วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

คลิปตำรวจผิวขาวสหรัฐฯ ยิงเด็กผิวสีอายุ 12 ตายเพราะถือปืนปลอม






ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก กับประเทศที่ได้ชื่อว่า มีเสรีภาพมากที่สุดในโลก แต่ความรู้สึกเรื่องการเหยียดสีผิวของคนในชาติกลับยังไม่หมดไป

การประท้วงที่มิซูรี กรณีตำรวจยิงวัยรุ่นผิวสีเสียชีวิต และคณะลูกขุนมีมติไม่ดำเนินคดีตำรวจนายนั้น จนทำให้เกิดการประท้วงวุ่นวายในหลายรัฐ

แต่ไม่ทันเรื่องเดิมจะยุติ ก็มีเหตุตำรวจยิงเด็กผิวสีอายุ 12 ตายอีกรายแล้วตามข่าวและคลิปด้านล่าง


ตำรวจสหรัฐฯลั่นไกสังหาร “เด็ก 12 ขวบ” ถือ “ปืนปลอม” เดินขู่ชาวบ้านในรัฐโอไฮโอ

เด็กชายวัย 12 ขวบถูกตำรวจยิงเสียชีวิตที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไอโฮ หลังถือปืนขู่เพื่อนในสนามเด็กเล่น ซึ่งต่อมาภายหลังพบว่าเป็นเพียง “ปืนปลอม”

ตำรวจเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตัดสินใจลั่นกระสุนใส่เด็กชาย หลังจากเขาไม่ยอมยกมือขึ้นตามคำสั่ง

ก่อนหน้านั้น มีพลเมืองดีรายหนึ่งได้โทรแจ้งตำรวจว่า พบเห็นเด็กชายชักปืนออกมาจากกระเป๋ากางเกง แต่ไม่ทราบว่าเป็นปืนจริงหรือไม่

ตำรวจ 2 นายซึ่งเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ นายหนึ่งเพิ่งจะเข้ารับการบรรจุได้เพียงปีเดียว ส่วนอีกนายเป็นตำรวจที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี

เจ้าหน้าที่ชันสูตรประจำเทศมณฑลคูยาโฮกา ระบุว่า ผู้ตายมีชื่อว่า ทามีร์ ไรซ์

เอ็ด ทอมบา รองผู้กำกับการตำรวจเมืองคลีฟแลนด์ แถลงว่า เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ใช้วาจาข่มขู่หรือเล็งปืนไปที่ตำรวจเลย แต่ถูกเจ้าหน้าที่ยิงเข้าไป 2 นัดหลังพยายามชักปืนออกมาจากเอว และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

อาวุธที่เขาใช้เป็นเพียงปืนอัดลมที่ดูเหมือนปืนพกกึ่งอัตโนมัติ และได้ปลดตัว safety indicator สีส้มออกแล้ว



เจฟฟ์ ฟอลล์เมอร์ ประธานสมาคมตำรวจคลีฟแลนด์ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 นายไม่ได้ทราบข้อมูลส่วนที่ผู้แจ้งเหตุระบุว่า ไม่ทราบว่าปืนของเด็กหนุ่มเป็นปืนจริงหรือไม่

เดวิด วิลลิส ผู้สื่อข่าวบีบีซีในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระบุว่า ขณะนี้ตำรวจยังอยู่ระหว่างสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนเจ้าหน้าที่ 2 นายที่ยิงเด็กเสียชีวิตถูกสั่งพักราชการแล้ว

กรณีดังกล่าวได้จุดกระแสเรียกร้องให้มีการออกกฎหมายควบคุมปืนปลอมอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น โดย อลิเซีย รีซ ส.ส. รัฐโอไฮโอจากพรรคเดโมแครต ระบุว่า เธอเตรียมเสนอร่างกฎหมายซึ่งกำหนดให้ปืนปลอมทุกชนิดที่จำหน่ายในรัฐโอไอโฮต้องผลิตออกมาเป็นสีสันสดใสเท่านั้น

