วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เดียร์ ขัตติยา โกหกว่าไม่เคยทำศัลยกรรม !!







คนเราเมื่อเป็น สส. เป็นผู้แทนปวงชน การโกหกคือสิ่งต้องห้าม ที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง

พระท่านสอนว่า คนเราถ้าโกหกแม้แต่เรื่องเล็กน้อยได้ ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ ๆ มีหรือจะไม่กล้าโกหก

แต่.. อาจยกเว้นนักการเมืองไทยมั้ง ?

เดียร์ ขัตติยา ลูกสาวเสธ.แดง เป็น สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ซึ่งเธอได้อ้างตัวเองว่าเป็นสุภาพสตรีกลางสภาหลายต่อหลายครั้ง

อยากถามเดียร์ว่า ถ้าเป็นสุภาพสตรี ทำไมถึงกล้าโกหกได้อย่างด้าน ๆ ว่าไม่เคยศัลยกรรม ตามข่าวโพสต์ทูเดย์นี้






---------------

ทีนี้เรามาดูที่จมูกของเดียร์กันว่า เธอโกหกหรือไม่ ?


ก่อน



หลัง




ดั้งที่เคยแหมบ จมูกที่เคยบาน มันอยู่ไหนแล้ว จนกลายเป็นจมูกเชิด





เรื่องการศัลยกรรม ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไรแล้วในยุคนี้

เพราะถ้าโกหกว่าไม่ได้ศัลย์ แต่รูปที่เห็นมันชัดเจนว่าโกหกตอแหล

แบบนี้สมควรหรือ ?

ที่ยังกล้าเรียกตัวเองว่า สุภาพสตรี เรียกตัวเองว่า เป็นสมาชิกรัฐสภา

อ้อ.. ลืมไป การโกหกเป็นคุณสมบัติสำคัญของสมาชิกพรรคเพื่อทุย !!

----------------

นิทานขำขันฮา ๆ

นังเดียร์ : นี่ตัวเอง…
ผัว : หือ…
นังเดียร์ : ถ้าเค้าไม่สวย ตัวเองจะรักเค้าไหม…
ผัว : เอ้า! อีนี่ ทุกวันนี้ มรึงสวยเหรอ?
นังเดียร์ : .....


คลิกอ่าน เดียร์ ขัตติยา สวยใสหรือหน้าด้าน




วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

พฤติกรรมปิดกั้น ของนางสาวแปตอหลู






“โลกโซเชียลมีเดีย” อันตราย! ยิ่งลักษณ์แน่นอก-ต้องยกออก
โดยสะเก็ดไฟ

“ดิฉันขอยืนยันว่าถึงแม้รัฐบาลชุดนี้จะมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่ดิฉันเชื่อเสมอว่าในระบอบประชาธิปไตย ต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ และต้องให้เกียรติและรับฟังเสียงส่วนน้อยควบคู่กันไป เพราะประชาธิปไตยเป็นของทุกคน ไม่ใช่เป็นของเฉพาะผู้ประสบชัยชนะทางการเมืองจากการเลือกตั้ง โดยการคงกติกาการรักษาความเสมอภาคและเท่าเทียมกันแก่ทุกคน”



ข้อความข้างต้นคำแถลงของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เรื่องข้อเสนอทางออกประเทศไทยผ่านทีวีพูลเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา

เป็นการแถลงแสวงหาความ “ปรองดอง” หลังจากที่ ครม.เพิ่งจะประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ไปหมาด ๆ เพื่อสกัดประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับกลางซอยของ วรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และตำรวจโชว์อาวุธปราบประชาชนในเชิงข่มขู่ผ่านสื่อหลัก

นี่คือวิธีการปรองดองแบบ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่จะใช้วูแมนทัช แก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศเลยไปจนถึงเสนอหน้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาทะเลจีนใต้

ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ บอกว่ารับฟังเสียงข้างน้อย สภาที่พิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมซึ่งเธอไม่ได้เข้าร่วมประชุมสภาด้วย ใช้เสียงข้างมากลากให้ปิดอภิปรายในขณะที่ฝ่ายค้านได้อภิปรายเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น

ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์บอกว่า ให้สิทธิเสรีภาพกับสื่อสารมวลชนอย่างเต็มที่ แต่เธอกลับสกัดนักข่าวช่อง 7 ไม่ให้ร่วมคณะไปทำข่าวทีวีพูลที่กัมพูชา มีการคัดกรองสื่อมวลชนที่จะเดินทางไปต่างประเทศกับคณะรัฐมนตรี โดย “แก๊งไอติม” ตัวพ่อที่คอยแทรกแซงออกใบสั่งไปยังสื่อทีวี

