วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

เลี้ยงลูกอย่างไร ไม่ให้ลูกฆ่าพ่อแม่ !!







โดย พญ.เสาวภา พรจินดารักษ์


สำหรับคุณแม่ทั้งหลาย ยาวหน่อยแต่ดีมากกกกก

Emotional abuse การทำร้ายกันทางอารมณ์ หรือ การทำร้ายกันทางจิตวิญญาณ
เรื่องใหญ่ที่พ่อแม่ทุกคนควรหันมาใส่ใจ..
___________________

มีข่าวลูกฆ่าพ่อแม่และพี่น้องตนเองในช่วงเวลาใกล้ๆกันถึง 2 ครอบครัว มีคนถามมากว่าเพราะอะไร

หมอจึงลองหาข้อมูลทางต่างประเทศดูว่า เขาเก็บสถิติไว้อย่างไรบ้าง เด็กเหล่านี้ถูกเลี้ยงมาอย่างไร คำตอบที่ได้ไม่ชัดเจน เคสไม่มากพอที่จะได้ข้อสรุปออกมา และจริงๆบริบทของบ้านเราก็ต่างจากต่างประเทศมาก

แต่มีคำหนึ่งที่สะกิดใจหมอ บ้านเราน่าจะมีมากแต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงเท่าไร นั่นคือ “Emotional abuse” ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในหลายๆปัจจัยของครอบครัวที่มีเด็กฆ่าพ่อแม่......

คนส่วนใหญ่รู้จัก Physical abuse เพราะเป็นการทำร้ายร่างกายที่มองเห็นบาดแผลได้ชัดเจน

แต่ Emotional abuse นั้นไม่สามารถมองเห็นแผลและยังไม่มีวิธีการใดๆที่จะนำมาวัดว่าในขณะนี้บ้านนี้มีการทำร้ายจิตใจกันในระดับที่เกินไปแล้ว...
_________

Emotional abuse มักแสดงออกมาทางคำพูด (Verbal abuse) มีหลายการแสดงออก แต่ขอยกตัวอย่างที่เข้าได้กับบริบทบ้านเรามากที่สุด คือ
การต่อว่าให้อาย การตำหนิให้รู้สึกเจ็บปวด เจ็บแค้น ชิงชัง รู้สึกด้อยค่า

เช่น ด่าว่า “มีแต่ความคิดโง่ๆ” “เคยคิดอะไรทันคนมั๊ย” “ทำอะไรไม่เคยได้เรื่อง” “มีสมองคิดหรือเปล่า” “เด็กอมมือยังเก่งกว่า” “คิดเป็นแต่เรื่องห่วยๆ” “มีแต่ผลาญเงิน” “ดูชาวบ้านเขาทำอะไร ทำให้เหมือนเขาหน่อย” “โตเป็นควายแล้วยังต้อง มาจ้ำจี้ จ้ำไชอยู่อีก”

หรือเปรียบเทียบพี่น้อง“รับผิดชอบให้เหมือนน้องเป็นมั๊ย” “อายเขาบ้างมั๊ย” “เกิดมาก็มีแต่ทำเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงตระกูล”

หลายคนไม่เข้าใจว่าคนเป็นพ่อแม่ทำไมถึงว่าลูกได้เจ็บปวดขนาดนั้น จริงๆแล้ว ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากด่าลูกเลย.....

ในวัยเล็กๆ ความน่ารักทำให้พ่อแม่มองข้ามความผิดของเด็ก เมื่อเริ่มเติบโต ความน่ารักสดใสเริ่มลดน้อย ความคาดหวังของพ่อแม่เข้ามาแทนที่

ยิ่งโตพ่อแม่ก็ยิ่งคาดหวังสูงวัยเรียนคาดหวังให้รับผิดชอบการเรียน เมื่อเรียนจบคาดหวังให้มีงานทำ หากลูกทำไม่ได้ พ่อแม่ไม่สามารถมองข้ามและให้อภัยแบบเด็กๆได้แล้ว พ่อแม่เองก็มีความรู้สึก ความโกรธ ที่ลูกไม่เป็นดังหวัง ทำให้มีอารมณ์ ดุด่า ต่อว่าลูก วันแล้ววันเล่า ปัญหาเดิมๆไม่ถูกแก้ไข ความโหดร้ายของคำพูดก็แรงขึ้นๆ.....