การทำงานของตำรวจเมืองคลีฟแลนด์ถูกสังคมจับตาเป็นพิเศษในช่วงไม่กี่ปีมานี้ หลังเกิดเหตุการณ์ตำรวจขับรถไล่ล่าผู้ต้องสงสัยเมื่อปี 2012 จนท้ายที่สุดมีคนเสียชีวิต 2 ราย แต่ตำรวจได้ลั่นกระสุนออกไปถึง 137 นัด

http://astv.mobi/A5kjH6W

ชมคลิปเหตุการณ์ตำรวจยิงเด็กผิวสีอายุ 12 ที่ถือปืนปลอม



-----------------

ดั่งคำกล่าวที่ว่า เสรีภาพ ต้องมาพร้อมการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง

ในขณะที่ประเทศไทย คนไทยอยากได้เสรีภาพเหลือเกิน แต่คนไทยกลับไม่ทำหน้าที่พลเมืองที่ดี กลับเป็นชาติที่คนไม่เคารพกฎหมายมากที่สุดในโลกชาติหนึ่ง


วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ถ้ายุคนี้คือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผู้ชู 3 นิ้วก็จะเป็นกลุ่ม กปปส.






จากกระแส หนังเดอะฮังเกอร์เกม Mockingjay - Part 1 ที่กำหนดฉายพร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 21 พฤศจิกายน แล้วก็มีกลุ่มต่อต้านรัฐประหารของ คสช. ออกมาเกาะกระแสหนังดัง แล้วชู 3 นิ้ว เพื่อแสดงสัญลักษณ์ต่อต้าน คสช.

จริง ๆ แล้วถ้าเป็นในสหรัฐอเมริกา ก็มีทั้งฝ่ายผู้สนับสนุนแนวคิดเสรีนิยม นำโดยพรรคเดโมแครต และผู้ที่สนับสนุนฝ่ายอนุรักษ์นิยม นำโดยพรรคริพับบลิกัน ต่างฝ่ายต่างก็อาศัยหนังเดอะฮังเกอร์เกม มาสนับสนุนแนวคิดฝ่ายตนเองทั้งสิ้นพอ ๆ กัน

ถ้าจะเปรียบกับการเมือง ผมว่า ถ้าตอนนี้เป็นยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลุ่มที่จะออกมาชู 3 นิ้ว ก็จะเป็นกลุ่ม กปปส. อย่างแน่นอน

แต่อย่าลืมนะว่า ตอนที่กลุ่ม กปปส. ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มักจะมีระเบิดถล่มกลุ่ม กปปส. ไว้เว้นแต่ละวัน 

ในขณะที่การต่อต้าน รัฐบาลเผด็จการ คสช. กลับไม่มีความรุนแรงใด ๆ เกิดขึ้นกับผู้ชุมนุมเลย !!



Yingluck = Snow

-----------------------

ทีนี้เรามาดูสกู๊ปช่าวไทยพีบีเอส นำเสนอเรื่องการเมืองในสหรัฐ กับหนังเดอะฮังเกอร์เกม ดังนี้



การรุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลที่ปิดหูปิดตาประชาชนโดยกลุ่มผู้ประท้วงหนุ่มสาว คือเนื้อหาที่อยู่ในคลิปหนังสั้น A Movement On Fire ที่จัดทำโดย Tea Party Patriots กลุ่มอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ที่นำเนื้อหาการต่อสู้เพื่อโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการในหนัง The Hunger Games มาเป็นธีมในต่อต้านนโยบายทางการเงินของรัฐบาลนาย บารัค โอบามา ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเพิ่มหนี้สาธารณะเป็นประวัติการณ์ในสหรัฐฯ 

