วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551
รวมฮิตอเมริกา
จากกรณีนมผงจากจีนที่ปนเปื้อนในจีน และก่อนหน้านี้เคยมีการพบสารปนเปื้อนอันตรายในของเล่นเด็กที่ผลิตในจีน จนบริษัทเจ้าของผลิตภัณของเล่นต้องเรียกคืนสินค้านับล้านชิ้นที่วางขายในอเมริกาทั้งหมด
ทำให้มีการแต่งเพลงอวยพรคริสต์มาสที่เสียดสีเกี่ยวกับกรณีของเล่นเด็กปนเปื้อน โดยให้เด็กๆร้องเพื่อเรียกร้องว่า อย่านำของเล่นอันตรายๆมาให้หนูในคริสต์มาสนี้นะ
ต่อมา มีโฆษณาสินค้าชนิดนึงได้นำเรื่องการกลับบ้านของทหารอเมริกันจากสงครามอิรักมาสื่อถึงจิตวิญญาณของคนอเมริกันที่รักชาติได้ดีชิ้นนึง แม้จะมีคนอเมริกันจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการส่งทหารไปรบในอิรักก็ตาม แต่สำหรับทหารลูกหลานอเมริกัน พวกเขาล้วนแต่เป็นHeroทุกคน
แต่ที่ฮือฮาที่สุดในรอบปี ก่อนจะสิ้นปีนี่เอง คือกรณีนักข่าวอิรักเอารองเท้าขว้างใส่หน้าปธน.จอร์ช w บุช ที่แม้จะเป็นเรื่องที่ดูน่าเกียจโดยมารยาท
แต่สำหรับชาวอาหรับที่เกลียดอเมริกัน กลับสะใจเป็นที่สุด แม้แต่เด็กอายุแค่5ขวบ ที่เป็นหลานนักข่าวอิรักคนนั้นที่ถูกควบคุมตัวหลังจากเหตุการณ์ ยังกล้าขู่ต่อหน้ากล้องที่ไปสัมภาษณ์ที่บ้านว่า "ถ้าไม่ปล่อยอาผมนะ จะเอารองเท้าคู่นี้ขว้างอีก" พูดพร้อมยกรองเท้าของตัวเองขึ้นชูให้กล้องดู
ชิ้นต่อมาคือโฆษณาของ Dove ที่ แสดงให้เห็นถึง ผู้หญิงควรจะสวยจากภายในหรือผิวสวยแท้มากกว่าสวยจากการตบแต่งจากเครื่องสำอางหรือจากโฟโต้ชอป ซึ่งดังมาก จนมีคนนำมาเลียนแบบเพื่อวัตถุประสงค์อื่น
จากโฆษณาของDove ก็มีโฆษณาเลียนแบบเพื่อรณรงค์ให้เห็นถึงภัยจากจังก์ฟู้ด หรืออาหารขยะ ที่มีต่อสุขภาพ
จบแค่นี้ครับ.
วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ดวงทักษิณดีหรือดับ? ขึ้นอยู่กับทักษิณเอง?
.
เมื่อเวลา20.30น. ของวันนี้วันที่22 ธ.ค. 51 เพิ่งดูรายการThe Exit ทางช่อง์NBT เมื่อตะกี้นี้ ที่มีพิธีกรชื่อ จอม เพชรประดับ เป็นผู้ดำเนินรายการ
ซึ่งวันนี้ รายการพูดถึงเรื่อง "ดวง"หรือโหราศาสตร์ ของประเทศไทยในปีหน้าปี52 และดวงนักการเมืองดังระดับผู้นำประเทศ โดยมีหมอดูชื่อดังมาร่วมรายการ3คน
คนแรกคือ อาจารย์ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล
คนที่2 คือ อาจารย์ขุนทอง อัสนี (หมอดูไพ่ยิบซี)
คนที่3 คือ อาจารย์เอกอนันต์ สรรประดิษฐ์
แต่ผมจะให้น้ำหนักความสำคัญไปที่อาจารย์คนแรกคือ อาจารย์ภาณุวัฒน์ เพราะผมคิดว่า มีชื่อเสียงมากกว่าเพื่อน และดูมีหลักการน่าเชื่อถือ
คำถามแรก คือ ดวงประเทศไทยเป็นอย่างไรในปี52?
ทุกคนก็ตอบทำนองเดียวกันคือ ความขัดแย้งยังมีอยู่ เศรษฐกิจและการเงินยังแย่ต่อเนื่อง แต่อาจารย์ภาณุวัฒน์ เสริมว่า หลังกลางปีจะดีกว่าต้นปี
คำถามที่2 คือ ดวงของนายกฯอภิสิทธิ์?
อาจารย์อนันต์ บอกว่า ดวงปีหน้าหลังเดือนเมษายน อภิสิทธิ์ จะมีดวงกาลกิณี รัฐบาลอาจสั่นคลอน จะมีความขัดแย้งมากขึ้น จนแก้ไขยาก และมีเกณฑ์ยุบสภาภายใน6เดือน
อาจารย์ขุนทอง บอกว่า ดวงอภิสิทธิ์ เป็นคนดวงดีมาก มีดวงผู้ใหญ่อุปถัมป์แบบดีสุดๆ ถ้าเป็นนักธุรกิจจะอยู่ในระดับเลิศ แต่ยังไม่สรุปถึงอายุรัฐบาล
อาจารย์ภาณุวัฒน์ บอกว่า ดวงอภิสิทธิ์ ปี51 ดีมาก รัฐบาลจะดีหรือไม่ ต้องอยู่ที่ดวงรัฐมนตรีในคณะที่ร่วมรัฐบาลด้วย ถ้าดวงรัฐมนตรีเกินครึ่งเป็นคนดวงดี โอกาสจะอยู่รอดได้นานก็จะมีมากขึ้น แต่ปีหน้ารัฐบาลจะพบปัญหาหนักมากขึ้น
คำถามที่3 เรื่อง การต่อสู้ตีกัน แบบสงครามกลางเมือง จะมีมั้ย?
อาจารย์เอกอนันต์ บอกว่า แนวโน้มจะดีขึ้น เพราะทั้งสองฝ่ายจะเริ่มเลิกรากันไปเอง ส่วนอาจารย์อีก2คนไม่ได้ตอบคำถามนี้
แต่อาจารย์ขุนทอง กลับพูดเสริมเรื่อง เศรษฐกิจว่า ถ้าอยากให้ฟื้น ต้องเปิดโอกาสให้ต่างชาตืถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น โอกาสจะรอดวิกฤติได้จะเร็วขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นจะดีที่สุด (ตรงนี้ผมขอแสดงความเห็นนิดนึงคือ ถ้าจะต้องขายแผ่นดิน เพื่อแลกกับเงินแล้ว ผมคัดค้านเต็มที่ครับ)
ต่อมา จอม เพชรประดับ ตั้งคำถามเจาะจงให้อาจารย์ภาณุวัฒน์ตอบ คือคำถามเกี่ยวกับดวงของ พลเอกอนุพงษ์ เหล่าจินดา ผบทบ.ว่าดวงเป็นยังไง?
อาจารย์ภาณุวัฒน์บอกว่า ปีหน้าดวงอนุพงษ์จะดีขึ้นกว่าปีนี้ แล้วอาจารย์ภาณุวัฒน์ยังเสริมอีกว่า ที่จริงดวงพลเอกอนุพงษ์ ถ้าอยากเป็นถึงนายกฯ ก็เป็นได้ ถ้าคิดอยากเป็นจริงๆ แต่คิดว่าอนุพงษ์คงไม่อยาก
ทีนี้คำถามสำคัญคือ ดวงทักษิณ ชินวัตร?
อาจารย์เอกอนันต์ บอกว่า ทักษิณมีโอกาสกลับไทย และจะกลับมาใหญ่กว่าเดิม แต่ต้องอยู่เบื้องหลังเท่านั้น อย่าออกหน้าเอง จะดีกว่า
ส่วนอาจารย์ภาณุวัฒน์ กลับเห็นในทางตรงข้ามกับอาจารย์เอกอนันต์ โดยอาจารย์ภาณุวัฒน์ กล่าวเท้าความย้อนหลังว่า อาจารย์ภาณุวัฒน์เองเคยดูดวงทักษิณตั้งแต่ปี46 และเป็นโหรฯคนแรกที่กล้าดูดวงทักษิณว่า "ทักษิณจะไม่มีแผ่นดินจะอยู่"
และก็โดนทักษิณ ตอกกลับมาว่า "หมอดูเคยดูดวงตัวเองบ้างหรือเปล่า เพราะถ้าดูผิด ระวังจะเข้าตัวเอง" ซึ่งสุดท้ายคำทำนายของอาจารย์ภาณุวัฒน์ ก็เป็นจริง ส่วนดวงทักษิณในอนาคต อาจารย์ภาณุวัฒน์ทำนายว่า
"ถ้าคุณทักษิณ ยังไม่ยอมหยุด ระวังจะไม่มีโลกให้อยู่ด้วยซ้ำ ดวงจะเป็นเหมือนอดีตประธานาธิบดีมากอส แห่งฟิลิปปินส์"
ตรงนี้อาจารย์ขุนทอง เข้ามาเสริมว่า เนวิน ชิดชอบ ก็น่าจะนำดวงทักษิณไปดูแล้ว เพราะการเมืองระดับชาติเขาต้องดูเช็คทุกด้าน เนวินถึงได้ตัดสินใจว่า ต้องเปลี่ยนขั้ว เนวินคงรู้ชัดแล้วว่า หมดยุคของทักษิณแน่แล้ว ถึงได้กล้าทิ้งนายไป
ประเด็นสุดท้ายที่อาจารย์ภาณุวัฒน์ เสริมก็คือ เรื่องฮวงจุ้ยของทำเนียบรัฐบาล ว่า ยุคนี้หมดยุครุ่งเรืองของทำเนียบรัฐบาลในปัจจุบันแล้ว เห็นที่ต้องย้ายทำเนียบใหม่ แต่ถ้ายังไม่ย้าย ก็ต้องมีการแก้ฮวงจุ้ย ที่ประตู? โดยเฉพาะรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่พึ่งเข้ามาใช้ทำเนียบ คือต้องเปลี่ยนทางเข้าออกใหม่
ทั้งหมดที่เล่ามา ผมค่อนข้างเชื่อถือ อาจารย์ภาณุวัฒน์ ที่ทำนายว่า ทักษิณ หากไม่หยุด ซึ่งน่าจะหมายถึง ให้การสนับสนุนนปช. และพรรคการเมืองนอมินี่ของตัวเอง โอกาสจะไร้ที่ยืนบนโลกใบนี้ ก็จะเกิดขึ้นได้ ตรงนี้แหล่ะครับ ที่ผมเชื่อ
เพราะบ้านเมืองจะสงบหรือวุ่นวาย ตอนนี้มีทักษิณคนเดียว ที่จะเป็นปลดล็อคแห่งปัญหาทั้งหมดได้ดีที่สุดครับ
.
.
อ่านทักษิณยังกินบุญเก่าอยู่!!
.
วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ไฮไลท์คู่มวยหยุดโลก ปาเกียวชนะเดอลาโฮยา
ข้อมูลก่อนชกจากไทยรัฐ
การแข่งขันชกมวยไฟต์สำคัญ ซึ่งแฟนหมัดมวยทั่วโลกเฝ้ารอ ระหว่าง ออสการ์ เดอ ลา โฮยา วัย 35 ปี กับแมนนี แพคเกียว หรือปาเกียว วัย 29 ปี ชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งกำหนดจะมีขึ้นที่เอ็มจีเอ็มแกรนด์ ลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา ในคืนวันที่ 6 ธ.ค. ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลาในประเทศไทย เช้าวันอาทิตย์ที่ 7 ธ.ค. เวลาประมาณ 08.00
การชกของคู่นี้จะต่อยในรุ่นเวลเตอร์เวทพิกัด 147 ปอนด์ ออสการ์ เดอ ลา โฮยา เจ้าของฉายา “โกลเด้น บอย” อดีตเป็นนักชกเหรียญทองโอลิมปิกของทีมชาติสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1992 ที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน
ก่อนจะเทิร์นโปรเป็นนักมวยอาชีพและคว้าแชมป์ โลกมา 7 รุ่น ตั้งแต่รุ่นซุปเปอร์ฟลายเวท ไปจนถึงมิดเดิลเวท และยังผันตัวเป็นโปรโมเตอร์และทำธุรกิจมวยเต็มตัว มีสถิติการชกชนะ 39 แพ้ 5 ในจำนวนนี้เป็นการชนะน็อกถึง 30 ครั้ง แต่ใน 6 ไฟต์หลังสุดสถิติไม่ดีนัก ชนะ 3 และแพ้ 3 ไฟต์ล่าสุดชกในรุ่นซุปเปอร์เวลเตอร์เวท 153 ปอนด์ แพ้คะแนน ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ปีที่แล้ว ครั้งนี้เท่ากับว่าต้องลดน้ำหนักลงมาชก
ขณะที่ แมนนี แพคเกียว นักมวยที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดถ้าเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ในปัจจุบัน จากเด็กยากจนในครอบครัวคนปลูกผักของฟิลิปปินส์ ต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 12 ปี และหากินอยู่ข้างถนน ก่อนจะชกมวยอาชีพตั้งแต่ปี 1995 และมาผงาดคว้าแชมป์โลกในรุ่นฟลายเวทของสภามวยโลก โดยมาได้เข็มขัดในเมืองไทยด้วยการชนะน็อก “ไอ้หนึ่ง” ฉัตรชัย สาสกุล ยกแรก ตั้งแต่อายุ 20 ปี และได้แชมป์โลกมาอีก 3 รุ่น ในรุ่นซุปเปอร์แบนตัมเวท, ซุปเปอร์เฟเธอร์เวท และล่าสุดเป็นแชมป์โลกรุ่นไลต์เวทของสภามวยโลก พิกัด 134.5 ปอนด์ ด้วยการชนะ เดวิด ดิอาซ เมื่อ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา รวมมีสถิติการชก ชนะ 47 เสมอ 3 และแพ้ 2 ครั้ง เป็นการชนะน็อก 35 ครั้ง ไฟต์นี้แพคเกียวต้องข้ามรุ่นขึ้นมาชกถึง 2 รุ่น และเป็นการชกในน้ำหนักตัวมากที่สุดเท่าที่ผ่านมา
ด้านบรรดาเกจิอาจารย์มวยทั้งหลายต่างยกให้ ออสการ์ เดอ ลา โฮยา ที่มีรูปร่างที่สูงกว่าถึง 4 นิ้ว และได้เปรียบช่วงชก 6 นิ้ว มีโอกาสมากกว่าที่จะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะ โดย “เดอะริง” สื่อด้านหมัดมวย วิเคราะห์ว่า แพคเกียวมีดีที่เป็นมวยดุดันใจเต็มร้อย และมีความรวดเร็ว ถึงเดอ ลา โฮยา จะอายุมากกว่า และต่อยในพิกัดนี้ไม่ดีนัก ต้องลดน้ำหนักลงมา แต่หากชกด้วยความฉลาดอย่างที่เป็นอยู่ คุมเกมอยู่ด้านนอก น่าจะเอาชนะได้ยังคาดการว่า “โกลเด้น บอย” จะชนะน็อกในยกที่ 10
ส่วนเฟรดดี้ โรช เทรนเนอร์ของ แมนนี แพคเกียว กล่าวว่า เชื่อว่าออสการ์ไม่ฟิตเท่าไหร่ ดูจะอ่อนล้าหลังจากที่แพ้เมย์เวทเธอร์มา อย่างไรก็ตาม คงไม่บอกว่าแพคเกียว จะต้องน็อกออสการ์ให้ได้ แม้ว่าจริงๆแล้วอะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ว่ากันไปทีละยกดีกว่า เราซ้อมกันมาเต็มที่ และเตรียมตัวที่จะต้องระมัดระวังกับหมัดแย็บของออสการ์ รวมทั้งฮุกซ้ายที่อันตราย
สำหรับการชกครั้งนี้ เป็นที่คาดว่าแมนนี แพคเกียว จะได้รับค่าตัวกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากกว่า 525 ล้านบาท ส่วน ออสการ์ เดอ ลา โฮยา เป็นโปรโมเตอร์ผู้จัด ฟันเงินมหาศาลแน่นอน โดยบัตรชุดวีไอพีพร้อมห้องพัก 2 คืน ราคา 3,399 เหรียญ (ราว 120,000 บาท), บัตรริงไซด์ 1,500 เหรียญ (ประมาณ 52,500 บาท) ขายหมดเกลี้ยง รวมถึงค่าดูผ่านช่องเคเบิลทีวีที่เก็บในสหรัฐอเมริกาครัวเรือนละ 54.95 เหรียญ (ราว 1,925 บาท) รวมทั้งค่าลิขสิทธิ์ทั่วโลกจะทำเงินให้กับออสการ์ เดอ ลา โฮยา กว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯทีเดียว
ดูคลิปไฮไลท์การชกของคู่มวยหยุดโลก
แมนนี่ปาเกียว ชนะ ออสกาเดอลาโฮยา
แมนนี่ ปาเกียว นักชกชาวฟิลิปปินส์ ไล่ถลุงนักชกที่ตัวใหญ่และมีชื่อเสียงกว่ามากอย่าง ออสการ์ เดอ ลา โฮย่า เจ้าของฉายา "โกลเด้น บอย" ตั้งแต่เสียงระฆังยกแรกกังวาลขึ้นที่เวทีใน MGM แกรนด์ ในลาส เวกัส เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้เดอ ลา โฮยา ไม่ยอมออกจากมุมมาชกในยกที่ 9 หลังถูกไล่ถลุงจนเบ้าตาซ้ายเกือบปิดในยกที่ 8 ทำให้ปาเกียวชนะเท็คนิเคิล น็อคเอ๊าท์ ไปโดยอัตโนมัติ
การชกครั้งนี้ ซึ่งเดอ ลา โฮย่า ต้องลดน้ำหนักลงมา และปาเกียวต้องเพิ่มน้ำหนักขึ้นไปนั้น ทำให้ถูกมองว่า ไม่ใช่คู่ชกที่เหมาะสม และเดอ ลา โฮย่า ก็ถูกมองว่าอยู่ในสภาพที่อาจต้องยุติเส้นทางดาราแห่งสังเวียนกำปั้นที่ร่ำรวยที่สุด และขายได้มากที่สุด และแม้จะเป็นความพ่ายแพ้ในรอบ 16 ปี ของการชกมวยอาชีพของเดอ บา โฮย่า
แต่ดูเหมือนเส้นทางของเขาจะปิดฉากลงแล้ว ท่ามกลางความรู้สึกช็อคของแฟน ๆ จากการที่เขาต้องลดน้ำหนักตัวลงเหลือ 129 ปอนด์ ด้วยวัย 35 ปี ทำให้เขาไม่คล่องตัวและแข็งแกร่งเหมือนในอดีต และไม่สามารถตอบโต้หมัดที่แม่นยำและความเร็วของปาเกียวได้
เดอ ลา โฮย่า ถูกหมัดของปาเกียว จนตาซ้ายเกือบปิดสนิท และไม่ได้ออกจากมุม เมื่อแพทย์และกรรมการ รวมถึงพี่เลี้ยงหารือกันถึงอาการของเขา และเขาก็ไม่ได้ทักท้วงเมื่อทุกฝ่ายลงความเห็นว่า ไม่ควรชกต่อ จากนั้นเขาได้ลุกจากมุม เข้าไปแสดงความยินดีกับปาเกียว ซึ่งกล่าวยกย่องเดอ ลา โฮย่าว่า เป็นไอดอลของเขา และยังจะเป็นอยู่ต่อไป
การชกครั้งนี้ กรรมการ 2 ใน 3 คน ให้ปาเกียวชนะเดอ ลา โฮยา ทั้ง 8 ยก ส่วนคนที่สาม ให้เดอ ลา โฮย่า ชนะในยกแรก
ปาเกียว ซึ่งเป็นเจ้าของเข็มชัดแชมป์โลกรุ่นไลท์เวทจ์ ของสภามวยโลก ต้องเพิ่มน้ำหนักถึง 2 รุ่นเพื่อขึ้นไปชกกับเดอ ลา โฮย่า แชมป์โลก 10 สมัย ในการชก 6 รุ่น ที่ชนะน็อคมาแล้วถึง 30 ครั้ง จากการเปรียบมวย เดอ ลาโฮย่า มีความสูงกว่า 4 นิ้ว แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับปาเกียว ที่บอกว่าเขาไม่ประหลาดใจต่อผลการชก เนื่องจากเตรียมตัวมาดี และคุมเกมได้ตั้งแต่เริ่มชก เขามีความสุขและขอมอบชัยชนะให้ประเทศบ้านเกิด ส่วนเดอ ลา โฮย่า กล่าวว่า เขารู้สึกไม่มีแรง และพยายามจะเดินหน้า แต่ปาเกียวเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้
ภายหลังความพ่ายแพ้ เดอลาโฮยา กล่าวสั้นๆแค่เพียงว่า
"I felt empty, without power," said De la Hoya. "I tried to go forward but Pacquiao's leg speed and movement didn't allow me to connect with anything."
"ผมรู้สึกหมดแรง ผมพยายามรุกไล่แต่ความเร็วของขาและการเคลื่อนไหวของปาเกียวไม่อนุญาตให้ผมบรรลุเป้าหมายได้เลย"
"I just don't have it any more. My heart still wants to fight, but when you physically can't respond, what can you do?
"ใจผมยังต้องการสู้ แต่เมื่อเรี่ยวแรงไม่ตอบสนอง แล้วคุณจะทำไงได้"
.
.
วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551
อเมริกันบริโภค
พอดีผมไปเห็นบทความในหนังสือพิมพ์ของคนไทยในอเมริกาบทความหนึ่ง ซึ่งพูดถึงกรณีพระพยอมอนุญาตให้รายการความจริงวันนี้เข้ามาจัดรายการในวัด
แต่ผมขอคัดลอกบางส่วนของบทความที่เกี่ยวข้องกับ วัฒนธรรมบริโภคความฟุ้งเฟ้อของคนอเมริกัน ที่มีส่วนอย่างมากที่ทำให้อเมริกาต้องมาเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบันครับ
------------
จากเว็บ thaitownusa.com
เขียนโดยคุณธนรัตน์ ยงวานิชจิต
นักเศรษฐศาสตร์ได้ชี้สาเหตุ "เศรษฐกิจย่ำแย่ของอเมริกา" ไปที่ปัญหาซับไพร์มเกี่ยวกับการซื้อขายบ้านในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์อเมริกันเองก็ยอมรับกันว่า เกิดจากการบริโภคเกินกำลังทรัพย์สินที่มีอยู่หรือหามาได้ของแต่ละคน คือเกิดจาก วัฒนธรรม Conspicuous Consumption ซึ่งถอดความได้ว่า วัฒนธรรมใน "การบริโภคเพื่อโอ้อวดความมั่งมีศรีสุข"
กล่าวอีกนัยหนึ่งวัฒนธรรม "กิน กาม เกียรติ" ซึ่งได้ก่อให้เกิดวิถีชีวิตของลูกหนี้และการเมินศีลธรรมโดยสิ้นเชิง
วิถีชีวิตของลูกหนี้และการเมินศีลธรรมโดยสิ้นเชิงนี้ มีพื้นฐานอยู่ที่การใช้ชีวิตแบบมุ่งบริโภคให้เกิดความสุขทางประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
ยิ่งบำรุงบำเรอมากก็ยิ่งต้องการมากขึ้น พอเบื่อหน่ายกับสรรพสิ่งที่มีอยู่ก็เกิดความต้องการสิ่งแปลกใหม่กว่าดีกว่าเดิมยิ่งขึ้นไป ไม่สิ้นสุด
ตัวอย่างเช่น บ้านที่อยู่อาศัยของคนอเมริกันจำนวนมาก มีขนาดใหญ่โตยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่จำนวนสมาชิกครอบครัวมีเท่าเดิม
แม้ว่าจะเกษียณงานตามอายุขัยและอยู่กันเพียงสองคนตายาย ก็ยังเกิดมีความจำเป็นต้องย้ายเข้าไปอยู่บ้านที่มีห้องนอนมากกว่าเดิม มีเครื่องใช้ไม้สอยทันสมัยที่สุด ยิ่งมากยิ่งชอบยิ่งเป็นเลิศ นี่คือฤทธิ์เดชของวัฒนธรรม "การบริโภคเพื่อโอ้อวดความมั่งมีศรีสุข" หรือ "กิน กาม เกียรติ"
วัฒนธรรม "กิน กาม เกียรติ" ได้แพร่หลายเข้าในประเทศไทยอย่างง่ายดาย คนไทยบางคนสรรหาทรัพยากรด้วยความสุจริต บางคนก็ทุจริต เพื่อรับกับวิถีชีวิตแบบนี้
วิธีการทุจริตได้ระบาดเข้าไปในทุกวงการและสายอาชีพ โดยเฉพาะ "นักการเมือง" ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยที่ได้ฉกฉวยโอกาส "หากินกับตำแหน่งทางการเมือง" อย่างอุกอาจ มุ่งสร้างอาณาจักรส่วนตัวไปเรื่อยๆ
.
วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับประวัติพระบรมรูปทรงม้าร.5
จากบทความที่แล้ว ที่ผมได้นำข้อมูลประวัติพระบรมรูปทรงม้ามาลงไว้จากเว็บผู้จัดการนั้น ยังมีข้อมูลบางส่วนที่ไม่ค่อยถูกต้อง เกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการสร้างพระบรมรูปทรงม้า ที่ความเชื่อเดิมๆของคนทั้วไป ที่เชื่อว่า ร.5 เคยเสด็จไปชมพระราชวังแวร์ซายร์ แล้วพระองค์ทรงชื่นชมพระบรมรูปทรงม้าของพระเจ้าหลุยส์ที่14 แล้วเป็นแรงบันดาลใจให้พระองค์ต้องการสร้างพระบรมรูปทรงม้าบ้างนั้น
ความเชื่อตรงนี้ ได้รับการพิสูจน์ในภายหลังเมื่อปีนี้เอง ว่าร.5 พระองค์เคยได้สร้างพระบรมรูปทรงม้าอีกองค์หนึ่งมาก่อนพระบรมรูปทรงม้าองค์ที่เห็นในปัจจุบันนี้มาแล้ว ซึ่งพระองค์ได้สร้างเมื่อพระองค์มีพระชรรษาเพียง20ปีเท่านั้น
และแรงบันดาลใจในการสร้างพระบรมรูปครั้งแรก ก็ไม่ได้เกิดจากการไปทรงชื่นชมพระบรมรูปทรงม้าของพระเจ้าหลุยส์ที่14ตามที่ผู้คนทั่วไปเคยเข้าใจ
ผมได้ดูรายการจากช่องเนชั่น ที่ได้นำนักประวัติศาสตร์คนหนึ่งที่เขียนประจำในหนังสือศิลปวัฒนธรรมมาออก (ขออภัยที่จำชื่อไม่ได้หากค้นหารายชื่อได้จะมาแก้ไข)ในรายการที่กฤษณะ ไชยรัตน์เป็นพิธีกร
ข้อมูลใหม่ที่นักประวัติศาสตร์คนนี้นำเสนอก็คือ ร.5ได้เคยเสด็จประพาสสิงคโปร์และอินเดียเมื่อพระชรรษาเพียง19ปี และทรงไปเห็นรูปปั้นทรงม้าแบบต่างๆ จึงทรงอยากให้มีการสร้างรูปปั้นแบบน้บ้าง จึงได้ว่าจ้างบริษัทปั้นของอังกฤษให้ปั้น พระบรมรูปทรงม้าองค์แรกของไทยขึ้น ซึงมีลักษณะแตกต่างจากพระบรมรูปทรงม้าองค์ปัจจุบัน
ซึ่งนักประวัติศาสตร์คนนี้ได้นำเอกสารเป็นหนังสือพิมพ์อังกฤษในเวลานั้นได้ตีพิมพ์ข่าวการว่าจ้างการปั้นปฏิมากรรมนี้จากกษัตริย์ไทย
พระบรมรูปทรงม้าองค์นั้น มีขนาดเล็ก เหมาะกับการไว้ประดับในอาคาร และม้าที่ทรงมีลักษณะกำลังก้าวเดิน หัวม้าก็ก้มลง เป็นการเดินแบบสบายของม้า
พระบรมรูปองค์นี้ นักประวัติศาสตร์คนดังกล่าวได้พบเจอรูปถ่ายพระบรมรูปทรงม้าองค์แรกนี้ว่า ได้เคยประดิษฐ์สถานอยู่ในพระที่นั่งวิมานเมฆ ในพระบรมมหาราชวัง และคาดว่าน่าจะยังอยู่ แต่จะอยู่ส่วนไหนของพระที่นั่งยังไม่ทราบแน่ชัด
ใหม่เมืองเอก
วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ประวัติย่อพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่5
อ่านความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกรณีแรงบันดาลใจในการสร้างพระบรมรูปทรงม้า . |
วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
คลิปพันธมิตรอเมริกาต้อนรับสมัครและจม.สมัครตัดพ้อ
เรียน ท่านผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ที่นับถือ
นับตั้งแต่ที่ผมพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ที่ผมรับผิดชอบเรื่องบ้านเมืองไปแล้ว ผมก็ไม่พยายามที่จะแสดงความคิดเห็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับทางการบ้านการเมือง โดยเมื่อเดือนเศษๆ ที่ผ่านมา ผมต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลทางเมืองไทย และเมื่ออาการค่อยทุเลาลงแล้ว หมอทางเมืองไทก็ตกกับหมอทางสหรัฐอเมริกาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญให้ผมเดินทางมารักษาตัวเพื่อให้อาการของโรคที่เป็นอยู่หายเสร็จเด็ดขาด
เมื่อตอนที่ผมอยู่เมืองไทย คนอย่างผมก็ไปไหนมาไหนโดยไม่เคยเจอใครที่จะมาแสดงอาการด่าทอว่ากล่าวผมตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผมทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองอยู่
ผมมาถึงเมืองฮุสตัน เมื่อเย็นวันที่ 5 พฤศจิกายน มีคนไทย 3-4 คน มายกป้ายด่าทอผม ด้วยถ้อยคำหยาบคาย กล่าวหาว่าผมเป็นไอ้คนขายชาติ และบอกว่ากรรมเวรไม่ต้องรอชาติหน้า ถือป้ายตั้งแต่ผมออกจากเครื่องที่ผมเดินทางกันไป 3 คนพ่อแม่ลูก กับญาติสนิทอีก 2 คนรวมเป็น 5 คน เข้าลิฟต์มันก็วิ่งถือป้ายเข้ามายืนอยู่ในลิฟต์ด้วย ออกไปรอเอากระเป๋าก็วิ่งเที่ยวชูป้าย เที่ยวถ่ายรูป ถ่ายดักหน้าดักหลัง ปากก็ตะโกนร้องคำเหมือนกับผมเป็นอาชญากรตัวสำคัญที่ทำลายบ้านเมืองออกมายืนรอรถข้างนอกประตู ก็ออกมาวิ่งเที่ยวชูป้ายวิ่งข้ามฟากถนนไปมา แล้วไอ้เจ้าผู้ชายก็มายืนตะโกนด่าอยู่ข้างรถที่ผมขึ้นไปนั่ง ว่าผมเป็นไอ้ขายชาติๆๆๆๆ ตะโกนอยู่ข้างรถเหมือนเจ็บแค้นใจแทนพี่น้องคนไทยทั้งชาติทำนองนั้น
ตลอดระยะเวลาที่ 3-4 คน เที่ยววิ่งแสดงกิริยาอย่างที่ว่า ผมไม่ได้แสดงกิริยาตอบโต้อะไร เพราะแม้แต่หน้าของเขา3-4 คน ที่มาแสดงกันนั้น ผมก็ว่าไม่อยากมองหรือจดจำ
ผมคิดอยู่ในใจเพียงว่าเมื่อผมมีโอกาสนั่งเขียนหนังสือผมก็คิดจะเขียนมาถึงผู้จัดรายการความจริงวันนี้ เพื่อบอกความจริงให้พวกที่เขามาแสดงกันอย่างที่ว่า โดยที่คนพวกนี้เขาไม่เคยรู้หรือแกล้งไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร เช่น คนอย่างผมได้ทำอะไรให้กับบ้านเมือง ตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผมอยู่ในหน้าที่ ผมจะบอกให้ว่าคนอย่างผม นายสมัคร สุนทรเวช นั้นเป็นนักการเมืองที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดเรื่องเอาชาติบ้านเมืองไปขายให้กับใครที่ไหน
ตรงกันข้ามผมนี่แหละเป็นคนที่มีโอกาสทำหน้าที่เป็นคนกอบกู้สถานการณ์ของบ้านเมืองที่เกิดความเสียหายขึ้นภายหลังจากที่มีการยึดอำนาจการปกครองเป็นเวลาปีครึ่ง
ผมเป็นหัวหน้าของคณะผู้คนที่เข้ามารับตำแหน่งที่เป็นผู้บริหารบ้านเมือง อย่างถูกต้องตามตัวบทกฎหมาย
ตลอดเวลาที่ผมทำหน้าที่ทุกอย่าง อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเพื่อกอบกู้สถานะของความเป็นชาติที่อยู่ในสังคมโลกที่ประเทศทั่วโลกเขาหันกลับมาร่วมมือในกิจการต่างๆ จนเกือบเป็นปกตินั้น ผมต้องทำงานหนักเพียงไร
ผมเป็นคนที่ทำหน้าที่รักษาพระศาสนา ตั้งแต่ก่อนแต่ไร จนเมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีผมก็ยิ่งทำหน้าที่ปกป้องดูแลและส่งเสริมพระศาสนาที่คนไทยร้อยละ 95 ของบ้านเมืองเรานับถือ
ในความเป็นคนไทย ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีความจงรักภักดี และมีความเคารพเทิดทูน สถาบันสูงสุดของบ้านเมืองมาตลอด โดยไม่ต้องไปประกาศให้ใครในบ้านเมืองรู้ เพราะทั้งชีวิตผมและวงศ์ตระกูลผมที่สืบย้อนขึ้นไป 2 ชั่วคนได้สนองงานถวายพระราชวงศ์จักรี ทั้งคุณตา คุณลุง คุณพ่อและคุณตาของผม โดยเมื่อถึงยุคของผม ผมก็ได้สนองงานถวายทุกวาระที่ผมได้รับหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารบ้านเมือง
อยากให้รู้ว่าแม้ผมจะทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แม้จะเป็นเวลาเพียง 7 เดือน ผมก็ได้ทำหน้าที่ของผม ให้สถาบันที่มีหน้าที่ดูแลความมั่นคงของบ้านเมืองให้เข้าใจและไม่มีปัญหาที่จะไปทำให้เกิดความแตกแยกในกองทัพ รวมทั้งการให้ความสนับสนุนและส่งเสริมกิจการงานของกองทัพเป็นที่เข้าใจและพอใจของทุกฝ่าย
ในฐานะที่ประเทศไทยได้ดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มประเทศอาเซียน ผมได้ทำหน้าที่ของผมในกลุ่มประเทศอาเซียน10 ประเทศ กับประเทศคู่เจรจาไม่ว่าจะเป็น สหรัฐ หรือจีน ที่ผมมีโอกาสได้พบเจรจาความกับรับผิดชอบอยู่ คือ ผมประกาศและยืนยันที่จะรักษาระบอบประชาธิปไตยให้ยังคงอยู่กับบ้านเมือง โดยไม่ยอมให้ใครมาใช้อำนาจแบบอานารยะมาล้มระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่เรามีและเป็นกันอยู่
เมื่อผมพ้นจากหน้าที่เพราะคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ และผมไม่บอกรับเข้ารับตำแหน่งอีกเมื่อมีการแสดงจากการขัดข้องทางการเมือง ผมก็ถอยออกมาห่างอย่างที่ได้เรียนไว้ในตอนต้น
ที่ผมต้องทำ และต้องเขียนมาถึงรายการความจริงวันนี้ก็เพราะผมต้องการให้พี่น้องประชาชนคนไทยที่รู้จักผมมาตลอด ชี้นำในการดำเนินงานทางการเมืองของผม ว่าผมไม่เคยคิดว่าคนอย่างผมที่ได้เข้ามาทำหน้าที่ทางการเมืองในช่วงที่ต้องมากอบกู้สถานะของประเทศจนเป็นปกติ จะมาถูกคนไทยที่มาอยู่ต่างแดนที่แม้ว่าตั้งแต่เข้ามายังไม่เคยเห็นหน้ากัน มาแสดงอะไรกับคนอย่างผมที่เดินทางมารักษาตัวกันเพียง 5 คน อย่างที่เล่ามาให้ทราบแล้วในตอนต้น
คนพวกนี้ แม้จะออกมาอยู่ไกลคนละซีกโลกของบ้านเมืองเรา อาจจะได้เสพหรือรับรู้แต่ข่าวที่เป็นการให้ร้ายป้ายสีกัน ในการจะล้างผลาญเป็นทางการเมืองโดยไม่ลืมหูลืมตา และไม่ยอมรับรู้รับฟัง ความจริงอีกด้านโดยแยกไม่ออกว่าใครทำอะไร ให้บ้านเมืองมาอย่างไร จนมาคอยจ้องแสดงอาการอย่างที่ผมเล่ามาให้ฟังกันได้ เหมือนกับผมเป็นคนเลวทรามต่ำช้าที่เป็นผู้ทำให้บ้านเมืองเกิดความเสียหาย จนต้องมาเขียนป้ายประณามและมายืนตะโกนด่าซ้ำๆ ซากๆ ว่าผมเป็นไอ้ขายชาติๆๆ อยู่ข้างรถผม
ขอเล่าความทุกข์ใจของผมมาถึงพี่น้องประชาชนชาวไทยที่ยังมีใจเป็นชนชาติเดียวกันให้ทราบความจริงผ่านรายการความจริงวันนี้ ทั้งนี้ เพราะกิจกรรมที่ทำกันอย่างไม่ลืมหูลืมตาของคนกลุ่มเล็กๆ ที่กระจายกันทั่วไปในแหล่งที่มีคนไทยอยู่ทั่วโลกอย่างที่ทำกันนี้ เป็นกิจกรรมที่คนเป็นหัวโจกดำเนินการจะมีความภาคภูมิใจ อย่างไรก็ตามเถิด แต่นี่เป็นกิจกรรมที่ทำลายความเป็นชาติไทยที่มีความรักความผูกพันกันมายาวนานตลอดชีวิตของคนไทยเรา อย่างน่าเศร้าน่าสลดใจเป็นที่สุด
เหมือนอย่างชื่อหนังสือเล่มใหม่ของผมที่กำลังเขียนอยู่ที่ผมให้ชื่อว่า “บางทีจะสายไป...หากคนไทยยังไม่ฉุกคิด”
ด้วยรักและคิดถึง
สมัคร สุนทรเวช
ที่มา: มติชนออนไลน์
วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ภาพพันธมิตรอเมริกาต้อนรับสมัคร สุนทรเวช
สมัครเคยมาเยี่ยมตอนผมป่วยถึง2ครั้งที่โรงพยาบาล แม่ผมก็เป็นเพื่อนกับเมียสมัครมาตั้งแต่เป็นเด็ก
ตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมเชียร์พรรคประชากรไทยมาตลอด จนสมัครลาออกไปเป็นผู้ว่าฯกทม.ผมก็เลือก เพิ่งมาไม่เห็นด้วยกับสมัครในคดีหนีภาษีหุ้นของทักษิณนี่เอง
หลังจากสมัครไม่ได้เป็นนายกฯ ผมก็ไม่รู้จะต่อต้านอะไรสมัครต่อไปแล้ว เห็นใจคนกำลังป่วยใกล้ตาย สมัครนั้นถึงจะปากร้ายแต่ก็ไม่สั่งฆ่าประชาชน เหมือนนายกฯคาสโนว่า สมชวย สรุปแล้ว สมัครดีกว่าสมชวยมากมายนัก สำหรับพันธมิตรที่มากระทำแบบนี้กับอดีนายกฯของไทย ตราบใดความจริงทั้งหมดยังไม่กระจ่าง ตราบนั้นการให้เกียรติ์ต่ออดีตผู้นำของเรา ต้องเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เป็นมารยาททางสังคม และน้ำใจนักกีฬา
ทีนี่เรามาดูรูปการต้อนรับของพันธมิตรที่มารอต้อนรับสมัครแอนด์เมียที่สนามบินกันดีกว่าครับ ดูไปก็สังเวชใจไป เฮ่อ!กรรมหนอกรรม ตามทำกันเห็นๆ
.
