วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

สาวกชาเขียวยอมโง่และเต็มใจให้หลอกเพราะอยากเล่นหวย







ผมเขียนบทความเรื่องหวยชาเขียวมาหลายบทความ อย่างบทคามล่าสุดเรื่อง "วิกฤติหวยชาเขียว ฯ" ก็มียอดไลค์(จริง) กว่าหมื่นไลค์เข้าไปแล้ว

แต่ก็อย่างว่า ไม้จิ้มฟันอย่างผมจะไปงัดไม้ซุงยักษ์อย่างเสี่ยตัน ผู้ผลิตชาเขียวอิชิตัน และเจ้าสัวเจริญ ผู้ผลิตโออิชิได้อย่างไร

เพราะคนไทยชอบหวย ชอบการพนันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้เจ้าของชาเขียวคนดังยิ่งรวย ๆ เพราะรู้สันดานคนไทยอย่างดี

เมื่อต้นทุนชาเขียวแช่เย็นมันน้อยนิด แต่ขายแพง ๆ เพื่อเอากำไรมาใช้ในการโปรโมทหวยใต้ฝา คนไทยจำนวนมากจึงยอมเป็นเบาหวาน ยอมโง่ เพื่อหวังเงินล้านเป็นธรรมดา

ต้นทุนน้ำชา 1.5 บาท ค่าการผลิต 2 บาท รวมทั้งค่าขวด ตกใบละ 3 บาทพร้อมฉลากเท่านั้น ไม่ใช่ 5 บาทแบบที่ไทยพีบีเอสรายงาน

ดังนั้นชาเขียวมีต้นทุนทั้งสิ้นขวดละ 6.5 บาทเท่านั้น นี่คือต้นทุนอย่างแพงที่สุดนะครับ เพราะถ้าผลิตในจำนวนมาก ๆ ค่าโสหุ้ยต่าง ๆ จะยิ่งลดลง



เพราะขวดเพ็ทเปล่าขนาด 400 - 500 ซีซี ซื้อแบบขายส่งขนาดบรรจุ 150 ใบ ราคา 350 บาทหรือตกขวดละ 2.33 บาทเท่านั้น

แต่ถ้าบริษัทชาเขียวที่ซื้อหรือผลิตขวดเองเป็นล้านขวด ต้นทุนตกใบละไม่ถึง 1 บาทครับ

ดังนั้นต้นทุนชาเขียว บวกค่าดำเนินการ รวมถึงเงินเดือนแสนแพงของเจ้าของชาเขียวด้วย กับกำลังการผลิตหลายล้านขวดต่อวัน ผมว่า ต้นทุนต่อขวดตกขวดละไม่ถึง 5 บาทด้วยซ้ำ 

มีคนถามว่า ตอนนี้คุณตันเป็นหนี้ค่าเครื่องจักรที่ไปซื้อมา หนี้ค่าโรงงานที่เพิ่งสร้าง ทำไมไม่คิดรวมไปด้วย

ขอตอบว่า คุณตันเขาเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นเพื่อระดมทุนจากตรงนั้นเอามาจ่ายหนี้ค่าเครื่องจักรและค่าโรงงานแล้วไงครับ หายโง่นะ !! (อ่านหมายเหตุด้านล่าง)

ดูรายงานล่าสุดจากไทยพีบีเอส ธุรกิจชาเขียวพร้อมขายหวย ไปฟังนักวิชาการเรื่องการพนัน ไปฟังผู้บริโภคว่า ทำไมถึงชอบชาเขียว แถมร้านค้าขายดีเป็นเท่าตัวเพราะมีแถมหวยนี่แหละ



--------------------

ฟังชัด ๆ กุมารแพทย์เตือนภัย โทษจากชาเขียวพร้อมดื่ม

กุมารแพทย์ได้เตือนเด็กและสตรีมีครรภ์ ว่าไม่ควรดื่มชาเขียวพร้อมดื่ม  เพราะมีสารที่เป็นอันตราย เช่น แทนนิน คาเฟอิน และน้ำตาลสูง




ภัยจากสารแทนนินในชาเขียวพร้อมดื่ม





ภัยจากคาเฟอินในชาเขียวพร้อมดื่ม


http://imgur.com/9FHbE63,K8Gj5OY#1

แล้วทำไมหลายรัฐบาล ไม่ยอมแก้ไขกฎหมายเพื่อตวบคุมชาเขียวและการตลาดอบายมุขแบบนี้

1. นักธุรกิจชาเขียวสร้างภาพลักษณ์ใจบุญให้คนไทยหลงรักทั้งประเทศ

2. หน่วยงานราชการหลายแห่งได้รับเงินบริจาคจากเขาเพื่อช่วยเหลือทางราชการ

3. มีพรรคพวกเส้นสายทางการเมืองดี

4. คนไทยที่ชอบอบายมุขแบบนี้ ร่วมกันปกป้องเจ้าของชาเชียว

----------------

รถเบนซ์ชาเขียว แบบได้ทันทีไม่ต้องลุ้น 555

http://imgur.com/IJWlYt3


หมายเหตุ ตามหลักของนักธุรกิจที่แสนฉลาด เช่นคุณตัน เมื่อเขานำหุ้นบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว เขาจะเอาเงินที่ได้จากการระดมทุนนั้นเข้ากระเป๋าตัวเอง  เหมือนมีเงินสดอยู่ในมือ เพื่อถอนทุนจากการสร้างโรงงานอันแสนเหน็ดเหนื่อยของเขา หรือที่เรียกว่า คืนทุน

ส่วนหนี้เงินกู้ที่ต้องชำระให้ธนาคาร เขาก็จะไปหักจากผลประกอบการในแต่ละปีนั่นแหละ เพราะจะได้หักค่าใช้จ่ายต่อปีได้มาก ๆ เพื่อจะได้เสียภาษีรายได้น้อยลง

คลิกอ่าน กลยุทธ์รวยหลอกแดกของตัน อิชิตัน

คลิกอ่าน ตัน อิชิตัน คือเจ้ามือหวยออกเบอรฺ

คลิกอ่าน กลยุทธ์รวยสร้างภาพของเสี่ยตัน

คลิกอ่าน คุณตัน ร่ำรวยก็เพราะรู้จักธาตุแท้สันดานคนไทยส่วนใหญ่

คลิกอ่าน ใครแจกเบนซ์กันแน่ระหว่างคุณตันกับพวกโง่

คลิกอ่าน ผมไม่เคยแดก เย็นเย็น แต่ผมจะลองดื่ม จับใจ

คลิกอ่าน ถ้าได้รถเบนซ์จากอิชิตัน ต้องจ่ายภาษีทั้งหมดเท่าไหร่

คลิกอ่าน ดราม่าเล็ก ๆ เมื่อสาวกคุณตันน้อยใจคุณตันแจกไอโฟนให้แต่คนรวยแล้ว






วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

กฏหมายใหม่ โกงภาษี หนีภาษี เลี่ยงภาษีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี






รัฐบาล คสช. มีมติเห็นชอบแก้ไขกฎหมายภาษีใหม่ เพิ่มโทษ ทั้งจำทั้งปรับหนักขึ้น ตามนี้





1. นิติบุคคล ที่ไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามกำหนด เดิมไม่มีโทษปรับ แต่กฎหมายใหม่ เพิ่มระวางโทษปรับ

คลิปที่รูปเพื่อขยาย



2 .ต่อไปบุคคคลใดขอยื่นขอคืนภาษีอากรอันเป็นเท็จ มีโทษจำคุก 3 เดือนถึง 7 ปี

คลิกที่รูปเพื่อขยาย



3. ต่อไปบุคคลใดไม่ยื่นจ่ายภาษี พยายามเลี่ยงภาษีอากร หรือหนีภาษีอากร โทษเดิมจำคุกไม่เกิน 6 เดือน แต่กฎหมายใหม่ จำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี

คลิกที่รูปเพื่อขยาย



วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2558

ถ้าได้รางวัลรถเบนซ์จากอิชิตันต้องจ่ายภาษีทั้งหมดกี่บาท







หลายคนอาจไม่รู้ว่า ถ้าคุณได้รางวัลรถเบนซ์ SLK มูลค่า 3,690,000 บาท จะเสียภาษีทั้งหมดเท่าไหร่


ผู้โชคดีได้รถเบนซ์คันแรกจากอิชิตัน มูลค่า 3,690,000 บาท (รูปจากเฟสคุณตัน)


ถ้ารถเบนซ์ราคา 3.69 ล้านบาท คุณต้องจ่ายภาษี 5 % จากมูลค่าของรางวัลเป็นอันดับแรก คือประมาณ 184,500 บาททันที (เท่าที่ทราบตั้งแต่โปรแจกปอร์เช่ คุณตันจะจ่ายภาษีส่วนนี้ให้) เท่ากับมีได้รายได้หลังจากหักภาษีแล้วทั้งสิ้น 3,690,000 บาท

แต่ยังไม่จบนะครับ

เพราะพอถึงสิ้นปีต้องไปจ่ายภาษีเงินได้อีกรอบด้วยนะครับ

ด้วยการรวมรายได้ตลอดปีที่คุณได้ บวกกับเงินที่ได้จากรางวัลรถเบนซ์ เพื่อคิดฐานภาษีที่คุณต้องจ่ายในปีนั้น

การคิดภาษีเงินได้จะคิดเป็นขั้นบันได ดังนั้นถ้ามีรายได้3,690,000 บาท ก็เสียภาษีเงินได้ประจำปีตามนี้

จำนวน 150,001-300,000 บาท เสียภาษีอัตรา 5 % = 7.5 พันบาท
จำนวน 300,001-500,000บาทเสียภาษีอัตรา 10 % = 2 หมื่นบาท
จำนวน 500,001-750,000บาท เสียภาษีอัตรา 15 % = 37,500 บาท
จำนวน 750,001-1,000,000บาท เสียภาษีในอัตรา 20 % = 5 หมื่นบาท
จำนวน 1,000,001-2,000,000 บาท เสียภาษีอัตรา 25 % = 2.5 แสนบาท
จำนวน 2,000,001-3,690,000 บาทเสียภาษี 30 % = 507,000 บาท

เท่ากับคุณต้องเสียภาษีรายได้สิ้นปีอีก 872,000 บาท

แต่เมื่อตอนแรกคุณได้จ่ายภาษีหัก ณ. ที่จ่ายไปแล้ว 184,500 จึงนำมาหักลดจากภาษีที่ต้องจ่ายสิ้นปี จึงเหลือเพียง 872,000- 184,500 = 687,500 บาทเท่านั้น

สรุป ถ้าได้รถเบนซ์ SLK จากอิชิตัน ต้องจ่ายภาษีสิ้นปีทั้งหมด 687,500 บาท

ดังนั้นใครได้รางวัลรถเบนซ์แล้ว อย่ารีบใช้เงินหมดนะครับ ต้องเหลือเผื่อไว้จ่ายภาษีสิ้นปีอีกด้วย ไม่งั้นอาจซวยนะครับ เพราะจะโดนภาษีย้อนหลังและโดนค่าปรับอีกจำนวนมาก ขอบอก

(หมายเหตุ ผมเพิ่งไปเห็บเว็บบอร์ดแห่งนึง มีกระทู้นึงลอกเนื้อหาบทความนี้ของผมไปแบบเป๊ะ ๆ โดยไม่มีการให้เครดิต เฮ่อ.. นิสัย!!)


ล่าสุด กฎหมายใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้ปีนี้ ใครเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 7 ปีแล้วนะครับ




คลิกอ่าน กลยุทธ์รวยหลอกแดกของตัน อิชิตัน

คลิกอ่าน ตัน อิชิตัน คือเจ้ามือหวยออกเบอรฺ

คลิกอ่าน กลยุทธ์รวยสร้างภาพของเสี่ยตัน

คลิกอ่าน คุณตัน ร่ำรวยก็เพราะรู้จักธาตุแท้สันดานคนไทยส่วนใหญ่

คลิกอ่าน ใครแจกเบนซ์กันแน่ระหว่างคุณตันกับพวกโง่

คลิกอ่าน ผมไม่เคยแดก เย็นเย็น แต่ผมจะลองดื่ม จับใจ

คลิกอ่าน ถ้าได้รถเบนซ์จากอิชิตัน ต้องจ่ายภาษีทั้งหมดเท่าไหร่

คลิกอ่าน ดราม่าเล็ก ๆ เมื่อสาวกคุณตันน้อยใจคุณตันแจกไอโฟนให้แต่คนรวยแล้ว






วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

มุมมองพระไพศาล วิสาโล ปฏิรูปสงฆ์และมหาเถรสมาคม






รายการตอบโจทย์ ไทยพีบีเอส ได้ไปสัมภาษณ์ พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาส วัดป่าสุคะโต จังหวัดชัยภูมิ ในมุมมองของท่านเกี่ยวกับการปฏิรูปวงการสงฆ์ไทย และมหาเถรสมาคม