ความผิดหวังของพ่อแม่นั่นเองที่ทำให้เราต้องดุด่าลูก บ่อยครั้งที่หมอเจอพ่อแม่ด่าว่าลูก มันก็ไม่ใช่การคาดหวังที่เกินจริงอะไร เป็นการคาดหวังโดยทั่วๆไปด้วยซ้ำ เช่น รับผิดชอบการเรียน และชีวิตประจำวัน

แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า พ่อแม่ไม่มีทักษะในการฝึกให้ลูกรู้จักรับผิดชอบ! (พ่อแม่จึงต้องผิดหวังบ่อยๆ)

เมื่อมองเห็นว่าอะไรจะจูงใจลูกให้รับผิดชอบขึ้นมาได้บ้างก็จะยึดเอาสิ่งนั้นมาล่อ ล่อให้ตั้งใจเรียน ตั้งใจสอบ ของล่อเป็นได้ตั้งแต่หุ่นยนต์ ตุ๊กตา ไอแพด ไปเที่ยว ขนม เสื้อผ้าราคาแพง หรือบางบ้านใช้เงินมาเป็นตัวล่อเลย

เมื่อมันเป็นทางเดียวที่ลูกจะลุกขึ้นมาสนใจการเรียน ทำอะไรดีๆ พ่อแม่ก็ยึดติดวิธีนี้ทันที ทำจนโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยังล่อลูกอยู่ สิ่งของก็จะมีมูลค่ามากขึ้นๆ เช่น รถยนต์ คอนโดฯ ตัวพ่อแม่นั้นไม่มีความหมายอะไรในสายตาลูกเลย นอกจากเป็นเครื่องผลิตแบงค์ !

การใช้สิ่งของล่อลูกให้เรียนหนังสือ หรือทำอะไรดีๆ ไม่ใช่การปลูกฝังเด็กให้อยากเรียน มีความมุมานะและรับผิดชอบจริง เป็นแค่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้มีงานเกิดขึ้น ให้ลูกมีตัวตนในห้องเรียนและมีคะแนนสอบผ่านไปในแต่ละเทอมเท่านั้น.....

----------------------------

พ่อแม่ที่ไม่ทักษะการเลี้ยงลูกนอกจากใช้สิ่งของล่อลูกแล้ว ก็มักใช้อารมณ์นำในการเลี้ยงลูก หมอไม่ได้หมายถึงใช้อารมณ์โกรธลูกตลอดเวลา

แต่หมอหมายถึง การใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งในการเลี้ยงลูก ไม่มีสติ ไม่มีกฎกติกาชัดเจน ไม่มีความสม่ำเสมอ หากพ่อแม่อารมณ์ดีก็ยอม หากอารมณ์เสียก็ดุด่า เวลาพ่อแม่รู้สึกผิดที่ตีลูกด่าลูกก็จะยอมลูก ซื้อของให้ลูก มีความขึ้นๆลงๆของอารมณ์ในบ้านอยู่เกือบตลอดเวลา

พ่อแม่ที่ด่าว่าลูกให้เจ็บปวดใจ อาจเข้าใจผิดว่านี่คือการสอนลูก แม้ว่าจะมีคำอธิบายอยู่ในประโยคนั้น เช่น  “ถ้าขี้เกียจมันก็ต้องสอบตก อายเขามั๊ย ครั้งที่แล้วก็ตก รู้จักปรับปรุงบ้างมั๊ย ทำตัวแบบนี้ยังจะหวังว่าจะสอบผ่านอีก”

ลองนึกภาพว่าหากพ่อแม่ตวาดลูกด้วยประโยคนี้ ลูกจะมองเห็นความตั้งใจดีของพ่อแม่ได้อย่างไร นอกจากรู้สึกเจ็บปวด อาย โกรธ แค้น

นอกจากนี้ พ่อแม่ที่ไม่มีทักษะการเลี้ยงลูก มักจะโทษลูก มองว่าเป็นความผิดของลู “ฉันต้องอายคนอื่นเขาก็เพราะว่า แกทำตัวแบบนี้” “ทำไมแกถึงหาแต่เรื่องปวดหัวมาให้”

