akecity เกริ่น
ตอนเด็กๆ ผมก็ได้เรียนประวัติศาสตร์มาจากครูสังคมศึกษา ว่า ที่มัสยึดกรือเซะสร้างไม่เสร็จ เพราะโดนคำสาป จากเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ??
รูปปั้นเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
บอกตามตรงว่า ตั้งแต่อดีตผมเองมีข้อขัดแย้งในใจมากมายเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว มาโดยตลอด
เช่น คนที่ฆ่าตัวตายอย่างนางสาวลิ้มกอเหนี่ยว คนไทยพุทธที่เข้าใจหลักศาสนาจะไปเคารพศรัทธาคนที่ฆ่าตัวตายได้อย่างไร ?
การฆ่าตัวตายเป็นบาป แล้วทำไมคนถึงเห่อไปบูชานางสาวลิ้มกอเหนี่ยว ?
ถ้านางสาวลิ้มกอเหนี่ยวตายเป็นผีตายโหง เมื่อหมดอายุขัยก็ตกนรกไปใช้กรรมต่อแล้ว !!
คนที่สาปแช่งพี่ชาย สาปแช่งงานของพี่ชาย ย่อมเป็นคนจิตใจคับแคบ แถมไปสาปแช่งสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาของศาสนาอื่น ๆ ซึ่งผู้เจริญไม่พึงกระทำ
ฉะนั้น ผมเลยไม่เคยให้ความนับถือความเชื่อเรื่องเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาตั้งแต่เด็ก เพราะผมไม่ชอบที่เธอฆ่าตัวตายประชดพี่ชายแบบนั้น แม้จะถูกพ่อแม่ใช้ให้มาตามพี่ชายกลับจีนไม่สำเร็จก็ตาม
เมื่อเธอทำไม่สำเร็จ แล้วเธอคิดฆ่าตัวตาย เธอก็ตายไปคนเดียวสิ ทำไมต้องไปสาปแช่งให้คนอื่นเขาเดือดร้อนด้วย บาปกรรมเปล่าๆ นี่ยิ่งแสดงว่า เธอเป็นคนใจแคบ ถือเป็นตำนานที่ไร้เหตุผลสิ้นดี
ฉะนั้นตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ผมถึงไม่เชื่อ และไม่ศรัทธามาตั้งแต่ผมยังเด็ก ตามคนไทยมากมายที่หลงเชื่อ (เพราะถูกหน่วยงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างๆ รวมทั้งในวิชาสังคมศึกษาเป่าหูให้เชื่อมาตลอด)
เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวอาจแค่ฆ่าตัวตายเพราะทำหน้าที่ไม่สำเร็จเท่านั้น อาจไม่ได้มีคำสาปแช่งเหมือนอย่างที่ตำนานเล่าต่อๆ กันมา (แต่ถูกบิดเบือนตำนานเพื่อหวังยกตนข่มท่าน)
ทีนี้ลองมาดูมุมมองชาวมุสลิม 3 จังหวัดภาคใต้เกี่ยวกับตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวกับมัสยิดกรือเซะบ้างครับ
ใหม่เมืองเอก.
-----------------------
ทำไมมัสยิดกรือเซะ สร้างไม่เสร็จอย่างสมเหตุสมผล !! ในมุมมองมุสลิม
ตำนานมัสยิดกรือเซ๊ะ ที่ กรือเซะ-บานา เป็นเรื่องราวที่ได้สร้างความอัปยศให้กับสังคมมุสลิมนับตั้งแต่ได้มีประวัติศาสตร์อิสลามเกิดขึ้นมาในปัตตานี
เริ่มจากรัชสมัยของพระยาอินทิรา แห่งราชวงศ์ RAJA WANGSA ซึ่งพระองค์เข้ายอมรับในศาสนาอิสลาม และมีพระนามว่า สุลต่าน อิสมาแอล ชาห์ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว มัสยิดกรือเซ๊ะ ไม่ได้ถูกสร้างโดยลิ้มโต๊ะเคียม เหมือนกับตำนานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่ได้รับบอกเล่าต่อๆ กันมา หรือตามตำนานที่ได้ถูกบันทึกในวารสาร อสท.ของ ททท.