เนื่องจากหนังได้ฉายในช่วงที่รัฐบาลของพรรคเดโมแครตซึ่งมีแนวคิดเสรีนิยมขึ้นมาปกครองประเทศ ทำให้หนัง The Hunger Games ถูกกลุ่มอนุรักษ์นิยมใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีรัฐบาลอยู่บ่อยครั้ง โดย ซาราห์ เซลท์เซอร์ นักวิจารณ์แนวคิดอนุรักษ์นิยมเขียนในบทความว่า The Hunger Games ถ่ายทอดความกดดันของผู้คนจากนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม ทำให้คณะบริหารของโอบามาดูไม่ต่างจากแคปิตอล หรือรัฐบาลเผด็จการในหนัง 

ส่วน จอห์น โนลตี นักเขียนจากเว็บไซต์อนุรักษ์นิยม Breitbart.com กล่าวว่า Mockingjay - Part 1 ออกฉายในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องการหนังที่พูดถึงการโค่นล้มประธานาธิบดีที่สับปลับ และไม่ชอบด้วยกฏหมาย 

แต่แนวคิดดังกล่าวถูกต่อต้านโดยกลุ่มแนวคิดเสรีนิยม โดย โดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ ผู้รับบทผู้นำเผด็จการในเรื่อง ที่แย้งว่า บารัค โอบามา ไม่มีสิ่งใดเหมือนกับ ประธานาธิบดีสโนว์ ผู้โหดเหี้ยมของ The Hunger Games แม้แต่น้อย และชี้ว่ากลุ่มอนุรักษ์นิยมโจมตีโอบามา เพราะการเป็นผู้นำผิวสีมากกว่าเหตุผลอื่นใด

ส่วน แวน โจนส์ อดีตที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมของเดโมแครต เปรียบเปรยว่าแม้หลายคนจะมอง The Hunger Games เป็นนิยายสไตล์ไซฟิคชั่น แต่สำหรับเขาแล้วหนังเรื่องนี้คือการนำเหตุประท้วงทางเชื้อชาติในเมืองเฟอร์กูสัน และการชุมนุมเรียกร้องความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจจากกลุ่มนายทุนใน ออคคูพาย วอลสตรีต มาฉายในเวอร์ชั่นภาพยนตร์นั่นเอง 

แอนดรูว์ โอเฮียร์ นักวิจารณ์ภาพยนตร์ ระบุว่า ธีมอันเป็นสากลของ The Hunger Games ที่เล่าถึงการปะทะระหว่างผู้ปกครอง และผู้อยู่ภายใต้การปกครอง ทำให้ตัวหนังได้รับความนิยมจากทั้งกลุ่มเสรีนิยม และกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่เลือกหนังที่กำลังได้รับความสนใจของสาธารณชน มาเป็นสื่อสนับสนุนแนวคิดของตนพอๆ กัน

ที่มา ข่าวศิลปบันเทิงไทยพีบีเอส




---------------------------

ช่องว่างความแตกต่างรายได้ของดาราฮอลีวู้ด

ทีนี้เรามาดูรายได้ที่แตกต่างกันอย่างลิบลับระหว่างดาราดัง กับดาราสมทบ ในฮอลลีวู้ด บ้าง



อาชีพในฮอลลีวูดอาจเป็นที่ใฝ่ฝันของคนในวงการภาพยนตร์ทั่วโลก แต่ความจริงแล้วมีเพียงนักแสดงแถวหน้าเท่านั้นที่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ 

ขณะที่นักแสดงทั่วไปและผู้ที่ประกอบอาชีพอื่นๆในฮอลลีวูด อาจไม่ได้มีฐานะร่ำรวยเหมือนที่หลายคนเข้าใจ

รายได้ร้อยละ 7 ที่หักจากการทำเงินรอบโลกของ Iron Man 3 ส่งให้ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ นักแสดงนำได้รับค่าตัวถึง 75 ล้านดอลลาร์ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากรายได้ของมิคกี้ โรค ที่ได้รับค่าตัวจากบทวายร้ายในภาค 2 ไปเพียง 250,000 ดอลลาร์ ชี้ให้เห็นถึงกระแสของค่ายหนังทุกวันนี้ที่หันมาทุ่มทุนกับการว่าจ้างนักแสดงดังด้วยค่าตัวมหาศาล แต่ลดความสำคัญที่มีต่อนักแสดงสมทบอย่างมาก