ในขณะที่ยิ่งลักษณ์บอกว่า เปิดกว้างให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี เธอกลับไล่ฟ้องดะทุกคนที่วิพากษ์ วิจารณ์การกระทำอันไม่เหมาะสมของเธอ ตั้งแต่กรณี ว.5 โฟร์ซีซั่น ไปจนถึงการไล่ล่ามือแฮกเกอร์เว็บสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมข้อความประจานพฤติกรรมผู้นำหญิงไทยเป็นภาษาอังกฤษแปลความได้ว่า "ฉันเป็นหญิงบ้าสำส่อน" และ “ฉันรู้ว่าฉันคือนายกรัฐมนตรีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย



ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ บอกว่า ต้องให้เด็กไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อจะได้มีความรู้กว้างไกลเหมือนย่อโลกมาอยู่ในมือ ด้วยการแจกแท็บเล็ตให้กับเด็ก ป.1 ไปจนถึงการแจกไอแพดให้ ส.ว.และ ส.ส.

แต่รัฐบาลของเธอกลับปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นผ่านโลกอินเทอร์เน็ต ราวกับประเทศไทยเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่บริหารแบบเผด็จการ ไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตยที่รัฐบาลภาคภูมิใจว่าได้ฉันทานุมัติจากประชาชนถึง 15 ล้านเสียง มาสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองว่า ทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่การจำกัดสิทธิประชาชน และการละเมิดกฎหมาย

ไอซีทีมีผลงานดีเด่นในการปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรีให้กับยิ่งลักษณ์ ด้วยการแบน Simsimi หรือที่คนไทยเรียกกันว่า “เจ้าลูกเจี๊ยบ” เพียงเพราะว่ามันดันฉลาดตอบโต้กับคนขี้เหงาได้เป็นเรื่องเป็นราวและเสียดแทงใจผู้นำหญิงเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะเป็นความจริงก็ตาม

เพราะเมื่อพิมพ์คำว่า “ยิ่งลักษณ์” มันก็จะตอบกลับมาตรงประเด็นทันทีว่า “โง่” ถ้าพิมพ์คำว่า “ทักษิณ”เจ้าเจี๊ยบก็จะตอบมาอย่างตรงไปตรงมาว่า “ขายชาติ” และยังมีอื่นๆ อีกมากมาย ก็เลยทำให้ไอซีที่ต้องรีบแบนแอปพลิเคชันดังกล่าว ภายใต้ความคิดว่าแตะตระกูลพ่อพวกมึงไม่ได้ แต่ปล่อยให้เปิดเว็บพ่อของแผ่นดินกันโจ๋งครึ่ม






เมื่อโลกโซเชียลมีเดียกลายเป็นแหล่งอันตรายสำหรับความมั่นคงของ ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ และรัฐบาล เพราะแทบจะเป็นสื่อเดียวในขณะนี้ที่รัฐควบคุมไม่ได้ จนทำให้ ยิ่งลักษณ์ เกิดอาการ “แน่นอก” ต้อง “ยกออก”

ความจริงที่ไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจคือ ยิ่งลักษณ์ ได้ตั้ง “คณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ” มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีหน้าที่วางกรอบนโยบายเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์!

อาการตื่นตูมที่รัฐบาลประชาธิปไตยคิดเข้ามาควบคุมโลกออนไลน์เริ่มจากโพสต์ของชัย ราชวัตร การ์ตูนนิสต์ชื่อดังจากค่ายหัวเขียวที่ใช้ข้อความกระชับ แทงใจดำยิ่งลักษณ์อย่างแรงด้วยข้อความว่า “โปรดเข้าใจ กะหรี่ไม่ใช่หญิงคนชั่ว กะหรี่แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” หลังไป “อูลานบาร์ตอแหล” ด่าประเทศตัวเอง

แน่นอนว่า มีการฟ้องร้องตามมาเป็นคดีความอยู่จนถึงทุกวันนี้และยังมีกุ๊ยแดงตามไปราวีถึงสำนักพิมพ์ คุกคามกันถึงบ้าน กระทั่งเจ้าตัวต้องประกาศปิดเฟซบุ๊คเป็นการชั่วคราว

ต่อมาก็เป็นคิวของพิธีกรคนค้นคนเกี่ยวกับสารปนเปื้อนในข้าวถุงผ่านเฟซบุ๊ค จนมีการฟ้องหมิ่นประมาทกันใหญ่โตสุดท้ายก็จบที่ไกล่เกลี่ยและจับพิธีกรคนดังกล่าวไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ข้าวถุงปลอดภัยซะงั้น ถ้าไม่ยอมก็จะโดนหนักทั้งหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