และมัสยิดกรือเซ๊ะไม่ได้ถูกฟ้าผ่า เนื่องจากคำสาปแช่งของนางสาวลิ้มกอเหนี่ยวหรือหลิมกอเนี่ยว ที่ผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ริมชายหาดตันหยงลูโล๊ะ ดั่งที่ตำนานได้บอกกล่าวไว้
ที่ว่า “เมื่อนางไม่สามารถชวน ลิ้มโต๊ะเคี่ยมหรือหลิมเต้าเคียน ผู้เป็นพี่ชายกลับเมืองจีนเพื่อไปดูแลแม่ที่ชราได้ นางจึงเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ได้ตัดสินใจผูกคอตายกับต้นมะม่วงหิมพานต์ (ยาโหง่ย,ยาร่วง,ยาหมู) พร้อมทั้งได้อาฆาตพยาบาทต่อมัสยิดกรือเซะที่เป็นต้นเหตุให้พี่ชายไม่สามารถกลับเมืองจีนพร้อมกับนางได้
นางสาวลิ้มกอเหนี่ยวจึงได้ตั้งจิตอธิฐานว่า ขอให้มัสยิดหลังนี้มีอันเป็นไปในทุก ๆ ครั้งที่มีการก่อสร้างหรือสร้างเสร็จ จากนั้นก็ได้มีฟ้าคะนองพร้อมกับได้มีอสนีบาตฟาดลงบนโดมมัสยิดพังพินาศเสียหาย ชาวมุสลิมต่างเกรงกลัวต่ออิทธิฤทธิ์ของนางลิ้มกอเหนี่ยวไม่กล้าที่จะกลับมาสร้างต่อ และครั้งใดก็ตามที่ชาวมุสลิมคิดที่จะบูรณะมัสยิดหลังนี้ เมื่อทำการบูรณะเสร็จก็จะโดนฟ้าผ่าทุกครั้งไป จนชาวมุสลิมไม่กล้าบูรณะมัสยิดหลังนี้อีกต่อไปและปล่อยให้มัสยิดรกร้างตั้งแต่นั้นมา ด้วยเพราะความเกรงกลัวต่ออำนาจอิทธิฤทธิ์ของนางสาวลิ้มกอเหนี่ยว หรือเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในปัจจุบัน”
แต่ในทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ไทยบางส่วนและประวัติศาสตร์ของชาวมลายูบันทึกว่าสาเหตุที่มัสยิดกรือเซ๊ะเสียหาย เพราะโดนกองทัพจากกรุงสยามเข้าตีในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2328 ครั้งที่กองทัพสยามเข้ามาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ ทหารสยามได้ระดมยิงปืนใหญ่จนเมืองและพระราชวังเสียหายตลอดจนมัสยิดเสียหาย
และเมื่อทหารสยามรบชนะก็ได้ทำการเผามัสยิดเพื่อลอกเอาเนื้อทองคำบริสุทธิ์ที่ห่อหุ้มบนโดมมัสยิดกรือเซ๊ะอันสวยงามแห่งนี้ และหลังจากกองทัพสยามได้ยกทัพมาปราบหัวเมืองปักษ์ใต้ กล่าวกันว่า ในสมัยที่กองทหารสยามกวาดและริบทรัพย์สินจากเชลยศึกในสงครามปัตตานีในสมัยที่กองทัพถอยทัพกลับนั้นด้วยความที่ทรัพย์สินของปัตตานีมีมาก เรือลำหนึ่งที่บรรทุกปืนใหญ่ศรีนะฆะราจมล้มในอ่าวปัตตานี และทหารสยามต้องเท้ากลับกรุงเทพมหานครฯ เพราะเรือของกองทัพเรือทั้งต้องบรรทุกทรัพย์สินของเชลยศึกที่ยึดได้จากสงครามกลับกรุงเทพฯ
ปัตตานี กลันตัน ตรังกานู เคดะห์ และปีนังถูกตีและยึดครองในสมัยนั้น และในปี พ.ศ.2329 กองทัพสยามได้ยึดปืนใหญ่นางพญาตานี ขึ้นไปกรุงเทพฯ พร้อมกับได้ทำการกวาดต้นเชลยศึกมลายูขึ้นไปจำนวนหลายสิบหมื่นคน เพื่อไปเป็นโล่มนุษย์และทำการขุดคลองจนได้ชื่อว่าคลองแสนแสบในปัจจุบัน
สถานที่ๆ เชลยศึกและทาสมลายูถูกปล่อยเป็นกลุ่มก้อนมากที่สุดก็คือแถวคลองตัน พระโขนง มีนบุรี หนองจอก ทุ่งครุ นครนายก ปทุมธานีและแปดริ้ว( อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเฉิงเทรา ปัจจุบัน)
