วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

ต้อย แอคเนอร์ แฉถึงกึ๋นทำไมช่อง 3 เก่ากลัวทีวีดิจิตอล






ผมอ่านเฟสบุ๊คของคุณต้อย แอคเนอร์ อดีตสามีเจ๊ติ๋มทีวีพูล ที่ออกมาแฉช่อง 3

คุณต้อยได้ออกมาอ่านเกมขาดว่า ทำไมช่อง 3 อนาล็อก หรือช่อง 3 ออริจินอล จึงพยายามยื้อไม่มาออกคู่ขนานทีวีดิตอล

อ่านแล้วสะใจจริง ๆ เพราะคุณต้อยกัดเล็ก ๆ หยิกหนัก ๆ ใส่ช่อง 3

ผมว่า ถ้านายประวิทย์ มาลีนนท์ กับสรยุทธ สุทัศนะจินดา มาอ่านช้อเขียนของคุณต้อย แอคเนอร์แล้ว

นายประวิทย์ คงแสบถึงอัณฑะ ส่วนสรยุทธ อาจต้องวางแผนล่วงหน้า ขอลาไปเป็นพระเอกหนังก็ได้ 555

ผมคิดว่า ความเห็นของต้อย แอคเนอร์ จะมีผลกระทบถึงช่อง 3 แน่นอน และคงทำให้ช่อง 3 ต้องจอดำแหง ๆ ถ้าช่อง 3 ยังดื้อแพ่งต่อไป เพราะต้อย แอคเนอร์ เขาด่าได้ดี !!

--------

เรื่องราวของดิจิตอลทีวี และเหตุผลที่ช่อง3 "กลัว"
โดยต้อย แอคเนอร์


1. เกริ่นให้ทราบนิดหน่อย
ถึงต้นทุนคร่าวๆ ทีวีดิจิตอล ที่ "ต้องจ่าย" รายเดือนให้ mux
หรือค่าบริการโครงข่าย
HD. 14 ล้าน 3 แสน
SD. 4 ล้าน 6 แสน
ใครครอง HD.จะสาหัสแค่ไหน

2. ค่าสต๊าฟ.
เดือนละรวมๆ ขั้นต่ำ 5-10 ล้าน ขึ้นอยู่กับค่าจ้างผู้บริหาร
(บางเจ้ามากกว่านี้ หรือน้อยกว่านี้)
แล้วแต่การบริหารจัดการ

3. ค่าสตูดิโอ
เครื่องไม้เครื่องมือ CG ฉาก รวมทั้ง ค่าพนักงาน เจ้าที่เคยเป็นเคเบิลมาก่อน เช่น เนชั่น ทีวีพูล อาร์เอส สปริงนิวส์ วอยส์ TNN24
อาจลงทุนเพิ่มอีกไม่มาก ลดจากช่องที่ไม่เคยทำเลย 80%
เคยเป็นเคเบิลยังไง ปรับลุกนิดหน่อย ก็ออนแอร์ได้ ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ยังคงเดิม

4. หนักสุดคือ Contents
บางแห่ง ส่วนใหญ่เป็น
ไทม์แชริ่ง 70% ผลิตเอง 30% โดยเฉพาะข่าวต้องผลิตเอง
(ค่ายผลิต contents เองทั้งหมด ซึ่งมีหลายเจ้า ต้องแบก cost เดือนละหลายสิบล้าน)

5. สังเกตหรือไม่ช่วงสตาร์ทแรก ๆ ทุกค่ายออกตัวกันแรง แต่ได้แค่เงื้อ
ตอนนี้เกือบทุกช่องต้องเบรคตัวเอง "ยังไม่ปล่อยของ"
รอสถานะการณ์ช่อง 3 ให้นิ่ง
รอ กสทช.แจกกล่องให้พร้อม
ทีวีดิจิตอลทุกช่อง เขาพร้อมที่จะวัดรอยเท้า กับช่อง 3 นาทีต่อนาที รายการต่อรายการ
คาดว่ายังไงช่อง 3 ก็ชนกับ กสทช.ไม่ชนะ วิบากกรรมจะตกถึงเขาแน่นอน

6. เรื่องราวต่อนี้ไป
ถ้าช่อง 3 จอดำ หรือยอมออกคู่ขนาน วงการโฆษณา จะเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เอเจนซี่ที่เคยหวานอมขมกลืนถูกกดหัวขึ้นราคาโฆษณา
แต่พูดอะไรไม่ได้ ไม่มีทางเลือก ต้องยอมช่อง 3 ตลอดมา
เขาขึ้นราคาเท่าไหร่ก็ต้องซื้อ เพราะมีแค่ช่อง 7 กับ ช่อง 3
คราวนี้เอเจนซี่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงแล้ว เพราะ คุณภาพดิจิตอลเหนือกว่า อนาล็อก อยู่แล้ว

7. อีกไม่นาน เวิร์คพ้อยท์ ทรู แกรมมี่ และเจ้าอื่นๆ
ต้องถอนรายการจากช่อง 3 เพื่อไปสร้างบ้านตัวเองให้แข็งแรง
วันนี้ วันที่ดิจิตอลยังไม่เสถียร เวิร์คพ้อยท์ ก็เก็บกินค่าโฆษณาจากช่อง 3 ไปก่อน แล้วเอารายการมาออนช่องตัวเอง แถมให้ลูกค้า สร้างบุญคุณ

8. ด้านวาไรตี้
วาไรตี้คือจุดอ่อนช่อง 3 ตั้งแต่สถานีมา
เรื่องรายการ วาไรตี้ เกมโชว์ เพราะรายการจะวนอยู่กับ ลูกน้องในสถานีที่ขอมา รายการจึงอ่อนปวกเปียก ซึ่งพยายามตลอดมาก็แพ้ 7 สี ถ้าไม่มีเวิร์คพ้อยท์ ไม่มีทรู (the vioce) วาไรตี้สลบ

9. ด้านข่าว
ครอบครัวข่าว ที่เคยมั่นใจว่าแข็งกว่าใคร
เพราะมีสรยุทธ กิตติ บัญชา และแข่งกันกับ 7 สี 2 เจ้า ก็จะเจอศึกหนักแน่
นั่นเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้มี เนชั่น สปริงนิวส์ ไทยรัฐ เดลินิวส์ อาจด้อยกว่าในเรื่องชื่อผู้ประกาศ
แต่ทีมข่าว ทีมครีเอทีฟ คนเบื้องหลัง เหนือกว่าช่อง 3 แน่นอน
โดยเฉพาะเนชั่น กวักมือเรียกช่อง 3 ทุกวัน ให้ออกจากกระดอง มาสู้กันอย่างเสรีที่เวทีเดียวกัน

10. ด้านละคร
นอกจากสู้กับ 7 สี และแพ้เกือบทุกเรื่อง ต้องเจอ แกรมมี่ เอ๊กแซค บนสนามเดียวกัน
ยังมี อาร์เอส โมโน pp.tv. ที่ตอนนี้ซุ่มเตรียมละคร เจ้าละ 10 เรื่อง พร้อมชนทุกแนวละครที่ช่อง 3 มี

11. คำพูดสบประมาทจากช่อง 3 ที่ว่าทีวีดิจิตอลทั้งหมดที่มีอยู่ ไม่มีคุณภาพประมาณว่ารายการห่วยนั่นแหละ
ด่าโครงข่ายว่าทำไปแค่ 20% สร้างความไม่พอใจให้ทุกค่าย แค่เขาไม่ออกมาโต้เท่านั้นเอง
รอลงมาสู้ในเวทีเดียวกัน คิดว่าช่อง 3 จะสะกดคำว่าชนะเป็นมั้ย?