ขณะที่เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ได้ค่าตัวเพิ่มจาก 5 แสน เป็น 10 ล้านดอลลาร์ ในเวลาแค่ 2 ปี หลังจากโด่งดังกับ hunger games

ส่วนลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ก็เป็นนักแสดงไม่กี่คนที่ทำเงินได้ถึง 20 ล้านเหรียญต่อหนังหนึ่งเรื่อง แต่สถิติของสมาคมนักแสดงสหรัฐเผยว่านักแสดงฮอลลีวูดทั่วไปจะมีรายได้เฉลี่ยที่ 52,000 เหรียญต่อปี โดยส่วนใหญ่ทำเงินจากการแสดงอย่างเดียวปีละไม่ถึงพันเหรียญด้วยซ้ำ

อาชีพที่นักแสดงหันมาใช้เป็นช่องทางหารายได้เสริมอย่างมากในวันนี้ คือ การให้เสียงในงานโฆษณา โดยนักแสดงชื่อดังอย่าง มอร์แกน ฟรีแมน หรือ ทิม อัลเลน สามารถทำเงินจากการลงเสียงในวันเดียวได้ถึงหลักล้านดอลลาร์ ส่วนนักพากย์เสียงทั่วไปจะทำเงินประมาณ 3,000-5,000 เหรียญ ต่อโฆษณาหนึ่งชิ้น

งานจอแก้วก็เป็นแหล่งทำเงินของชั้นดีของนักแสดงฮอลลีวูด เมื่อผู้ผลิตรายการโทรทัศน์หันมาเพิ่มเรตติ้งด้วยการจ้างดาราหนังมาแสดงละครมากขึ้น ซึ่งคิดเป็นต่าตัวถึง 3 ล้านเหรียญต่อซีซั่น มากกว่าดาราจอแก้วทั่วไปที่ได้รับค่าจ้างเพียง 10,000-20,000 เหรียญต่อตอนเท่านั้น

แต่หากเป็นนักแสดงซีรีส์ระดับแถวหน้าแล้ว ค่าตัวของพวกเขาแทบไม่เป็นรองดาราชั้นนำของฮอลลีวูด ทั้งทีมนักแสดงจาก Big Bang Theory ที่ได้ค่าตัวเพิ่มจากตอนละ 300,000-1,000,000 ดอลลาร์ ส่วนแอชตัน คูชเชอร์ ก็ได้เงินจากการปรากฏตัวใน Two and a Half Men เฉลี่ยนาทีละ 34,000 เหรียญเลยทีเดียว

อาชีพที่เสี่ยงตายที่สุดในฮอลลีวูดอย่างสตันต์แมน ถือเป็นอาชีพที่เอาแน่เอานอนเรื่องรายได้ยากที่สุดเช่นกัน ขณะที่สตันต์แมนแถวหน้าอย่างทอม แม็คโคมาส ทำเงินได้ถึง 5 แสนดอลลาร์ต่อปี หรือ หยวนวูปิง ตำนานผู้กำกับคิวบู๊ก็ยอมรับว่า ในยุครุ่งโรจน์เขาเคยทำเงินเกินล้านเหรียญต่อปีมาแล้ว

แต่รายได้เหล่านี้เกิดขึ้นกับสตันต์แมนเพียงร้อยละ 1 ของวงการเท่านั้น โดยสหภาพแรงงานนักแสดงสหรัฐฯ ระบุว่ารายได้เฉลี่ยของสตันต์แมนอยู่ที่วันละ 30,000 บาท หรือ 1,600,000 บาทต่อเรื่อง ซึ่งแทบจะไม่พอใช้รักษาตัวหากเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งระหว่างหยุดพักงาน พวกเขาก็แทบจะไม่มีรายรับใดๆ เลย