พ่อแม่ที่อ้างถึงตัวเองบ่อยๆ หรือทวงบุญคุณลูก อาจเข้าใจผิดว่าจะเป็นวิธีที่จะควบคุมลูกได้ เช่น “ซื้อของให้ตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง รู้จักคิดซะบ้าง ทำตัวให้มันเป็นผู้เป็นคน รู้จักรับผิดชอบหน่อย ให้คุ้มค่าเงินที่พ่อแม่หามาให้บ้าง”

พ่อแม่กลุ่มนี้หากมีปฏิสัมพันธ์ที่ชื่นมื่นกับลูกอยู่ มีการแสดงออกของความรัก โอบกอด ตบบ่าฯ หมอยังรู้สึกเบาใจบ้าง แต่หากไม่มีเลย หมอสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ที่แข็งกระด้างของคนในครอบครัว และมีเพียงวัตถุเงินทองเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์เท่านั้น อันนี้แหละที่น่าเป็นห่วง….

หลายครั้งเลยที่หมอพบว่า ตัวพ่อแม่เองอาจจะต้องได้รับการดูแลด้านจิตใจ บางคนที่ด่าว่าลูกบ่อยๆ หงุดหงิดง่ายใช้อารมณ์เลี้ยงลูก อาจมีโรคซึมเศร้าหรือโรคทางจิตเวชอื่นร่วมอยู่ด้วย เมื่อรักษาโรคนั้นๆก็สามารถคุมอารมณ์และพัฒนาเทคนิคการเลี้ยงลูกได้ดีขึ้น

-----------------------

และหลายครั้งอีกเช่นกันที่ลูกเองก็อาจมีปัญหาทางจิตใจ เมื่อพบแพทย์รักษาแล้วก็ดีขึ้น

โดยสรุปหมอวิเคราะห์ว่า พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยวัตถุสิ่งของ มีความห่างเหิน ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์แบบชื่นมื่น อยู่ร่วมชายคากันก็เหมือนแค่คนรู้จัก แต่ไม่สนิทกัน

พ่อแม่ไม่เคยปลูกฝังให้ลูกมีวุฒิภาวะสมวัย (โตแต่ตัว การคิดและตัดสินใจเป็นแบบเด็กๆ) ร่วมกับมีการใช้อารมณ์นำในการเลี้ยงลูก เมื่อลูกโตก็ยังควบคุมลูกด้วยวัตถุสิ่งของและใช้อารมณ์อยู่ พยายามเข้าไปควบคุมและก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัวของลูกมาโดยตลอดจนลูกอึดอัด ผสมกับความเจ็บปวดใจ โกรธแค้น ที่สะสมมายาวนาน จนมองไม่เห็นว่าท่านทั้งสองเป็นพ่อแม่ ประกอบกับความไม่มีวุฒิภาวะจึงทำให้มีการตัดสินใจแบบชั่ววูบ ขาดวิจารณญาณ...

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการวิเคราะห์เพียงรูปแบบเดียว ที่ไม่สามารถอธิบายได้ทุกเคส ยังมีอีกหลายปัจจัยมากกว่านี้ เพียงแต่หมอรู้สึกว่า ความน่ากลัวของอารมณ์คนเรานั้น ประมาณไม่ได้......

ในครอบครัวที่ดูปกติสุขทั่วไป ไม่ได้มีความรุนแรงทำร้ายร่างกาย (Physical abuse) ให้เห็น ดูเหมือนครอบครัวเราๆท่านๆทั่วๆไป ที่ทุกคนล้วนยังมีอารมณ์ดุ ว่า ตวาดลูกกันเป็นปกติ อะไรตรงไหนจะเป็นตัวชี้วัด....