12. นับเป็นปรากฎการณ์ที่สำคัญ
ตั้งแต่ตั้งสถานีมา เคยมีใครด่าช่อง 3 ขนาดนี้หรือไม่ จากมิตรก็มองเขาเป็นศัตรูหมด เพราะเขาพูดความจริง เขียนความจริง แล้วไปโกรธเขา เพราะไม่มีสื่อไหนเข้าข้างเลย
ยกเว้นสื่อมีสี

13. ถ้าละครช่อง 3 แพ้ แกรมมี่ อาร์เอส
ถ้าวาไรตีเกมโชว์ แพ้เวิร์คพ้อยท์
ถ้าข่าวแพ้ เนชั่น ไทยรัฐ สปริงนิวส์
อะไรจะเกิดขึ้น จะเอาหน้าไปไว้ไหน
และมีสิทธิ์เป็นไปได้สูงซะด้วย
เพราะจุดอ่อนช่อง 3 ดิจิตอลเห็นหมดแล้ว
อย่างแกรมมี่ ยอมทิ้งกล่อง Z หันมาลุยทีวีเต็มร้อย เป้าหมายเลยก็คือต้องชนะช่อง 3

14. ช่อง 3 กลัวเรื่องที่ว่านี้ค่อนข้างมาก ทั้งดาราที่เซ็นสัญญาไว้หลายคน คนเบื้องหลังที่กว้านซื้อมา มาอยู่ช่อง 3 แล้วก็ไม่มีงานให้ทำ ก็จะหมดสัญญา และทำท่าไม่ต่อสัญญาก็หลายคน
คู่แข่งในเวทีดิจิตอลน่ากลัวหลายเจ้า คิดหรือว่าไทยรัฐจะยอมง่ายๆ

เหล่านี้ก็คือสาเหตุที่ช่อง 3 ขยะแขยง กับการจะลงสนามแข่งกับดิจิตอล ในรูปแบบคู่ขนาน...

พยายามจะยื้อ ทั้งๆ ที่รู้ว่า การปฏิรูปสื่อในครั้งนี้ คือการจะขจัดสื่อสัมปทาน 2 เจ้า ที่เอาเปรียบทรัพยากรของรัฐมาอย่างยาวนาน ชาติเสียในสิ่งที่ควรได้อย่างมหาศาล




-------------


เป็นไงล่ะช่อง 3 จ๋อยล่ะสิ เจอคนเขาเห็นลิ้นไก่นายประวิทย์ เห็นพุงสรยุทธ ทะลุปรุโปร่งแล้วเป็นไงล่ะ ??

ถ้าคิดว่าช่อง 3 ออริจินอลแน่จริง ก็ลงไปปราบทีวีดิจิตอลช่องกระจอก ๆ ทั้งหลายให้ราบคาบไปเลยสิ 555555

คลิกอ่าน ช่อง 3 ใจดำ !!


วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

เศรษฐศาสตร์การเกษตร-นาวิน ต้าร์ นักเรียนทุนอานันทมหิดล






ดร.นาวิน เยาวพลกุล หรือ นาวิน ต้าร์ ผู้รับพระราชทานทุนอานันทมหิดลเพื่อไปเรียนต่อเศรษฐศาสตร์ปริญญาโท และปริญญาเอก พ.ศ.2544



นาวิน ต้าร์ มีเงินจากการเป็นนักร้องมาก่อน แถมฐานะทางบ้านก็จัดว่ารวย เพราะมีพ่อเป็นหมอ

แต่นาวิน ต้าร์ บอกว่า เขาพยายามจะไม่ใช้เงินส่วนตัวในการเรียนที่เมืองนอกเลย แล้วไม่ยอมให้พ่อแม่ส่งเงินไปช่วยเรื่องความเป็นอยู่ของเขาด้วย

เขาต้องการใช้เงินจากทุนในหลวงในการเรียนและการใช้ชีวิตในเมืองนอกเท่านั้น ทุนมีแค่ไหนก็พยายามใช้ให้พอแค่นั้น เพื่อจะได้ระลึกและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงได้อย่างเต็มที่ว่า เขาได้เรียนจบด้วยทุนของในหลวงจริง ๆ

ดังนั้นสิ่งที่แม่ของนาวิน ต้าร์ช่วยลูกได้มากที่สุดคือ ส่งมาม่าเป็นลังๆ และส่งน้ำพริก ไปให้

(นีคำบอกเล่าจากนาวิน ต้าร์ ที่ผมจำได้ เมื่อรายการทีวีรายการหนึ่งไปเยี่ยมนาวิน ต้าร์ ที่เมืองนอก แต่ไม่แน่ใจว่าใช่รายการที่นี่หมอชิต หรือรายการสัญญามหาชนหรือไม่)




คลิปรายการ 1 ในพระราชดำริ ตอน เศรษฐศาสตร์การเกษตร

ไปฟัง ดร.นาวิน ต้าร์ อธิบายหลักเศรษฐศาสตร์ที่ทำให้คุณภาพข้าวไทยคุณภาพลดลง ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากโครงการจำนำข้าว



ดร.นาวิน ได้สรุปว่า หนทางเดียวที่จะทำให้เกษตรกรไทยทุกคนรอดความยากจนได้ก็คือ แนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ หรือเกษตรผสมผสานที่ในหลวงได้ทรงสอน


----------------------

สารคดีคำพ่อสอน ดร.นาวิน ต้าร์




เพลงดังการ์ตูนเก่าในอดีต เจงกิ ยอดนักสู้






เจงกิ ยอดนักสู้ การ์ตูนเกี่ยวกับวงการมวยสากล โดยพระเอกมีความฝันอยากจะเป็นนักมวยตั้งแต่เด็ก ความฝันแรกเขาคือ เป็นแชมป์มวยของญี่ปุ่น

การ์ตูน เจงกิ ยอดนักสู้ ตอนนั้นทำให้เด็ก ๆ อย่างผมคึกอยากเป็นนักมวยเหมือนกัน

ญี่ปุ่นเขาอยากให้เด็กสนใจกีฬาอะไร เขาก็มักใชการ์ตูนเป็นสื่อกระตุ้นให้เด็กสนใจกีฬานั้น ๆ อย่างเจงกิยอดนักสู้ ก็กระตุ้นให้เด็กญี่ปุ่นสนใจกีฬามวยสากลอาชีพมากขึ้น

เพลงการ์ตูนเจงกิ ยอดนักสู้ การ์ตูนดังเมื่อร่วม 30 ปีที่แล้ว ฉายทางช่อง 9 อสมท.



เพลงดังการ์ตูนเก่าในอดีต คินนิกุแมน






คินนิกุแมน การ์ตูนตลกเกี่ยวกับมวยปล้ำ ที่พระเอกหน้าตาตลก แต่ภายใต้หน้ากากตลกนั้น ว่ากันว่า เขาหล่อมาก แต่ผมก็ไม่เคยเห็นะ

คินนิกุแมน ชอบกินข้าวหน้าเนื้อ

การ์ตูนคินนิกุแมน ฉายทางช่อง 9 สมัยผมเด็ก ๆ ก็น่าจะเกือบ 30 ปีแล้วล่ะ





เพลงดังการ์ตูนเก่าในอดีต นินจาแสนกล






นินจาแสนกล การ์ตูนดังช่อง 9 อสมท. เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว

พระเอกชื่อ นินจานิโคมารุ ตัวอ้วนเตี้ย มีพลังลมสลาตันเป็นอาวุธเด็ด ที่สามารถเปิดกระโปรงสาว ๆ ได้ทุกครั้งด้วยพลังลมนี้

เพลงเปิดการ์ตูน นินจาแสนกล




วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

ฟ้าทะลายโจร ป้องกันรักษาโรคอีโบล่า ได้ไหม ?