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
.
วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ความเข้าใจเรื่องพระอาบัติขณะบิณฑบาตร
ผมเองก็เคยมีอคติกับพฤติกรรมพระหลายรูปที่ผมเคยได้พบเห็นในขณะบิณฑบาตร เนื่องจากบางครั้งด้วยความรู้น้อยในทางบทบัญญัติในพระวินัย ที่ผมอาจไม่เข้าใจลึกซึ้งพอ
แต่เมือได้มีโอกาสพบบทความของ พระชิตงฺกโร ภิกฺขุ วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ทำให้มุมมองหลายๆอย่างที่ผมเคยมีได้เปลี่ยนไป เลยอยากขอนำบทความดีๆนี้มาช่วยนำเสนอ เผื่อจะได้เป็นการเผยแพร่ความเข้าใจเรื่องการบิณฑบาตรของพระได้สู่ผู้อ่านเพิ่มขึ้นอีกทางครับ
วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11188 มติชนรายวัน
กรณีการต้องอาบัติของภิกษุสงฆ์ และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องขณะบิณฑบาต
สืบเนื่องมาจากบทความบนคอลัมน์ประจำของ คุณวสิษฐ เดชกุญชร ที่ลงตีพิมพ์เมื่อวันอังคารที่ 7 ตุลาคม 2551 หน้า 6 ในมติชนรายวัน ในหัวข้อที่ชื่อว่า "เรื่องของคนห่มผ้าเหลือง" ซึ่งนำเสนอถึงพฤติกรรมบางประการขณะออกรับบิณฑบาตที่ไม่เหมาะสมของภิกษุสงฆ์
กล่าวคือมีการรับปัจจัย (เงิน) ลงในบาตร อีกทั้งยังตั้งข้อสังเกตถึงการถวายปัจจัยของพระเถระผู้มีชื่อเสียงรูปหนึ่งแด่ภิกษุสงฆ์ ในงานทำบุญวันเกิดตามภาพข่าวที่อ้างถึงมติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่าเป็นลักษณะของการประพฤติผิดพระวินัยและต้องอาบัติชื่อนิสสัคคิยปาจิตตีย์กันทั้งหมดทั้งผู้ให้และผู้รับ
อีกทั้งยังชี้นำประเด็นดังกล่าวว่า อาจลุกลามขยายใหญ่โตจนทำให้บ้านเมืองขาดที่พึ่งทางใจไร้ศีลธรรม หากปล่อยไว้ในพฤติกรรมดังกล่าวถึงขนาดที่อาจทำให้ลูกหลานเยาวชนไทยกลายเป็น เปรต อสุรกาย หรือ สัตว์เดรัจฉาน ได้เลยทีเดียว
ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า การกล่าวหานั้นดูจะทำได้ง่ายกว่าการชี้แจงแถลงไขเป็นไหนๆ ทั้งยังดูสุ่มเสี่ยงต่อการถูกมองว่ากำลังหาเหตุผลทั้งหลาย เพื่อมาใช้อธิบายถึงพฤติกรรมของพวกพ้องอันจะนำไปสู่ความชอบธรรมในการก้าวล่วงพระวินัยเป็นประเด็นๆ ไป ไว้ดังนี้
ประการแรก ต่อข้อสังเกตที่คุณวสิษฐ เดชกุญชร ให้คำจำกัดความบุคคลที่ได้พบเห็นที่มีพฤติกรรมในการออกรับบิณฑบาตและให้คำจำกัดความบุคคลเหล่านั้นว่า "คนห่มผ้าเหลือง" นั้นโดยข้อเท็จจริงแล้ว ในทางพระพุทธศาสนามีคำที่มีความหมายดีๆ กว่านี้ ที่ใช้เรียกบุคคลดังกล่าวว่า "ภิกษุ" หรือ ภิกษุ ซึ่งแปลตามพระบาลีว่า ผู้ขอ หรือ ผู้เห็นภายในวัฏฏสงสาร ดังจะเห็นได้จากคำเรียกขานของพระพุทธองค์ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย" ในพระไตรปิฎกอยู่เนืองๆ
ซึ่งสถานภาพแห่งความเป็นภิกษุดังกล่าวนี้ได้มาจากการที่มีกุลบุตรอายุครบ 20 ปีขึ้นไป มีความประสงค์จะเข้ามาถือบวชในพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์โดยผ่านพิธีอุปสมบท (การรับเข้าหมู่) มาอย่างถูกต้องตามหลัก สังฆกรรม ซึ่งหลังจากนั้นท่านจะให้หาเลี้ยงชีพด้วยการภิกขาจาร (การเที่ยวไปเพื่อขอ) ด้วยภาชนะ คือ บาตร เอาไว้ใส่อาหารต่างๆ ที่มีผู้นำมาใส่ลงไปโดยเรียกอาการอย่างนี้ว่า "บิณฑบาต" (การตกลงแห่งก้อนข้าว)
ซึ่งสถานภาพแห่งความเป็นภิกษุนี้ในทางพระวินัยนั้นถือว่าจะสิ้นสุดลงทันทีใน สอง กรณี ดังนี้ คือ
1.ภิกษุรูปนั้นหมดความประสงค์ที่จะดำรงอยู่ในเพศภาวะแห่งความเป็นภิกษุและได้กล่าวคำลาสิกขาเป็นคำรบ 3 แก่ผู้รู้ความ
2.ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติ (ถึงอาการแห่งการล่วงพระวินัย) ร้ายแรง อย่างใดอย่างหนึ่ง สี่ กรณี ที่เรียกว่า ปาราชิก คือ เสพเมถุน, ลักของเขา, ฆ่ามนุษย์, อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน
ส่วนในประเด็นที่มีการเรียกขานภิกษุว่า "พระ" ตามอย่างที่เราคุ้นชินกันอยู่นั้นสันนิษฐานว่า คำๆ นี้มาจากคำบาลีว่า "วร" (อ่านว่า วะ-ระ) ซึ่งแปลว่า ดีเลิศ ประเสริฐ และงามพร้อม ซึ่งจากความหมายนี้บ่งชี้ถึงระดับแห่งคุณภาพที่มากกว่าคำว่า "ภิกษุ" อยู่มากทีเดียว
กล่าวคือ ภิกษุใดที่ยังมีความประพฤติไม่เรียบร้อย อาจเรียกได้ว่ายังไม่เป็น พระ แต่นั่นก็มิได้หมายความว่า ได้ขาดจากความเป็นภิกษุไปแล้วแต่อย่างใด
ซึ่งถ้าสังเกตจากมุมมองของคุณวสิษฐ ถึงกรณีที่เห็นบุคคลห่มผ้าเหลืองเหล่านั้นแล้วอาจเกิดความรู้สึกว่าขาดจากความเป็นภิกษุไปแล้วด้วยนั้น เพียงเพราะอากัปกิริยาที่ดูจะขัดหูขัดตาขณะรับบิณฑบาต จึงเป็นการเห็นที่น่าจะไม่ถูกต้องนัก
เพราะหากบุคคลดังกล่าวผ่านพิธีอุปสมบทมาอย่างถูกต้องก็ควรจะ เรียกว่า "ภิกษุผู้ไม่สำรวม" ดูจะเป็นโทษน้อยกว่า(ซึ่งต่อจากนี้ไปผู้เขียนจะใช้คำว่า "ภิกษุ" แทนคำว่า "คนห่มผ้าเหลือง" ของคุณวสิษฐ ได้อย่างสบายใจเสียที)
ประการที่สอง ต่อกรณีที่คุณวสิษฐ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงลักษณะอาการของภิกษุที่เห็นในปัจจุบันขณะรับบิณฑบาตว่ามีการให้พรกับญาติโยมทั้งยังให้อย่างผิดๆ ถูกๆ อีกด้วย ซึ่งต่างจากพระแต่ก่อน ในความรู้สึกของคุณวสิษฐ ที่กลับไปให้ที่วัดนั้น
ข้อเท็จจริงประการนี้ที่ผู้เขียนประสบมาก็คือ ในกรณีวัดในต่างจังหวัดที่มีการฉันพร้อมกันเป็นหมู่คณะในโรงฉัน และมีการออกรับบิณฑบาตในคราวเดียวกันเป็นขบวนยาว ๆ ของภิกษุสงฆ์ ก็มักจะไม่มีการให้พรขณะบิณฑบาต อย่างที่คุณวสิษฐว่า และชาวบ้านก็มักไม่สนใจที่จะรับพรจากภิกษุสงฆ์ดังกล่าวด้วย (คงไม่ต้องบอกนะว่าเพราะอะไร)
แต่ในกรณีที่มีการออกรับบิณฑบาตแบบเดี่ยวๆ หรือขบวนภิกษุมีจำนวนน้อยๆ (ไม่เกิน 3 รูป) และหากต้องโคจรบิณฑบาตเข้าไปในละแวกบ้านที่ทิ้งระยะห่างพอสมควร การให้พรของภิกษุสงฆ์ดูจะสร้างความอิ่มอกอิ่มใจให้กับญาติโยมอยู่ไม่น้อยแต่ถ้าไม่ให้พรเลยญาติโยมก็ไม่ว่าอะไรเพียงแต่ยกมือไหว้อย่างเหงาๆ เท่านั้นเองส่วนกรณีพฤติกรรมอย่างอื่น เช่น การรับบิณฑบาตจนเกินพอดีของภิกษุสงฆ์ จนต้องมีการถ่ายเทอาหารที่ญาติโยมนำมาใส่ลงในบาตรออกสู่รถเข็นหรือภาชนะอยู่เนืองๆ จนดูคล้ายกับการจ่ายตลาดและอาจแสดงถึงความโลภไม่รู้จักพอต่อผู้พอเห็น
ในการรับอาหารจากญาติโยมของบรรดาพระภิกษุอย่างที่คุณวสิษฐเห็น ซึ่งในประเด็นนี้ ภิกษุผู้ไม่สำรวม อย่างผู้เขียนก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เข้าถึงพฤติกรรมดังกล่าวอีกเช่นเดียวกัน
จึงขอชี้แจงแต่เพียงสั้นๆ ว่า ถ้าจะให้ภิกษุรับอาหารแต่พอเต็มบาตรแล้วกลับวัดเลย ด้วยเกรงข้อครหา ดังกล่าว สภาพวัดต่างๆ ในประเทศไทยในปัจจุบันที่มีสถานะเป็นแหล่งอนุเคราะห์ในด้านอาหารกับผู้ด้อยโอกาสในสังคม ตลอดจนสัตว์ต่างๆ ที่มีผู้คนนำมาปล่อยไว้ให้เป็นภาระกับวัดในการเลี้ยงดู เช่น หมาและแมวนั้นจะมีอะไรเหลือให้กินกันอย่างอิ่มหมีพีมันเช่นทุกวันนี้หรือ?