ทุกคนตกใจและเศร้าเสียใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนั้น แต่หากเราจะได้เรียนรู้อะไรบ้างจากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ขอให้ผลบุญที่ได้นี้ไปสู่ครอบครัวทั้งสอง
______________

เราเรียนรู้ที่จะไม่ใช้อารมณ์ (Emotional abuse) และแน่นอนไม่ควรมี Physical abuse ด้วย

เราเรียนรู้ที่จะฝึกลูกให้รับผิดชอบและมีวุฒิภาวะสมวัย เพื่อให้ลูกมีวิจารณญาณที่ดี

เราเรียนรู้ว่าจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ที่ชื่นมื่นกันในครอบครัวทั้งพ่อแม่และลูก อย่าห่างเหินกัน

เราต้องเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ ในการเลี้ยงลูก เพื่อไม่ใช้อารมณ์

เราต้องเรียนรู้เทคนิคการปลูกฝังให้ลูกรับผิดชอบ อย่าใช้สิ่งของ เงินทองล่อลูก เพราะนั่นยิ่งทำให้ชีวิตในบ้านมีแต่ความแข็งกระด้าง...

หากเราไม่รู้ หรือทำไม่ได้ ขอให้ปรึกษาผู้รู้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง...

“อย่าหวังการเปลี่ยนแปลงของผลลัพธ์ หากเรายังคงวิธีการเดิมอยู่”

Cr: แชร์จากพญ.เสาวภา พรจินดารักษ์


วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

สลิ่มแชร์คำพูดของทราย มั่วจน เต๊ะ ศตวรรษ หน้าแหก







กลายเป็นประเด็นจนได้ กับการตัดข้อความคำพูดของคนดังเอาไปแชร์ต่อ ๆ โดยไม่รู้ที่มาว่าเป็น คำพูดจริงแท้ หรือมั่วนิ่ม 

นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะเตือนผู้คนในโลกออนไลน์ว่า อย่าได้หลงเชื่อการตัดต่อแปะข้อความคำพูดของคนดัง โดยไม่มีการอ้างที่มาของคำพูดว่า เขาพูดที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาใด หรือโดยไม่มีการอ้างลิงค์ที่มาต้นฉบับ

สุดท้ายการแชร์รูปที่แปะคำพูดต่อ ๆ กันไปนั้น เลยกลับกลายเป็นหน้าแหกเอาดื้อ ๆ ถ้าคนดังเขาไม่ได้พูดแบบนั้น ถ้าเกิดเขาเสียหาย ก็อาจถึงขั้นฟ้องร้องหมิ่นประมาทกันได้นะครับ

อย่างเช่นกรณีล่าสุด ที่เต๊ะ ศตวรรษ ได้โพสต์ข้อความเหน็บทรายเจริญปุระ เป็น "รังปลวก" 

เพราะ เต๊ะ ศตวรรษ ได้รับการแชร์รูปที่ตัดคำพูดที่แอบอ้างว่าเป็นคำพูดของทราย เจริญปุระ ด้วยความเข้าใจผิดตามรูปนี้



ซึ่งคำพูดนี้ทราย ไม่เคยพูดแต่อย่างใด

ทรายเลย โพสอินสตาแกรมตอบกลับเต๊ะ ไปดังนี้




แล้วภาพตัดต่อคำพูดของทรายนั้น มันมีที่มาจากไหน ?

คำตอบคือ ก็มาจากเว็บผู้จัดกวน ที่เขาทำมาเอาฮาๆ  แล้วมีพวกสลิ่มโง่ ๆ บางคนได้นำรูปจากเว็บผู้จัดกวนมาแชร์ต่อ ๆ กันไป โดยไม่ระบุที่มาว่า นำมาจากเว็บผู้จัดกวน สุดท้ายก็มีคนหลงเชื่อกันเองว่า ทรายได้เคยพูดอย่างนั้นจริง ๆ


และเมื่อเต๊ะ ศตวรรษ รับรู้ว่า ตนเองได้ผิดพลาดด่าคนที่เขาไม่ได้พูดแบบนั้นไปซะแล้ว

เต๊ะ ก็แสดงความเป็นลูกผู้ชายลบโพสดังกล่าวทิ้ง และโพสขอโทษทราย ตามนี้





------------------


ทีนี้เรามาดูที่มาจากเว็บผู้จัดกวน ในตอน

ถามใจคนดัง "คิดอย่างไรกับถนนอักษะ"