ในปี 2557 นี้ โรคระบาดร้ายแรงที่สุดใน พ.ศ. นี้ ก็ต้องยกให้ เชื้อไวรัสอีโบล่า ซึ่ง ณ วันนี้ ทางองค์การอนามัยโลก ก็ยังรายงานว่า ยังไม่สามารถควบคุมการระบาดของไวรัสอีโบล่าได้ ทำให้ตอนนี้มีคนตายร่วม 2 พันคนแล้ว

และจากที่เคยมีโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ระบาดในเอเซียเมื่อหลายปีก่อน หรือที่เรียกว่า ไข้หวัดใหญ่ 2009 ก็เคยมีการฮิตในเมืองไทยว่า กินฟ้าทะลายโจรแคปซูล จะสามารถป้องกันเชื้อไวรัสจากโรคหวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 นี้ได้

ผมเองเป็นคนที่ซื้อฟ้าทะลายโจรแคปซูลขององค์การเภสัช มากินเป็นเพื่อป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ มาร่วม 10 ปีแล้ว ก็เลยพลอยเดิอดร้อนหาซื้อฟ้าทะลายโจรไม่ได้ในช่วงนั้น เพราะคนไทยเพิ่มเห่อตามกระแสกลัวตายขึ้นสมอง หาซื้อฟ้าทะลายโจรกันยกใหญ่จนฟ้าทะลายโจรแคปซูลขาดตลาด




แต่วันนี้มีเภสัชกรท่านนึงออกมาเผยแพร่ว่า บางทีฟ้าทะลายโจรอาจช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสอีโบล่าได้เหมือนกัน

ความจริงเป็นเช่นไร อยากให้ดูคลืปรายการช่วยคิดช่วยทำ ใน 2 ตอนนี้ครับ


คลิป ฟ้าทะลายโจร ป้องกันรักษาโรคอีโบล่า ได้จริงหรือไม่ ? ตอน 1



คลิป ฟ้าทะลายโจร ป้องกันรักษาโรคอีโบล่า ได้จริงหรือไม่ ? ตอน 2



บทสรุปของเรื่อง ฟ้าทะลายโจรสามารถรักษาและป้องกันเชื้อไวรัสอีโบล่าได้จริงหรือไม่ ก็คงได้ดูและเข้าใจจากคลิปทั้งสองตอนไปแล้ว

ฉะนั้น ถ้าบ้านใดมีที่ดินว่างเหลืออยู่ ก็ควรจะปลูกฟ้าทะลายโจรให้มาก ๆ เตรียมการไว้ เพราะฟ้าทะลายโจรมีประโยชน์มากมายจริง ๆ แถมปลูกขึ้นได้ง่ายมาก

แถมการใช้ใบสดจะได้ผลดีในทางยาได้ดีกว่าแบบแคปซูลอีกด้วยครับ

ช่วยกันปลูกฟ้าทะลายโจรกันเยอะ ๆ ซึ่งเป็นสมุนไพรมหัศจรรย์ที่คนไทยไม่ควรละเลย เพราะไปมัวสนแต่หญ้าฮี๋ยุ่ม กันแบบไร้สาระบ้ากามกันอีกเลยครับ

คุณปลูกฟ้าทะลายโจรในวันนี้ หากอีโบล่ามาถึงไทยจริง ๆ คุณก็อาจจะรวยเพราะฟ้าทะลายโจรได้เหมือนกันนะ จะบอกให้ 555


วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

เดลินิวส์สงสัยอัยการสูงสุดแกล้งโง่ ที่ไม่ฟ้องยิ่งลักษณ์คดีจำนำข้าว






บทความจากเดลินิวส์


นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด

กลายเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปากในสังคมไทย ต่อกรณีที่นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด (อสส.) ตีกลับสำนวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยยังไม่ฟ้องคดีอาญาต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ทั้งที่ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ในการชี้มูลความผิดต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เรื่องละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตามพ.ร.บ.




ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจโดยมิชอบ จากกรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท

ข้อโต้แย้งของ “อสส.” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ทนายแผ่นดิน” ต่อกรณีนี้มี 3 สาระสำคัญคือ

1.โครงการจำนำข้าวเป็นโครงการที่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ดังนั้น “ป.ป.ช.” ต้องรวบรวมพยาน หลักฐานให้ชัดว่า นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการที่จะยับยั้งโครงการที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาหรือไม่

(akecity - ขอแทรกแย้งว่า อสส. นี่โง่นะ ถ้านายกรัฐมนตรีอย่างยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของรัฐบาล ไม่มีอำนาจยับยั้งนโยบายของรัฐบาลเองได้ แล้วหมาที่ไหนจะมีอำนาจ)


2.ควรทำการไต่สวนว่า นายกรัฐมนตรีมีการดำเนินการตรวจสอบและป้องกันการทุจริตหรือไม่ อย่างไร ผลการตรวจสอบเป็นอย่างไร หลังได้รับการท้วงติงจาก ป.ป.ช.และสตง. (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน)


3 .ต้องระบุว่ามีการทุจริตในขั้นตอนไหน การอ้างถึงรายงานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ว่ามีความเสียหายจำนวนมาก แต่มีเพียงหน้าปกต้องรวบรวมรายงานทั้งฉบับมาประกอบให้สมบูรณ์


ข้อโต้แย้งจาก “ทนายแผ่นดิน” ที่ใช้ภาษาทางกฎหมาย กลับถูกโลกสังคมตั้งประเด็นคำถามกลับในภาษาชาวบ้านที่ว่า... กรณี “โกงจำนำข้าว” รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า “มีจริง ๆ” ไม่ว่าจะเป็นการโกงความชื้น โกงตาชั่ง เวียนเทียนข้าว ข้าวหาย สต๊อกลม มีนายหน้าค้าข้าวที่เป็นนอมินีของนักการเมือง ฯลฯ

อีกทั้งมีหลายหน่วยงานออกมาทักท้วง อาทิ “ป.ป.ช.” เคยมีหนังสือท้วงติงถึง 2 ครั้ง 

ส่วน “สตง.” มีหนังสือทักท้วงเช่นกันถึง 3 ครั้ง ขณะที่ “ทีดีอาร์ไอ” ก็ยังออกมารายงานว่ามีการทุจริต

แม้แต่ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ที่ได้รับความเชื่อถือจากสังคมว่าเป็น “มือปราบโกง” เมื่อครั้งเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง และนั่งเป็นประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว ยังออกมาเปิดเผยชัด ๆ ว่า การปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเมื่อ 31 ธ.ค. 2555 นั้น พบว่ามีข้าวสารหายไปถึง 1 ล้านตัน

แต่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้สนใจเสียงทักท้วงของใคร และยังคงเดินหน้าโครงการดังกล่าวต่อ ท้ายสุด “ชาวนา” ที่เป็น “ฐานเสียง” สำคัญของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็อดรนทนไม่ได้ ต่างดาหน้าออกมา “แฉ” ถึงความไม่ชอบมาพากลในโครงการนี้ โดยเฉพาะเรื่อง “เงินไม่ถึงชาวนา” จนสร้างความสั่นสะเทือนให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์มาแล้ว

เมื่อ “อสส.” เห็นว่า ยังไม่สั่งฟ้องคดีทุจริตจำนำข้าว โดยพุ่งเป้าไปว่า สำนวนของ ป.ป.ช.ยังไม่สมบูรณ์ และจะตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง อัยการกับ ป.ป.ช. ภายใน 14 วันเพื่อจัดทำสำนวนใหม่ รวมถึงการหาพยานหลักฐานต่าง ๆ เพิ่มเติม ท่ามกลางความงุนงงของสังคมว่า เกิดอะไรขึ้น !??