กระทั่งมีการใช้เพจการเมืองจำนวนมากเป็นพื้นที่วิจารณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และนัดแนะชุมนุมเพื่อต่อต้านพฤติกรรมทรามของรัฐบาลเผด็จการในคราบประชาธิปไตย

ล่าสุดสดๆ ร้อนๆ ปอท.ดำเนินคดีกับผู้โพสต์ข้อความข่าวลือการปฏิวัติ 4 ราย รวม นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคงของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กระทั่งองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 4 สถาบัน ต้องร่อนจดหมายเปิดผนึกคัดค้านความเป็น “เผด็จการของรัฐบาลปูนิ่ม”

ขณะที่ ไอซีที ซึ่งถนัดแจกแท็บเล็ตให้กับโรงเรียนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ออกมาขู่ชาวเฟซบุ๊ค จนกลัวกันขี้หดตดหายว่า หากมีการโพสต์ข้อความปลุกระดมทางการเมืองจะมีความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไปจนถึง พ.ร.บ.ความมั่นคงและจะขออำนาจศาลปิดเว็บเพจของผู้โพสต์เลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้นยังขยายใหญ่โตไปถึงคนกดไลก์ กดแชร์ว่า มีสิทธิติดคุกไม่ต่างกัน

จนเกิดกระแสต่อต้านในโลกออนไลน์อย่างรุนแรงว่า “กดไลก์ไม่ใช่อาชญากรรม” และคำขู่ดังกล่าวก็มิได้ทำให้ชาวเน็ตกดไลก์หรือแชร์ข้อความเกี่ยวกับ “การเมือง” น้อยลงตามที่รัฐบาลสร้างอาณาจักรความกลัวครอบไว้

ล่าสุดเกิดเรื่องฮือฮาไปทั่วประเทศจากการที่ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ที่ประกาศจะเจาะข้อมูลส่วนตัวของผู้ที่ใช้ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ วอตซ์แอป และไลน์

โดยเฉพาะ “ไลน์” ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยใช้ถึง 15 ล้านคน โดยอ้างว่าส่งทีมงานเดินทางไปที่ญี่ปุ่น ซึ่งดูแลเซิฟเวอร์ให้กับบริษัท ไลน์ คอร์เปอร์เรชั่น เพื่อขอข้อมูล แลยังโชว์พาวต่อว่า ปอท. มีเครื่องซอฟต์แวร์ที่เป็นตัวเช็คค่าสุ่มเสี่ยง และก่อให้เกิดการกระทำที่ผิดกฎหมายในเบื้องต้นอยู่แล้ว โดยขู่คำรามต่อว่าจะเน้นความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และประเทศชาติ กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และ กระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน

จนทำให้ นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ออกมาท้วงติงว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลคล้ายกับการดักฟังโทรศัพท์ ซึ่งขัดต่อหลักสากล แต่ดูเหมือน พล.ต.ต.พิสิษฐ์ จะมีแบ๊คดีเพราะทำตัวเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ท้าทายเสียอีกว่า “จะทำแบบประเทศจีน” ซึ่งมีการบล็อกเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ กูเกิล และยูทิวบ์

ขนาดยิ่งลักษณ์ยังออกมาไฟเขียวกลายๆ ว่า แอปพลิเคชันดังกล่าวคงไม่ไปเกี่ยวข้องหรือเป็นภัยต่อความมั่นคง แต่หากจะติดตามตรวจสอบก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากกว่า

นั่นก็หมายความว่า “ให้ ปอท.ดำเนินการได้โดยสะดวก” นั่นแหละ

สิทธิขั้นพื้นฐานในการสื่อสารกำลังถูกลิดรอนที่ผูกขาดความเป็นเจ้าของ “ประชาธิปไตย” เป็นการกระตุกเตือนครั้งสำคัญที่ทำให้คนไทยเริ่มตื่นตัวเห็นหน้าที่แท้จริงของ ยิ่งลักษณ์ ภายใต้การแต่งสีทาปากให้ดูดีว่า มีความเผด็จการเพียงใด

มีหลายประเทศที่เคยทำเหมือนกับที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กำลังดำเนินการอยู่ในวันนี้ สุดท้ายสถานภาพของผู้นำก็สั่นคลอนอย่างหนักหรือถึงขั้นถูกถีบลงจากอำนาจไป ด้วยพลังแห่งมวลมหาประชาชน อาทิ รัฐบาลตูนิเซีย รัฐบาลซีเรีย รัฐบาลอียิปต์ รัฐบาลอิหร่าน ฯลฯ