ประการที่สาม ต่อข้อสังเกตที่คุณวสิษฐ กล่าวโจษอาบัติ ต่อเหล่าบรรดาภิกษุสงฆ์ว่าต้องอาบัติชื่อ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ถึงกรณีการรับปัจจัย (เงิน) ขณะรับบิณฑบาตและในกรณีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ นั้น
ซึ่งในประเด็นนี้ ผู้เขียนเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้มาศึกษาและเรียนรู้ร่วมกันอย่างถูกต้องถ่องแท้กันเสียเลย จึงใคร่จะอัญเชิญพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ถึงพระวินัยข้อนี้ตามความหมายแห่งพระบาลีดังนี้ว่า
"อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดี ทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ก็ดี, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์"
ซึ่งนัยแห่งการวินิจฉัยของพระอรรถกถาจารย์โบราณท่านชี้ไว้ว่า แม้ภิกษุไม่รับ ไม่จับ ไม่ต้อง มีลูกศิษย์ (ไวยาวัจกร) รับให้เสร็จสรรพ แต่เกิดยินดีในเงินและทองนั้นก็ไม่พ้นจากอาบัติข้อนี้ ซึ่งทองเงินที่ได้มานั้นชื่อว่าเป็น "นิสสัคคิยวัตถุ" จำต้องสละจึงจะปลงอาบัติตก
ส่วนภิกษุผู้ต้องชื่อว่าเป็น "ปาจิตตีย์" ซึ่งแปลว่า "การละเมิดอันยังความดีให้ตกล่วง" (พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉ. ประมวลศัพท์) อนึ่ง อาบัติกลุ่มนี้เป็น อจิตตกะ คือ ภิกษุไม่รู้แล้วรับเข้าก็เป็นอาบัติ ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่าหากมีใครเอาเงินสักบาทหนึ่งแอบหรือแนบติดไปกับอาหารที่ใส่บิณฑบาต ภิกษุผู้นั้นไม่รู้รับเข้าก็เป็นอาบัติ
ซึ่งจากเงื่อนไขดังกล่าวนี้จะพบว่า การรับบิณฑบาตของภิกษุในปัจจุบันนั้นสุ่มเสี่ยงต่อการต้องอาบัติข้อนี้ได้ง่ายมาก ทั้งนี้ เนื่องมาจากค่านิยมการนำปัจจัยซึ่งบางครั้งแนบใส่มากับอาหารของญาติโยมด้วยคาดการณ์ว่า ตนเองหรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะได้มีเงินมีทองใช้ในชาติหน้าภพหน้า ด้วยความคิดที่ว่าการทำบุญใส่บาตรอย่างไรมักจะได้อย่างนั้นตอบแทน
เหมือนอย่างที่มีค่านิยมการนำขวดน้ำมาใส่บาตร ซึ่งภิกษุสามเณรก็ไม่อยากขัดศรัทธา อีกทั้งอาจถูกมองว่าเรื่องมาก หากบอกปฏิเสธไปซึ่งในกรณีนี้บางสำนักก็รักษาพระวินัยข้อนี้เอาไว้ได้อย่างเข้มแข็งน่าชื่นชม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในหลายๆ สำนักกลับมองเรื่องการต้องอาบัติในข้อนี้เป็นเรื่องธรรมดา
อีกทั้งญาติโยมก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนักกับการที่อยากจะถวายปัจจัยให้แก่ภิกษุสามเณรไว้ใช้สอยอะไรเล็กๆ น้อย ๆ บ้างเพราะรู้สึกเห็นอกเห็นใจอยู่ไม่น้อยในการเป็นผู้ออกจากเรือนมาอยู่ในวัด ทั้งยังต้องเดินทางไปในที่ต่างๆ เพื่อศึกษาเล่าเรียนและซื้อหาตำรับตำรา
แม้จะรู้ว่าวิธีการได้มาแห่งปัจจัยนั้นมันผิด แต่เมื่อติดตามไปดูถึงทิศทางการนำปัจจัยไปใช้สอย ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และการเผยแผ่พระศาสนาก็มักจะอนุโมทนากันถ้วนหน้า
และในกรณีที่คุณวสิษฐ กล่าวโจษอาบัติข้อนี้ต่อพระเถระรูปหนึ่งซึ่งขอเอ่ยนามไว้ให้รู้กันเลยว่าคือ พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทฺโธ) หรือ หลวงพ่อคูณ นั่นเอง ซึ่งในประเด็นนี้ผู้เขียนก็เห็นภาพดังกล่าว (ภาพข่าวฉบับวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม 2551 น.14 มติชน) แต่ไม่มีอะไรจะพูดมากนักอันเนื่องมาจากกิริยาอาการของท่านดังกล่าว เพราะในทางพระพุทธศาสนาเรานั้นมีศัพท์ ๆ หนึ่งที่ใช้อธิบายถึงพฤติกรรมดังกล่าวของท่านได้ดีทีเดียว คำ ๆ นั้นคือ ปาปมุตฺต แปลว่า ผู้พ้นแล้วจากบาป
อธิบายตามนัยแห่งบาลีว่า "คนบางคนเป็นที่เคารพนับถือของคนเป็นอันมาก คนผู้นั้น แม้จะพูดจะว่า หรือ พูดคำที่ไม่ควรพูดบางคำ ตลอดจนพฤติกรรมบางอย่างก็ไม่มีใครว่า ถือสา คนทั้งหลายเขายกให้ไม่เป็นบาป เรียก บาปมุต ก็ว่า" (พจนานุกรม มคธ - ไทย พันตรี ป. หลงสมบุญ)
หรือถ้าฟังคำนี้แล้วยังไม่รู้สึกดีขึ้นผู้เขียนก็ใคร่จะขอร้องให้ท่านทั้งหลายที่ได้อ่านบทความชิ้นนี้ลองไปสอบถามหาสถานศึกษาตั้งแต่ชั้นระดับประถมไปจนถึงมัธยมหรือมหาวิทยาลัย ตลอดจนสถานพยาบาล ตั้งแต่สถานีอนามัยไปจนถึงโรงพยาบาลของรัฐในจังหวัดนครราชสีมา ดูว่ามีที่ไหนบ้างที่ไม่เคยได้รับเงินบริจาคที่ผ่านมือของพระเถระท่านนี้ แล้วลองมาชั่งน้ำหนักดูเมื่อเทียบกับความผิดฐานละเมิดพระวินัย ในกรณีดังกล่าวของท่านซึ่งผู้เขียนก็จะไม่ขอก้าวล่วงต่อคำวินิจฉัยอันจะเกิดจากท่านทั้งหลายในข้อนี้
ไหน ๆ เมื่อเขียนมาแล้วก็ขอเขียนเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่า อันที่จริงสถานภาพของภิกษุสงฆ์นั้น จะว่าไปแล้วก็มีอะไรหลาย ๆ อย่าง คล้ายคลึงกันกับอาชีพตำรวจ ในฐานะผู้รักษากฎหมาย แม้ว่าจะละเลยในเรื่องของการพิทักษ์สันติราษฎร์อยู่บ้างในบางครั้ง ภิกษุสงฆ์เองก็เช่นเดียวกันที่มักจะเป็นผู้รักษาพระธรรมวินัย โดยลืมปฏิบัติตามธรรมวินัยบ้างในบางกรณีเช่นกัน
ซึ่งต่อข้อสังเกตนี้ผู้เขียนก็ใคร่ขอหยิบยกมาให้คุณวสิษฐ เดชกุญชร ลองมาพิจารณาเป็นกรณีศึกษาไว้บ้าง ถ้าหากได้มีโอกาสอ่านบทความชิ้นนี้ในฐานะที่ท่านเองก็เคยเป็นอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มาก่อน ซึ่งบ่อยครั้งผู้เขียนเองก็ได้มีโอกาสเห็นการแสดง มายากล ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรบางโรงพักทำการเสกแบงก์ร้อยให้หายไป เหลือไว้แต่ใบขับขี่ยื่นกลับมาให้คนขับรถในการเรียกขอตรวจดูใบอนุญาตอยู่บ่อยครั้ง
ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับเหล่าบรรดาภิกษุสงฆ์ในหลาย ๆ วัดที่ไม่พยายามจับปัจจัยให้ญาติโยมเห็น (ต่อหน้า) ในที่สาธารณะและข้อที่น่าสังเกตอีกประเด็นหนึ่งซึ่งก็คือแม้ว่าพฤติกรรมบางประการในทางที่ไม่ดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีให้เห็นอยู่บ้างตามสื่อต่าง ๆ เช่น เรื่องเก็บส่วย รีดไถ อุ้มฆ่า หรือฆาตกรรมผู้บังคับบัญชา ฯลฯ
แต่เวลาประชาชนประสบปัญหาที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินก็มักที่จะร้องหาเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาไว้ก่อน
เช่นเดียวกันกับภิกษุสงฆ์ซึ่ง แม้ว่าจะมีข่าวที่เสื่อมเสียในทางที่ไม่ดี เช่น ดื่มสุรา มั่วสีกา เคล้านารี ไปจนถึงต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯลฯ ก็ยังมีประชาชนร้องหาเวลาจะประกอบพิธีเป็น พิธีตายกันอยู่แทบจะทุกครั้ง
ด้วยเหตุดังนี้แล้วผู้เขียนจึงคิดว่าในฐานะที่เรา (ตำรวจ และภิกษุสงฆ์) มีอะไรในหลายๆ อย่างที่คล้ายคลึงกันดังกล่าว คุณวสิษฐ เดชกุญชร ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวแทนแห่งสัญลักษณ์ในความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จะไม่ลองหันหน้ามาสมานฉันท์กับวงการภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันดูบ้างหรือ เผื่อจะได้เป็นต้นแบบที่ดีให้กับกลุ่ม ก๊วนต่างๆ ในสังคมที่ไม่ถูกกันและกำลังเข้าห้ำหั่นจะได้หันหน้าเข้าหากันบ้างอย่างในเวลานี้ไม่ดีกว่าหรือ?
ฉะนั้น จากพฤติกรรมที่คุณวสิษฐ เดชกุญชร หยิบยกขึ้นมาเป็นข้อวิจารณ์ ผู้เขียนก็ได้พยายามใช้สติปัญญาอันน้อยนิด คิดหาคำอธิบายมาให้ได้พิจารณากันแทบจะทุกข้อกล่าวหาแล้ว เลยทำให้คิดหาข้อสรุปได้อย่างเก๋ๆ ต่อกรณีนี้ว่า
เมื่อใดก็ตามที่สังคมให้ความสำคัญกับ คุณภาพเชิงความงาม มากกว่า คุณภาพเชิงความดี หรือ เชิงปัญญาแล้ว ก็อาจจะทำให้แนวคิด หรือมุมมองแบบคุณวสิษฐ เดชกุญชร (คือการชอบตั้งข้อสังเกต แต่ไม่ชอบอธิบายถึงปรากฏการณ์) แพร่หลายได้ง่ายยิ่งนัก
ซึ่งในประเด็นนี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงงานเขียนของนักวิพากษ์สังคมมืออาชีพอย่าง อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ (ขออภัยที่ต้องเอ่ยนาม) ขึ้นมาในทันที
เพราะถึงแม้ว่าท่านจะหยิบยกประเด็นใดๆ ขึ้นมาพูดอย่างรุนแรง แต่ก็มักจะมีคำอธิบายดีๆ แฝงมาอย่างตรงๆ เสมอ (อย่าง พุทธศาสนาในความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย, นิธิ เอียวศรีวงศ์) มากกว่าที่จะหยิบยกประเด็นขึ้นมาตีแรง ๆ แล้วหายกลับเข้าไปในบ้านเฉย ๆ เลยเป็นเหตุให้ผู้เขียนต้องมาลำบากตรากตรำในการชักนำแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบายอย่าง พะเรอเกวียนตามอย่างที่เขียนมาข้างต้น
เพื่ออย่างน้อยจะได้ชี้นำให้ท่านทั้งหลายเปิดใจรับฟังถึงเงื่อนไขและปัจจัยแห่งการไม่สามารถประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระวินัยได้อย่างสมบูรณ์ของเหล่าบรรดาภิกษุ - สามเณรทั้งหลายตามความเป็นจริงในปัจจุบันทั้งยังเป็นการขอโอกาสต่อสังคมที่จะได้ เมตตา อุปถัมภ์ค้ำจุนเหล่าภิกษุหนุ่ม - สามเณรน้อยทั้งหลาย อย่างสบายใจต่อไป
เพื่อที่จะได้เติบโต และงอกงามไพบูลย์ในพระศาสนา ประหนึ่งดอกบัวที่จะได้มีโอกาสเบ่งบานในกาลข้างหน้า แม้ว่าจะมาจากโคลนตม ทั้งยังจมอยู่ในท่ามกลางเปลวเพลิงแห่งสังคมในด้านต่างๆ อย่างทุกวันนี้กันได้บ้าง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก มติชนออนไลน์
หากคุณผู้อ่านได้อ่านบทความนี้จาก ท่านชิตงฺกโร ภิกฺขุ จากวัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน โดยละเอียดในแต่ละกรณีแล้ว ต้องยอมรับว่า น่าเป็นเรื่องที่ดีที่พุทธศาสนาได้มีพระที่มีความรู้ดีอีกรูปหนึ่ง ทำให้ผมเองก็รู้สึกดีๆขึ้นมากด้วยในความเข้าใจแบบมีอคติกับพระได้ลดลงครับ
.
วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551
คนอเมริกันเบื่ออเมริกา
หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในอเมริกา ชาติที่หยิ่งทรนงว่าตัวเองเหนือกว่าใคร เจ้าโลกแห่งทุนนิยม แน่นอนสิ่งที่ทำให้อเมริกาเป็นเจ้าโลกก็มีสิ่งดีที่น่าเลียนแบบ แต่ก็มีหลายๆสิ่งที่เราควรนำมาศึกษาและระวังในความผิดพลาดของอเมริกา พอดีผมไปเจอบทความดีๆที่เขียนโดยคนอเมริกันเองที่ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของอเมริกา ที่ทำให้เขาต้องย้ายออกจากอเมริกาไปอยู่ที่อื่น
บทความที่นำเสนอต่อไปนี้ ขอรับรองว่าเป็นแง่คิดจากผู้เขียนชาวอเมริกันแท้ๆ ไม่มีการตัดทอนเพิ่มเติมแต่อย่างใดครับ
ใหม่เมืองเอก
จากหนังสือเรื่อง “Why I Left America” (ทำไมผมถึงทิ้งอเมริกา) เขียนโดยนายจอห์น อาโนล ชาวอเมริกันผิวขาวซึ่งย้ายมาอยู่ประเทศไทยได้แต่งงานกับหญิงไทยและมีลูก3คน เดิมเขาเคยทำงานในหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่2แห่งและมีธุรกิจส่วนตัวในอเมริกา
สหรัฐอเมริกา
1. ตำนานเรื่องความฉลาดเฉลียวของคนอเมริกัน : คนอเมริกันส่วนใหญ่คือชาวยุโรป แต่เมื่อพวกเขากลายเป็นคนอเมริกันพวกเขาชอบคุยโม้ว่า พวกเขาช่างเป็นกลุ่มคนที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ โดยมักใช้ความสำเร็จทางเศรษฐกิจเป็นข้ออ้าง และยังอวดอ้างชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย ทั้งๆ ที่ความสำเร็จทั้งปวงของสหรัฐฯ เกิดจากผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ที่กว้างใหญ่ และมีทรัพยากรที่เหลือเฟือ
นอกจากนั้นสหรัฐฯ ยังได้สมองที่ปราชญ์เปรื่องของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันที่นำไปจากยุโรปยุคหลังสงครามโลกด้วย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จเป็นบ่อเกิดของความยะโสโอหัง ในระยะ 50 ปีที่ผ่านมา พวกเขาทำตัวราวกับว่าความรุ่งเรืองทั้งหลายเป็นสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง ผมไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนที่ไม่มีเหตุผลและไม่ตระหนักในความเป็นจริงได้
2. ชาวอเมริกันคือพวกที่กล้าประกาศว่าผู้คนในประเทศอื่นนั้น ถ้าไม่ล้าหลังก็ป่าเถื่อน : คนอเมริกันส่วนใหญ่ถูก “ครอบงำ” ให้เชื่อว่าพวกเขาคือกลุ่มชนเดียวที่มี “อารยธรรม” และ “เสรีภาพ” อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนที่ป่าเถื่อนและล้าหลังอพยพไปอยู่สหรัฐฯ พวกเขาต่างถูกคาดหวังว่าพวกเขาจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ ประเพณี คุณค่า ความชอบและความไม่ชอบในทันทีที่เหยียบแผ่นดินสหรัฐฯ แต่ข้อเท็จจริงก็คือ สหรัฐฯ ไม่ใช่ “หม้อหลอม” (melting pot) หรือสวรรค์ของชนกลุ่มน้อยอย่างแน่นอน
โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต้องลดมาตรฐานการศึกษาลงเพื่อรองรับลูกหลานของผู้อพยพต่างเชื้อชาติและผิวพรรณ ในที่สุด “เด็กเก่ง” ก็เกิดความเบื่อหน่ายและต้องเสียสละให้กับ “ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” และเมื่อเด็กจากครอบครัวชั้นกลางถูกจัดให้อยู่ในชั้นเดียวกับเด็กจากสลัม เด็กกลุ่มแรกย่อมถูกข่มขู่คุกคามและต้องอยู่กับความกลัวในทุกวันที่ผ่านไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่พวกเขาก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกับเมื่อตอนเด็ก
สำหรับ “คนดำ” ที่รักดี มีการศึกษาและมุ่งหาความสำเร็จ พวกเขาจะถูกกดดันโดยทั้งคนผิวขาวที่ไม่ชอบคนดำและคนดำที่ “ไม่มุ่งดี” สหรัฐฯ กำลังตกต่ำทั้งในด้านการกำหนดเป้าหมาย คุณค่าและการจัดลำดับความสำคัญ เนื่องจากคุณภาพของคนกลุ่มน้อยภายในประเทศและที่อพยพมาใหม่เรื่อยๆ
หมายเหตุ :ในปัจจุบัน สหรัฐฯ มีผู้หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายถึง 11 ล้านคน
3. เงินเป็นใหญ่ : คนอเมริกันทุกคนตะเกียกตะกายอย่างหนักเพื่อ “เงิน” ผมมีปัญหากับพวกเขาเพราะพวกเขาไม่รู้จักคำว่า “พอ” และพวกเขาพยายามใช้บ้านของเขาเป็นที่แสดงฐานะรวมทั้งการให้ลูกๆ ของพวกเขาอยู่ในแฟชั่นที่ล่าสุด
สหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงไปมากในระหว่าง 50 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่แพร่ระบาดไปทั่วคือการที่ทุกคนต้องการเป็นเศรษฐีเงินล้านภายในเวลาเพียง 2-3 ปีหลังจากเรียนจบ และนั่นเป็นสิ่งที่น่าเศร้าสำหรับประเทศของผมเพราะไม่มีคำว่า “เกียรติยศ” อีกต่อไป บริษัทจำนวนมากต่างมุ่งกำไรระยะสั้นให้มากที่สุดและเลิก แล้วไปเปิดใหม่เพื่อหลอกลูกค้า “โง่” ใหม่
ระบบของสหรัฐฯ ซึ่งกระตุ้นให้เกิด “ความไม่ซื่อสัตย์” กำลังมุ่งไปสู่ความพินาศ ไม่ว่าจะเกิดจากการพังทลายทางเศรษฐกิจ สงครามทางเชื้อชาติหรือปัญหายาเสพติด มันต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ใน 10-20 ปีข้างหน้เ และผมเลือกที่จะไม่อยู่รอดูความพินาศที่จะเกิดขึ้นหรือรอเป็นเหยื่อในเหตุการณ์นั้น
4. บริโภคนิยม : หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้หญิงอเมริกันเริ่มออกทำงานนอกบ้านและยังเป็นเช่นนั้นในปัจจุบัน ระบบบัตรเครดิตทำให้พวกเธอใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ถึง 2 เท่า หนี้สินพอกพูนขึ้น การทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวกลายเป็นสิ่งปกติและตามมาด้วยการหย่าร้าง การโฆษณาสินค้าทุกหนทุกแห่งโดยเฉพาะทางโทรทัศน์พุ่งเป้าไปยังผู้ที่การวิจัยระบุว่าเป็นผู้ที่ “ใจอ่อนที่สุด” คือผู้หญิงและเด็ก
แม่คือผู้ที่ไม่สามารถปฏิเสธลูกได้ และเด็กคือเป้าหมายที่กระตุ้นได้ง่ายที่สุด แม้ผู้หญิงเองก็เป็นนักจับจ่ายโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เมื่อภรรยาหรือลูกต้องการซื้อของ สิ่งที่บิดาทำได้คือ การหนีไปหมกตัวดูรายการกีฬาอยู่หน้าโทรทัศน์
ลัทธิบริโภคนิยม เป็นสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ ทั้งๆ ที่เป็นเหตุการณ์ที่เป็นจริง คนอเมริกันโดยทั่วไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้ เพราะเขาเกิดมาในแผ่นดินที่มีทรัพยากรมากมาย ผมกล้าพนันว่าถ้าเขาไปเกิดในอัฟกานิสถาน พวกเขาจะไม่มีแม้แต่รถจักรยานยนต์
หมายเหตุ : สหรัฐฯ มีประชากรเพียง 4.7% ของโลกแต่บริโภคทรัพยากรถึงร้อยละ 40 ของโลก (ในประเทศไม่พอก็ไปเอาจากที่อื่น)บริโภคพลังงานร้อยละ 30 เด็กอเมริกันบริโภค “ของเล่น” ร้อยละ 45 ของการผลิตทั้งหมดในโลก และในแต่ละปีเด็กอเมริกันแต่ละคนได้“ของเล่น” เพิ่มเฉลี่ยคนละ 70 ชิ้น
สหรัฐฯ ใช้เงินโฆษณาสินค้ามากที่สุดในโลก โดยใช้เงินถึงปีละ 214,000 ล้านดอลลาร์หรือร้อยละ 50 ของการโฆษณาทั้งโลก และจากจำนวนเงินดังกล่าว 12,000 ล้านดอลลาร์เป็นการโฆษณาที่พุ่งเป้าไปยังเด็ก ด้วยเหตุนี้ เมื่อเด็กอเมริกันมีอายุ 12 ปี เขาก็เห็นโฆษณามาแล้ว 200,000 ครั้ง และกลายเป็นนักบริโภคเต็มตัวเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่
5. วัฒนธรรมโกหก : คนส่วนใหญ่ไม่พูดในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด และไม่พูดในสิ่งที่เป็นความจริงแต่จะพูดในสิ่งที่ทำให้เขาเป็นที่นิยม และนั่นทำให้คนจำนวนมากอึดอัดและถูกกดดันจนต้องหันไปหายาเสพติด เข้ารับการบำบัดทางจิตหรือฆ่าตัวตาย ผู้หญิง คนกลุ่มน้อยและพวกรักร่วมเพศต่างสนับสนุนผู้ที่พูดในสิ่งพวกเขาต้องการจะฟัง อดีตประธานาธิบดี บิลล์ คลินตัน เป็นตัวอย่างที่ดีของ “ยอดนักโกหก” เขาหนีทหาร สูบกัญชา ล่าผู้หญิง แล้วก็โกหกหน้าตายจนได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี
หมายเหตุ : อดีตประธานาธิบดีอเมริกันอย่างน้อย 6 คนถูกจับได้ว่าโกหกประชาชน รวมทั้งนายริชาร์ด นิกสัน แต่นายจอร์จ บุช (ลูก) น่าจะได้ตำแหน่ง “จอมโกหก” เพราะเขาหลอกลวงชาวอเมริกันและชาวโลกว่าอิรักมีอาวุธทำลายร้ายแรงเพื่อใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการ “ปล้น”น้ำมันของอิรัก และทำให้ชาวอิรักเสียชีวิตนับแสนคน
6. คนอเมริกันไม่ชอบซึ่งกันและกัน : การที่เป็นเช่นนั้นถ้าไม่ใช่ความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติซึ่งมีหลากหลายก็เป็นเพราะความแตกต่างด้านชนชั้น และถ้าไม่ใช่ทั้งสองเรื่องดังกล่าวก็เป็นเรื่องของความอิจฉาริษยา (เพราะลัทธิปัจเจกนิยมซึ่งส่งเสริมการเป็น “ตัวกู ของกู”??)
7. รัฐบาลอเมริกัน : รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นรัฐบาลที่ต้องการออกกฎหมายครอบคลุมทุกจังหวะชีวิตของชาวอเมริกัน พวกเขาต้องการปกป้องประชาชนมากจนกลายเป็นการ “ปล้นเสรีภาพ” ไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งวันคนอเมริกันต้องคอยหลีกเลี่ยงการจะทำผิดกฎหมายในเรื่องใดเรื่องหนึ่งและต้องจ่ายค่าปรับ เป้าหมายที่แท้จริงของรัฐบาลคือเงินและรายได้ ตัวอย่างภาษีที่คนอเมริกันต้องเสียมีดังนี้ :
*ภาษีรายได้ให้มลรัฐและรัฐบาลกลาง
* ภาษีทรัพย์สิน
* ภาษีมรดก
* ภาษีการค้า
* ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย
* ภาษีรถยนต์ เรือ เครื่องบิน จักรยานยนต์ สัตว์เลี้ยงและธุรกิจอื่นๆ
* ภาษีเทศบาล ภาษีสินค้าคงคลัง ภาษีเงินเดือน ภาษีรายได้ของบริษัท เงินสมทบโครงการเกษียณอายุ ฯลฯ
นอกจากนี้ เมื่อคนอเมริกันต้องการบริการจากหน่วยราชการก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมด้วย ทุกอย่างต้องใช้เงินไม่ว่าจะเป็นรถพยาบาลฉุกเฉิน การตรวจสอบอาคาร ค่าปรับ ฯลฯ
8. ระบบราชการ : หน่วยราชการทั่วโลกมีสิ่งที่เหมือน ๆ กันคือมีกำลังคนมากเกินไปและมีประสิทธิภาพต่ำ ไม่ว่าเราจะมีปัญหาใด ๆ เขามักไม่สามารถช่วยได้และเรื่องมักเงียบหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
เป้าหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐมักมีอย่างเดียวกันคือ “การเลื่อนตำแหน่ง”ไม่ใช่การให้บริการ เจ้าหน้าที่รัฐเป็นกลุ่มคนที่มีการสื่อสารทางเดียว พวกเขาชอบใช้อินเทอร์เน็ต แฟกซ์ และคอมพิวเตอร์ เพราะพวกเขาสามารถปฏิเสธได้ว่าพวกเขาไม่ได้รับการขอบริการหรือการร้องทุกข์ พวกเขาต่างแย่งชิงห้องทำงานและกระถางไม้ประดับเพื่อแสดงฐานะและความสำคัญของตนเอง
9. ธุรกิจและบริษัท : ครั้งหนึ่งในสหรัฐฯ เด็กๆ เคยถูกสอนให้เป็นคนยุติธรรมในการแข่งขันกีฬา การทำธุรกิจและในการดำรงชีวิต แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปในระยะ 50 ปีที่แล้ว ในปัจจุบันศาลเต็มไปด้วยคดีความและการฟ้องร้อง ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
คนอเมริกันงุนงงกับระบบญี่ปุ่นซึ่งทำงานได้ดีกว่าระบบอเมริกัน คำอธิบายก็คือระบบญี่ปุ่นเป็นระบบที่ “ไร้เมตตา” เกือบจะเท่าของสหรัฐฯ
แต่การดำเนินการของระบบญี่ปุ่นนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความ “ซื่อสัตย์และการให้เกียรติ” ผู้บริหารมีเกียรติยศในการปกป้องพนักงานและพนักงานก็มีเกียรติยศในการทำงานให้ดีที่สุด
แต่ในสหรัฐฯ ผู้บริหารและพนักงานต่างก็ไม่สนใจซึ่งกันและกัน ไม่มีการปกป้องและความจงรักภักดี ไม่มีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ที่มีคือการเอาเปรียบ การข่มขืนซึ่งกันและกันรวมทั้งการติดสินบน ผู้ที่เอาเปรียบได้คือผู้ชนะ สำหรับผู้บริหารที่ละโมบ การเล่นการเมือง การข่มขืนพนักงานและผู้ถือหุ้นต่างเป็นสิ่งปกติ
หมายเหตุ : กลุ่มธุรกิจได้เข้าควบคุมนักการเมืองรวมทั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตั้งแต่หลังสงครามกลางเมือง กลุ่มธุรกิจให้เงินนักการเมืองใช้ในการหาเสียง เมื่อได้ตำแหน่งแล้วนักการเมืองก็ออกกฎหมายให้ประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจและให้เงินอุดหนุนทั้งบริษัทการเกษตรและอื่นๆ เป็นเงินปีละแสนๆ ล้านดอลลาร์
10. ศาลและความยุติธรรม : สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีการฟ้องร้องมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก เพราะการฟ้องร้องค่าเสียหายเป็นชีวิตจิตใจของชาวอเมริกัน สหรัฐฯ มีผู้ประกอบอาชีพทนายมากกว่าหลายๆ ประเทศรวมกัน และนั่นเป็นสิ่งจำเป็นเพราะ
หนึ่ง : สหรัฐฯ มีคนที่ไม่ซื่อสัตย์มากที่สุด
สอง : สหรัฐฯ มีแต่คนขี้เกียจและหาเงินจากการฟ้องร้อง
ตัวอย่างเช่น หญิงคนหนึ่งป่วยหลังจากการเสริมเต้านมด้วยวัตถุแปลกแยกทั้งที่หมอเตือนเธอแล้วแต่เธอไม่ยอมเชื่อ เธอฟ้องหมอซึ่งหมอก็ไม่สนใจ เพราะบริษัทประกันเป็นผู้จ่ายเงิน เมื่อบริษัทประกันจ่ายเงินแล้วก็ขึ้นค่าเบี้ยประกัน สิ่งที่หมอคนดังกล่าวทำคือขึ้นราคาสำหรับคนไข้รายต่อ ๆ ไป ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็มีความสุขแม้ต้องเจ็บตัว เพราะได้เงินก้อนใหญ่กว่าที่เธอจะหาได้จากการทำงานทั้งชีวิต แถมเธอยังคิดว่าเธอฉลาดกว่าคนอื่นด้วย กรณีข้างต้นช่วยอธิบายว่าทำไมเบี้ยประกันในสหรัฐฯ จึงสูงมาก
ในปัจจุบัน คนอเมริกันกำลังฟ้องบริษัทผลิตบุหรี่ (ทำให้เป็นมะเร็ง) เป้าหมายต่อไปอาจจะเป็นบริษัทผลิตปืน (ทำให้ตาย) บริษัทผลิตน้ำตาล (ทำให้เป็นโรคเบาหวาน) บริษัทจานด่วน (ทำให้อ้วน) หรือแม้แต่ฟ้องพ่อแม่ เพราะให้กำเนิดพวกเขาที่หน้าตาไม่สวยไม่หล่อ?