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ยังออกโรงข้องใจถึงกรณีมีเพียงหน้าปกรายงานวิจัยของทีดีอาร์ไอเลยว่า

“ถ้า อสส.ตั้งประเด็นมาอย่างนี้ คณะทำงานร่วมฯ ก็ต้องไปดูว่า มีรายงานวิจัยฉบับนี้อยู่หรือไม่ ในเมื่อตั้งข้อไม่สมบูรณ์มาก็ต้องไปดูให้ละเอียดว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ที่สำคัญคือ เมื่อคณะทำงานร่วมดูรายละเอียดของหลักฐานในสำนวนแล้ว จะส่งฟ้องหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ ป.ป.ช.จะส่งหลักฐานสำคัญไปเพียงหน้าปก โดยไม่ได้แนบรายละเอียด เป็นไปได้หรือไม่ว่า สำนวนมีจำนวนมาก อาจจะไม่เห็นก็ได้”

เลขาธิการ ป.ป.ช. ยืนยันหนักแน่นว่า พยานหลักฐานต่าง ๆ ที่ถูกตั้งแง่นี้มีอยู่ในสำนวนแล้วแต่ถูกมองข้าม หรือ อสส. ไม่ได้อ่านหรือไม่

แหล่งข่าวใน ป.ป.ช.อีกรายหนึ่ง ได้ตั้งข้อสงสัยเพิ่มเติมว่า  “การที่อสส.มีความเห็นให้ตั้งคณะทำงานร่วมนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมาย แต่ที่ไม่เข้าใจคือ การที่อสส.สรุปมา 3 ประเด็นนั้น ต้องการสิ่งใดกันแน่ ในเมื่อ ป.ป.ช. ส่งสำนวนหลักฐาน เอกสารทั้งหมดไปให้เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวกับการปิดบัญชีที่ได้มาจาก น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ในฐานะประธานคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว รวมทั้งรายงานวิจัยโครงการนโยบายข้าวของทีดีอาร์ไอ และสำนวนไต่สวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม หากตั้งคณะทำงานร่วม อสส. กับ ป.ป.ช.แล้ว อสส. ยังยืนยันในความเห็นของคดี ทาง ป.ป.ช.จะดำเนินการฟ้องร้องเอง

ซึ่งกรณีนี้สอดรับกับข้อมูลที่ได้รับจากแหล่งข่าวในสภาทนายความ ที่ตั้งวงถกเถียงกันอย่างไม่เป็นทางการในทันที เมื่อรับรู้ว่า อสส.ยังไม่สั่งฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ในคดีทุจริตจำนำข้าว โดย “ภาษาทนาย” รับรู้กันดีว่า การยื้อออกไปอีก 14 วัน ทั้งที่หลักฐานปรากฏชัดเจน ถึงการจะสั่งไม่ฟ้องหรือไม่ จึงมีการประสานเบื้องต้นไว้แล้วกับ ป.ป.ช.ว่า ถึงที่สุดแล้ว ป.ป.ช. ก็คงดำเนินการฟ้องร้องเอง โดยสภาทนายความจะช่วยในเรื่องนี้อย่างเต็มที่

และจากการตรวจสอบพบปูมหลังเส้นทางเรื่องนี้ไม่ธรรมดา มีการเชื่อมสัมพันธ์กันมานาน เคยมีประวัติดันคีย์แมนตัวตัดสินในเรื่องนี้ให้ขึ้นเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง แถมยังมีสายสัมพันธ์เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับผู้ถูกกล่าวหาด้วย

“ตัวละคร” ที่เข้ามาเกี่ยวข้องนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่ามี “นักการเมือง” เข้ามาเป็นผู้เดินเรื่อง ผ่านการกำหนดเป็นนโยบายของพรรคและนโยบายของรัฐบาล โดยมี “ข้าราชการ” เป็นผู้ให้ความร่วมมือในการนำไปปฏิบัติ แต่ผู้ที่รับภาระคือ “ประเทศชาติ” และ “ประชาชน”

คงต้องตามลุ้นกันต่อว่า การฟ้องร้องคดีทุจริตจำนำข้าวจะอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหรือไม่

และ...สุดท้าย “ใคร” จะทำหน้าที่ฟ้องร้องให้รัฐและประชาชนกันแน่...???

เพราะสังคมคาดหวังกับคดีนี้มากว่าจะสามารถเอาผิด “คนโกง” มาลงโทษได้หรือไม่.

เดลินิวส์

----------------

หมายเหตุ นายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รองอัยการสูงสุดและหัวหน้าคณะทำงานคดีจำนำข้าว เคยผ่านการอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน (หลักสูตร วตท.) รุ่นที่ 12 ในช่วงเดือนมีนาคม – กรกฎาคม 2554 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้าร่วมการอบรมด้วย.."


เพื่อนเลิฟร่วมรุ่นคะ ปูยังจำไม่เคยลืมเลือนเพื่อนนะเค๊อะ เลิฟ ๆ จุ๊บ ๆ 


ผมว่า อัยการสูงสุด น่าจะถูกยุบตำแหน่งนี้ไปซะ เพราะไม่ได้ทำตัวเป็นทนายแผ่นดินให้สมกับหน้าที่เลย เพราะจิตสำนึกในการปกป้องผลประโยชน์ของแผ่นดินกลับต่ำทรามยิ่งนัก แถมอัยการสูงสุดยังได้ไปเป็นกรรมการบอร์ดรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง กินเงินเบี้ยประชุมแต่ละแห่งแพง ๆ ทั้งนั้น อย่างเช่น อัยการสูงสุดคนที่แล้วก็ไปเป็นกรรมการในบริษัท ปตท. ไปกินค่าประชุมแพง ๆ แต่กลับไม่เคยช่วยปกป้องผลประโยชน์ที่เป็นธรรมให้ประชาชนเลยด้วยซ้ำ

อย่างคดีจำนำข้าว ถ้าอัยการสูงสุดไม่สั่งฟ้อง ป.ป.ช. ก็สามารถฟ้องศาลเองได้โดยตรงอยู่แล้ว ก็ไม่รู้จะมีตำแหน่งอัยการต่ำสุดอัยกากสูงสุดไปทำไม เปลืองภาษีชาติที่ต้องมาจ่ายเงินเดือนแพง ๆ ให้อัยการอัยกากสูงสุดจริง ๆ ผมว่านะ...



วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

คลิปพลเอกประยุทธฺ คืนความสุขให้คนในชาติ 9 ก.ย. 57










รัฐบาลแถลงนโยบายต่อสนช.หลังวันที่ 9 ก.ย.
เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2557 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีซึ่งได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนเมื่อวันที่ 4 ก.ย และจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกวันที่ 9 ก.ย. โดยมีวาระสำคัญคือการถกแถลงเรื่องนโยบายของรัฐบาลที่จะแถลงต่อ คสช.ก่อนที่จะนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ดังนั้น วันที่ 9 ก.ย.จะถือว่าเป็นการเริ่มต้นทำงานของทุกกระทรวง หลังจากนั้นรัฐบาลจะแถลงนโยบายต่อสนช. โดยจะนัดเวลากับ สนช. อีกครั้งหนึ่ง หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายแล้ว คสช.จะเป็นผู้ประสานงานและติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินการให้เชื่อมต่อกันระหว่างโรดแมประยะ 1 และระยะที่ 2



เตรียมปรับระบบจัดเก็บภาษีเร็วๆ นี้

รัฐบาลตั้งเป้าให้คนไทยทุกคนหรือส่วนใหญ่สามารถเข้ามาสู่ระบบภาษีได้ สัก 70-80% เพื่อให้รัฐมีรายได้มากขึ้น เพื่อให้มีงบประมาณดูแลประชาชนได้ทั่วถึง รัฐบาลนี้มีหน้าที่จะทำให้ประชาชนเข้ามาอยู่ในระบบภาษีได้ โดยไม่ต้องกลัวการเสียภาษี เพราะการเก็บภาษีนั้นมีความเป็นธรรมอยู่แล้วคือผู้ที่มีรายได้น้อยก็เสียน้อย มีรายได้มากก็ต้องเสียภาษีมาก รัฐบาลจะมีการปรับปรุงภาษีอีกครั้งหนึ่งเร็วๆ นี้

ตัวเลขการส่งออกลดเพราะปัญหาความเชื่อมั่น
ข้อมูลสภาวะเศรษฐกิจพบว่าการค้า-การส่งออกของไทยลดลง ซึ่งคิดว่าเป็นเพราะเรายังคงใช้เทคโนโลยีเดิมในการผลิต ไม่มีการพัฒนาคุณภาพสินค้า ดังนั้นจึงต้องมีกองทุนต่างๆ รวมทั้งบีโอไอมาช่วยพัฒนาการผลิตสินค้าและคุณภาพสินค้าของ SME นอกจากนี้ ปัญหาความขัดแย้งในประเทศยังทำให้เกิดควาไม่มีเสถียรภาพ ลดความเชื่อมั่นลง