จะเห็นได้ว่าประเทศที่มีการจำกัดสิทธิในโลกออนไลน์ได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “อาหรับสปริง” อันเป็นจุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลงในตะวันออกกลาง

ด้วยการบริหารแบบพี่มาก่อนประชาชนไว้ทีหลัง กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ทุจริตบนความทุกข์ยากของชาวบ้าน ฯลฯ ก็กำลังจะสร้าง “ไทยสปริง” ที่มีสามผู้ประสานงานคือ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร แก้วสรร-ขวัญสรวง อติโพธิ เป็นหัวเชื้ออยู่แล้ว

อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย และจุดจบชนิดอวสานของระบอบทักษิณอย่างสิ้นซาก ชนิดที่จะไม่มีภาคอวตารมาสืบทอดทายาทอีก


http://astv.mobi/A5knyiw


คลิกอ่าน ทำไมทักษิณถึงเลือกยิ่งลักษณ์เป็นนายก ??


วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สื่ออังกฤษ ลงข่าวความล้มเหลวโครงการรับจำนำข้าว







สื่ออังกฤษ The Economist ลงข่าวโครงการรับจำนำข้าวที่คิดโดยทักษิณ เป็นประชานิยมที่ใช้ซื้อใจชาวนาที่มีจำนวนมากถึง 2 ใน 3 ของจำนวนเกษตรกรทั้งประเทศ เพื่อมาลงคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทย นโยบายได้สร้างความเสียหายต่อสถานะการเงินของรัฐบาลและเศรษฐกิจโดยรวม

โดยช่วงหาเสียงนางสาวยิ่งลักษณ์ได้สัญญากับชาวนาว่าจะรับซื้อข้าวเปลือกในราคา 2 เท่าของราคาตลาด หรือ 15,000 บาทต่อตัน ($ 500)

เมื่อนโยบายนี้ได้ใช้ขึ้น กลับถูกประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินเดียตัดราคาข้าวไทย จนทั้งสองประเทศกลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดแทนที่ไทยไปแล้ว

ส่วนประเทศไทยขายข้าวไม่ออก จนมีข้าวเหลือค้างโกดังมากถึง 18 ล้านตัน ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณครึ่งหนึ่งของการค้าข้าวประจำปีในโลก โดยต้นทุนในปีแรกของโครงการรับจำนำข้าว 54/55 ที่รัฐบาลไทยใช้จ่ายไปคือ 12,500,000,000 $ หรือ สามแสนเจ็ดหมื่นห้าพันล้านบาท

ส่วนค่าใช้จ่ายในปีนี้ 56/57 คาดว่าน่าจะใช้งบประมาณมากถึง 15,000,000,000 $ หรือ สี่แสนห้าหมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 4% ของจีดีพี ทั้งนี้ยังมีค่าบริหารจัดการ ค่าขนส่ง ค่าเช่าโกดังสินค้าในราคาแพงอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีกังวลเกี่ยวกับ ข้าวที่เก็บไว้นานก็มีความเสี่ยงที่จะคุณภาพข้าวจะเสื่อมลง และยังมีข้อสงสัยถึงปริมาณสารปนเปื้อนในข้าวจนข้าวต่ำกว่ามาตรฐาน รวมถึงการทุจริตของผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้ด้วยการนำข้าวจากเขมรและพม่ามาสวมสิทธิในโครงการ

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การประมูลข้าวของรัฐบาลจึงเป็นที่น่าผิดหวัง เพราะไม่ค่อยมีผู้ค้าข้าวมาสนใจประมูลเท่าไหร่นัก

จึงถือว่าเป็นความล้มเหลวของโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งรัฐบาลก็พยายามจะลดราคาจำนำข้าวลงจาก 15,000 บาทต่อตัน ลงเหลือ 13,500 บาทต่อตัน ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่ชาวนาเป็นอย่างมาก แม้รัฐบาลไทยจะพยายามขายข้าวในสต๊อกแบบจีทูจี แต่ก็ขายได้เพียงเล็กน้อยเช่น รัฐบาลอิหร่านซื้อไป 25,000 ตันเท่านั้น

ในขณะที่สื่อต่าง ๆ ได้ลงข่าวถึงความล้มเหลวไร้ฝีมือของรัฐบาลและปัญหาคอรัปชั่นที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าวนี้ ส่วนนักลงทุนต่างวิตกเกี่ยวกับหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้น อีกทั้งมู้ดดี้ก็ได้เตื่อนให้รัฐบาลไทยมีวินัยการคลังมากขึ้นเกี่ยวกับโครงการนี้เช่นกัน

akecity


The rice mountain

IT HAS not been a happy second anniversary for the government of Yingluck Shinawatra. Thousands of diehard opponents of her elder brother Thaksin Shinawatra, himself a former prime minister, took to the streets of Bangkok on August 7th to protest against a bill that could grant Mr Thaksin an amnesty for past offences and open up the possibility of his return from exile. Probably Ms Yingluck is used by now to these kinds of protests, along with the usual rumours of coups. More worrying, perhaps, is widespread and growing dismay over her government’s economic performance, supposedly its strong suit.

