วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

เมื่อโอ๊ค พานทองแท้ อวดฉลาด แต่ นิพิฎฐ์ ดันเห็นด้วย






ช่วงนี้กำลังมีการอภิปรายญัตติร่างรัฐธรรมนูญกันอยู่

ผมเองได้มีโอกาสดูการประชุมสภา ร่าง รธน. ฉบับใหม่ บ้างนิดหน่อย โดยประธานสภา กำหนดให้อภิปรายได้คนละ 10 นาที

สปช. แต่ละคน ก็อภิปรายกันแบบรู้เวลา พอครบ 10 นาทีก็หยุดอภิปรายโดยรู้หน้าที่ และแต่ละคนก็อภิปรายเพื่อผลประโยชน์ของชาติกันจริง ๆ แม้จะมีมุมมองที่เห็นแตกต่างกันบ้าง

โดยแต่ละคนก็จะจับเรื่องที่ตนเองถนัดเรื่องที่ตนเองสนใจและอยากแสดงความเห็นมาคนละประเด็นเดียวเท่านั้น เพื่อจะได้ไม่เยิ่นเย้อมากความ

สรุปคือ สภา สปช. เป็นสภาที่มีคุณภาพจริง ๆ ไม่มีกล่าวคำหยาบคาย ไม่มีเล่นการเมือง ไม่มีถ่วงเวลา ต่างรู้หน้าที่รู้เวลากันทุกคน

ซึ่งแทบหาไม่ได้ในการประชุมสภาของพรรคการเมือง

แต่ลูกชายนายหน้าเหลี่ยมจรจัดหนีคุกคนเดิม ก็คือ นายพานทองแท้ ก็ออกมาโพสลงเฟสบุ๊คแสดงความเห็นถึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามนี้



แล้ว โอ๊ค ได้ลงท้ายว่า

"ทำอย่างที่คุณพ่อผม เคยแนะนำไปตั้งแต่รัฐประหารครั้งที่แล้ว จะชัดเจนดีกว่ามั๊ยครับ เขียนรัฐธรรมนูญแบบปกติที่เป็นมาตรฐาน อย่างที่ประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกเขาทำกัน อย่าเขียนให้หลักการเสียหาย แล้วเพิ่มเข้าไปเพียงข้อเดียวในรัฐธรรมนูญก็พอ...ว่า

"ห้ามคนในตระกูลชินวัตร หรือคนที่ทักษิณฯสนับสนุน เข้ามาเล่นการเมือง" ว่ากันตรง ๆ อย่างนี้ไปเลยครับ"

------------------------

แล้ว อดีต สส.ประชาธิปตย์ อย่างนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ก็ออกมาแสดงความเห็น เห็นด้วยกับความคิดของโอ๊คทันที

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่นายนิพิฏฐ์ เห็นด้วยกับโอ๊คเลยนะ



แล้วโอ๊คล่ะ เมื่อคุณนิพิฏฐ์ ออกมาสนับสนุนความคิดโอ๊คขนาดนี้แล้ว

โอ๊คจะไปบอกพ่อเหลี่ยมให้กลับมาติดคุกได้รึยัง ?? 555

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

สุดยอดคลิปการเต้นน่าประทับใจของผู้หญิง 3 ชาติ






ดูยูทป มาหลายปี แต่จะมีคลิปการเต้นที่ผมประทับใจมีแค่ไม่กี่คลิปเท่านั้น โดยเฉพาะคลิปการเต้นของผู้หญิง

ซึ่งวันนี้ผมขอแนะนำการเต้นของผู้หญิงจาก 3 ชาติ คือ ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย ที่แต่ละคลิปผมขอบอกว่า ได้อรรถรสที่แตกต่างกัน จึงอยากจะเก็บไว้ในบล็อคเพื่อว่าง ๆ จะกลับมาดูอีก

คลิปแรก เป็นคลิปการเต้นของสาวอินเดีย ในรูปแบบภารตะแดนซ์ที่ได้ประยุกต์ให้ทันสมัยขึ้น โดย 2 สาวนักเต้นชื่อดัง Manpreet & Naina





คลิป 2 เป็นเด็กผู้หญิงญี่ปุ่น 3 คน เต้นแนวสตรีทแดนซ์ได้มันส์มาก ๆ  คลิปนี้ผมดูซ้ำ ๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง เพราะอึ้งในความสามารถของพวกเธอมาก ๆ