หลังจากเกิดเหตุการณ์ขยะล้นถนนอักษะ หลังการชุมนุมเสื้อแดง

นักข่าวผู้จัดกวนได้ตามไปสัมภาษณ์คนดังเกี่ยวกับประเด็นนี้



























ย้ำ นะครับ คำพูดที่แปะกับหน้าคนดังตามรูปด้านบนนี้

ผู้จัดกวนเขาทำขึ้นเอาฮาเท่านั้น ใครอย่าได้นำมาไปแชร์ต่อจนเกิดความเข้าใจผิดกันอีกล่ะ


วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557

เมื่อ สรยุทธ โชว์ชีกอใส่ คิมแทยอน







วันที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา คิมแทยอน หัวหน้าวงเกิร์ลกรุ๊ปอันดับ 1 ของเอเซีย Girls's Generation ได้มาในรายการเรื่องเล่าเช้านี้

แน่นอนสรยุทธ ผู้ที่ไม่อาจปกปิดความชีกอและหื่นต่อหน้าสาว ๆ สวย ๆ ไว้ได้ ก็เลยแสดงความชีกอเข้าใส่แทยอนทันที ด้วยการจ้องตา จ้องหน้าเธอ แบบหื่น!!

แล้วอ้างว่า อยากแกล้งเธอ

แถมสรยุทธ ยังพูดเองเออเองอีกนะว่า ถ้าคนที่เขาไม่คิดอะไร เขาจะไม่เขินแบบนี้หรอก 

แหวะ!!  แทยอนเขาไม่ได้เขินมึงหรอก เธออยากจะอ้วกเลยมากกว่า แต่ต้องรักษามารยาท แสร้งทำเป็นเขินไว้ เพื่อให้เกียรติ(ความหื่นออกนอกหน้าของมึง)รายการ

ในใจ สรยุทธ อาจคิดว่า ใคร ๆ ก็ต้องอิจฉากูทั้งประเทศ แฟน ๆ แทยอนก็ต้องอิจฉากูกันทั้งนั้น กูเท่ กูดัง กูมีโอกาสได้ใกล้ชิดสาว ๆ ที่ใคร ๆ ก็อยากใกล้ชิดด้วย

ใช่ครับ มีคนอยากใกล้ชิดแทยอนมากมาย และอิจฉาสรยุทธกันเยอะแยะ

แต่สรยุทธกลับหารู้ไม่ว่า แฟนคลับของแทยอนส่วนใหญ่ พวกเขาโกรธมึงกันทั้งนั้น ที่สรยุทธทำตัวชีกอ หื่นใส่ไอดอลของพวกเขาและพวกเธอ

และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สรยุทธ คิดหลงตัวเองว่า กูหล่อ กูดัง สาว ๆ ที่มาในรายการเขาต้องชอบกูกันทั้งนั้นนั่นแหละ

โถ ไอ้ผัวหลินฮุ้ยเอ๋ย คิดไปเองคนเดียวนั่นแหละมึง ลองฟังน้ำเสียงน้องไบรท์ ดูก็ได้ว่า แม้แต่ในน้ำเสียงน้องไบร์ท ก็ยังแฝงไว้ด้วยความหมั่นไส้ในความหลงตัวเองของมึงเลย 

ถ้าหากน้องไบรท์สามารถพูดจากใจจริงได้ น้องไบรท์จะต้องบอกว่า โถ พี่ยุดหยุดหื่น หยุดหลงตัวเองสักทีเถอะ 

ในฐานะที่ผมเป็นแฟนรายการเรื่องเล่าเช้านี้ จึงขอเตือนว่า สุภาพบุรุษเขาไม่ทำกิริยาแบบนี้กับสาว ๆ ออกทีวีหรอก แม้จะคิดว่า เธอไม่ถือสาก็ตาม เพราะนี่คือรายการที่ออกสื่อสาธารณะ

มารยาทในการต้อนรับแขก โดยเฉพาะแขกต่างประเทศที่เป็นหญิง ก็ควรสำเหนียกให้มาก ๆ

คิดเหรอว่า ใจจริง แทยอนเขาชอบมึง ??