มัสยิดกรือเซ๊ะ หรือมัสยิดปินตูกรือบัง ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่ได้ถูกฟ้าผ่าดั่งที่เรื่องราวของตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนียวบันทึกไว้ แต่โดนเผาเมื่อตอนที่สมัยกองทัพสยามได้เข้ามาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ แม่ทัพบางคนที่คุมทัพรัตนโกสินทร์ครั้งนั้น อย่างเช่นพระยาราชบังสัน ซึ่งเป็นมุสลิมเสียใจต่อการกระทำครั้งนี้ของกองทัพสยามอย่างมาก
แต่สงครามก็คือสงคราม ผู้ชนะย่อมต้องทำลายเมืองหรือศาสนสถานตลอดจนบ้านเรือนของผู้พ่ายแพ้สงคราม เพื่อไม่ตั้งตัวเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินในอนาคตได้ กองทัพพม่าได้เคยกระทำต่อกรุงศรีอยุธยาฉันท์ใด กองทัพสยามก็ได้ทำต่อปัตตานีฉันท์นั้น
มัสยิดกรือเซ๊ะ หรือมัสยิดปินตูกรือบัง ได้ถูกกรมศิลปกรตีทะเบียนเป็นโบราณสถานและทำการบูรณะ เมื่อปี พ.ศ.2478 และได้ทำการบูรณะอีกครั้ง ในปี พ.ศ.2500 และในปี พ.ศ.2525 ได้ทำการบูรณะอีกครั้งเนื่องในโอกาสสมโภชน์ กรุงรัตนโกสินทร์
ลิ้มโต๊ะเคี่ยมหรือหลิมเต้าเคียน เข้ามาในปัตตานี เมื่อประมาณปี พ.ศ.2119 ในสมัยแผ่นดินสุลต่านบาฮาดูร์ ชาห์ โดยได้นำเรือสำเภามาจอดเทียบท่าที่ท่าเทียบเรือตันหยงลูโล๊ะ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าลิ้มโต๊ะเคี่ยมหรือหลิมเต้าเคียนได้อภิเษกสมรสเจ้าหญิงคนไหนเลย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงฮิเยาว์ เจ้าหญิงบีรู หรือเจ้าหญิงอูงู เพราะฉะนั้นตามตำนาน(ที่ตำนาน-นาน) ได้เล่าต่อๆ กันมาว่าลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้แต่งงานกับบุตรีของเจ้าเมืองปัตตานี น่าจะคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
เพราะในประวัติศาสตร์อิสลามปัตตานี นับตั้งแต่พระยาอินทิราเข้ารับอิสลามมาจนถึงการปกครองของสุลต่านบาฮาดูร์ ชาห์ ซึ่งอยู่ในระหว่างปี พ.ศ.2043-2127 ไม่ปรากฏว่าบุตรีของสุลต่านองค์ใดแต่งงานกับลิ้มโต๊ะเคี่ยมหรือหลิมเต้าเคียนเลย และมัสยิดกรือเซะไม่ได้ถูกสร้างในสมัยสุลต่านบาฮาดูร์ ชาห์ แต่น่าจะสร้างในรัชสมัยของสุลต่านอิสมาแอล ชาห์ (พระยาอินทิรา)
ภายหลังจากที่พระองค์ได้เข้ารับศาสนาอิสลาม และสิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างก็คือ ศิลปะของมัสยิดกรือ เป็นศิลปะแบบเปอร์เซีย ไม่ว่าจะเป็นซุ้มโค้งประตูหรือเมี๊ยะรอบ ล้วนแล้วแต่เป็นทรงและศิลปะแบบเปอร์เซียทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ลิ้มโต๊ะเคี่ยมจะสร้างมัสยิดหลังนี้ ตามที่ตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเล่าต่อ ๆ กันมา
เพราะถ้าเราได้ไปดูมัสยิดในเมืองจีนที่สร้างเมื่อ 400-500 ปีที่แล้ว เราเห็นได้ว่า มัสยิดเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นทรงจีน(เหมือนวัดจีน)ทั้งสิ้น
แล้วลิ้มโต๊ะเคี่ยมจะเอาศิลปกรรมแบบเปอร์เซียมาสร้างมัสยิดนี้ได้อย่างไร ??