ซึ่งผมตั้งใจดูรายการเพื่อฟังความคิดเห็นของพระไพศาล จนจบ ยอมรับว่า พระไพศาล ท่านเป็นพระที่มีความคิดความอ่านแหลมคมและรอบรู้มากทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ กฎหมายและวิกฤติสงฆ์ไทยอย่างลึกซึ้งและแตกฉานมาก ๆ

ทุกความคิดความอ่านของพระไพศาล เกี่ยวกับเรื่องปฏิรูปสงฆ์ เป็นมุมความคิดที่เฉียบคม และละเอียดในทุกมิติ

อยากให้คุณผู้อ่านได้ตั้งใจดูครับว่า พระดี พระที่เป็นนักปราชญ์แสดงความเห็นอย่างไร้อคติ และทรงความรู้นั้น เป็นอย่างไร

สาธุ ขออนุโมทนากับพระไพศาล วิสาโล ด้วยครับที่ได้แสดงความเห็นเพื่อพุทธศาสนาได้อย่างมีประโยชน์จริง ๆ สาธุ

การได้ฟังความเห็นของปราชญ์ ย่อมเสริมสร้างวุฒิภาวะทางปัญญาของผู้ฟังให้ดีขึ้นตาม



ปัญหาของวงการสงฆ์ไทยตอนนี้ อยู่ที่โครงสร้างมากกว่าตัวบุคคล


คลิกอ่าน ย้อนคดียักยอกทรัพย์ของสมีธัมมชโย

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558

ย้อนคดี ธัมมชโย ยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย









ย้อน “คดีธมฺมชโย” ยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย

เรื่องของวัดพระธรรมกายที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากการเดินธุดงค์กลางเมืองนั้น ความจริงแล้วนี่ต้องบอกว่า ไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่สังคมกังขาถึงเป้าประสงค์ที่แท้จริงของวัดแห่งนี้

แต่เรื่องใหญ่ที่สุดที่หลายคนอาจลืมไปแล้วก็คือ คดีความที่เกิดขึ้นกับ “พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)”ผู้นำทางจิตวิญญาณของวัดแห่งนี้นั่นคือ คดียักยอกทรัพย์สินของวัดพระธรรมกายไปเป็นสมบัติส่วนตัว

ต้นตอของคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2541 พระอดิศักดิ์ วิริสโก อดีตพระลูกวัดพระธรรมกาย กล่าวหาพระธมฺมชโยว่า ยักยอกเงินและที่ดินที่บรรดาญาติโยมบริจาคให้วัด และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ใกล้ชิดสีกา และอวดอุตริมนุสธรรม

ต่อมา กรมที่ดินได้สำรวจพบ พระธัมมชโยมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินและบริษัทที่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายกว่า 400 แปลง เนื้อที่กว่า 2 พันไร่ ใน จังหวัดพิจิตร และเชียงใหม่

มหาเถรสมาคมจึงมอบหมายให้ พระพรหมโมลี เจ้าอาวาสวัดยานนาวา ซึ่งเป็นเจ้าคณะภาค 1 ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งมีข้อสรุปว่า เป็นจริงตามที่ถูกกล่าวหา

มหาเถรสมาคม จึงมีมติให้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของเจ้าคณะภาค 1 คือ ให้ปรับปรุงคำสอนของวัดพระธรรมกายว่า นิพพานเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา และให้ยุติการเรี่ยไรเงินนอกวัด

โดยสมเด็จพระสังฆราชฯ สกลมหาสังฆปรินายก ได้มีพระลิขิตให้คืนที่ดินและทรัพย์สินขณะเป็นพระให้วัดพระธรรมกาย แต่ พระธัมมชโยไม่ยอม 

กรมการศาสนาจึงได้เข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม กล่าวโทษในคดีอาญา ม.137 ,147 และ 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ข้อหาที่พระธัมมชโยถูกฟ้องก็คือ เป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร จำเลยที่ 2 และนำเงินอีก 29,877,000 บาทไปซื้อที่ดินกว่า 902 ไร่ ใน ต.หนองพระ (จ.พิจิตร) และที่ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โดยโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ 2 นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์

นอกจากนี้ ยังมีอดีตทนายความวัดพระธรรมกายและประชาชนที่เคยเลื่อมใสศรัทธา ในวัดพระธรรมกาย เข้าแจ้งความดำเนินคดีพระธัมมชโยเช่นกัน ฐานฉ้อโกงเงิน 35 ล้าน โดยแยกเป็นคดีความทั้งหมด 5 คดี

ทว่า เกือบ 7 ปี ของการดำเนินคดี ตั้งแต่ปี 2542-2547 เหลือสืบพยานจำเลยอีก 2 นัด ในวันที่ 23 และ 24 สิงหาคม 2549 เท่านั้น

แต่แล้วในวันที่ 21 สิงหาคม พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 ซึ่งเป็นโจทก์ ก็ขอถอนฟ้องจำเลย คือ พระธัมมชัยโย และ นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์ โดยเรืออากาศโทวิญญู วิญญกุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล

โดยอัยการให้เหตุผลสรุปว่า ปัจจุบันจำเลยที่ 1 กับพวก ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎกและนโยบายของคณะสงฆ์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไป ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนา ทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐและเอกชนจำนวนมาก

ส่วนด้านทรัพย์สินนั้น จำเลยที่ 1 กับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดคืน ทั้งที่ดินและเงินจำนวน 959,300,000 บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วนทุกประการแล้ว

ประกอบกับขณะนี้ บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักรและไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุด (นายพชร ยุติธรรมดำรง) จึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา


แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ

ก่อนหน้าที่อัยการจะถอนฟ้องเพียงเดือนเศษ ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2549 พล.อ.อ. คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงาน "รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี "

โดยระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั่วประเทศ 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี นช. ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานและกล่าวปาฐกถา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมขับไล่ นช.ทักษิณ



ที่มาข้อมูล เพจ  X ธรรมกาย

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558

ธัมมชโยอยากครองโลก แต่พระลูกวัดดันตกม้าตาย







“หลวงพ่อไม่ต้องการเป็นสังฆราชหรอก แต่หลวงพ่อต้องการครองโลก โลกทั้งใบ” ประโยคคำพูดที่ตราตรึงอยู่ในใจของ นพ.มโน เลาหวณิช หรืออดีตพระมโน เมตตานันโท อดีตพระสำคัญลำดับ 3 แห่งวัดพระธรรมกาย นับตั้งแต่ได้รับฟังยังคงอยู่ในห้วงความคิดของเขาจนถึงปัจจุบัน และคนที่พูดคำนี้หาใช่ใครอื่น