ขณะที่บรรดาเอ็กซ์ตร้าหรือนักแสดงประกอบฉาก ได้เงินจากการปรากฏตัวในฉากประมาณวันละ 5,000 บาท บรรดานักแสดงสัตว์ที่โชว์ความสามารถพิเศษกลับทำเงินได้เยอะกว่ามาก

โดยเฉลี่ยสุนัขและแมวในฮอลลีวูดจะมีรายได้ต่อวันที่ 13,000 บาท ส่วน Crystal the monkey เจ้าจ๋อแสนรู้จาก Animal Practice ทำเงินจากการออกโทรทัศน์ 9 ครั้งได้เกือบ 3,500,000 บาท

ที่มา ข่าวศิลปบันเทิงไทยพีบีเอส


คลิกอ่าน เจนนิเฟอร์ ชูนิ้วกลาง ให้นักศึกษาที่ชู 3 นิ้ว

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แซน ชนิกา ถามเรื่อง ปรส. - พิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ตอบให้






เรื่อง ปรส. ที่โอ๊ค พยายามจุดกระแสถามพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อหวังกลบกระแสโครงการจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายให้แก่ชาติของยิ่งลักษณ์

ล่าสุด หลานสาวของทักษิณ ที่ชื่อ ชนิกา วงศ์นภาจันทร์ หรือ แซน ได้อวดฉลาดโพสถามเรื่อง ปรส. กับประชาธิปัตย์ สมทบกับโอ๊คตามนี้



แซน ชนิกา หลานทักษิณยิ่งลักษณ์ โพสต์เฟสบุ๊ค เรื่อง ปรส. ถาม ปชป. ดังนี้

1. รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ (พ.ศ. 2539-2540) ได้ออก พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2540 จัดตั้ง “องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส.” (Financial Secter Restructuring Authority: FRA) ในวันที่ 27 ตุลาคม 2540

2. รัฐบาล พล.อ.ชวลิต แต่งตั้งคณะกรรมการ “ปรส. ยุคชวลิต” โดยมี นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เป็น ประธาน ปรส. ชุดแรก ในวันที่ 27 ตุลาคม 2540

3. รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2540

4. พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านการต่างประเทศในสมัยรัฐบาลชวลิต และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดตั้ง ปรส. แต่อย่างใด

5. พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2540 เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการลอยตัวค่าเงินบาท กล่าวคือ “ปรส. ยุคชวลิต” ได้สิ้นสุดลงหลังจัดตั้งกองทุนได้เพียง 16 วันเท่านั้น

6. นายชวน หลีกภัย ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ในสมัยที่ 2 วันที่ 9 พฤศจิกายน 2540 (รัฐบาลชวน 2 : พ.ย. 40 – ก.พ. 44)

7. รัฐบาลชวน 2 ได้มีการสรรหาผู้เหมาะสมเข้ามาเป็นประธาน ปรส. แทน นายธวัชชัย ยงกิตติกุล ที่ลาออก โดยนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น เป็นผู้ทาบทาม นายอมเรศ ศิลาอ่อน

8. รัฐบาลชวน 2 ได้แต่งตั้ง คณะกรรมการ “ปรส. ยุคชวน” โดยมี นายอมเรศ ศิลาอ่อน เป็นประธาน ปรส. และนาย วิชรัตน์ วิจิตรวาทการเป็นเลขาธิการ ในวันที่ 23 ธันวาคม 2540 ซึ่งภายหลังนายวิชรัตน์ มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ จึงมีการแต่งตั้ง นายมนตรี เจนวิทย์การ เป็นเลขาธิการ ปรส. แทน