การแก้ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำต้องใช้เวลา

รัฐบาลพยายามทุกอย่างที่จะทำให้ราคาผลผลิตการเกษตรสูงขึ้น แต่รัฐก็ไม่สามารถอุดหนุนได้ทุกอย่างเพราะต้องระวังไม่ให้กระทบกับราคาตลาด พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่าปัญหาราคายางตกต่ำเป็นปัญหาที่หนักพอสมควร วอนเกษตรกรประท้วงอย่างมีเหตุผลเพราะสินค้าการเกษตรบางตัวราคาตกตามตลาดโลก

"ถ้ายังยืนยันกันอยู่อย่างนี้ ราคาต้องเท่านี้ เท่านั้น ไปอย่างนี้ ผมตายไปแล้ว ทุกคนตายไปแล้วก็แก้ไม่ได้ ก็กลับมาแบบเก่า เพราะฉะนั้น จะต้องพัฒนาทั้งระบบขอให้เห็นใจด้วย การประท้วงอะไรต่าง ๆ ขอให้มีเหตุ มีผล วันนี้มีความจำเป็น เพราะเราไม่ได้แก้ปัญหาผลิตผลทางการเกษตรอย่างเดียว แต่แก้ไปทุกปัญหา ที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน บางอย่างมาก บางอย่างน้อย ต้องแก้มากก่อน น้อยก็ค่อย ๆ แก้ คู่ขนานกันไป" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว


ไม่ยอมให้ใครล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าสถาบันกษัตริย์ไม่เคยมาเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นและตนจะไม่ยอมให้ผู้ใดนำสถาบันฯ ลงมาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง

"ท่านต้องดูว่าที่ผ่านมาสถาบันทำหน้าที่อะไร ท่านทำทุกอย่างมาตั้งแต่อดีตในพื้นที่ ที่รัฐบาลไปไม่ถึงในที่ที่รัฐบาลยากจะไป ดูแลได้ไม่มากนัก ท่านก็ไปเสริมตรงนั้นให้ ท่านไม่เคยที่จะไปแย่งความรัก ความชอบอะไรจากใคร ท่านถือว่าทุกคนคือคนไทยของท่านทั้งสิ้น ท่านต้องมีหน้าที่ในการดูแลคน คนมีรายได้น้อย คนที่มีความเดือดร้อนเป็นหลักก่อน ช่วยรัฐบาลมาทุกรัฐบาล เพราะนั้นทุกคนต้องเข้าใจในกรณีนี้นะครับ ต้องมีสติใคร่ครวญหาเหตุผล อย่าไปเชื่อตามเขาปลุกปั่นอย่างโน้นอย่างนี้ ทำให้ไปล่วงละเมิดท่าน และพันต่อไปถึงกฎหมายอีก ว่าไปบังคับคนอะไรต่าง ๆ ไม่ใช่เลย

"วันนี้ประเทศไทยเข้มแข็งได้อยู่ 2 อย่าง 1.สถาบันพระมหากษัตริย์ 2. คือความมั่นคงซึ่งต่างประเทศอาจจะมีไม่เท่าเราตรงนี้แต่เขาพัฒนาก็ต้องไปทั้ง 2 -3 อย่างด้วยกันในเรื่องของสถาบัน เรื่องของความมั่นคง เรื่องของการพัฒนาประเทศ ต้องไปด้วยกันทั้งหมด เพราะเราเป็นคนไทย อย่าไปเอาของตะวันตกมาทั้งหมด ผมเคยพูดไปแล้วว่าอย่าทำลาย อย่าสร้างบ้านเมืองใหม่โดยที่ต้องทำลายของเก่าทิ้งทั้งหมด"


เสนอพ.ร.บ.งบประมาณต่อสนช. 11 ก.ย.นี้

ความคืบหน้าในการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณ ขณะนี้เสร็จไปแล้วทั้ง 19 กระทรวง และมีส่วนราชการที่ไม่สังกัดกระทรวงอีกจำนวนหนึ่ง ภาพรวมปรับลดไปได้ 4,496 ล้านบาท คาดว่าจะเสนอ สนช.ในวันที่ 11 ก.ย. และเข้าสู่วาระการประชุม สนช. ในวันที่ 17 ก.ย. 57


ลงนามขายข้าวแบบ G2G กับฟิลิปปินส์

รัฐบาลได้อนุมัติลงนามความตกลกระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ในการขยายด้วยการขายข้าวแบบ G2G กับรัฐบาลฟิลิปปินส์ โดยมีสาระสำคัญคือรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ตกลงที่จะซื้อขายข้าวในปริมาณไม่เกิน 1 ล้านตันต่อปี ระหว่างปี 2557 - 2559 เงื่อนไขขึ้นอยู่กับภาวะตลาดข้าวโลกและผลผลิตในทั้งสองประเทศ ทั้งนี้กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าฟิลิปปินส์จะนำเข้าข้าวในปี 2557 ประมาณ 1.45 ล้านตัน และยังมีแผนเปิดประมูลข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐอีกเร็วๆ นี้



คสช.นำร่องตรวจสอบคอรัปชั่น 3 โครงการ

ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมามีการตรวจสอบข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตในหลายๆ โครงการ โดยคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐร่วมกับองค์การต่อต้านคอรัปชั่นประเทศไทยได้พิจารณาว่าจะนำระบบการบริหารจัดการมาตรวจสอบความโปร่งใสของโครงการที่เรียกว่า COST มาตรวจสอบโครงการขนาดใหญ่ โดยโครงการนำร่องที่จะเข้าไปตรวจสอบเป็นโครงการขนาดใหญ่ 3 โครงการที่มีการลงทุนสูงมูลค่าเป็นหมื่นล้าน ซึ่งจะเข้าไปตรวจสอบทุกขั้นตอน ตั้งแต่ขั้นการวางแผน ในเรื่องของการออกแบบ การก่อสร้าง ฯลฯ



เชื่อต่างประเทศเข้าใจสถานการณ์ไทย

กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนพยายามชี้แจงพัฒนาด้านการเมืองของไทยให้ต่างประเทศรับรู้ เช่น ขอให้ฟินแลนด์พิจารณายกเลิกข้อแนะนำด้านการท่องเที่ยว (Travel Advisory) เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยสงบเรียบร้อย ส่วนทางสหภาพยุโรปก็ได้ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองไทยอย่างใกล้ชิด และตระหนักถึงความซับซ้อนของสถานการณ์และเป็นกำลังใจให้คสช.แก้ปัญหา สหรัฐอเมริการก็ติดตามการดำเนินการตามโรดแมปของคสช. เช่นกัน แม้สหรัฐฯ จะมีความห่วงกังวลอยู่บ้างแต่ประสงค์จะร่วมมือกับไทยในประเด็นต่างๆ ต่อไป



ปัญหาทีวีดิจิตอล ให้กสทช.แก้ไข

กรณีการออกอากาศของระบบทีวีดิจิตอลให้ กสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) กสท. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์) ไปดำเนินการ ในส่วนของ คสช. ก็จะดูแลให้ในภาพรวม แต่ขอให้กสทช.และกสท.แก้ปัญหาให้รอบคอบและเป็นไปตามกฎหมาย และคำนึงถึงประชาชนให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด การแจกคูปองเร่งรัดให้ทำให้เร็วกว่าเดิม อนุมัติไปแล้วก็ต้องรีบดำเนินการให้ถึงประชาชนให้ได้โดยเร็ว



ไม่อยากคงกฎอัยการศึก แต่ยังยกเลิกไม่ได้

ขอให้ประชาชนอย่ากังวลเรื่องของกฎอัยการศึก ตนได้พยายามทุกอย่างที่จะทำให้ทุกสถานการณ์คลี่คลายได้โดยเร็ว คสช.ไม่ได้ต้องการจะคงกฎอัยการศึกไว้ แต่คณะทำงานติดตามสถานการณ์พบว่ายังมีปัญหาอยู่ที่ทำให้ยกเลิกไม่ได้ แต่จะมีการลดไปตามลำดับในระยะเวลาข้างหน้า