“พระธัมมชโย” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย คือเจ้าของคำพูดนั้น บ่งบอกได้ชัดเจนถึงแรงปราถนาอันแรงกล้าอย่างน่ากลัวของผู้นำความคิดแห่งวิชชาธรรมกาย
ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิอกภูมิใจตามความคิดของคู่สนทนาสำหรับ “โพสต์ทูเดย์” ที่เข้ามาจับเข่าคุยกับ นพ.มโน อดีตศิษย์รัก ศิษย์คนสำคัญของพระธัมมชโย อดีตที่เคยไว้วางใจบอกทุกเรื่องราว

 “หมอมโน” แยกทางจากพระธัมมชโย เมื่อปี 2541  เพราะรับไม่ได้กับพฤติกรรมสงฆ์ของพระธัมมชโย พร้อมชำแหละถึงด้านมืดและความเสื่อมของพระธัมมชโย ที่แปรเปลี่ยนวัดพระธรรมกาย รวมถึงพุทธศาสนาให้ผิดเพี้ยนจนเกิดความเสื่อมไปทุกระแหง


ขาดความรัก พ่อแม่แยกทาง

นพ.มโน เปิดฉากเล่าว่า ในช่วงวัยรุ่น พระธัมมชโยในคราบของนักเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพื่อนร่วมรุ่นก็มีอยู่ในพรรคเพื่อไทย เช่น ปลอดประสพ สุรัสวดี  และเขาเป็นคนที่ใฝ่ความรู้ ชอบอ่านหนังสือ และแผงหนังสือย่านสนามหลวงคือที่สิงสถิตย์ ส่วนใหญ่แล้วพระธัมมชโยจะมักไปยืนอ่านหนังสือฟรี เพราะไม่มีสตางค์จะไปซื้อมาเป็นของตัวเอง และหนังสือที่ชอบมากที่สุดคือประวัติศาสตร์บุคคล

“มาวันหนึ่งตอนแกอยู่ชั้นมศ.4 มาอ่านหนังสือที่สนามหลวง ไปเจอเรื่องปาฏิหารย์ แม่ชีคุณยายจันทร์ปัดลูกระเบิด แกเลยดิ่งมาหาคุณยายจันทร์ที่วัดปากน้ำทันที มานั่งสมาธิกับคุณยายจันทร์เรื่อยมา ซึ่งตอนนั้นคุณยายจันทร์เอ็นดู ดูแลมาตลอดเพราะสงสาร และเริ่มสอนการบอกบุญ ให้ทุนการศึกษากับธัมมชโย และได้เข้าเรียนที่ม.เกษตร คณะเศรษฐศาสตร์”

“เขาชอบศึกษาบุคคลที่สำคัญๆ ว่าเขาสำคัญมาได้อย่างไร คนที่ชอบมากที่สุดเรียกว่าบูชาเลยก็ว่าได้คือ อดอฟต์ ฮิตเลอร์ ผู้นำเผด็จการพรรคนาซี ถือเป็นบุคคลในฝันของธัมมชโย และใช้เป็นต้นแบบในการบริหารวัดพระธรรมกายอีกด้วย ส่วนหนึ่งที่ชื่นชอบอาจจะมีความคล้ายคลึงกันหลายอย่าง ทั้งวันเกิดที่ฮิตเลอร์เกิดวันที่ 21 เม.ย. แต่พระธัมมชโยเกิดวันที่ 22 เม.ย. เวลาตกฟากเดียวกัน และที่สำคัญคือเริ่มจากศูนย์เหมือนกัน นั่นจึงสะท้อนแนวคิดของพระธัมมชโยว่าทำไมเขาจึงอยากครองโลก

อดีตในวัยเยาว์ของพระธัมมชโย เป็นเด็กที่มีปมด้อย เนื่องว่าพ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ได้ขวบปี และต้องระเห็จไปอยู่บ้านญาติชนิดที่เรียกว่าย้ายบ้านทุกเดือน และโหยหาความรักมาตลอด แต่จุดเด่นคือ ให้เกิดความละเอียดอ่อนในตัวเองจะเป็นคนที่จ้องความรู้สึกของคนอื่นอยู่ตลอด และมีคำถามว่า คนนี้รักเราหรือเปล่า ทำอย่างไรเขาจะรักเราให้มากที่สุด

“และข้อเสียจากความผิดพลาดในครอบครัว ก็เป็นแรงผลักดันให้พระธัมมชโยเกิดความทะเยอทะยาน ด้วยว่าทำไมเราต้องเป็นอย่างนี้ เราต้องเป็นใหญ่ จึงเกิดการอยากได้ทุกอย่าง อยากได้อำนาจ ถ้าได้โลกทั้งโลกก็เอา นี่คือตัวตนของเขา” หมอมโน ย้อนภาพให้เห็น


แววออก เป็นเชียร์ลีดเดอร์เกษตร คุมคนนับพัน

นพ.มโน เล่าว่า แต่แววผู้นำของพระธัมมชโยมามาเห็นชัดที่สุด คือได้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่เก่งถึงขนาดคุมคนนับพันให้เชื่อฟังได้ ยังไม่พอพระธัมมชโยหรือในขณะนั้นคือนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ ยังเป็นหัวหอกยืนจังก้าใส่กางในตัวเดียวขับไล่อธิการบดีของมหาวิทยาลัยฯ อีกด้วย

“เขามีแววการเป็นผู้นำตั้งแต่ต้น โดยได้เป็นผู้นำเชียร์ลีดเดอร์ของม.เกษตร ถือว่าไม่ง่ายนะ เพราะต้องมีทริคในการคุมคนเป็นพันให้เชื่อฟังเรา ให้เงียบ และทริคนี่เองทำให้รู้จักวิธีคอนโทรลว่าทำอย่างไรให้เงียบ ทำไงให้เดินเป็นแถว และวิธีนี้เองที่นำมาใช้กับคนหมู่มากในวัดพระธรรมกาย แกเป็นผู้นำในกิจกรรมของนักศึกษา ตอนนั้นที่สำคัญคือการประท้วงเดินขบวนไล่อธิการบดี มจ.จักรพันธ์ฯ  สมัยก่อนโดนธัมมชโยไล่ ยืนใส่กางเกงในตัวเดียวตะโกนเรียกอธิการบดีมาคุยด้วย มีความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง

“เขาเอาระบบของ ม.เกษตรมาใช้ และระบบการบริหารของฮิตเลอร์ตอนมานุ่งผ้าเหลือง วิธีการคล้ายกัน เพราะ ฮิตเลอร์สร้างลัทธินาซีขึ้นมาโดยเริ่มจากเยาวชน นักศึกษามหาวิทยาลัย พอได้มาแล้วก็เข้าสู่พวกนักธุรกิจ และปลุกผีให้เกลียดพวกยิว ระดมเงินจากนักธุรกิจมาตั้งพรรคนาซี ไม่ต่างจากวัดพระธรรมกายที่เริ่มจากเยาวชน