9. “ปรส. ยุคชวน” แต่งตั้งโดยรัฐบาลชวน2 สั่งปิดกิจการถาวร 56 สถาบันการเงิน

10. “ปรส. ยุคชวน” แต่งตั้งโดยรัฐบาลชวน 2 ดำเนินการนำสินทรัพย์ 56 สถาบันการเงิน ประมูลขายแบบ “เหมาเข่ง” ในราคา “เลหลัง” กล่าวคือสินทรัพย์ที่นำไปประมูลขายทอดตลาด ได้รับการประเมิณว่ามีมูลค่า สูงถึง 851,000 ล้านบาท ถูกขายทอดตลาดไปเพียง 190,000 ล้านบาท เท่านั้น

11. รัฐบาลชวน 2 ตราพระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับ เพื่องดเว้นภาษีแก่ผู้ซื้อสินทรัพย์ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทุนต่างประเทศ และ ยกเว้นภาษีให้กองทุนรวมฯ เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายซื้อ ใช้กองทุนรวมฯ (กองทุนต่างชาติ) ที่ไม่มีสิทธิเข้าประมูล เข้ามาใช้สิทธิ์ได้รับยกเว้นภาษีฯ

สรุปแล้วงานนี้ ถ้าพิจารณาจาก 11 ข้อเท็จจริงนี้ ใครเกี่ยวไม่เกี่ยว ก็คงต้องใช้ “วิจารณญาณ” อ่านกันดูเองนะคะ

ที่มา มติชนออนไลน์

----------------

พอดีคำถาม ของ แซน ชนิกา มันเผอิญไปตรงกับที่คุณพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ได้โพสเฟสบุ๊ค เพื่อตอบโต้เพจ uddthailand ที่พยายามบิดเบือน โดย คุณพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ได้โพสในเฟสบุ๊คตามนี้




ขบวนการบิดเบือนหนีตาย
ยุทธการโกหกคำโต

มีผู้ปรารถนาดี
ถ่ายภาพเพจจากfb.ที่ไหนสักแห่งส่งมาให้ทางไลน์ เปิดเผยให้เห็นว่า
ยุทธการบิดเบือน "โกหกคำโต"
ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
เป็นขบวนการ โดยแบ่งหน้าที่กันทำเป็นเครือข่าย หลายกลุ่ม
เพื่อช่วยอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์
ให้พ้นจากความผิดในคดีรับจำนำข้าว
โดยพยายามริดรอนความน่าเชื่อถือ ของปปช. ผู้ได้ชี้มูลความผิด ให้ดำเนินคดี

ผมออกมาชี้แจงเรื่อง ปรส.โดยเปิดเผยตัวตนชัดแจ้ง ต้องรับผิดชอบด้วยเกียรยศของตนเอง ที่เป็น รมช.กค. อยู่ในช่วงเวลาขณะนั้น

แต่เพจที่ขึ้นมานี้ โดยกลุ่มบุคคลลึกลับ
ไม่เปิดเผยตัวตัว ใช้ชื่อ UDD.Thailand
แต่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ตั้งแต่ใน ภาพ แยกรัฐบาลชวลิต และชวน หลีกภัย

ขอเรียนว่า
ที่ระบุในช่องสีแดง และสีเขียว ล้วนเป็นเท็จคือ

1 พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
(แท้จริงต้องระบุรองนายกรัฐมนตรีขณะนั้นไว้ด้วย)

1.1 "ก่อตั้ง ปรส.ขึ้นมาโดยแยกหนี้ดี ออกจากหนี้เสีย" เป็นเท็จ

ปรส.ตั้งขั้นโดย พรก. วันที่ 22 ตค.40 ประกาศราชกิจจาฯ 24 ให้มีผลบังคับใช้ 25 ตค.40 แล้วรัฐบาล ชวลิตฯ ลาออกวันที่ 6 พย. 40 กำหนดอำนาจในการชำระบัญชีเป็นของ ปรส.โดยเบ็ดเสร็จ