หวังทัพนักกีฬาไทยคว้า 20 เหรียญทองในเอเชียนเกมส์

จากการที่การกีฬาแห่งประเทศไทยตั้งเป้าเหรียญทองในกีฬาเอเชียนเกมส์ที่เกาหลีใต้ไว้ที่ 13 เหรียญทองนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าเป็นเป้าหมายที่ต่ำไป และคาดหวังให้ทัพนักกีฬาไทยคว้า 20 เหรียญทองในการแข่งขันครั้งนี้

พล.อ.ประยุทธ์ปิดท้ายโดยกล่าวว่าถ้าหากใครมีข้อสงสัยอะไรก็ให้ถามตนได้เพราะคงต้องเจอกันอีกนาน "อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนแล้วกัน รักพวกเรา รักพวกผมก็ รักน้อย ๆ แต่รักนานๆ ขอบคุณ"

ที่มา ไทยพีบีเอส

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557

หลักการคำนวณบ้านเลขที่ เลขดี เลขอะไรให้โชค






โดย หมอช้าง-ทศพร ศรีตุลา

เลขที่บ้านทุกหลังที่เราอยู่มีความหมายตามศาสตร์ฮวงจุ้ย อีกทั้งเลขที่บ้านเป็นสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้เพราะราชการเป็นผู้กำหนดขึ้นมา แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงให้คนอยู่มีความสุขและดีได้

ดังนั้นเพื่อจัดบ้านให้มีฮวงจุ้ยส่งเสริมกับเลขที่บ้านจึงต้องทำความเข้าใจกับเลขบ้านเพื่อปรับให้มีความสมดุล

โดยหลักการให้นำเลขทั้งหมดของเลขที่บ้านมารวมกัน ให้มีผลรวมเป็นเลขตัวเดียว เช่นบ้านเลขที่ 375 บวกกันได้ 15 แล้วบวกกันอีกได้ 6 ซึ่งในแต่ละเลขจะมีความหมายไล่ตั้งแต่เลข 1 จนถึงเลข 9

เลข 1 ถือว่า เป็นเลขแห่งผู้นำ เป็นบ้านแห่งผู้นำ นักเดินทาง คนที่ต้องพบปะทางสังคม ดังนั้นการจัดบ้านของบ้านเลขที่มีผลรวมเท่ากับ 1 นั้น เป็นเลขของธาตุไฟ แสงสว่างคือ สิ่งที่จำเป็นในบ้านคืออย่าปล่อยให้บ้านมืดโดยเฉพาะในบริเวณรั้ว หรือประตูเข้าบ้าน และบ้านที่มีสวนควรจัดบริเวณสวนให้มีเนิน เพราะความเป็นผู้นำ หมายถึง ความโดดเด่นและความสุข


บ้านเลขที่รวมกันได้เลข 2 เป็นเลขของธาตุน้ำ ดังนั้นต้องมีจุดที่รวมตำแหน่งของน้ำ เช่นน้ำพุ น้ำตก อะไรก็ตามที่เป็นน้ำเคลื่อนไหว และต้องดูดีและสะอาด เพื่อเป็นการเสริมฮวงจุ้ยให้กับบ้าน


บ้านเลขที่รวมกันได้ 3 เป็นบ้านที่ค่อนข้างแรง ส่วนใหญ่อยู่ตรงหัวมุมทางแพร่ง บางอาชีพที่ต้องเดินทางบ่อย ติดต่อสื่อสารกับคนจำนวนมาก ฝ่ายบุคคล หมอ ตำรวจ การจัดบ้านต้อง “ปลูกต้นไม้บริเวณริมรั้ว” เพื่อป้องกันความแรงของพลังจากภายนอก ไม่ให้มารบกวนในบ้าน


บ้านเลขที่รวมกันได้ 4 เกี่ยวข้องกับต้นไม้โดยตรง เป็นเลขที่ดีมาก เพราะเป็นเลขแห่งการสื่อสาร อาชีพที่เกี่ยวข้องกับงานขาย การพูด การติดต่อเจราจา สื่อสารมวลชน จะดีมากขึ้นไปอีก หากพยายาม “ปลูกพืชไม้ดอก ไม้กระถาง” หลากสี ประดับตกแต่ง ทำให้บ้านมีสีสัน เพื่อเสริมฮวงจุ้ยไม่ให้มีเพียงสีเขียวอย่างเดียว

บ้านเลขที่รวมกันได้ 5 เป็นบ้านที่บ่งบอกถึงความมั่นคง เกี่ยวข้องกับศีลธรรม คุณธรรมโดยตรง เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ มีวิชาความรู้ เป็นครูบาอาจารย์ เหมาะกับบ้านที่มีตำรับตำรา ความรู้ หนังสือจำนวนมาก และควรมีพื้นที่สำหรับสวดมนต์ไหว้พระ

บ้านเลขที่รวมกันได้ 6 เป็นธาตุลมซึ่งเกี่ยวข้องกับเสียง ควรเป็นบ้านที่มีความสวยงาม มีของกระจุกกระจิก ของสะสมน่ารักๆ การเสริมฮวงจุ้ยต้องใช้โมบาย มีเสียงกระดิ่งดัง

บ้านเลขที่รวมกันได้ 7 เกี่ยวกับธุรกิจ มีลักษณะเป็นบ้านและออฟฟิศอยู่ในหลังเดียวกัน ทำกิจการค้าด้วย จะเป็นบ้านที่มีของเยอะ จึงไม่ต้องหาอะไรมาเสริม แต่ในทางตรงกันข้ามนั้น ให้นำของเก่าของโบราณและสิ่งของที่ไม่ใช้ ไม่จำเป็นออกจากบ้านไป โดยการบริจาคจะเป็นสิ่งที่ช่วยได้ เพราะยิ่งให้ ก็ยิ่งได้รับกลับคืนมา


บ้านเลขที่รวมกันได้ 8 เป็นบ้านที่มีอิทธิพลของดวงดาวพระราหูเข้ามา ทำให้บ้านเหมือนมีเงามืดอยู่เสมอ หรือคนในบ้านอาจจะเดินทางบ่อย ตามหลักต้องไม่ทำให้เกิดเงามืด หรือมีซอกมุมในบ้านมากเกินไป หลีกเลี่ยงการต่อเติมเพิ่มห้องในบ้าน อย่าทำให้มีเงามีมุมอับ แต่ต้องมีแสงสว่างในบ้านที่มากพอสมควร ซึ่งผลไม่ดีในกรณีนี้จะทำให้เกิดการทะเลาะกัน ด้านมืดๆ จะเป็นด้านลบของพระราหูที่ออกมา คือ คดีความหรือโรคเจ็บป่วย

บ้านเลขที่รวมกัน 9 เป็นเลขที่บ่งบอกถึงความศักดิ์สิทธิ์ เป็นบ้านที่ต้องหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ เจ้าที่เจ้าทาง หรือทำบุญบ้านอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล โดยสถิติบ้านเลขที่ 9 เป็นบ้านที่มีโอกาสพบกับสิ่งลี้ลับได้ง่าย

อย่างไรก็ดี หมอช้างย้ำว่า ความเชื่อเรื่องดวง โหราศาสตร์ โชคชะตาราศี ฮวงจุ้ย ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ควรยึดหลักความพอดีในการดำเนินชีวิต หากสามารถนำมาปรับใช้เพื่อความมีสติ และพิจารณาแล้วแต่ความศรัทธาที่มี หลีกเลี่ยงสิ่งที่นำไปสู่ความเสื่อม ความถดถอย ถือว่าสามารถใช้ได้อย่างมีปัญญา แต่หากนำความเชื่อไปใช้อย่างงมงาย รอคอยโชคลาภแบบไม่ช่วยตนเอง หรือขาดความพอ ก็อาจเป็นปัญหาของสังคมได้เช่นกัน


วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

ตัวการทำการบินไทยเจ๊งในทัศนะกัปตันโยธิน และนักวิชาการTDRI






คือพอดีผมได้อ่านความเห็นของอดีตผู้บริหารการบินไทยซึ่งเป็นอดีตกัปตันเก่าการบินไทยด้วย คือ กัปตันโยธิน ภมรมนตรี อดีตDD การบินไทย ได้ให้ทัศนะกรณีปัญหาขาดทุนหนักของการบินไทยเอาไว้


กัปตันโยธิน ภมรมนตรี อดีต DD การบินไทย ซึ่งเป็นพี่ชายต่างมารดาของนายแซม ยุรนันท์ ภมรมนตรี ซึ่งนายแซม คนนั้นเป็นขี้ข้าในระบอบทักษิณ ส่วนกัปตันโยธิน ต่อต้านระบอบทักษิณ


ซึ่งผมพอสรุปคร่าว ๆ ตามที่ กัปตันโยธินได้แสดงทัศนะไว้ก็คือ สมัยการบินไทยยังเป็นรัฐวิสาหกิจ 100 % ซึ่งสมัยนั้นยังมีกองทัพอากาศช่วยดูแลและบริหารการบินไทยอยู่ การบินไทยไม่เคยขาดทุน !!