ธัมมชโย หรือ คุณครูไม่ใหญ่ แห่งโรงเรียนอนุบาลในฝัน ได้พูดสอนแบบนี้จริง ๆ ตามคลิปด้านล่างบทความ

นพ.มโน เล่าว่า ตอนนั้น พระธัมมชโยเองไม่เคยสนใจว่าควรทำธุรกิจหรือไม่ควรทำธุรกิจ เพียงแต่ต้องการหาช่องทางเพื่อดันตัวเองให้สู่ความยิ่งใหญ่ แกเคยพูดกับผมประโยคหนึ่งว่า “หลวงพ่อไม่ต้องการเป็นสังฆราช แต่หลวงพ่อต้องการครองโลก” แนวคิดเดียวกับฮิตเลอร์เป๊ะ ไปดูการจัดแถวของธรรมกายได้กับภาพการจัดงานของฮิตเลอร์ปานถอดแบบมา แกเดินตรวจในฐานะผู้นำ ฮิตเลอร์เป็นอย่างไรในที่ประชุม แกก็ทำตาม


ลัทธิลับ สอนเฉพาะคนสนิท

“พระธัมมชโยก็บอกว่าการบริหารวัดในรูปแบบนี้คือลัทธิธรรมกายเป็นลัทธิลับ สอนให้เฉพาะคนสนิทใกล้ชิดเท่านั้น หรือที่รักจริงๆ แต่ธรรมกายแตกต่างจากวัดปากน้ำ คือ หลวงพ่อสดคนเดียว ตอนเทศ 93 กัณฑ์ มีประโยคทองอยู่วรรคหนึ่งว่า เมื่อผู้เทศน์ได้เข้ามาบวช จึงได้รู้ว่าพระต้นธาตุใช้ให้มาปราบมาร หากปราบไม่สำเร็จจะยอมตายที่วัดปากน้ำแห่งนี้ ซึ่งท่านก็ตาย ปราบไม่สำเร็จ แต่การปราบมารของท่าน คือการเข้าไปพบโลกอีกโลกหนึ่ง หรืออีกขั้วหนึ่งของธรรมกายที่ดำมืด เป็นมาร เป็นอีกมิติหนึ่ง ดังนั้น จึงเป็นการต่อสู้ระหว่างด้านสว่างกับด้านมืด ท่านต้องการขจัดตรงนี้ออกไปให้หมด เข้าไปบู๊ไปล้างผลาญมุมมืด”

แก่นแห่งการชักนำจูงผู้คนให้หันเข้าหาตามวิชาพระธรรมกายสำหรับพระธัมมชโย คืออ้างอิงเรื่องบุญ ทำให้คนกลัวและให้อยากได้บุญ วิธีคือจะเป็นการคุมบุญทั้งหมด ที่อ้างว่าได้รับมาจากพระพุทธเจ้าจากชั้นนิพพาน เพื่อให้พระธัมมชโยแจกจ่ายบุญนั้นให้กับประชาชน แลกกับการซื้อบุญ

ใครที่เลวมาจากไหน โกงใครมา ทำผู้คนย่อยยับ มาล้างบาปซื้อบุญกันที่นี้ได้หมด เสียเท่าไหร่เท่ากันแต่ได้บุญ สั่งให้บุญใครก็ได้ ให้มั่งคั่งให้รวย ขณะเดียวกันจะลงโทษใครที่ไม่ทำตามคำสั่ง ก็อ้างบุญเช่นกัน ขู่ญาติโยมต่างๆ จะเอาบุญสำหรับที่จะใช้ไปใส่เซฟ ในคุกลับ ตายไปไม่ได้ผุดได้เกิดเป็นพันๆ หมื่นๆ ชาติ คนก็กลัว กลัวก็ต้องทำตาม”

กลเม็ดในการคุมคนจึงเกิดขึ้นตามมา ขณะที่พระธัมมชโยตัดสินใจมานุ่งผ้าเหลืองและพกพาความคิดตามบุคคลที่เขาบูชาติดตัวมาด้วย และสิ่งนี้เองที่แปรเปลี่ยนเขาไปตลอดกาล จากวัดกลายเป็นธุรกิจ มีผลประโยชน์มหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวัดล้วนแต่ขัดหลักธรรมคำสอนตามพุทธศาสนา กระทั่งฟางเส้นสุดท้ายระหว่างศิษย์รักกับพระอาจารย์ที่เคารพรักนับถือกัน ได้สะบั้นลง


แฉธุรกิจอาวุธ จุดแตกหัก

“ผมมารู้เพราะใกล้ชิดกันมากเหมือนกับญาติ เหมือนกับพ่อแม่เราเอง ผมเป็นศิษย์รัก เรารู้นิสัยทุกอย่างของเขา ผมทำงานให้ทุกอย่างด้วยผลลัพธ์ที่สำเร็จ งานทุกอย่างที่เขาหวัง ที่อยากได้ ผมเนรมิตรให้ได้หมด กระทั่งเรียนจบจากอ็อกซ์ฟอร์ด  ตอนนั้นเป็นตอนที่เศร้าที่สุด ญาติโยมเอาเอกสารมาให้ดูว่าเขาเปิดบริษัทอะไรไว้บ้างเมื่อปี 2526 เอาเงินส่วนตัวมาตั้งบริษัท ไว้หลายแห่ง บางแห่งใช้ชื่อลูกศิษย์เพื่อทำธุรกิจต่าง ๆ แต่ที่หนักที่สุดคือมีบริษัทค้าอาวุธที่เชื่อมโยงไปถึงพระธัมมชโยด้วย เพราะมีการชักจูงจากสีกาคนหนึ่งที่มีพี่ชายเป็นนายพลทหารในสวนรื่นฯ เข้ามาซื้อขายอาวุธให้กับทางกองทัพ ผมเข้าไปเตือนเขาว่าให้หยุดเถอะ ไม่ดี แต่เขากลับตอบมาว่าอย่ามายุ่ง นี่คือเรื่องส่วนตัว เท่านั้นผมก็พอ เพราะไม่ใช่พุทธแล้ว นี่คือธุรกิจของธัมมชโย เพื่อต่อยอดให้เขาได้ความยิ่งใหญ่”

