศ. 2515 เริ่มจากจุดตั้งต้นของเส้นไหล่ทวีปที่ไม่มีค่าพิกัดที่แน่นอน ลากผ่านเกาะกูดของไทยโดยไม่มีพื้นฐานทางกฎหมายรองรับ และเส้นไหล่ทวีปในแนวเหนือ-ใต้ ไม่ได้กำหนดจากเส้นฐานหมู่เกาะของทั้งสองประเทศตามหลักสากล

ส่วนฝ่ายไทยได้ประกาศอ้างสิทธิ์ในเขตไหล่ทวีปตามมาในปี พ.ศ. 2516 แม้จุดเริ่มต้นของเส้นไหล่ทวีปจะยังมีค่าพิกัดไม่แน่นอน เพราะต้องขึ้นอยู่กับหลักเขตแดนหลักที่ 73 หลักเขตสุดท้ายทางบกในจังหวัดตราด ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของทางทะเล ซึ่งเรียกว่าเป็นหลักอ้างสิทธิ์ แต่ไทยได้ใช้พื้นฐานทางกฎหมายรองรับในการลากเส้น

ซึ่งพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลของไทย-กัมพุชานี้ ได้ยึดหลักเขตแดนที่ 73 เป็นหลักในการลากเส้นด้วย ตามรูป



เดี่ยวหลายคนมองแผนที่ข้างบนจะไม่เข้าใจว่า เอ.. ทำไมหลักเขตแดนที่ 73 เหมือนมันไปอยู่ในประเทศกัมพูชาหว่า ?

ผมจึงขอนำแผนที่จังหวัดตราดจากูเกิ้ลเอิร์ธมาประกอบอีกรูปตามนี้

คลิกที่รูปเพื่อขยาย !!

จะเห็นว่า จังหวัดตราดจะมีพื้นที่ปลายลีบเล็กลัดเลาะไปตามแนวอ่าวไทยติดกับกัมพูชา

ในเมื่อการลากเส้นเขตแดนทางทางทะเล มีการอ้างหลักเขตแดนที่ 73 เป็นหลักในการลาก

ผมถามง่าย ๆ ว่า ถ้าหลักเขตแดนที่ 73 ของไทยในจังหวัดตราด ถูกย้ายไปจากจุดเดิมล่ะ คุณคิดว่าจะผลต่อการลากเส้นแผนทีทางทะเลของไทยหรือไม่ ?

โดยหลักสามัญสำนึกแล้ว ต้องคิดได้ว่าย่อมมีผลแน่นอน

ดังนั้น หากศาลโลกให้การตีความเรื่องเขตแดนบริเวณรอบปราสาทเขาพระวิหารให้เป็นไปตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ตามที่กัมพูชาเรียกร้องนั้น

หากศาลโลกตัดสินว่า พื้นที่รอบปราสาทเป็นของกัมพูชาตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ล่ะก็ แผนที่ 1 ต่อ 2 แสนก็จะมีผลต่อการปักปันเขตแดนทางบกระหว่าง 2 ประเทศ ที่ทำข้อตกลงว่าจะปักปันเขตแดนกันใหม่ ตาม MOU43 แน่นอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้่

เพราะใน MOU43 และผลการประชุม JBC หลายครั้ง ได้ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชาให้เข้ามาร่วมในการปักปันเขตแดนแล้ว และการกำหนดพื้นที่ทางทะเลก็จะกระทำต่อจากการปักปันเขตแดนทางบกเสร็จสิ้นต่อไป (MOU44)

ดังนั้น หากศาลโลกให้การรับรองแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชาแล้วล่ะก็ ก็มีทางเป็นไปได้ว่า ไทยเราจะเสียดินแดนทางบกเพิ่ม จนถึงขั้นต้องย้ายหลักเขตแดนที่ 73 ของไทยออกไปจากที่เดิม

ดังนั้น หากหลักเขตแดนที่ 73 ถูกย้ายออกไป ย่อมกระทบต่อการลากเส้นทับซ้อนทางทะเลของไทยแน่นอน