อาจจะเป็นไปได้ว่า ลิ้มโต๊ะเคี่ยม อาจจะเข้ามาช่วยอาสาบูรณะมัสยิดภายหลังจากเกิดความเสียหายจากสงครามก็เป็นได้ อีกอย่างลิ้มโต๊ะเคี่ยมไม่ได้สมรสกับบุตรีของสุลต่านปัตตานีดั่งที่ตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวว่ากล่าวไว้ แต่อาจจะสมรสกับเครือญาติของสุลต่านก็เป็นได้ ลิ้มโต๊ะเคี่ยมจึงเป็นผู้ที่อาสาต่อเติมมัสยิดให้เสร็จสิ้น
และสิ่งที่น่าสังเกตก็คือในสมัยเจ้าหญิงฮิเยาว์ เจ้าหญิงบีรู เจ้าหญิงอูงู และเจ้าหญิงกูนิงครองเมืองปัตตานี ระหว่างปี พ.ศ.2127-2230 มัสยิดกรือเซะก็ยังไม่ถูกทำลาย มัสยิดกรือเซะยังคงถูกบันทึกว่าเป็นมัสยิดที่งดงามภายในมัสยิดมีลวดลายอันวิจิตร บนยอดโดมของมัสยิดกรือเซะหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์
อาจเป็นไปได้ว่าในสมัยราชินีฮิเยาว์ เคยเกิดสงครามครั้งหนึ่งที่ทำให้มัสยิดเสียหาย คือในปี พ.ศ. 2146 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ส่งกองทัพเรือเข้ามาตีเมืองปัตตานี โดยมีออกญาเดโช เป็นผู้นำทัพ โดยมาขึ้นที่ปากอ่าวเมืองปัตตานีและบุกเข้าประชิดตัวเมือง ราชินีฮิเยาว์ได้นำทหารหาญของเมืองปัตตานีออกมาต่อต้านกองทัพอยุธยาอย่างเต็มกำลังสามารถ โดยใช้ปืนใหญ่ออกมายิงต่อสู้จนกองทัพสยามต้องถอยทัพกลับไปในที่สุด และในศึกสงครามครั้งนี้ทำให้มัสยิดกรือเซะหรือมัสยิดปินตูกรือบังเสียหาย
ลิ้มโต๊ะเคี่ยมซึ่งรับราชการอยู่จึงรับอาสาช่วยบูรณะซ่อมมัสยิดกรือเซะ และเป็นเวลาเดียวกับที่นางหรือนางสาวลิ้มกอเหนี่ยว (สมัยนั้นยังไม่ได้รับฉายาเป็นเจ้าแม่) มาตามพี่ชาย แต่พี่ชายไม่ยอมกลับเพราะยังบูรณะมัสยิดไม่เสร็จ และอาจเป็นไปได้ว่าลิ้มโต๊ะเคี่ยมมีความตั้งใจแล้วว่าจะไม่กลับไปแผ่นดินจีนอีกเพราะ
1.ต้องการบูรณะมัสยิดให้เสร็จ
2.ต้องต้องการที่จะตั้งรกรากใหม่ที่นี่เพราะมีลูกมีเมียแล้ว
3.เพราะตนเข้ารับอิสลามและเป็นมุสลิม
นางสาวลิ้มกอเหนี่ยวเมื่อได้รับการปฏิเสธจากพี่ชายก็เลยเสียใจ เพราะได้รับปากกับทางบ้านแล้วว่าจะนำพี่ชายไปยังบ้านเกิดให้จงได้ ไม่ว่าพี่ชายจะอธิบายเหตุผลและความจำเป็นของภารกิจอย่างไรก็ตาม ลิ้มกอเหนี่ยวก็ไม่ยอมฟัง เมื่อไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจพี่ชายให้คล้อยตามนางได้ นางจึงเสียใจเป็นที่สุดเพราะนางไม่สามารถบากหน้ากลับบ้านไปหาแม่ได้โดยปราศจากพี่ชาย จึงได้ตัดสินใจผูกคอตายโดยใช้ผ้าหรือเชือกผูกกับต้นมะม่วงหิมพานต์ที่ริมชายหาดตันหยงลูโละ