“ตอนนั้นผมชนกับท่านอย่างรุนแรงเมื่อปี 2532 ผมกะว่าท่านแย่แน่นอน เพราะทำอะไรผิดพลาดไว้เยอะ แต่ผมต้องการจะช่วยวัดเอาไว้ก่อน ด้วยการปฏิรูปโครงสร้างบริหาร ประชุมอยู่นาน เพื่อกระจายอำนาจการบริหารวัดพระธรรมกาย แต่ผมเอาไม่อยู่ เขาจึงเขียนโครงสร้างออกมามีธรรมนูญการปกครอง และตอนนั้นเองมีโครงสร้างที่แน่นหนามาก มีแผนงานชัดเจนแบบสมัยใหม่ วิธีหล่อหลวมผู้คน เรียกว่ามั่นคง เป็นอาณาจักร มีแผนขยายตัวไปต่างประเทศ แบบที่ทุกอย่างยังเป็นธรรมกายอยู่ มีการระดมทุนตลอด และการเคลื่อนไหวทุกอย่างจะคู่ขนานไปกับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ที่เข้ามาสนับสนุน มันน่ากลัวมาก

อดีตศิษย์พระธัมมโชย เล่าว่า ต่อมาเมื่อปี 2542 ธรรมกายถูกโจมตีอย่างหนัก แต่เพราะโครงสร้างอันนี้ ทำให้พระธัมมชโยรอดพ้นเงื้อมมือของกฎหมาย นั่นเพราะความแน่นหนาของโครงสร้าง มีฐานมวลชนมหาศาลเป็นกำแพงให้พิง มีความรัดกุมมีประสิทธิภาพ  ขณะเดียวกันเจตนาของโครงสร้างธรรมกายครั้งนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ช่วยเหลือผู้คน แต่ผู้มีอำนาจสูงสุดนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง และรวบอำนาจนั้นมาอยู่ในมือทั้งหมด ทำให้พระธัมมชโยใช้อำนาจได้มากขึ้น ก็รวบอำนาจไว้อย่างเดิม แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“มีการแบ่งหน่วยงานชัดเจน ถ้าคุณได้ฟังในที่ประชุมของธรรมกายนะ คุณจะเหมือนไปอยู่เมืองนอกเลย หรืออีกโลกหนึ่งเลย เขาจะมีศัพท์เฉพาะที่เข้าใจระหว่างกัน มีโคทภาษา ธรรมนูญการปกครองของวัดมีเป็นปึก คุณจะไม่เข้าใจได้เลย นักธุรกิจที่เข้ามาก็มาใช้ประโยชน์ เพราะมีฐานมวลชนอย่างแน่นหนาและมหาศาล เป็นการระดมธรรมคู่ระดมทุน”


ขยายฐาน การเมือง มวลชนนับล้าน

เมื่อชื่อเสียงมากมาย และมีระบบการปกครองภายในวัดที่แน่นหนา ยากที่คนนอกจะเข้ามายุ่งเกี่ยววุ่นวายได้ หนำซ้ำยังมีมวลชนอีกจำนวนนับล้านที่หลงเชื่อคอยหนุนหลังพระธัมมชโย

นพ.มโน มองว่า จึงไม่แปลกที่ทั้งนักธุรกิจและนักการเมือง รวมถึงบุคคลสำคัญระดับประเทศ จะวิ่งเข้ามาพระธัมมชโย เพื่อสร้างผลประโยชน์ระหว่างกัน

http://imgur.com/Y8IsnEn

นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อัญเชิญผ้าไตรบรมจักรพรรดิมหาสมบัติ 2552 ปีเดียวกับที่เซ็นเช็คให้ธัมมชโยหลายร้อยล้านบาท


นพ.มโน ยกตัวอย่างให้เห็นถึงวิธีการเอื้อผลประโยชน์ระหว่างกัน เช่น คดีนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้ต้องหาฉ้อโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่เข้าหาพระธัมมชโยเพราะเห็นมวลชน มาตกลงทำสหกรณ์เครดิตมงคลเศรษฐีขึ้นมา คือให้กู้สำหรับคนที่อยากทำบุญกับวัด ผ่อนได้ คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 12 คนให้ทุนจะได้ผลตอบแทนร้อยละ 8 ผู้คนจึงแห่เอาเงินมาลงทุน เพราะอย่างไรเสียก็อยู่กับวัด และมีพระธัมมชโยการันตีอีกด้วย

แต่เงินตรงนี้มีการแบ่งระหว่างศุภชัยและพระธัมมชโย มีการถ่ายเงินออกเป็นระลอกโดยการเอาไปฝากกับลูกศิษย์คนต่างๆ นับร้อยล้านบาท และโอนย้อนกลับมาตรงมายังพระธัมมชโย และเจ้าอาวาสคนดังก็ใช้เงินตรงนี้ในนามของวัด และมูลนิธิเข้าไปซื้อที่ดินต่าง ๆ แต่ถือครองเอง เป็นกรรมสิทธิ์เอง 

เมื่อหน่วยงานรัฐเข้าไปตรวจสอบก็ไปยึดไม่ได้ จะยึดได้อย่างไรในเมื่อซื้อในที่วัดที่เป็นของหลวงอยู่แล้ว แต่จริง ๆ คือการสร้างอำนาจให้ตัวเองยิ่งใหญ่มากขึ้น

“เมื่อเงินคนหายก็มีการร้อง แต่จะเอาผิดได้อย่างไรเมื่อคนการเมืองก็ยังเป็นคนของเขา รัฐบาลชุดก่อนจะทำอะไรได้ เมื่อมีอำนาจการเมืองหนุนอย่างนี้ขณะนั้นจะเอาผิดเขาได้อย่างไร กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าไปดูก็บอกว่าไม่มีมูล ทำคดีไม่ได้ คนก็โวยกันใหญ่ว่าเงินกูหาย เงินสะสมทั้งชีวิตกลายเป็นแค่เศษกระดาษ นี่มันทำร้ายประชาชนใจร้ายมาก คน ๆ นี้ไม่เคยปราณีกับใคร คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ยังมีคนหนุน ดังนั้น เขาไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น ใครจะด่าจะว่าช่างมัน กูไม่สน ทุกวันนี้ธรรมกายเป็นองค์กรข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ กระจายไปแล้วถึง 200 ประเทศทั่วโลก”


ประเมินทรัพย์ธรรมกาย 25 ปี 5 หมื่นล้านบาท

เมื่อถามว่า ประเมินทรัพย์สินของวัดธรรมกายเท่าไร  

นพ.มโน บอกว่า  “เมื่อปี 2533 ธัมมชโยบอกกับผมว่า แกมีทรัพย์สมบัติมากกว่าที่วัดและมูลนิธิมีถึง 5 เท่า ขณะนั้นวัดและมูลนิธิมีทรัพย์สินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แสดงว่า 25 ปีก่อนแกมีมากถึง 5 หมื่นล้านบาท และทุกวันนี้จะงอกเงยไปถึงขนาดไหน”