หมายเหตุ : ในปัจจุบัน สหรัฐฯ มีโรงเรียนกฎหมายที่ได้รับการยอมรับจากมลรัฐถึง 200 โรงเรียน และมีนักกฎหมายมากถึง 735,000 คน อย่างไรก็ตาม คุณภาพของนักกฎหมายจำนวนมากไม่ดีพอและถูกร้องเรียนบ่อยๆ
พลเมืองของสหรัฐฯ ประกอบด้วยคนกว่า 60 สัญชาติ จึงไม่มีพื้นภูมิของชีวิตขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมร่วมกัน จอห์น นายส์บิต นักเขียนชื่อดังของสหรัฐฯ กล่าวว่า “สังคมสหรัฐฯ ไม่ใช่หม้อหลอม (melting pot) แต่เป็นชามสลัด (salad bowl) ซึ่งทุกอย่างอยู่รวมกันโดยมี “น้ำสลัด” หรือ “กฎหมาย” (rule of law) เป็นตัวผสม ในเรื่องนี้ ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) กล่าวว่า “รวมกันโดยกฎหมายก็รวมกันไม่จริงเพราะไม่ได้รวมที่ใจ”...คนไทยจำนวนมากชื่นชมระบบ rule of law ของสหรัฐฯ ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมซึ่งรวมใจคนได้ดีกว่า
11. อาชญากรรมและความรุนแรง : คนอเมริกันมีเหตุผลน้อยที่สุดที่จะก่ออาชญากรรม (รายได้สูง) แต่สหรัฐฯ กลับมีสถิติอาชญากรรมสูงที่สุดในโลก
หมายเหตุ :
* ระหว่างปี 2503-2538 อาชญากรรมรุนแรงในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 560%
* เฉพาะระหว่างปี 2544-2548 บริษัทข้ามชาติสัญชาติสหรัฐฯ ที่ติดอันดับ 1-30 ของโลกได้ถูกฟ้องและต้องชดใช้ค่าเสียหายหรือเสียค่าปรับเป็นเงิน 10-1,000 ล้านดอลลาร์มีจำนวนเป็นสิบๆ บริษัท ด้วยข้อหาจงใจสร้างรายได้หรือรายจ่ายเท็จ ให้ข้อมูลเท็จแก่ผู้ถือหุ้นและลูกค้า เลี่ยงภาษี ตกแต่งบัญชี ทำลายหลักฐาน ฯลฯ การฉ้อฉลกลโกงดังกล่าวก่อความเสียหายให้ผู้ถือหุ้น สาธารณชนและพนักงานเป็นเงินจำนวนล้านล้านดอลลาร์ และผู้บริหารจอมโกงของบริษัทเหล่านั้นต่างจบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เช่น ฮาร์วาร์ด และเคลล็อก นอกจากนี้ระหว่างปี 2543-2549 บริษัทใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ ซึ่งคนไทยรู้จักดียังถูกจัดอันดับให้เป็น “บริษัทเลว” โดยองค์กรเอกชนที่คอยเฝ้าติดตามพฤติกรรมของบริษัท (Corporate Watch) อีก 70 บริษัท ข้อหาคือทำลายสิ่งแวดล้อม โป้ปดมดเท็จ หลอกลวงลูกค้า เอาเปรียบและทำร้ายพนักงาน ค้าทาส ผลิตยาไม่มีคุณภาพ ไม่มีมาตรการเพื่อความปลอดภัยให้พนักงานและชุมชน คอร์รัปชัน ตั้งราคาสูงเกินจริง ฯลฯ อาชญากรรมของบริษัทข้างต้นเกิดขึ้นทั้งในสหรัฐฯ และนอกประเทศ
12. ยาเสพติด : แม้คนที่ไม่ฉลาดก็รู้ดีว่ายาเสพติดจะทำให้สูญเสียงาน เสียครอบครัว กลายเป็นโจรและอาจติดคุก แต่ปัญหานี้ก็ระบาดไปทุกระดับของสังคม ไม่มีครอบครัวใดหนีปัญหานี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของแพทย์ วิศวกร นักกฎหมายหรืออื่นๆ แทบทุกอพาร์ตเมนต์ในเมืองใหญ่มีทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ในขณะที่สมาคมแพทย์ระบุข้อเสียของบุหรี่และรัฐบาลก็รณรงค์ให้คนเลิกสูบบุหรี่ ยาเสพติดกลับระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง
หมายเหตุ : งบประมาณต่อต้านยาเสพติดของสหรัฐฯ สูงขึ้นจาก 65 ล้านดอลลาร์ในปี 2512 (ยุคริชาร์ด นิกสัน) เป็น 17,700 ล้านดอลลาร์ในยุคของนายบิลล์ คลินตัน การตายจากยาเสพติดสูงขึ้นเรื่อย ๆ ราคายาถูกลงแต่ความบริสุทธิ์สูงขึ้น ร้อยละ 75 ของผู้เสพยาเป็นคนผิวขาว และร้อยละ 11 เป็นคนผิวดำ ปัญหาในเรื่องนี้ทำให้สหรัฐฯ ต้องเก็บข้อมูลอาชญากรรมเพิ่มขึ้นกว่า 50 ล้านคน
13. โครงการสุขภาพ : การเจ็บป่วยในสหรัฐฯ โดยไม่มีการประกันสุขภาพสามารถนำไปสู่การล้มละลาย แพทย์ในสหรัฐฯ ต่างต้องการเป็นเศรษฐีเงินล้านภายใน 2 ปีหลังจากเรียนจบ และยาในสหรัฐฯ มีราคาสูงที่สุดในโลก
เมื่อผมยังเป็นเด็ก หมอยังมี “หัวใจ” แต่ในปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ข้อสำคัญก็คือเดี๋ยวนี้หมอทุกคนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่มีหมอรักษาโรคทั่วไปอีกแล้ว และนั่นทำให้ค่ารักษาแพงขึ้นไปอีก
รัฐบาลไทยชุดที่แล้ว (ชุดทักษิณ) ดูเหมือนจะนิยมว่าวิถีตะวันตกนั้นเยี่ยมยอดได้นำโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคมาใช้ โครงการนี้มิได้เป็นอะไรมากไปกว่าโครงการเพื่อให้ได้รับเลือกตั้ง ผลก็คือรัฐบาลให้เงินแก่โรงพยาบาลต่าง ๆ ไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้หมอเครียดและหลบหลีกคนไข้... บางส่วนถึงกับลาออกและไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งรักษาคนมีเงิน และหมอที่จะรักษาคนยากจนมีน้อยลงไปกว่าเดิม
14. สังคมคนอ้วน : สหรัฐฯ เป็นสังคมที่มีคนน้ำหนักเกินมากที่สุดในโลกกว่าร้อยละ 60 เพราะคนส่วนใหญ่บริโภคอาหาร “จานด่วน”ทุกคนดูเหมือนจะสั่งแฮมเบอร์เกอร์ขนาดใหญ่ซึ่งชุ่มฉ่ำไปด้วยเนย มันฝรั่งทอดและน้ำดำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยาวชนอเมริกันกำลังมุ่งไปสู่ความวิกฤต พ่อและแม่ต่างก็วิ่งหาความร่ำรวยและวัตถุ ขณะเดียวกันก็ปล่อยเขาให้อยู่กับ “อาหารขยะ” คนอเมริกันต่างมองไม่เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น บางทีอาจจะเพราะเขาไม่ต้องการจะเห็นและรับรู้ว่าไขมันทำลายหัวใจได้เหมือนๆ กับบุหรี่
หมายเหตุ : ตั้งแต่ปี 1970 (2513) คนอเมริกันบริโภคแคลอรีเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ตั้งแต่ปี 1980 (2523) อัตราคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 60 ในผู้ใหญ่ 2 เท่าในเด็กและ 3 เท่าในวัยหนุ่มสาว...โรคนี้กำลังระบาดไปทั่วโลกโดยการครอบงำของอาหาร “จานด่วน”
15. หญิงอเมริกัน : หญิงสาวชาวอเมริกันเข้าสู่วงการหนังลามกกันมากขึ้น เพราะพวกเธอต่างก็ “ติดกับ” วิถีชีวิตที่สังคมตั้งความหวังไว้สูงเกินไป เธอเลือกเข้าสู่วงการเพราะมันจะทำให้เธอได้ทั้ง “เงิน” และ “ความสนอกสนใจ” หญิงอเมริกันต่างก็ทิ้งสิ่งต่างๆ ที่ “ธรรมชาติ” ได้ให้กับเธอ เช่น ความอ่อนโยน ความเห็นอกเห็นใจ ความเมตตาปรานี ความอบอุ่น ความสามารถในการเลี้ยงดูเด็กและพวกเธอขาด “หัวใจ”และนั่นทำให้พวกเธอ “ไม่น่าสนใจ” อีกต่อไป
ในปัจจุบัน พวกเธอต่างต้องการทิ้งงานบ้าน ต้องการเก่งกล้าสามารถทั้งในสังคมและการงาน ผู้ชายต้องการ “คู่ครอง” แต่พวกเธอทำตัวเหมือนผู้ชาย พวกเธอเลยหาคู่ครองไม่ได้เพราะผู้ชายจำนวนมากหันไปหาหญิงวัยรุ่นซึ่งยังคงมีความเป็นผู้หญิงอยู่บ้าง และนั่นทำให้พวกเธอหันไปหาผู้ชายผิวดำซึ่งก็ปฏิเสธต่อพวกเธออย่างไม่เหมาะสม
16. ความบันเทิง : ในปัจจุบันภาพยนตร์ 7 ใน 10 เรื่องไม่คุ้มค่าตั๋ว ผู้แสดงไม่มีบุคลิกที่โดดเด่นและเนื้อเรื่องก็มีแต่เรื่องสยองขวัญ เต็มไปด้วยความรุนแรงและการทำลายล้าง โดยมีเพลงเร่งเร้า สิ่งเหล่านี้ปรากฏในกีฬา โทรทัศน์ ดนตรี และการเต้นรำด้วย
คนอเมริกันได้รับการศึกษาดีขึ้นแต่ทุกอย่างกลับเลวร้ายลง เด็ก ๆ ถูกโหมกระหน่ำด้วยโฆษณาให้แข่งขันกันบริโภค แม่ไม่มีเวลาอ่านหนังสือให้ลูกฟังและสอนลูกในสิ่งที่ดีงามอีกต่อไป ส่วนกีฬาก็กลายเป็นการค้า นักกีฬาได้รับค่าตอบแทนมากเกินไป และทุกทีมกลายเป็นพันธุ์ผสมซึ่งทำให้หมดความน่าสนใจ ทุกอย่างมุ่งไปที่ “เงิน” การซื้อขายและชัยชนะเท่านั้น
เพลงในปัจจุบันไม่ต้องใช้ศิลปะและความสามารถส่วนตัว มีแต่การเร่งเร้ารุนแรง กรีดร้อง ระเบิดและไฟลุกท่วมและแข่งกันเปิดเผยร่างกาย พวกเขาได้ทำลายคุณค่าของดนตรีไปจนหมด
17. คริสตศาสนา : พระเยซูคริสต์และพระพุทธเจ้าต่างก็ไม่ได้สอนให้มุ่งหาความสุขทางวัตถุ แต่ชาวอเมริกันที่นับถือคริสตศาสนาต่างก็เพิกเฉยกับเรื่องที่พระเยซูทำลาย “ซุ้มแลกเงิน” ในโบสถ์ หรือทรงให้โอกาสคนรวยที่จะขึ้นสวรรค์ด้วยการทำความดี พวกเขาเพิกเฉยเพราะคำสอนดังกล่าวไม่ตรงกับความต้องการ (กิเลส) ของเขา คนอเมริกันตะเกียกตะกายอย่างหนักเพื่อเงินและพวกเขาไม่รู้จักคำว่า “พอ” และพวกเขาตีความว่าทรัพยากรทั้งหลายในโลกเป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้มนุษย์เพื่อสร้างความมั่งคั่ง สำหรับเรื่อง “โลกร้อน” ชาวอเมริกันเคร่งคัมภีร์หรือขวาจัดต่างกล่าวว่า “พระเจ้าจะทรงจัดการเอง”
18. คนกลุ่มน้อย :