ใน 2 คลิปแรกจากสาวทั้งสองชาติ คลิปเด็กญี่ปุ่นก็เก่งแนวสมัยใหม่เหลือเกิน ส่วนสาวอินเดียก็ระดับมืออาชีพ ซึ่งทั้งสองคลิปแสดงถึงผู้เต้นได้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี แบบเก่งแท้

แต่ในคลิปสุดท้ายที่ผมจะแนะนำ จะเป็นคลิปการเต้นของเด็กผู้หญิงไทย ซึ่งผมชอบมากเพราะน่ารักและฮาดี ดูแล้วอดอมยิ้มไม่ได้

ซึ่งคลิปนี้พวกเธอเต้นมาหลายปีแล้ว เต้นมาก่อน แถมเต้นได้แนวกว่า ฮากว่าการเต้นของพวกดาราในหนังเรื่องไอฟาย แต็งค์กิ้ว เลิฟยู เสียอีก เพราะอันนั้นดูแล้วมันคือการแสดงไปหน่อย

คลิปนี้ผมชอบน้องคนใส่หมวกมาก ๆ ดูแล้วยิ้มเลย เวลาเครียด ๆ กลับมาดูคลิปนี้ทีไร ก็ยิ้มออกทุกครั้ง



หญิงไทยไม่เน้นทักษะการเต้น แต่อาศัยความฮาและความน่ารัก เลยชนะเลิศกว่าทุกคลิปครับ 555555


วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

ที่มาการแต่งเพลง "ขอใจแลกเบอร์โทร" ของหญิงลี










ที่มาเพลง "ขอใจแลกเบอร์โทร"

วันก่อนผมได้ดูรายการ คอซอง coresong ของพี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค ไปสัมภาษณ์ผู้แต่งเพลง "ขอใจแลกเบอร์โทร"

เขาเล่าว่า แต่งเพลงนี้จากการทื่ เขาตื่นตอนเช้าจะรีบโทรไปหาสาวที่เขาจีบ แต่โทรไปจีบสาวทีไร ก็เจอแต่ ท่านกำลังเข้าสู่บริการฝากข้อความ

เขาก็เลยเกิดปิ๊งประโยคนี้ในขณะอาบน้ำ ที่ว่า "ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝากหัวใจ"

คือเขาไม่อยากฝากข้อความ แต่อยากฝากหัวใจ น่ะ

แล้วเขารีบออกมาจดประโยคนี้ไว้ก่อน แล้วก็ค่อย ๆ แต่งเนื้อเพลงตามมา

เขาเขียนเพลงนี้ตั้งแต่ ปี 2553 พยายามจะเอาไปขายในหลายค่าย แต่ก็ไม่มีค่ายไหนรับ ขนาดรับจ้างแต่งเพลงให้บางค่าย ก็ยังมีแถมเพลง ขอใจแลกเบอร์โทร พ่วงไปด้วย แต่ก็ไม่มีใครสนใจ นักร้องบางคนที่เคยเห็นเพลงนี้ ต่างก็บอกว่า คงไม่เหมาะกับหนู

จนกระทั่งครูเพลงคนนึงค่ายแกรมมี โทรมาถามเขาว่า มีเพลงอะไรจะแนะนำสักเพลงไหม พอดีอัลบั้มของหญิงลี ตัดเพลงที่มีชื่อเพลงคล้ายกันไปหน่อยออกไป 1 เพลง ก็เลยไม่ครบ 10 เพลง

เขาถามครูเพลงคนนั้นกลับไปว่า นักร้องมีบุคลิกหน้าตาท่าทางเป็นอย่างไร ?