ส่วนนางจะสาปแช่งให้ฟ้าผ่ามัสยิดหรือไม่นั้น เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าหากนางสาปแช่งมัสยิดกรือเซะจริง แล้วใครเป็นคนได้ยิน แล้วหากมีคนได้ยินตอนที่นางสาปแช่ง ทำไมไม่ช่วยกันห้าม การผูกคอตายครั้งนี้เป็นไปเพราะน้อยใจพี่ชายเท่านั้น หรือหากนางอาฆาตพยาบาทต่อมัสยิดกรือเซะ ก็คงไม่ใช่เพราะแรงอาฆาตพยาบาทหรือแรงอธิษฐานของนางหรอกที่ดลบันดาลให้ฟ้าผ่ามัสยิดกรือเซะ หรือหากมีฟ้าผ่ามัสยิดกรือบ้างก็เพียงเพราะเหตุที่โดมสัมยิดกรือหุ้มด้วยทองคำต่างหากเพราะมัสยิดกรือเซะในสมัยนั้นไม่มีสายล่อฟ้า ซึ่งในความเป็นจริงมัสยิดกรือเซะก็ไม่ได้เสียหายเพราะถูกฟ้าผ่า
ผู้ชนะย่อมสามารถเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาเองได้ แต่การจะเขียนว่า “มัสยิดกรือเซะโดนนางสาวหรือนางลิ้มกอเหนี่ยว สาปแช่งไว้จนถูกฟ้าผ่านั้น” มันขัดกับความจริงที่เกิดขึ้น
“จึงอุปโลกตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวขึ้นมาเพราะต้องการปกปิดความจริงบางอย่าง”
ซึ่งจริง ๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องปกปิดเลย เพราะอดีตก็คืออดีต อดีตมีเพื่อเรียนรู้ไว้เป็นบทเรียน สิ่งที่ดีจากการเรียนรู้ในอดีตเราก็สามารถนำมาปรับปรุงพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นได้ สิ่งที่ไม่ดีก็ต้องจดจำไว้เป็นอุทาหรณ์เพื่อช่วยกันป้องกันแก้ไขอย่าให้เกิดขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การที่มีลูกปืนใหญ่ยิงถล่มเข้ามาโดนมัสยิดจนเสียหายในช่วงสงคราม มันเป็นเรื่องปกติ การที่ทหารเข้าปล้นสดมภ์บ้านเรือนกวาดต้อนเชลยศึก ตลอดจนยึดทรัพย์สินของมีค่าในระหว่างสงคราม หรือเผาศาสนสถานเพื่อลอกเอาทองคำออกจากโบสถ์ วิหาร อาราม วัด สุเหร่า หรือมัสยิด มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาในสงครามที่ไม่เห็นจะต้องปกปิด
แล้วสร้างตำนานด้วยเรื่องที่จะทำลายศรัทธาของชาวมุสลิมอย่างร้ายแรงกว่า ที่ไม่อาจรับได้ เพราะฉะนั้นอยากขอร้อง สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย.ภาคใต้เขต 1 , สำนักงาน ททท.ภาคใต้เขต 3 , บริษัทท่องเที่ยว ตลอดจนมัคคุเทศก์ กรุณาช่วยปฏิบัติหน้าที่ทูตวัฒนธรรมหรือทูตของประเทศอย่างมีความรู้ ศึกษาประวัติศาสตร์ เรียนรู้อดีต ปัจจุบัน ตลอดจนติดตามสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนยุทธศาสตร์ของจังหวัดให้ดี เรียนรู้ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่นให้แตกฉาน ไม่ใช่ไปอธิบายเรื่องตำนานแล้วบอกว่าเป็นประวัติศาตร์ เพราะมันจะเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น
สามจังหวัดภาคใต้มีสถานที่ท่องเที่ยว ทางธรรมชาติที่สวยงาม มีโบราณสถานให้ศึกษา มีขนบธรรมประเพณีและวัฒนธรรมที่ดีงามไม่แพ้ที่ใดในประเทศนี้ แต่สามจังหวัดกลับเสียโอกาสที่จะพัฒนาธรรมทรัพยากรการท่องเที่ยวมีอยู่ให้เกิดประโยชน์กับคนในท้องถิ่นชนในชาติตลอดจนให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศให้มากที่สุด เพราะเราไม่ยอมเรียนรู้ข้อดีปรับปรุงข้อด้วยของกันและกัน