* ชาวยิวคงประณามประเทศเยอรมนีทั้ง ๆ ที่สงครามโลกจบไปนานแล้ว และชาวเยอรมันในปัจจุบันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นกับการกระทำของปู่หรือย่าของเขาแม้แต่นิดเดียว
* ผู้นำคนดำและผู้สร้างภาพยนตร์ต่างยังคงย้ำคิดย้ำพูดเรื่องทาสผิวดำ และการแบ่งแยกทางสีผิว ทั้ง ๆ ที่การทำเช่นนั้นไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่กลับทำให้แย่ลง
* ผมรู้สึกขยะแขยงที่เห็นชายจูบชายในที่สาธารณะ
* ผมเบื่อกับการเดินขบวนแสดงพลังทุกๆ ปีของกลุ่มชายแท้ กลุ่มรักร่วมเพศ กลุ่มหญิงแท้ กลุ่มคนที่หย่าร้าง กลุ่มคนชรา ฯลฯ
19. การขับรถ : คนอเมริกันเป็นคนขับรถที่แย่ที่สุดในโลก พวกเขาทั้งหยาบคายและเพิกเฉยต่อสิ่งรอบตัว พวกเขาถูกสอนในห้องเรียนตั้งแต่เด็ก ถูกสอนตอนแข่งกีฬาและถูกสอนในโลกธุรกิจในเรื่องแข่งขัน เอาชนะ ต้องได้เปรียบ ต้องเป็นที่หนึ่ง ทำลายคู่แข่ง ฯลฯ และนั่นคือสิ่งที่เขาทำในท้องถนน
อย่างไรก็ตาม หลังจากอยู่ในประเทศไทยมา 9 ปี ผมต้องขอโทษชาวอเมริกัน และยกย่องว่าพวกเขาคือผู้ขับรถยนต์ที่ดีและเป็นมืออาชีพ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ขับรถยนต์ชาวไทย ความดีงามทั้งหมดของคนไทยที่ผมพูดถึงจะแตกกระจายหายไปหมดเมื่อพวกเขาอยู่หลังพวงมาลัย
ประเทศไทย
ผมไม่เคยพูดว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่สมบูรณ์แบบ แต่ผมเห็นว่าประเทศไทยให้เสรีภาพในการดำเนินชีวิตเพราะไม่มีกฎหมายที่จำกัดสิทธิต่างๆ มากมายเหมือนสหรัฐฯ มีคุณค่าต่าง ๆ ที่ดีมากมาย มีอากาศดีและคนส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ดี ที่สำคัญที่สุดก็คือผมชื่นชมกับการที่ได้เห็นคนไทยปฏิบัติต่อกันอย่างมีอารยธรรม และเหตุผลนี้เหตุผลเดียวก็เพียงพอที่ผมจะอพยพจากสหรัฐฯ มาอยู่ประเทศไทยแล้ว
คนไทยชอบกันและกัน แม้พวกเขายากจนแต่เขาก็ช่วยคนอื่น พวกเขาเป็นเช่นนั้นเพราะเขาไม่แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นที่ต้องรวยกว่าคนอื่น
ผมเชื่อว่าความเชื่อทางศาสนาและนิสัยชอบสนุกช่วยทำให้คนไทยเป็นคนดี พวกเขานับถือศาสนาพุทธซึ่งไม่มุ่งทางวัตถุ แม้บางพวกจะนิยมหาความสุขแต่ส่วนใหญ่พยายามปฏิบัติตนตามคำสอนของศาสนาที่พวกเขาศรัทธา ชาวพุทธเข้าใจในเรื่อง “การให้” และช่วยเหลือผู้อื่นดีกว่าคนในศาสนาอื่น พวกเขามีความสุขกว่าคนอเมริกัน
สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับคนไทยคือพวกเขารักเด็ก และเคารพผู้สูง อายุแม้จะไม่ใช่คนในครอบครัวของเขา และพวกเขาก็ให้ความเคารพแม้พวกเขาจะมีฐานะร่ำรวยกว่าก็ตาม นอกจากนี้ พวกเขายังไม่ค่อยฟ้องร้องกันยกเว้นเรื่องร้ายแรงจริง ๆ คนไทยรู้จักรับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำผิดพลาดและมักตกลงกันได้ระหว่างคู่กรณี
ไม่เหมือนคนอเมริกันที่ชอบฟ้องเรียกเงินก้อนใหญ่ เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ลูกสาวอายุ 6 ขวบ ของผมประสบอุบัติเหตุที่โรงเรียน เธอเล่นและตกเก้าอี้จนต้องให้แพทย์เย็บริมฝีปาก เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนตกใจกันมากเพราะเห็นผมเป็นคนอเมริกัน พวกเขาคิดว่าผมจะฟ้องเรียกค่าเสียหายขนาดต้องขายโรงเรียน และนี่คือสิ่งที่คนในประเทศอื่นรับรู้และคิดเกี่ยวกับคนอเมริกัน
รัฐบาลที่ถูกคว่ำโดยคณะทหารได้สั่งให้ธนาคารปล่อยเงินกู้และออกบัตรเครดิตได้ง่ายยิ่งขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดูเหมือนผู้นำรัฐบาลจะรับเอานโยบายบริโภคนิยมมาจากตะวันตก
ผลคือการบริโภคเพิ่มขึ้นมากทั้งรถยนต์ จักรยานยนต์ไปจนโทรศัพท์มือถือ ผลคือการเป็นหนี้และความตึงเครียดในชนบท พ่อแม่ต้องออกทำงานหาเงินมากขึ้น ความเหลวไหลของเยาวชน การหย่าร้างและปัญหาทางจิต คนไทยในกรุงเทพฯ ต่างก็ใช้ชีวิตในรูปแบบที่ได้ทำลายสังคมอเมริกัน ผมเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้สังคมไทยพินาศเหมือนสังคมอเมริกัน ที่สำคัญคือสิ่งที่คนไทยแข่งกันบริโภคนั้นเป็นสินค้าที่มาจากต่างประเทศ ผมหวังว่ารัฐบาลไทยจะแก้ไข
ผมอาศัยอยู่ในประเทศไทยมา 9 ปีแล้ว และเห็น การเปลี่ยนแปลงซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเห็นได้ชัดในกรุงเทพฯ และพัทยา คนไทยในเมืองใหญ่กำลังกลายเป็นคนตะวันตก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย โดยเฉพาะการเปิดรับการลงทุนที่มากเกินไป รวมทั้งการให้ต่างชาติซื้อทรัพย์สินได้
เมื่อคนต่างชาติย้ายมาอยู่ในประเทศไทย ถ้าเขามีภรรยาและลูกก็ซื้ออพาร์ตเมนต์ได้อย่างถูกกฎหมายถ้าต้องการ และถ้าต้องการบ้านเดี่ยวและที่ดินก็ซื้อได้ในนามของภรรยาและถ้ามีลูกก็ใส่ชื่อลูก แม้เขาและภรรยาจะเลิกกันในภายหลัง ลูกของเขาก็ได้รับการคุ้มครอง
ฉะนั้น ถ้าชาวต่างชาติยังกล่าวว่ากฎเกณฑ์ข้างต้นไม่ยุติธรรม นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องการหาประโยชน์จากการ “ปั่น” ตลาดทรัพย์สินในประเทศไทย ซึ่งปกติราคาจะไม่พุ่งสูงขึ้นมาและคนไทยยังมีกำลังซื้อได้
ถ้าให้สิทธิชาวต่างชาติซึ่งมีทุนมากมาย พวกเขาจะกว้านซื้อที่ดินทั้งในเมืองและต่างจังหวัด ชาวต่างชาติดังกล่าวต้องการจะลงทุนก้อนใหญ่เพื่อทำกำไรในตลาดที่กำลังเติบโต ผมหวังว่ารัฐบาลไทยจะไม่โอนอ่อนต่อการเรียกร้องดังกล่าว
ผมต่อต้านการลงทุนซึ่งมักลงทุนในอุตสาหกรรมสกปรกซึ่งทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย ผมต่อต้านเพราะผมเห็นความเลวร้ายต่างๆ ที่เกิดในสหรัฐฯ มาก่อน ประเทศไทยมีลักษณะใกล้เคียงกับฮาวายของสหรัฐฯ เศรษฐกิจของประเทศไทยควรจะตั้งอยู่บนฐานของเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว ไม่ใช่อุตสาหกรรมแบบตะวันตก
ผมหวังว่าคนตะวันตกจะไม่สนใจประเทศไทยมากนัก แต่ที่แย่ในขณะนี้คือ ธุรกิจแฟรนไชส์ขนาดใหญ่สัญชาติสหรัฐฯ ได้เข้ามารุกรานประเทศไทยแล้ว นอกจากนั้น ขี้ยา (ยาเสพติด) ชาวอเมริกันและยุโรปยังพยายามกระตุ้นหญิงไทยทำงานในบาร์ต่างๆ ให้ลองยาเสพติดด้วย และหญิงที่ยากจนเหล่านั้นต่างอ่อนไหวต่อการชักจูงดังกล่าวเหมือนสหรัฐฯ ในยุค 1960 (2503) เจ้าพวก “แมลงสาบ” ชาวตะวันตกกำลังพยายามใช้ยาเสพติด “ครอบงำ” หญิงไทยที่กล่าวแล้วให้ทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ยาเสพติดข้ามมาจากพม่าแต่การค้ายาเสพติดถูกริเริ่มโดยชาวตะวันตก
* ผมเชื่อว่า “บุคคลสำคัญ” ของประเทศไทยที่อยู่ในกรุงเทพฯ เข้าใจในเรื่องเหล่านี้ และกำลังพยายามถ่ายทอดความคิดของท่านให้ประชาชน ผมหวังว่าท่านจะทำได้สำเร็จ (ถ่ายทอดมา 60 ปีแล้ว แต่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา-ผู้สรุป)
---------------
ประวัติผู้เขียน คุณจอห์น อาโนล เป็นชาวอเมริกันซึ่งจบปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยลอนดอน
ในปัจจุบัน คุณจอห์น แต่งงานกับหญิงชาวไทยมีบุตรธิดารวม 3 คน และอาศัยอยู่ในประเทศไทยมา 12 ปีแล้ว คุณจอห์น กล่าวไว้ว่า “คนอังกฤษเพียงร้อยละ 2 เท่านั้นที่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง นอกจากนั้นเป็นของคนรวยและคนต่างชาติหมด” อังกฤษใช้ระบบทุนนิยมเสรีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ปลาใหญ่เลยกินปลาเล็กเกือบหมด การสำรวจความคิดเห็นระบุว่าคนอังกฤษร้อยละ 50-60 ไม่อยากอยู่ในอังกฤษ และคนอังกฤษเป็นกลุ่มคนที่ย้ายไปอยู่ประเทศออสเตรเลียมากที่สุด
อนึ่ง ที่ดินในเม็กซิโกและอเมริกาใต้ร้อยละ 50-80 ก็ตกอยู่ในมือคนรวยและคนต่างชาติ โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ..ประเทศไทยก็กำลังเดินไปสู่หายนะเช่นเดียวกัน !
อ้างอิง : John Arnone, “Why I Left America”, P. Press Co. Ltd., 2007 และ John Tirman, “100 Ways America is Screwing the World”, Harpers Collin Publishers, New York, USA, 2006-John Tirman เป็นผู้อำนวยการบริหารของศูนย์การศึกษานานาชาติ สถาบันเอ็มไอที สหรัฐฯ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.measwatch.org/
อ่านเรื่อง ทุนนิยมอเมริกันล่มเพราะไม่รู้จักเศรษฐกิจพอเพียง