ครูเพลงก็ตอบกลับมาว่า สวย หุ่นดี ร้องดี เต้นเก่ง

ทีนี้เขาเลยได้โอกาสส่งเพลง ขอใจแลกเบอร์โทร ไปให้ครูเพลงคนนั้น แล้วมันก็เกิดดังสุด ๆ

สุดท้ายคนแต่งเพลงคนนี้บอกว่า "เขาทำอาชีพแต่งเพลงมากว่า 10 ปี แค่มีเพลงเดียวดังได้ขนาดนี้ เขาถือว่า ประสบความสำเร็จแล้วในอาชีพนี้"


นี่ครับ โฉมหน้าผู้แต่งเพลง "ขอใจแลกเบอร์โทร" คุณสิทธิพิเศษ ต้นคำ



------------

ล่าสุด คลิป MV ขอใจแลกเบอร์โทร ในยูทูป ได้ยอดทะลุเกิน 150 ล้านครั้งแล้ว ทำให้หญิงลีบอก ปลื้มมาก ๆ

เพราะยุคนี้ เป็นยุคที่ต้องดูจากยอดวิวในยูทูป ว่าเพลงไหนกำลังฮิต กำลังดังขนาดไหน

แต่กรณีเพลง ขอใจแลกเบอร์โทร ผมมองว่า ไม่ใช่เพราะแค่ตัวเพลงเท่านั้นที่ทำให้เพลงดัง เพราะเท่าที่ติดตามมา เพลงนี้มันดังเพราะท่าเต้นที่เต้นง่ายแต่เร้าใจจนศิลปินดัง ๆ หลายคนยังเอาไปcover เลียนแบบท่าเต้น โดยเน้นลิปซิงค์มากกว่าจะร้องเพลง คือ เน้นเต้นมากกว่าร้อง นั่นแหละ

โดยเฉพาะอ๊อฟ ปองศักดิ์ นี่แหละที่เต้น cover เพลงนี้จนดัง จนทำให้ใครต่อใครหลายคนลองเต้นตามเพลงนี้กันยกใหญ่ ซึ่งแน่นอน ยอดวิวที่มาก ก็มาจากเปิดดูเพื่อเลียนแบบท่าเต้นนี่แหละ

ในยุคดิจิตอล เราคงไม่เห็นนักร้องคนไหนขายอัลบั้มเพลงได้เกินล้านตลับเหมือนในอดีตอีกแล้ว

ถ้าในค่ายแกรมมี่โกลด์ นักร้องลูกทุ่งที่ขายได้เกินล้านตลับติดต่อกันเกิน 3 อัลบั้ม ก็เห็นที่ล่าสุดก็ ต่าย อรทัย ครับ






วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2558

สงกรานต์ 2558 เมื่อยิ่งลักษณ์ฉลาดกว่าทักษิณ







สงกรานต์ 2558 บทบาทพี่น้องตระกูลชินวัตร กลับแสดงออกที่แตกต่างกัน

ยิ่งลักษณ์ ยังวางตัวเป็นบุคลลสาธารณะตามประเพณี คือ การอวยพรให้คนไทยมีความสุขเนื่องในวันมหาสงกรานต์




ในขณะที่ทักษิณ กลับมาอีกแนวคือ โอ้อวดตัวเองว่า สบายใจที่ได้ทำบุญสงกรานต์ที่บ้านในดูไบ




สำหรับยิ่งลักษณ์ ถือว่า ยังแสดงบทบาทอย่างถูกต้องตามประเพณี

แต่กรณีทักษิณนั้น ในทางจิตวิทยา วิเคราะห์ได้ว่า พยายามปกปิดอำพรางปมในจิตใจตัวเอง คือ พยายามจะบอกคนทั้งโลกว่า ตัวเองมีความสุขดี สบายใจดี

แต่ในประโยคที่บอกว่า สบายใจได้ทำบุญที่บ้านดูไบ นั้น

ตีความหมายได้เลยว่า ทักษิณกำลังทุกข์ใจอย่างมาก ที่ต้องจรจัดเร่ร่อนไม่ได้กลับไปรดน้ำดำหัวกับญาติพี่น้องที่สนิทในบ้านเกิดเมืองนอนของตน

แต่กลับพยายามจะเสแสร้งโออ้วดว่า ยังมีความสุขดีในวันสงกรานต์ในบ้านที่ดูไบ

น่าสมเพชจริง ๆ เลย ทักษิณคงไม่มีโอกาสได้กลับเมืองไทยอย่างเท่อย่างที่ใจหวัง แต่ทักษิณคงได้กลับแบบโคตรเท่ในห่อผ้าข้าวแน่นอน

คำว่า บ้านที่ดูไบ จึงสามารถทำนายอนาคตของทักษิณได้อีกว่า ทักษิณคงถูกรดน้ำศพอย่างสบายใจในบ้านที่ดูไบเช่นกัน 555




วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558

เพราะนพดล ปัทมะ กลัวคุกจึงรีบถอนฟ้องสนธิลิ้มก่อน






คือ เมื่อวานมีข่าว นพเหล่ถอนฟ้องคดีแป๊ะลิ้มหมิ่นประมาท กรณีสนธิหมิ่นประมาทนพเหล่ว่า ทรยศทุนหลวง

ทั้ง ๆ ที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ ได้สั่งจำคุกแป๊ะลิ้มแบบไม่รอลงอาญาไปแล้ว แล้วทำไมจู่ ๆ นพเหล่จึงมาถอนฟ้องสนธิได้ง่าย ๆ

ทีนี้เหล่าบรรดาแม่ยกพ่อยกของพรรคการเมืองเก่าแก่ที่จงเกลียดจงชังแป๊ะลิ้ม ก็ต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่ว่า ก็มันพวกเดียวกันนี่หว่า โด่ !!!

แต่วันนี้ ทนายพันธมิตรได้มาเฉลยแล้วว่า เหตุที่นพเหล่ถอนฟ้องแป๊ะลิ้มนั้น ก็เพราะนพเหล่มาเจรจาขอแลกกับคดีที่ทนายพันธมิตรได้ฟ้องนพเหล่หมิ่นประมาท 

โดยขอให้ทนายพันธมิตรถอนฟ้องคดีนี้แลกกัน ซึ่งตอนแรกแป๊ะลิ้มก็ไม่รู้สาเหตุที่นพเหล่ถอนฟ้อง

-----------------

ใครกลัวคุกกันแน่ ระหว่าง สนธิ ลิ้มทองกุล กับ นพดลปัทมะ

กรณีนายนพดล ปัทมะ ทนายความทักษิณได้ถอนฟ้องสนธิ ลิ้มทองกุล ในคดีหมิ่นประมาท ทั้ง ๆ ที่ สนธิลิ้มกำลังมีโอกาสติดคุกสูง

ตอนที่สนธิรับรู้ข่าวทีแรก ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมนพดลถึงถอนฟ้อง

แต่ทนายสุวัตร ทนายพันธมิตร ออกมาเฉลยว่า นายนพดลมาขอเจรจาแลกคดีกัน

คือนายนพดลขอให้ทนายสุวัตรถอนฟ้องคดี ที่นายนพดลหมิ่นประมาททนายสุวัตร จากกรณีนพดลเคยโพสเฟสบุ๊คกล่าวหาว่า ทนายสุวัตรกุเรื่องการลอบสังหารนายเอกยุทธ อัญชัญบุตร และด่าทนายสุวัตรว่า เป็นทนายเลว

ถามว่า ใครกันแน่ที่กลัวติดคุก ???

คำตอบคือ นพดลกลัวคุกไงครับ เพราะนพดลกลัวคุกเลยมาเจรจาขอแลกคดีกับทนายสุวัตรให้ถอนฟ้อง

ไปฟังทนายพันธมิตรอธิบายความจริงว่า ซูเอี๋ยกับนพดล จริงหรือไม่ ??
แล้วใครกันแน่ ที่กลัวติดคุก !!?





ผมขอขยายความเพิ่มจากที่ทนายสุวัตร พูดมีกรณีที่ทนายสุวัตรยกตัวอย่างก็คือ ในหลวงเคยมีพระราชดำรัส จนทำให้ทักษิณ และสนธิ ที่เคยมีคดีฟ้องหมิ่นประมาทต่อกัน ได้ถอนฟ้องคดีด้วยกันทั้งคู่

ซึ่งพระราชดำรัสนั้น คือ พระราชดำรัสในวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ที่ในหลวงมีพระราชดำรัสว่า ทุกคนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ในหลวงได้

ซึ่งพระราชดำรัสนี้ คือทรงเตือนสติทักษิณอ้อมๆ ในความหมายว่า เป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ได้ หมายถึง สนธิวิจารณ์ทักษิณ แต่ทักษิณกลับรีบไปฟ้องหมิ่นประมาทสนธิทันที ไงครับ

ทีนี้เข้าใจนะ พ่อยกแม่ยกทั้งหลาย ทุกอย่างมีที่มาที่ไป

คลิกอ่าน พระราชดำรัสในหลวง 4 ธันวาคม 2548 ทรงเตือนสติทักษิณ