This week an opinion poll carried out by Bangkok University found that the government’s approval rating has fallen to its lowest level yet. Most damaging to its reputation is its flagship scheme to subsidise rice. This was the brainchild of Mr Thaksin, who dictates most of his sister’s policies from afar. It was a useful vote-winner during the election campaign in 2011. But its costs now jeopardise both the government’s finances and the economy as a whole

The rice subsidy was classic Thaksin populism. Two-fifths of Thais work in agriculture, most of them as rice farmers. Ms Yingluck promised that, if she were elected, her government would buy unmilled rice directly from farmers at about twice the market rate, or 15,000 baht (about $500) per tonne. This would put money into poor farmers’ pockets and stimulate domestic demand. Naysayers warned that the scheme would be impossibly expensive. But Thaksin advisers said that withdrawing rice from world markets in this way would force up the price. Since Thailand was the world’s biggest exporter, the government would be able to cash in later by selling its stockpiles of grain at a profit.

So much for the weird theory. In practice, other countries have undercut Thailand, whose exports have tumbled (by about 4m tonnes, or a third, in the first full year of the subsidy scheme). India and Vietnam have overtaken Thailand as the biggest exporters. Unable to find buyers, the Thai government has been forced to stockpile 18m tonnes of the stuff and counting—equivalent to nearly half the annual global trade in rice. Buying rice from farmers is ruinously expensive, costing the Thai government $12.5 billion in the first year of operation. This year the cost is expected to rise to about $15 billion, or 4% of GDP. Storing the rice also carries administrative and logistical costs, and demands expensive new warehouses.

Concern is also rising over the quality of the rice piling up in the warehouses. Rice always deteriorates, but the suspicion is growing that stocks are being contaminated with substandard rice. Criminal gangs and bent officials are said to have smuggled in thousands of tonnes of cheap grain from Cambodia and Myanmar in the hope of profiting from government largesse. This rice has got mixed in with Thai grain. A good deal of Thailand’s rice is top-grade Hom Mali, or jasmine rice. So quality, and reputation, matter.

Poor quality may be one reason why the latest auction of rice stocks was so disappointing. The government managed to sell just 210,000 tonnes, well short of a hoped-for 1m tonnes. But this was also a matter of plain economics, says Vichai Sriprasert, head of Riceland International, a family-run exporter. Why buy now when the government will be forced to sell overflowing stocks later, at almost any price?

Millstone
It is a fiasco. But having invested so much political capital, Ms Yingluck vows to continue. She has tried to tinker with the scheme, for instance, by cutting the cost of the subsidy from 15,000 baht per tonne to 13,500 baht. That only angered rice farmers, her chief constituency. She quickly backed down, but she intends to try again. Her administration is frantically trying to secure deals for other governments to buy the rice, but this is making only a small dent in stocks. Iran has bought 250,000 tonnes.

Meanwhile, daily revelations of incompetence and corruption surrounding the rice scheme take their toll on the government’s standing, and investors fret about the wider effect on the public finances. Government debt levels are rising, and Moody’s, a ratings agency, has warned of the risk that the rice scheme poses to the country’s fiscal discipline.

คลิกที่รูปเพื่อไปอ่านข้าวต้นฉบับ



----------------

ใหม่เมืองเอกสรุป

เป็นไงล่ะครับ สื่อทั่วโลกลงข่าวโครงการจำนำข้าวของไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยังพยายามฝืนดื้อดึงต่อไป เพราะไม่ใช่เงินขาดทุนของตระกูลพวกมัน แถมพวกมันกลับได้ผลประโยชน์จากโครงการจำนำข้าวทำลายชาติอีกด้วย

อ้างชาวนาบังหน้า เปรียบเสมือนเอาชาวนามาเป็นตัวประกันแท้ ๆ

โครงการนี้ทำมา 2 ปี มีข้าวค้างเหลือขายไม่ออก 18 ล้านตัน และดูว่ายังจะขายไม่ออกต่อไป เพราะต่างประเทศเขาไม่โง่ !!