ไม่มีข้อกำหนดที่ใดว่า "โดยแยกหนี้ดีออกจากหนี้เสีย" การประมูลขายสินทรัพย์โดยวิธีใดเป็น อำนาจของ ปรส. รัฐบาลก้าวก่ายแทรกแซงไม่ได้

1.2.ขณะนั้นยังไม่มีใครทราบ ได้ว่า ปรส.จะอนุญาตให้ 58 สถาบัน การเงินกลับมาฟื้นฟูกิจการได้กี่แห่ง สินทรัพย์ที่จะต้องขายทอดตลาดมีเท่าไร สภาพสินทรัพย์เป็นอย่างไร จึงไม่มีข้อมูล จะประเมินได้ว่า จะขายสินทรัพย์ได้กี่เปอร์เซ็นของมูลค่าหนี้ ที่กล่าวว่า ได้ประเมินไว้ตั้งแต่ รัฐบาลชวลิตฯ ที่ตัวเลข 42.68% เป็นการกล่าวข้อมูลเท็จ

2. รัฐบาลชวน หลีกภัย
(ตั้งแต่ 14 พย. 40)

2.1 ที่กล่าวว่า "ตั้งคณะกรรมการ ปรส. ใหม่หมด" เป็นเท็จ

ตามพรก. รัฐบาลใหม่ ไม่สามารถปลด กก.ปรส.ที่ตั้งไว้แล้วได้ แต่หลังจากที่ ปรส.ได้วินิจฉัยปิด 56 สถาบันการเงิน เป็นการถาวรเมื่อ วันที่ 8 ธันวาคม 2540 แล้ว ประธาน และ เลขาธิการ ปรส. พร้อมกัน ลาออก

รมว.กค. ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ได้ตั้งประธาน ปรส.คนใหม่ กับตั้ง ผู้รักษาการ เลขาธิการคนใหม่ เท่านั้น ที่อ้างว่ามีการตั้งกรรมการ ปรส.ใหม่ ทั้งหมด เป็นการจงใจกล่าวคำเท็จ

2.2 "ประมูลขายสินทรัพย์จริงได้เพียง 24.99 % " เป็นความเท็จ

ข้อเท็จจริงคือ จากจำนวนสินทรัพย์ ทั้งหมด 748,091 ล้านบาท ประมูลขายไปได้เงินรวม 271,397 ล้าน บาท คิดเป็นสัดส่วน 35.31 %

ปรส.ชำระบัญชีเสร็จสิ้นในปี 2545 ซึ่งเป็นช่วงรัฐบาลไทยรักไทย มี พตท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว และคนจากไทยรักไทยในชื่อพรรคใหม่ก็ได้สืบทอดเป็นนายกรัฐมนตรีมาตลอด คือนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ข้อมูลเช่นนี้

รัฐบาล พตท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องทราบดี หากไม่เป็นความจริง คงจะมีข้อมูลจาก ไทยรักไทย หรือพรรคเพื่อไทย ออกมายืนยันแล้ว

2.3 "ออกกฎหมายยกเว้นภาษี ให้แก่กองทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อ" เป็นความเท็จ

เพราะกฎหมายได้ยกเว้นภาษีใช้กับผู้ซื้อสินทรัพย์ทุกราย ไม่ใช่เฉพาะกองทุน ต่างชาติ ผู้ซื้อสินทรัพย์ประมาณร้อยละ 55.57 เป็นผู้ประกอบการไทย ส่วนผู้ประกอบการต่างชาติมีเพียงร้อยละ 44.43 เท่านั้น

จากนี้ต่อไป จนกว่าจะได้มีการตัดสินคดีความผิดเรื่องจำนำข้าว จะต้องมีสมุนบริวารเรียงแถวกันออกมาบิดเบือนเรื่อง ปรส. ในรูปแบบต่างๆเป็นขบวนการต่อไป

วิธีการต่อสู้กับการโกหกซ้ำซาก ก็คือต้องติดตามชี้แจงข้อเท็จจริง ย้ำความจริงซ้ำซากเช่นเดียวกัน