หวังว่าอนาคตอันใกล้นี้ เราคงจะไม่ได้ยินมัคคุเทศก์ที่นำนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศไปยืนถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึกกับสุสานหรือฮ้วงซุ้ย(จำลอง)ของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว แล้วชี้นิ้วไปที่มัสยิดกรือเซะพร้อมบรรยายด้วยถ้อยคำหรือวลีที่ว่า
“มัสยิดหลังนี้แหละที่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวสาปแช่ง จนฟ้าผ่าและสร้างไม่เสร็จ และเมื่อมีชาวมุสลิมคิดบูรณะมัสยิดหลังนี้ครั้งใด ก็จะโดนฟ้าผ่าเสียทุกครั้ง ซึ่งมัสยิดหลังนี้โดนฟ้าผ่าทุกๆ ครั้งที่มีการบูรณะกล่าวกันว่า มัสยิดหลังนี้โดนฟ้าผ่าถึง 3 ครั้ง 3 ครา จนมุสลิมแถวนี้หวาดกลัวต่ออิทธิฤทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่ และไม่กล้าที่จะคิดบูรณะมัสยิดแห่งนี้อีกเลย”
ยังมีความจริงอีกมากมายที่ยังไม่ได้เขียนถึง และยังมีละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายที่ยังไม่เปิดเผย สำหรับบทความชิ้นนี้หากข้อดีอยู่บ้างก็ขอมอบความดีงามอันนั้นแด่ รศ.ดร.ครองชัย หัตถา อาจารย์ภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
หากสิ่งใดที่อ่านแล้วเกิดความรู้สึกไม่ดีหรือมีผลกระทบผู้เขียนบทความข้อรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว และยังมีสิ่งหนึ่งที่อยากจะกราบเรียนรัฐบาลทักษิณผ่านหน่วยข่าวกรองทั้งหลายที่ชอบตัดข่าวหนังสือพิมพ์ส่งไปให้หน่วยเหนือเป็นอาชีพว่า ในโลกนี้นอกจากประเทศไทยมีประเทศไหนบ้างที่ขึ้นทะเบียนมัสยิดเป็นโบราณสถาน แล้วห้ามศาสนิกชนที่นับถือศาสนาอิสลามบูรณะ และขอร้องว่าอย่าได้อ้างมัสยิดบาบาหรีที่อินเดีย ที่โดนชาวฮินดูรื้อและทุบทิ้งเพื่อเป็นโบสถ์พระรามขึ้นมาทดแทน
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.geocities.ws/prawat_patani/masjidkersik.htm
คลิกอ่าน แท้จริงแล้ว อาณาจักรปัตตานีคือฝ่ายรุกรานสยามก่อน
ช่วยใส่อ้างอิงหลังฐานทางประวัติศาสตร์หน่อยครับ จะได้ไม่ดูดราม่าเกินเหตุ (อีกอย่าง ผมสนใจจะไปค้นต่ออีกด้วย)
ตอบลบคุณอ่านบทความแล้วอ่านไม่แตก เขาก็เขียนบอกไว้แล้วว่า ประวัติศาสตร์ของมัสยิด กรือเซะ เขียนโดยผู้ชนะสงคราม
ลบเหตผลเรื่อง ผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ คุณตีความประโยคนี้แตกไหมครับ ?
ในเมื่อคุณก็จะไปค้นต่ออีก ก็พยายามทำความเข้าใจกับคำว่า ผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ให้แตกเสียก่อน ไม่งั้นคุณไปค้นต่อก็ไร้ความหมาย
และจงแยกแยะระหว่าง ตำนานความเชื่อ และข้อเท็จจริง ให้แตกด้วยนะครับ นี่คือข้อแนะนำ ^^