แม้ไอ้ทักษิณจะโม้ว่า อิรักเขารวย อิรักยอมซื้อข้าวไทยแม้มีราคาแพงกว่าข้าวชาติอื่น แต่ไอ้ทักษิณมันก็พูดไม่หมดว่า อิรักเขาจะยอมซื้อข้าวที่ราคา 800 เหรียญต่อตันไหมล่ะ ซึ่งเป็นแค่ราคาเท่าทุนของไทยเท่านั้น

โธ่เอ๊ย ไอ้เห้เหลี่ยมจรจัด ถึงขายได้ก็ต้องขายขาดทุนอยู่ดีล่ะวะ

คุณผู้อ่านลองนึกดูนะครับ ตอนที่ยังไม่มีโครงการรับจำนำข้าว ราคาเป็นไปตามกลไกตลาดโลก ข้าวไทยยังขายได้แค่ 10 ล้านตันต่อปีเท่านั้น แล้วนี่มีข้าวค้างโกดังมากถึง 18 ล้านตัน แถมทั้งเก่า ทั้งรมสารเยอะ ทั้งแพง มันจะขายได้สักเท่าไหร่กัน ??

ที่แน่ ๆ ไม่ค่อยมีผู้ส่งออกไทยมาประมูลข้าวจากรัฐบาลเท่าไหร่ เพราะเขาหวั่นเรื่องคุณภาพนี่แหละครับ

ประเทศไทยมีกรรมหนัก เพราะมีพวกฟายแดงหนักแผ่นดินสนับสนุนคนชั่วให้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง 

เฮ่อ..



คลิกอ่าน สิ่งที่เจ้าสัวซีพีสำรอก ล้วนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง


วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สิ่งที่เจ้าสัวธนินท์สำรอก ล้วนเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง







เมื่อเช้า1 สิงหาคม 56 ผมเห็นข่าวเจ้าสัวธนินท์ออกมาสนับสนุนรัฐบาลกระตุ้นกำลังซื้อ ด้วยโครงการรัฐขนาดใหญ่ ตามข่าวนี้

เจ้าสัวซีพีแนะรัฐกระตุ้นกำลังซื้อ หวังเซเว่นไทยขึ้นอันดับ 2 ของโลก

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี เปิดเผยในงานเซเว่น-อีเลฟเว่น ฉลองครบรอบ 25 ปี แห่งความผูกพันของเพื่อนว่า "รู้สึกพอใจกับการเติบโตของเซเว่น-อีเลฟเว่น ที่เดินทางมาถึง 25 ปี และภายใน 5 ปีจากนี้มีความตั้งใจจะขยายสาขาเซเว่น-อีเลฟเว่น ให้ครบ 10,000 สาขา จากปัจจุบันที่มี 7,000 กว่าสาขาทั่วประเทศ ซึ่งเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอันดับ 1 ประเทศญี่ปุ่น และอันดับ 2 สหรัฐอเมริกา ที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 7,000 สาขา"

“หากการเมืองนิ่งกว่านี้ จะทำให้การขยายสาขาร้านอิ่มสะดวกซื้อ หรือเซเว่น-อีเลฟเว่น ใน 5 ปีข้างหน้า อาจมีการขยายมากกว่า 1 หมื่นสาขา ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกในช่วงนี้ถือว่ามีการหดตัวชั่วคราวเท่านั้น และยังมีความเชื่อมั่นว่าจะดี” นายธนินท์ กล่าว

นายธนินท์ กล่าวว่า "รัฐบาลต้องหามาตรการใหม่เพิ่มเติมมากระตุ้นภาวะเศรษฐกิจ และต้องทำให้กำลังซื้อในเมืองไทยเพิ่มขึ้น โดยอาจต้องทำโครงการต่างๆ ให้เป็นรูปธรรม เช่น โครงการรถไฟ ทางด่วน ซึ่งจะทำให้เงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและเกิดการไหลเวียนของเงิน รวมถึงทำให้กำลังซื้อในเมืองไทยเพิ่มขึ้น"


-------------------------


คุณผู้อ่านครับ เจ้าสัวธนินท์คนนี้มีแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง พูดเพื่อกิจการของตัวเองร่ำรวย แต่คนไทยยิ่งยากจนลง ๆ

ฉะนั้นสิ่งใดที่เจ้าสัวคนนี้พูดหรือแนะนำ ต้องฟังหูไว้หูตลอด เพราะขึ้นชื่อพ่อค้าโลภมาก ย่อมเชื่อถือไม่ได้