ข้อมูลดังกล่าว แม้บางท่านจะได้ผ่านตามาหลายครั้งแล้ว แต่ก็โปรดอย่าได้เบื่อหน่าย

ผมเองก็ต้องพยายามปลุกตนเองให้ ไม่เบื่อหน่ายที่จะตามชี้แจง จนกว่าคนอื่นๆในพรรคประชาธิปัตย์จะได้ตื่นจากหลับเสียที

หรือคนในรัฐบาลชวน หลีกภัย วันนี้ไม่เหลือใครอีกแล้วใน พรรคประชาธิปัตย์ ?? ?

19 11 57

-----------------

แนะนำอ่านเพิ่มเติมเรื่อง ปรส. ที่ผมอธิบายอย่างมัน และเข้าใจง่าย ๆ ต่อได้ที่

คลิกอ่าน โอ๊คโชว์โง่ คดี ปรส. แถมอวยจำนำข้าวอย่างหน้าด้าน

คลิกอ่าน ทำไม ปรส. ไม่แยกหนี้ดีหนี้เสีย และความโง่ของโอ๊ค

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เพจเสื้อแดงโชว์โง่ ประยุทธ์ไม้ได้ประสานมือกับโอบามา







พอดีบล็อคนี้ไม่ได้อัพเดทมาหลายวัน ก็เลยขออัพเดทเรื่องฮา ๆ เกี่ยวกับความโง่เพจเสื้อแดงที่ชื่อว่า สื่อมวลชน คนเสื้อแดง ให้อ่านเล่น ๆ แล้วกัน

อย่างเช่นเรื่องที่ นายกฯ ประยุทธ์ ไปประชุมอาเซียนซัมมิทที่พม่า

เพจ สื่อมวลชน คนเสื้อแดง ก็เอาเรื่องที่นายกฯ ประยุทธ์ ไม่ได้ประสานมือกับโอบามา มาเล่นเอาฮาในกะลาแดง เรื่อง ยืนไม่เรียงตามตัวอักษร หาว่า โอบามาเขารังเกียจเลยไม่อยากยืนเรียงตามตัวอักษร

ซึ่งผมก็ไปแสดงความเห็นสั่งสอนความโง่มันสักหน่อยตามรูปนี้ครับ



อธิบายก็คือ การยืนเรียงตามอักษร เขาไม่ได้เน้นว่าต้องตายตัวหรอกครับ ถ้าเราไปย้อนดูการประชุมอาเซียนซัมมิทที่ผ่านมา ก็ไม่เคยเรียงกันเป๊ะ ๆ สักครั้ง

อย่างสมัยยิ่งลักษณ์เคยไปประชุมที่บรูไน ก็เรียงลำดับ สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม สหรัฐอเมริกา เหมือนกัน




หรือการประชุมที่กัมพูชาเป็นเจ้าภาพ ก็ยืนเรียง สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม สหรัฐอเมริกา เหมือนกัน





รูปที่ 2 ที่เพจ สื่อมวลชน คนเสื้อแดง โชว์โง่ คือ รูปนี้ครับ



พอผมไปโพสสั่งสอนมันได้ไม่ถึงชั่วโมง แอดมินเพจนี้มันก็แบนผม  คือ มันคงรับความจริงไม่ได้นั่นแหละ 555555


ที่จริงยังมีเรื่องโง่ ๆ ของเพจเสื้อแดงอีกหลายเพจ แต่ผมขอยกตัวอย่างแค่นี้แล้วกัน

เพื่อจะบอกว่า คนโง่เสื้อแดงในประเทศไทยมันไม่ยอมออกจากกะลาแดงกันเลย ดังนั้น ระบอบทักษิณจึงยังคงอยู่ต่อไปอีกนาน

คลิกอ่าน เสื้อแดงโชว์โง่ขอเป็นขี้ข้าทักษิณ ขอเป็นรองเท้าทักษิณทุกชาติไป