ผมไม่ใช่แฟนคลับแทยอน แต่ผมไปประมวลผลความรู้สึกจากแฟน ๆ ของ แทยอน ส่วนใหญ่มาแล้ว จึงกล้าเขียน


คลิกอ่าน สรยุทธ ปกป้องคนชั่ว ปกปิดหน้าตาไอ้ลูกทรพี


วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

ร่มไม่กางทำ นรต. ดับ2 สตช. ต้องชดใช้ให้ญาติเท่าไหร่







เมื่อก่อนหลายปีก่อน รายการเจาะใจเคยนำพ่อแม่ที่มีลูกชาย 2 คนเป็นนักบินทหารอากาศถึง 2 นาย มาออกรายการ

เพราะพวกเขาสูญเสียลูกชายถึง 2 คนจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ซึ่งลูกชายทั้งสองคนได้เสียชีวิตต่างกรรมต่างวาระกันนะครับ

โดยลูกคนนึงเป็นครูสอนการบินโรงเรียนนายเรืออากาศ และลูกอีกคนเป็นนักบินในกองทัพ

ข้อคิดของพ่อแม่ผู้สูญเสีย ซึ่งผู้เป็นพ่อก็เป็นนายทหารอากาศเช่นกัน ได้บอกว่า เครื่องบินฝึกของโรงเรียนการบินนั้น ใช้กันนานมาก งบซ่อมบำรุงก็ไม่ค่อยพอเพียง ในขณะที่รถประจำตำแหน่งของนายทหารระดับสูง แพงก็แพง แต่ก็เปลี่ยนรถใหม่กันได้บ่อย ๆ

------------------

และจากกรณีนักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปีที่ 2 ตาย 2 นายล่าสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2557  เหตุเพราะร่มไม่กางในการฝึกดิ่งพสุธานั้น

พ่อของ นรต. รายหนึ่งบอกว่า ได้มาดูการฝึกครั้งนี้ของลูกด้วย แล้วเขาก็เห็นมีคนตกลงมาโดยร่มไม่กาง ตกลงมาถึงพื้นต่อหน้าต่อตา ก็ไม่คิดว่าจะเป็นลูกชายของตน

มันน่าเศร้าจริง ๆ นะครับ หัวอกคนเป็นพ่อแม่คงแทบจะขาดใจ ที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่มีอนาคตอีกยาวไกลต้องมาจากไปแบบนี้

เห็นข่าวว่า สตช.บอกจะชดใช้ค่าเสียหายให้เต็มที่

แล้วจะจ่ายค่าเสียหายให้ญาติเขาแค่ไหนเท่าไหร่อย่างไร ?

ก็ต้องมาคำนวณว่า ถ้านักเรียนนายร้อยทั้งสองนาย จบไปเป็นนายตำรวจ ทำงานเลื่อนยศ เลื่อนขั้น ไปจนเกษียณอายุ เขาควรจะมีรายได้แค่ไหน

รวมทั้งค่าเสียโอกาสที่เขาจะได้อยู่ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ การที่เขาจะได้มีครอบครัวมีลูกหลานเพื่อสืบสกุลอีกล่ะ

รวมทั้งค่าทำขวัญเพื่อปลอบความเสียใจของพ่อแม่

นั่นแหละ คือเงินที่ สตช. ควรจะจ่ายให้พ่อแม่ของนักเรียนนายร้อยทั้ง 2 นายจำนวนเท่านั้น

และควรให้สิทธิพ่อแม่ของนักเรียนนายร้อยทั้งสองนาย ได้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลไปจนกว่าทั้งสองคนจะเสียชีวิตด้วย 

นั่นแหละถึงจะถูกต้องและชอบธรรมสำหรับพ่อแม่ผู้สูญเสีย

อุปกรณ์ฝึกโดดร่ม คือสิ่งที่หมายถึงชีวิตของผู้เข้ารับการฝึก หากไม่อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดพร้อมใช้ ความสูญเสียที่เกิดขึ้นมันไม่คุ้มกับเรื่อง งก ไม่เข้าท่าเลย

ที่จริงกรณีนี้ผู้ที่ต้องแสดงความรับผิดชอบมากที่สุดคือ พล.ต.ท.ศักดา เตชะเกรียงไกร ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ก็เงียบ !!?

คลิกที่รูปเพื่อขยาย



ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียครั้งนี้ด้วยครับ