กระหน่ำต่อจากคำพูดของอดีตศิษย์เอกว่า เป้าหมายของเขาคือการครองโลก ทำให้มีศิษย์เยอะที่สุด และให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของโลกตามรูปแบบธรรมกาย 

กลไกการยุติธรรมทั้งหมดเคยมีไหมที่สั่งให้ถอนคดีของพระธัมมชโยทั้งหมดรวม 52 คดี แม้แต่คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของ พระธัมมชโยยังถูกถอดออกเช่นกัน เขาใหญ่แค่ไหนคิดกันเอาเอง


http://imgur.com/3uBgBPQ,6EeXD04,0gqYa3X#0

“เหตุผลคือมวลชนมีมาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็วิ่งเข้าหา การเมืองมาหมด เพราะเขามีมวลชนในมือเป็นล้าน ๆ สั่งให้กระบวนการยุติธรรมล้มลงต่อหน้าทันที เมื่อรัฐบาลก่อนเลือกตั้งชนะ เขาก็ตีปีกทันทีเพราะนี่คือผลงานของเขาทั้งนั้น เขาไม่แยแสต่อกระแสสังคมที่ตั้งคำถาม การยาตราการเดินธุดงค์ที่เป็นข่าวไม่ใช่เผยแพร่ศาสนาอันใดหรอก เขาต้องการโชว์อำนาจเท่านั้น แค่อำนาจเท่านั้นเอง และเรียกเงินเรียกร้องผลประโยชน์ให้ตัวเอง ให้รู้ว่าฉันมีคนนะ มหาเถรสมาคมเขาก็คุมไว้หมดแล้ว

แต่เมื่อความเสื่อมมาเยือนธรรมกาย ทำไมการโค่นเขาลงอย่างที่หลายคนปราถนาจะให้เกิด จึงกระทำไม่ได้ 

นพ.มโน พร้อมจะให้คำตอบในฐานะคนเคยอยู่ก้นกุฏิของพระธัมมชโย

“ต้องฝากความหวังไว้ที่บ้านเมืองในยุคทหารเข้ามาควบคุม ถ้าเอาเขาไม่ลงในครั้งนี้ จะเกิดการกินรวบบ้านเมืองในการเลือกตั้งครั้งต่อไปแน่นอน คุณคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้หรือ เพื่อไทยจะกลับมาแบบสบาย ๆ ทันที จากนั้นทุกอย่างในประเทศจะเป็นธรรมกายหมด และเกิดจักพรรดิสงฆ์ขึ้นมา เราจะก้าวไปสู่ยุคมืดของศาสนา เป็นประเทศไทยแบบธรรมกาย เขาเปลี่ยนชื่อประเทศยังได้เลย

หมอมโน ย้ำว่า หากเอาไม่ลงเขาจะเป็นมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ถ้าไม่ทำ ไม่จัดการเขา ทุกอย่างจะพังหมด อันที่จริงมันผิดมาตั้งนานแล้ว พระไม่ควรจับเงิน ควรแก้ตรงนี้ แต่พระคุณเจ้าทั้งหลายจะยอมปล่อยมั้ย อย่าลืมว่าธัมมชโยดึงไว้ทั้งหมด ให้ชีวิตหรูหรา ตรงนี้น่าดูฝีมือของผู้มีอำนาจแห่งยุคเหมือนกัน

“มันน่ากลัวมาก ศาสนาทุกอย่างกลายเป็นระบอบทักษิณหมด และอนาคตพระสงฆ์เราจะได้แบบเณรคำ ยันตระ หรือแม้แต่ว่าที่สังฆราช ดูสิรถหรูมีกี่คัน มีเงินเท่าไหร่ แล้วจะให้คนมากราบไหว้ให้เป็นประมุขสงฆ์หรือ อย่างนี้มันปาราชิกมั้ยล่ะ มันสืบทอดอำนาจกัน” นพ.มโน ทิ้งท้าย


เรื่องลับๆ  เขาใช้ครีมทาหน้าระดับฮอลลีวู้ด!!

นอกจากนั้ นพ.มโน ยังเล่าเรื่องลับในวัดธรรมกายด้วยว่า

1.ภายในวัดพระธรรมกายจะมีโรงครัวอยู่ 2 โรง หนึ่งโรงทำให้ญาติโยม พระในวัด ลูกศิษย์ อีกโรงจะทำให้พระธัมมชโยคนเดียว คนอื่นกินไม่ได้ ซึ่งจะเป็นของดีของแพงที่มาปรุงอาหาร ส่วนใหญ่ของอาหารจะเน้นบำรุงร่างกาย เพิ่มความแข็งแรง

2.พระธัมมชโย ชอบความสำอางค์ การประทินผิว และใช้วิทยาศาสตร์ให้ตัวเองมีหน้าเด็กลง ชอบการนวดหน้าด้วยครีมราคาแพงซึ่งใช้กันในหมู่คนมีเงิน หรือดาราฮอลลีวูด มีการนวดหน้าวันละสามครั้งต่อวัน

3.พระธัมมชโยไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร เพราะอ้างบุญ หากสงสัยหรือไม่เกิดศรัทธาบุญจะหก

4.ห้องนอนพระธัมมชโยจะปูผ้าปูเตียงใหม่ทุกวัน ในห้องนั้นจะมีสาวคนหนึ่งทำหน้าที่ปูเตียง คนอื่นห้ามเข้าเด็ดขาด เรื่องบิณฑบาตไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่เคยทำ ตื่นตอนไหนตามใจฉัน

5.พระธัมมชโยมีอารมณ์สุนทรีย์ และมีความเป็นศิลปินสูง โดยมีพรสวรรค์ในงานปั้น ชอบปั้นรูปผู้หญิง



อันตรายต่อพุทธศาสนา

คำพูดของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อ 27 ปีก่อนที่ว่า “เป็นห่วงเรื่องวัดพระธรรมกายมากที่สุด” เหมือนมองทะลุปัญหาจนปรากฏเป็นจริงในปัจจุบัน

พระธรรมปิฎก (ประยุทธ ปยุตฺโต) ปราชญ์ด้านศาสนา เขียนหนังสือ “กรณีธรรมกาย” บทเรียนเพื่อการศึกษาพระพุทธศาสนา เมื่อปี 2542 สรุปประเด็นของพระธรรมปิฎกต่อมุมมองปัญหาธรรมกาย ดังนี้  