สรุปเลยว่า ไอ้สมศักดิ์เจียม มันโง่ มันควาย มันเฮฮาแต่ในกะลากลุ่มพวกล้มเจ้าแบบโง่ ๆ นั่นแล 555





-----------------------

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

ข้อมูลอ้างอิง praviharn.net

ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม บทความถอดรหัสลับกับหลักเขตที่ 73


คลิกอ่าน ผลการประชุม JBC ตอกย้ำ ไทยยอมรับแผนที่1ต่อ2แสน


วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

เอาชนะกัมพูชาในคดีเขาพระวิหาร ด้วยกฎหมายปิดปากคืน







หลังจากศาลโลกได้ตัดสินคดีเขาพระวิหาร เมื่อพ.ศ.2505 ไปแล้ว ทางรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ได้ตีความว่า ศาลโลกตัดสินให้เฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้นที่ต้องตกไปเป็นของกัมพูชา

หลังจากนั้น รัฐบาลไทยก็ได้มีมติ ครม. วันที่10 ก.ค.2505 ให้ล้อมรั้วรอบตัวปราสาทเขาพระวิหารเอาไว้ ตรงช่องบันไดหัก (ช่องบันได้หักอยู่ภายในบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร) ลากเส้นประชิดตรงผ่านบันไดนาค ตรงไปจนถึงไปจนถึงตัวปราสาทพระวิหาร แล้วลากเส้นตรงขนานกับตัวปราสาทพระวิหาร ไปสุดที่หน้าผาชันด้านหลังปราสาทพระวิหาร จนเป็นเนื้อที่ปราสาทประมาณ1/4ตร.กม.

ซึ่งภายหลังจากที่ไทยได้ล้อมรั้วรอบตัวปราสาทแล้ว พ.อ.ถนัด คอมันต์ รมว.ต่างประเทศในขณะนั้นก็ได้ทำหนังสือแจ้ง นายอูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติในขณะนั้น ถึงการปฏิบัติของฝ่ายไทย รวมทั้งการล้อมรั้ว ซึ่งกัมพูชารับทราบมาโดยตลอดแต่ไม่มีการโต้แย้งใดๆ

การรับรู้แต่ไม่โต้แย้ง เข้าข่ายหลักกฎหมายปิดปาก ซึ่งตีความว่าไม่โต้แย้งในขณะที่มีความสามารถจะทำได้เท่ากับยอมรับ

รูป1 รั้วลวดหนามที่ไทยล้อมไว้ตรงบันไดนาค



รูป 2 ให้สังเกตแนวเส้นประสีเหลือง คือแนวรั้วลวดหนามตามมติครม.2505



ซึ่งหลังจากไทยได้ล้อมรัั้วรอบตัวปราสาทพระวิหารแล้ว ทางการกัมพูชาก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด เป็นเวลานานกว่า 40 ปี จนกระทั่งเกิดการเซ็น MOU43 และหลังจากนั้น กัมพูชาได้แอบรื้อรั้วทิ้งไป เพราะทหารไทยถอนกำลังออกมาในสมัยรัฐบาลทักษิณ

ต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่ได้จาก พลโทกนก เนตระคะเวสนะ อดีตผบ.กองกำลังสุรนารี ดำรงตำแหน่งในระหว่าง พ.ศ.2550-2552

 พลโทกนก เนตระคะเวสนะ

ได้ระบุว่า

31 ก.ค.2544 (สมัยรัฐบาลทักษิณ) ฉก.กรม ทพ.๒๓ ได้เสนอให้ กกล.สุรนารี ใช้วิธีเด็ดขาดในการแก้ปัญหา เพราะฝ่ายกัมพูชาไม่ให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหา ได้แก่

- มาตรการที่กำหนดโดย กอ.ร่วม ไทย-กัมพูชา ไม่มีการดำเนินการ

- กรณีการสร้างวัด

- เกิดกลุ่มมิจฉาชีพและมีความไม่ปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว

- การเพิ่มจำนวนชาวกัมพูชาในชุมชน และเกิดปัญหามลภาวะน้ำเน่าเสีย

- เจ้าหน้าที่กัมพูชามีหลายกลุ่มในการหาผลประโยชน์ไม่สามารถควบคุมได้

- กัมพูชาไม่พอใจในการก่อสร้างศาลาไทยบริเวณสุดถนนลาดยาง


5 พ.ย.2544 (สมัยรัฐบาลทักษิณ) ได้มีการประชุมหารือกรณีร้านค้าตลาดของกัมพูชาทำให้เกิดน้ำเน่าเสีย โดยฝ่ายกัมพูชาได้แก้ไขปัญหาด้วยการสร้างทำนบกั้นชั่วคราว

17 ธ.ค.2544 (สมัยรัฐบาลทักษิณ)  ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ได้อนุมัติให้ทำการปิดเขาพระวิหาร เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ พร้อมทั้งถอนกำลังฝ่ายไทยออก ส่วนคนไทยที่ค้าขายบริเวณทางขึ้นก็ออกจากพื้นที่ด้วย

ทำให้ช่วงที่เขาพระวิหารถูกปิด ฝ่ายกัมพูชาได้มีมาตรการสนับสนุนให้ประชาชนกัมพูชาสามารถ อยู่บนเขาพระวิหารให้ได้ มีการแจกสิ่งของและให้ค่าตอบแทนในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งมีการประชาสัมพันธ์กับประชาชนว่าหากย้ายชุมชนแล้วจะทำให้เสียดินแดน เมื่อมีการปิดเขาพระวิหารแต่ละครั้งฝ่ายกัมพูชาจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เป็นของฝ่ายไทยและขยายพื้นที่ตลาดชุมชน สร้างอาคารที่พักขึ้นมา

-------------------------

หากไทยได้นำประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชายอมรับการล้อมรั้วรอบตัวปราสาทพระวิหารตั้งแต่พ.ศ.2505 โดยไม่โต้แย้งมากว่า 40ปี มาเป็นประเด็นต่อสู้ในศาลโลก ก็มีสิทธิที่จะชนะในประเด็นกฎหมายปิดปากต่อกัมพูชาในเรื่องนี้ได้เช่นกัน

เพราะไทยเคยโดนกฎหมายปิดปากจนแพ้คดีเขาพระวิหารครั้งแรกมาแล้ว ในประเด็นแผนที่ 1 ต่อ 2แสน ที่ศาลโลกตีความว่า ไทยเราไม่โต้แย้ง เมื่อไม่โต้แย้งแสดงว่าไม่ได้คัดค้าน ที่เรียกกันว่า กฎหมายปิดปาก

หากพ.ศ. 2556 นี้ ไทยเรานำประเด็นรั้ววตามมติครม. 2505 มาสู้บนศาลโลกได้ ก็เท่ากับกัมพูชาจะโดนเล่นงานจากกฎหมายปิดปากคืนเช่นกัน

แต่เนื่องด้วยศาลโลกไม่สิทธิตัดสินเรื่องเขตแดน จึงทำให้ศาลโลกตัดสินให้เฉพาะตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา ซึ่ง 1 ในเหตุผลที่ไทยแพ้คดีเขาพระวิหารอีกเหตุผลนึงคือ

รูปสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จเยือนเขาพระวิหารในช่วงที่ฝรั่งเศสยึดครอง คลิกดูรายละเอียดที่นี่ 


คลิปสมเด็จสีหนุ เสด็จเยือนปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505




คลิกอ่าน แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ของกัมพูชาต้องเป็นโมฆะ


---------------

ล่าสุดวันนี้ 15 เมษายน 2556 ฝ่ายเขมรแถลงในศาลโลกว่า ฝ่ายไทยตีความฝ่ายเดียว แล้วไปล้อมรั้วรอบปราสาท นั้นก็เท่ากับว่า เขมรยอมรับว่า ไทยเคยล้อมรั้วรอบปราสาทจริง ๆ
แล้วทำไมพวกขแมร์มึงไม่คัดค้านเสียตั้งแต่ตอนนั้นล่ะ ปล่อยยาวมา40 กว่าปี ฉะนั้นถ้าพวกมึงไม่คัดค้าน ก็เท่ากับพวกมึงยอมรับ ตามหลักกฎหมายปิดปากไง