กัปตันโยธืน ชี้ให้เห็นว่า เพราะนักการเมืองไทย แถมเป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งนี่แหละ คือตัวการใหญ่ที่ทำให้การบินไทยต้องขาดทุนอย่างหนัก

ซึ่งผมขอขยายความนิดนึงคือ เมื่อก่อนผู้บัญชาการทหารอากาศจะได้ไปเป็นประธานกรรมการบริษัทการบินไทยมาโดยตลอด ช่วงก่อนการบินไทยแปรรูปเป็นบริษัทเอกชนกึ่งรัฐวิสาหกิจ

และเมื่อ 2 วันก่อนผมได้อ่านเจอความเห็นของพนักงานการบินไทยคนนึง เธอบอกว่า ปีที่แล้วยังได้โบนัส 1 เดือน (ทั้ง ๆ ที่ผลประกอบการบริษัทขาดทุน)


---------------------

กัปตันโยธิน วิเคราะห์ปัญหาการบินไทยตกต่ำ

จากคอลัมภ์ เขียนให้คิดในแนวหน้า ได้นำความเห็นของ กัปตันโยธิน ภมรมนตรี วิเคราะห์ปัญหาความตกต่ำของการบินไทยไว้ดังนี้

"ผมทำงานกับบริษัทการบินไทยตั้งแต่เริ่มเมื่อปี2503 จนถึงปี 2539 เป็นเวลา 36 ปี ได้รับโบนัสตั้งแต่ปี2508 จนกระทั่งเกษียณอายุงาน รวมเป็นเวลา 31 ปี เพราะบริษัทไม่เคยขาดทุนเลย ในช่วงเวลา 25 ปีแรกที่กองทัพอากาศเข้าไปช่วยดูแลอยู่ การบริหารองค์กรก็ราบรื่นดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ที่ประธานชึ่งเป็นแม่ทัพอากาศแต่งตั้งมาดีแทบทุกคน ยกเว้นอยู่เพียงหนึ่งคนเท่านั้น

การบินไทยเป็นสายการบินบริษัทแรกของโลกที่ใช้เครื่องยนต์ยี่ห้อเดียวกับเครื่องบิน Boeing 747, DC 10 และ Airbus

โดยใช้ Boeing 747 บินในเส้นทางไกลซึ่งมีผู้โดยสารจำนวนมาก
ส่วนแบบ DC 10 ใช้บินในเส้นทางไกลที่มีผู้โดยสารประมาณ 220 คน
สำหรับแบบ Airbus ใช้บินในเส้นทางภูมิภาค

เพราะใช้เครื่องยนต์ยี่ห้อเดียวจึงคุ้มทุนในการลงทุนสร้างศูนย์ซ่อมเครื่องยนต์ GE นอกจากซ่อมเครื่องยนต์ได้ด้วยตัวเองแล้ว ยังให้บริการสายการบินอื่นได้อีกด้วย จึงให้ทำบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจากส่วนนี้

แต่ครั้นเมื่อประเทศไทยได้รัฐบาลซึ่งอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง สิ่งแรกที่นักการเมืองทำคือขอให้การบินไทยใช้เครื่องยนต์ของบริษัท แพรทท์ แอนด์ วิทนีย์ ซึ่งผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายช่อมบำรุงคือ กัปตันชูศักดิ์ พาชัยยุทธ ไม่เห็นด้วย จึงศึกษาข้อดีข้อเสียเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งแล้วชี้แจงให้นักการเมืองรู้

ผลปรากฏว่า กัปตันชูศักดิ์โดนย้ายไปแขวน หลังจากนั้นประมาณปีเศษ ฝ่ายซ่อมบำรุงมีปัญหามากมายด้านคุณภาพจึงมีคำสั่งย้ายกลับมา

ต่อมา เมื่อมีรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งอีกใน 2 ปีต่อมา นักการเมืองบังคับให้บริษัทติดตั้งโทรศัพท์ในทุกที่นั่ง โดยระบบโทรศัพท์ดังกล่าวยังไม่ได้รับการรับรองจาก FAA เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของการบิน กัปตันชูศักดิ์จึงไม่ยอมรับ เมื่อไม่ทำตามคำสั่งนักการเมือง กัปตันชูศักดิ์ก็โดนย้ายอีก แล้วเอาคนใหม่ไปแทน ส่วนคนใหม่มีความไม่พอใจเครื่องยนต์ที่ใช้อยู่เดิม จนเมื่อบริษัทสั่งซื้อเครื่องบิน Airbus แบบ A330 ก็จึงหันไปใช้เครื่องยนต์ โรลสรอยช์ (R.R.)

สรุปคือ การบินไทยที่เคยเป็นผู้นำในการใช้เครื่องยนต์ยี่ห้อเดียวกับเครื่องบินทุกแบบได้กลายไปเป็นผู้นำสายการบินเดียวของโลกที่ใช้เครื่องยนต์ถึง 3 ยี่ห้อในเครื่องบินแบบเดียวกันคือ A330

ประเด็นปัญหาเรื่องแบบของเครื่องบินและเครื่องยนต์ยังไม่จบ สายการบินนกแอร์ได้ศึกษาเปรียบเทียบเครื่องบินระหว่าง Boeing 737-800 กับ Airbus A320 ซึ่งมีที่นั่งใกล้เคียงกัน แล้วเสนอคณะกรรมการบริษัทซึ่งมีทั้งหมด 9 คน โดยใน 9 คนนั้น มี 5 คนไปจากการบินไทย ซึ่งการบินไทยได้ตำแหน่งประธานด้วย คณะกรรมการอนุมัติให้ชื้อ Boeing B737-800 โดยใช้เครื่องยนต์ CFM ตามที่ฝ่ายบริหารเสนอ แต่เนื่องจากการบินไทยมี MOU กับ Tiger Air ในการตั้ง Low Cost Airline โดยจะเช่าเครื่อง Airbus แบบ A320-200 ใช้เครื่องยนต์ แบบ V2500 จาก Tiger Air แต่เมื่อไม่สามารถตั้งบริษัทดังกล่าวได้ จึงเปลี่ยนไปตั้งสายการบิน Thai Smile แล้วขออนุมัติคณะกรรมการซื้อเครื่องบินแบบ A320-200 โดยใช้เครื่องยนต์แบบ V2500

ผม (กัปตันโยธิน) เชื่อว่าคณะทำงานได้ศึกษาเพื่อจัดซื้อเครื่องบินสำหรับ Thai Smile คงต้องเปรียบเทียบคุณสมบัติแล้ว และคงเห็นว่า A320-200 ซึ่งใช้เครื่องยนต V2500 ดีกว่า B737-800 ซึ่งถ้าดูตามรูปแบบที่ปรากฏแล้ว นกแอร์หรือ Thai Smile น่าจะต้องมีข้อผิดผลาด ไม่รายใดก็รายหนึ่ง

แต่ที่น่าแปลกใจคือคณะกรรมการบริษัทซึ่งในฐานะที่การบินไทยมีหุ้นอยู่ทั้งสองบริษัท กลับไม่สงสัยเลยว่า เหตุใดต่างคนต่างซื้อแทนที่จะซื้อให้เหมือนกัน เพื่อจะได้ประหยัดค่าอะไหล่ ค่าการฝึก การให้ลดแบบเครื่องบินและเครื่องยนต์เป็นมติคณะกรรมการบริษัท และมติของคณะรัฐมนตรี