เพราะวันนี้หนี้ครัวเรือนคนไทยพุ่ง แต่เจ้าสัวธนินท์กลับรวยขึ้นผิดหูผิดตาจนรวยพุ่งขึ้นจนอยู่ในอันดับที่ 58 ของโลก

โครงการรับจำนำข้าวล้มเหลวหนี้บาน โครงการรถคันแรกก็มีผลเสียมากกว่าผลดี ได้ประโยชน์แค่กลุ่มธุรกิจไม่กี่กลุ่ม เกิดปัญหารถติดมากมาย น้ำมันแพงขึ้น

คนไทยส่วนหนึ่งต้องผ่อนรถและใช้จ่ายเกี่ยวกับรถคันแรก จนไม่มีกำลังซื้อสินค้าในด้านอื่น ๆ

นี่คือความชั่วของนโยบายรัฐบาลนี้ กับความเห็นจากเจ้าสัวโลภมาก !!

วันนี้ผมขอนำข่าวเก่าที่เจ้าสัวธนินท์ เสนอทฤษฎี 2 สูง กับค่าแรง 500 บาท ไว้เมื่อปี 2554


--------------------------

ธนินท์แนะขึ้นค่าแรง500 ช่วยหนุนคนไทยรวยทั้งประเทศ


ต่อไปนี้คือคำบรรยายของเจ้าสัวซีพี ที่วันนี้คงลืมคำพูดของตัวเองไปแล้ว

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดเผยในการบรรยายพิเศษเรื่อง วิสัยทัศน์ประเทศไทย ในมุมมองของธนินท์ เจียรวนนท์ โดยคณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 2552 ว่า

"ปัญหาหนี้ในสหภาพยุโรปที่ขณะนี้ยังไม่สามารถแก้ได้ และอาจกินเวลานานเกือบ 10 ปี ดังนั้นรัฐบาลไทยต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้มีการใช้จ่ายในประเทศให้มากขึ้น ให้ประเทศเข้มแข็งเพื่อรองรับวิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้น นโยบายบ้านหลังแรก นโยบายรถคันแรกไม่ผิด แต่ให้เร่งผลักดันนโยบายรากหญ้า โดยเฉพาะเรื่องโครงการธุรกิจขนาดจิ๋ว หรือ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ ต้องนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยพัฒนาธุรกิจเหล่านี้เพื่อให้เขาอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง

รัฐบาลที่มีความสามารถต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ ให้คนไทยจนน้อยลงไทยต้องใช้ทฤษฎี 2 สูง คือ รายได้สูง ราคาสินค้าสูง เมื่อทำได้ก็เพิ่มเป็นทฤษฎี 3 สูง โดยการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รัฐบาลต้องดูกันว่าการทำให้คนจนมีรายได้มากขึ้นจะต้องทำอย่างไร ไม่ใช่ไปควบคุมราคาสินค้า เพราะการควบคุมสินค้าก็คือ การเอาเงินของคนจนที่เป็นเกษตรกรมาชดเชยให้กับคนจนในเมือง ซึ่งก็คือคนจนทั้งคู่

สำหรับนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลเป็นสิ่งที่ดี แต่ไทยต้องมีการเก็บข้าวในสต๊อกโดยรัฐบาล โดยต้องสร้างไซโลติดแอร์ ควบคุมอากาศอย่างดีเพื่อเก็บข้าวให้ได้คุณภาพ เพราะหากมีไซโลเก็บอย่างน้อยเก็บได้ 3 ปี ใช้เงินลงทุนประมาณ 1-2 หมื่นล้าน จ้างเอกชนมาดูแลโดยไม่ต้องใช้ภาคราชการ ให้บริษัทเซอเวเยอร์มาช่วย แล้วให้ธนาคารเป็นผู้รับรองเป็นสินทรัพย์ของรัฐบาลด้วย เรื่องนี้ตนยืนยันทำได้เพียงรัฐบาลมีนโยบาย หากเอกชนรายอื่นไม่สนใจซีพียินดีทำ 

และสิ่งสำคัญระบบชลประทานไทยต้องดีหากเร่งลงทุนระบบชลประทานโดยทุ่มงบประมาณ 3-4 แสนล้านบาท เกษตรกรโดยเฉพาะชาวนาไทยจะต้องดีขึ้นเพราะผลผลิตที่เพิ่มขึ้น

ส่วนค่าแรงขั้นต่ำที่เหมาะสมของประเทศไทยควรอยู่ที่วันละ 500 บาท/วัน ไม่ใช่ 300 บาท/วัน เพราะคิดจาก 25 เท่า ตามสัดส่วนของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากในอดีต

หากประเทศไทยทั้งรัฐและเอกชน กล้าจ่ายค่าแรงขั้นต่ำในระดับนี้ ผลดีที่ตามมาคือธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ก็จะมีรายได้มากขึ้นทันที  เกษตรกรก็จะมีรายได้ตามมากขึ้นไปด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ขอให้นักธุรกิจทุกคนเข้าใจว่าคือการลงทุน เราต้องยอมเสียในตอนแรกก่อน แล้วจะได้คืนในภายหลัง เมื่อประเทศรวยทุกคนก็จะยิ่งรวยขึ้นไปอีก ปัญหาสังคม ปัญหาการเมือง ก็จะดีขึ้นด้วย เพราะคนพ้นจากความยากจน"


ที่มา ข่าวสดออนไลน์


-------------

เจ้าสัวธนินท์ แนะส่งเสริมผลิตภัณฑ์ยางพารา

เจ้าสัวซีพี "ยางพาราวันนี้เป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศไทย สร้างรายได้เข้าประเทศปีละ 650,000 ล้านบาท และเชื่อว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า ไม่มีอะไรมาทดแทนยางได้ เพราะถ้าน้ำมันยิ่งแพง ยางเทียมก็จะแพงไปด้วย หากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมซึ่งไม่ใช่แค่ปลูกยางพาราอย่างเดียว แต่ส่งเสริมให้คนอยู่ในท้องถิ่นทำอย่างแท่ง แปรสภาพยางเป็นยางสำเร็จรูป เพิ่มมูลค่าแล้วชวนชาวต่างชาติเข้ามาลงทุน ลดภาษีเงินได้ให้เท่ากับฮ่องกง สิงคโปร์ใครๆ ก็อยากเข้ามาลงทุนในเมืองไทย

ที่สำคัญเมืองไทยยังมีแรงงาน โดยเฉพาะภาคอีสาน ถ้าส่งเสริมให้มีการปลูกยางพารามากๆ อีสานจะเป็นสีเขียว ฝนจะชุกมาก ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ ทำให้คนอีสานอยู่ในท้องถิ่นมากขึ้น ไม่ต้องไปทำงานต่างประเทศ"


แต่ผลปรากฎว่า รัฐบาลไทยส่งเสริมการปลูกยางพารา แต่ไม่ได้ส่งเสริมอุตสาหกรรมยางพาราให้ดีพอ

ก็จะไปส่งเสริมได้อย่างไรล่ะ ค่าแรง 300 บาท ทำอุตสาหกรรมรองเท้าของไทยเจ๊งมาหลายแห่งแล้วพี่น้อง (รองเท้าแพน ของคนไทย ก็เจ๊งไปแล้ว) ยิ่งถ้าให้ค่าแรงวันละ 500 แบบเจ้าสัวว่า คงเจ๊งยิ่งกว่านี้

ส่วนยางพารา เกษตรกรก็ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าจากบริษัทเจี่ยไต๋ จนเจ้าสัวธนินท์รวยเอา ๆ

ที่สำคัญตอนนี้ นักลงทุนจีนไปขยายการปลูกยางพาราในประเทศลาวแล้ว และสักวันจีนจะหันไปซื้อยางพาราจากลาวแทน เพราะจีนจ้างคนลาวปลูก แต่ผลผลิตเป็นของคนจีน !!

ถ้ายางพาราราคาตก ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนทำให้ตก ก็จีนกับเจ้าสัวซีพีนี่แหละ ที่ส่งเสริมให้คนไทยปลูกยางพารา แต่กลับบอกไม่หมดว่า ถ้าต้นยางพาราของลาวให้ผลผลิตเมื่อไหร่ ก็จะไปซื้อยางจากลาวแทน 55

---------------

เป็นไงครับ สิ่งที่เจ้าสัวธนินท์สำรอกในอดีตนั้น ในวันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า

ประเทศไทยหนี้บาน คนไทยก็หนี้บาน แต่เจ้าสัวรวยขึ้นจนติดอันดับ 58 ของโลก 

เมื่อพูดถึงเรื่องการกระตุ้นกำลังซื้อของคนไทย

ผมอยากแนะนำให้คุณผู้อ่านตามไปอ่านบทความของผมอีกตอนครับ เรื่อง

รัฐบาลนายทุนชอบหลอกให้คนไทยใช้เงิน คลิก !!

แล้วคุณจะรู้เท่าทันพวกนายทุน !!


คลิกอ่าน ทฤษฎี 2 สูง นโยบายหลอกลวงของเจ้าสัวธนินท์