1.กรณีธรรมกายหมายถึงชื่อเรียกโดยรวมเกี่ยวกับพฤติการณ์ต่างๆ สรุปแล้วมี 2 ลักษณะ คือ การทำพระธรรมวินัยให้วิปริตและการประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัย

2.การทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ที่พบว่ามีสาเหตุมาจากสำนักวัดพระธรรมกายทำลายความน่าเชื่อถือของพระไตรปิฎก การปลอมปนคำสอนในลัทธิของตนลงในพระไตรปิฎก การพยายามยกย่องครูบาอาจารย์ของตน ถึงขนาดที่ใช้ทัศนะอ้างเป็นมาตรฐานเพื่อตัดสินหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา รวมถึงอรรถาธิบายชักจูงให้คนทั่วไปเข้าใจว่าบุญมีฐานะเป็นดุจสินค้าชนิดหนึ่งและเมื่อทำบุญจะให้ผลสัมฤทธิ์อย่างปาฏิหาริย์

3.การประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัย เฉพาะประเด็นหลัก ได้แก่ การพยายามนำเอาลัทธิทุนนิยมที่อยู่ในระบบการตลาดเข้ามาผสมผสานกับการบริหารวัด รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์กับบุคคล องค์กรทางธุรกิจ การเมือง ส่งผลให้สำนักวัดพระธรรมกายกลายเป็นสำนักที่มีความเจริญอย่างรวดเร็วทั้งในทางวัตถุ ทุนทรัพย์ และในทางชื่อเสียง แต่วิธีเหล่านี้เป็นพฤติการณ์ที่สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับพระพุทธศาสนาที่เน้นความเรียบง่ายและไม่เกี่ยวข้องกับระบบทุนนิยม

4.พฤติการณ์อันสืบเนื่องมาจากสำนักวัดพระธรรมกายทั้งหมดนั้นเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาและต่อสังคมไทยอย่างลึกซึ้งถึงรากฐาน ชนิดที่ว่า ถ้าสำนักวัดพระธรรมกายทำสำเร็จตามจุดมุ่งหมายจะส่งผลให้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยซึ่งเป็นพระพุทธศาสนาอย่างเถรวาทต้องสูญสิ้น และสังคมไทยก็อาจกลายเป็นสังคมที่มีค่านิยมหวังผลดลบันดาล มัวเมาอยู่ในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ และถูกหลอกให้เพลินจมอยู่ในสุขอันดื่มด่ำจากสมาธิวิธีที่ถือว่าเป็นมิจฉาสมาธิ และเต็มไปด้วยผู้คนที่ตกเป็นทาสของลัทธิทุนนิยม บริโภคนิยม และวัตถุนิยมอย่างงมงาย ไม่อาจหลุดพ้นเป็นอิสระไปจากการครอบงำของลัทธิเหล่านี้ได้


แม้แต่เพลงธรรมะของวัดพระธรรมกาย ก็เน้นต้องเป็นมหาเศรษฐี !!

เนื้อหารายงานพิเศษจาก โพสต์ทูเดย์ออนไลน์
รูปประกอบหาโดยใหม่เมืองเอก

----------------------

แก้ตัวแทนธัมมชโยแต่ตกม้าตายเอง

จากคลิป โรงเรียนอนุบาลในฝัน ในที่ 26 ก.พ. 2558 ที่ผมนำรูปธัมมชโยมาประกอบด้านบนบทความ ได้มีพระรูปหนึ่งได้พยายามแก้ตัวให้ธัมมชโยเรื่อง พระลิขิต เรื่อง ที่ดิน + เงิน

แต่สุดท้ายกลับตกม้าตายเอง ลองสังเกตประโยคที่ว่า

"เพียงแต่มีข้อสงสัย มีข้อกล่าวหา... เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย หลวงพ่อท่านจึง "ยกที่ดินที่เป็นของตัวเองให้วัด"


http://youtu.be/y1i5I5EQzQo http://imgur.com/na57GRm

นี่แหละครับ ที่ชี้ชัดว่า ธัมมชโยผิดอาบัติปาราชิกเต็ม ๆ เพราะธัมมชโยนำเงินวัดไปซื้อที่ดิน แล้วใส่ชื่อที่ดินเป็นของตนเอง

รายละเอียด แนะนำคลิกอ่าน ย้อนรอยคดียักยอกทรัพย์ธัมมชโย

อดีตพระมโน เล่าในรายการตอบโจทย์ว่า มีคนมาบอกธัมมชโยว่า ที่ดินตรงนั้นมีทองคำ ธัมมชโย จึงสั่งให้ไปขุดดินมา 1 คิว มาร่อนหาทองในวัด แล้วก็เจอทองคำจริง ๆ

ธัมมชโย ก็เลยเอาเงินวัด ไปซื้อที่ดินตรงนั้น เผื่อจะรวยเพราะมีทองคำ แล้วก็ใส่ชื่อตนเองเป็นเจ้าของที่ดิน

จนเมื่อคนเขาสงสัย กล่าวหา เป็นคดีความ จนจะจรตรอกแล้วนั่นแหละ ธัมมชโยถึงได้นำทรัพย์นั้นมาคืนวัด

นี่จึงเท่ากับมีเจตนายึดทรัพย์ของวัดเป็นของตนเอง เพราะแม้แต่ในข้อความในรูปก็แก้ตัวว่า ยกที่ดินที่เป็นของตัวเองให้วัด เท่ากับได้ยึดเป็นของตนเองไปแล้ว

ซึ่งถ้าหากไม่มีใครฟ้องร้องก็คงไม่ยอมคืนโดยง่าย

ธัมมชโยได้ยึดทรัพย์คือที่ดินและเงินไว้นานร่วม 10 ปี ขนาดมีพระลิขิตให้คืนในปี 2542 แต่ก็ไม่ยอมคืนโดยง่าย

จนปาเข้าไปปี 2549 จนคดีเกือบสิ้นสุดจึงได้นำมาคืนให้วัด เพราะกลัวความผิดอาญาและความผิดปาราชิกยิ่งเห็นชัดเจน


-----------------

ตัวอย่าง กฎหมายสงฆ์สมัยรัชกาลที่ 1 ห้ามฆราวาสถวายเงิน ทอง นาก แก้วแหวน และสิ่งอันไม่สมควรแก่สมณะ ลองอ่านรายละเอียดครับ แล้วจะเข้าใจว่า การบำเรอพระด้วยลาภสักการะย่อมได้บุญน้อย

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


ชมคลิปรายการโรงเรียนอนุบาลในฝัน 26 ก.พ. 2558