ในอดีต การบินไทยซื้อเครื่องบินมาแล้ว เมื่อถึงเวลาปลดประจำการก็ขายเครื่องไปโดยได้ราคาสูงกว่าราคาในบัญชี คือขายได้กำไรมาตลอด ยกเว้นเครื่องบินสองแบบเท่านั้นที่ซื้อในช่วงมีรัฐบาลซึ่งอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง คือ BAE146 และ A340-500 เครื่องบินสองแบบนี้มีแต่คนโง่หรือคนโกงเท่านั้นที่ซื้อ

คณะกรรมการชุดก่อนๆ ไม่กล้าขายเครื่อง A340-500 สี่เครื่องซึ่งจอดทิ้งอยู่ที่ดอนเมือง ซึ่งต้องเสียทั้งค่าจอด ค่าบำรุงรักษา ค่าประกันภัย เพราะถ้าขายจะต้องขายในราคาต่ำมากจากราคาบัญชี จึงกลัวถูกสอบสวน ดังนั้นจึงไม่ยอมขาย คณะกรรมการชุดปัจจุบันควรจะขายไปโดยเร็ว เพราะจะช่วยการลดต้นทุนของบริษัทได้ในระยะยาว และถ้ามีการสอบสวนเรื่องนี้ให้กระจ่างก็น่าจะเป็นเรื่องดี

เมื่อ 3 ปีที่แล้วที่การบินไทยมีกำไร เท่าที่ทราบคือเป็นกำไรทางบัญชี คือการบินไทยกู้เงินเป็นดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ ก่อนปิดบัญชีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 ดอลลาร์เท่ากับ 34 บาท ในวันปิดบัญชี 1 ดอลลาร์เท่ากับ 31 บาท จึงได้กำไรดอลลาร์ละ 3 บาท เมื่อเป็นหนี้ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก็จะได้กำไรทางบัญชี 15,000 ล้านบาท แต่บริษัทไม่มีเงินสด จึงต้องกู้ธนาคารเพื่อใช้จ่ายโบนัสให้พนักงาน รวมถึงจ่ายภาษีและจ่ายเงินปันผล

เมื่อตอนจะไปลงทุนกับ Tiger Air กรรมการให้เหตุผลว่า ไม่มีความสามารถในการบริหารสายการบินแบบ Low Cost อ้างว่าสายการบินใหญ่ เช่น British Airways , United Airline, Lufthansa, SAS เคยพยายามตั้งสายการบิน Low Cost มาแล้วแต่ไม่สำเร็จ

ครั้นเมื่อโครงการกับ Tiger Air ล้มไป จึงต้องตั้ง Thai Smile แล้วอ้างข้างๆ คูๆ ว่าเป็นสายการบินคุณภาพกลาง (Lower Premium Airline) ต้องให้บริการจากสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อความสะดวกในการต่อเครื่อง ตามที่บันทึกในการประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 24 เมษายน 2556 หน้า50/51 อ้างว่าบริษัทเป็นสายการบินแบบ Premium ซึ่งมีความรับผิดชอบต่อผู้โดยสารมากกว่า และผู้โดยสารสามารถต่อเครือข่ายสายการบินได้สะดวก

แต่แล้วก็ย้าย Thai Smile ไปดอนเมือง ทั้งๆ ที่ Air Asia ใช้เครื่องบินมีที่นั่ง180 ที่ นกแอร์ใช้เครื่องบินแบบ 189 ที่นั่ง Thai Lion ใช้ 201 ที่นั่ง แต่ Thai Smile มีแค่ 160 ที่นั่ง แล้วจะไปสู้ราคากับสายการบินคู่แข่งได้อย่างไร ?

ส่วนปัญหาเรื่องจำนวน VP ก็น่าเป็นห่วงเพราะมีถึง 40 กว่าคน คณะกรรมการสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (DD) ตั้งแต่ผมเกษียณมาแล้ว18 ปี สรรหา DD มาแล้ว 5 คน แต่ไม่มีใครอยู่ครบสัญญาสักคน แสดงว่าการสรรหาใช้ไม่ได้ เพราะมีการตั้งธงมาแล้ว แต่สรรหาแค่เป็นพิธีเท่านั้น

พนักงานการบินไทยส่วนมากมีคุณภาพดี แต่ขณะนี้ขวัญและกำลังใจไม่ดี ผม (กัปตันโยธิน) เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องผ่าตัดการบินไทยโดยด่วน และต้องทำเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ

ที่มา http://www.naewna.com/politic/columnist/14196

-----------------

ทีนี้มาลองดูคลิปจากรายการตอบโจทย์ ซึ่งได้สัมภาษณ์นักวิชาการจาก TDRI

โดยรายการได้เชิญ ดร. เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัย, ด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ จากทีดีอาร์ไอ

ซึ่งเท่าที่ผมฟัง ดร.เดือนเด่น พูด ดร.เดือนเด่น ก็มีความเห็นตรงกับกัปตันโยธินอย่างนึง ก็คือ นักการเมือง คือตัวการใหญ่ของปัญหาการบินไทย

แต่ ดร.เดือนเด่น มีความเห็นว่า ควรแปรรูปการบินไทยเป็นบริษัทเอกชน 100 % (หรือให้รัฐถือสัดส่วนไม่เกิน49%)

สำหรับผมไม่ค่อยเห็นด้วย กับ ดร.เดือนเด่น ในประเด็นแปรรูปการบินไทยให้เป็นเอกชน 100 %

เพราะจากในคลิปรายการเอง ก็ได้มีการพูดถึง สิงคโปร์แอร์ไลน์ ซึ่งยังเป็นรัฐวิสาหกิจสิงคโปร์ 100 % แต่สิงคโปร์แอร์ไลน์ใช้การบริหารแบบเอกชน 100 % โดยที่นักการเมืองไม่ไปล้วงลูกการบริหาร จึงทำให้สิงคโปร์แอร์ไลน์ ไม่ขาดทุน และมีกำไรมาโดยตลอด แม้ระยะหลังกำไรจะลดลงเพราะการแข่งขันสูงก็ตาม


ถ้าใครพอมีเวลาก็ลองดูคลิปนี้ครับ ฟังแล้วได้ประโยชน์และความรู้ดีพอสมควร




แต่ที่แน่ ๆ นักการเมืองไทย มันคือตัวปัญหาใหญ่ของชาติในทุกเรื่องจริง ๆ

คลิกอ่าน การบินไทยใกล้ล่มสลายเพราะใคร (สารจากสหภาพการบินไทย)

----------------

หรืออย่างกรณีมาเลเซียแอร์ไลน์ ที่แปรรูปไปเป็นกึ่งรัฐวิสาหกิจ ก็เจ๊ง จนรัฐบาลต้องกลับเข้ามาถือหุ้น 100 % เหมือนเดิม

แล้วถ้าเกิดการบินไทยแปรรูปไปเป็นเอกชนจริง ๆ (รัฐถือหุ้นน้อยกว่า 50%) ถามว่า เกิดเจ๊งแบบมาเลเซียแอร์ไลน์ล่ะ ??

ผมว่าสุดท้าย รัฐบาลไทยก็ต้องเข้าไปอุ้มอยู่ดี เท่ากับว่า ถ้าตอนบริษัทมีกำไรผู้ถือหุ้นก็เสวยสุขกันไป แต่ถ้าเกิดเจ๊ง รัฐบาลก็ต้องเอาภาษีชาติไปอุ้มใช่ไหม ลองตรองดู

ข่าวมาเลเซียแอร์ไลน์ คิดแปรรูปเป็นเอกชนมากขึ้น หลังขาดทุนหนัก 3 ปีติดต่อกัน 



คลิกอ่าน เมื่อ ศิธา ทิวารี ขออัพเกรดที่นั่งการบินไทยเป็นชั้นเฟิร์สคลาส