วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ปัญหาศูนย์ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ






ศูนย์ที่จัดส่งคนไปดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุตามบ้านนั้น จากที่ผมหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตที่ผู้ที่เคยได้ใช้บริการศูนย์ดูแลผู้ป่วยหลายแห่ง มาบ่นมาร้องเรียนไว้มากมายในเว็บนั้น ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นและทำให้ผู้ว่าจ้างรู้สึกแย่มากที่สุดก็คือ

ปัญหาการวางเงินล่วงหน้า 1เดือน แต่เมื่อยกเลิกสัญญาเพื่่อต้องการเปลี่ยนศูนย์ใหม่ ผู้ว่าจ้างก็มักไม่ได้เงินล่วงหน้าคืนจากศูนย์เก่า หรือถ้าได้คืนก็คืนยากมากๆ

เพราะหากเจอเด็กที่ส่งมาให้ ไม่เป็นที่พอใจผู้ว่าจ้าง หรือมีปัญหาจนต้องเปลี่ยนศูนย์ใหม่ ก็มักจะเกิดปัญหาที่ตามมาคือ เงินล่วงหน้าที่จ่ายไป ในหลายๆศูนย์ที่มีปัญหา มักจะโกงหรือผลัดผ่อนการคืนเงินค่าจ้างล่วงหน้าให้แก่ผู้ว่าจ้าง จนเป็นคดีความมากมาย


บางศูนย์เหมือนเปิดมาเพื่อโกงเงินล่วงหน้าโดยเฉพาะก็มี


แต่ศูนย์อีกหลายแห่ง ที่เปิดบริการมาด้วยความจริงใจและมั่นใจในเด็กของตัวเอง กล้ารับผิดชอบโดยไม่เก็บเงินล่วงหน้าก็มีอยู่หลายศูนย์เช่นกัน

มีหลายคนแนะนำว่า ถ้าอยากได้ศูนย์ที่มีความมั่นในและจริงใจในบริการจริงๆ ศูนย์ดีๆเหล่านี้มักจะไม่เก็บเงินล่วงหน้า เพราะเขาตั้งใจบริการเต็มที่ และไม่เอาเปรียบลูกค้า

ฉะนั้น ศูนย์ไหนไม่รับเงินค่าจ้างล่วงหน้า กับลูกค้า กรุณาเข้ามาบอก มาประชาสัมพันธ์ที่นี่ได้เลยครับ

บล้อคบทความตอนนี้อยากเป็นสื่อสนับสนุน ศูนย์ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ที่ดีๆและจริงใจต่อลูกค้าครับ

ขอบคุณ


--------------------

ไม่มีหน่วยงานของรัฐสนใจปัญหาศูนย์จัดส่งผู้ดูแลเด็กและผู้สูงอายุ ให้ได้มาตรฐาน

คนไทยเรามันซวยครับ ต้องเสี่ยงโชคกันเอาเอง ซึ่งทุกๆ คนก็ต้องมีพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ที่สูงอายุด้วยกันทั้งนั้น

หากเราไม่มีญาติพี่น้องช่วยดูแลญาติผู้ใหญ่เหล่านี้ นับว่าจะเป็นปัญหาและทุกข์ต่อเราพอควร ที่ต้องดิ้นรนหาผู้ดูแลญาติผู้ใหญ่กันเอง

เงินเดือนพวกผู้ดูแลพวกนี้ไม่ใช่น้อยๆ ยิ่งพวกประสบการณ์สูงยิ่งขี้เกียจ ยิ่งเลือกงาน เช่น จะชอบแต่เคสที่ให้อาหารทางสายยาง ประเภทผู้สูงอายุนอนแต่บนเตียง เพราะพวกผู้ดูแลจะได้เงินเดือนสูง แต่งานสบายกว่าต้องดูแลผู้สูงอายุที่พอเดินได้

พวกผู้ดูแลประสบการณ์สูง หากไม่ได้เคสให้อาหารทางสายยาง ก็มักจะเหตุให้ลาออก โดยพวกนี้ก็จะหาเรื่องโทษเจ้าของบ้านไปเรื่อย แต่โดยแท้จริงแล้ว พวกผู้ดูแลที่ประสบการณ์สูง มักอยากจะหางานให้อาหารทางสายยาง เพราะจะทำงานตามเวลา ไม่ต้องห่วงว่าผู้สูงอายุจะเดินไปไหน แถมได้เงินเดือนสูง

ยิ่งถ้าเราต้องเปลี่ยนผู้ดูแลบ่อยๆ เปลี่ยนศูนย์บ่อยๆ หรือหาคนดูแลไม่ได้ ก็จะเดือดร้อนมาก ยิ่งถ้าโดนโกงเงินค่ามัดจำด้วยแล้ว ทุกข์จะยิ่งทวีคูณ เพราะเราจะเกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจศูนย์อื่นๆ ไปด้วย

นี่แหละครับ ปัญหาที่หน่วยงานของรัฐ ไม่เคยเขามากำกับดูแล ให้ผู้ทำหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุมีจรรยาบรรณและไม่โกง และไม่ใช่พวกโจรผู้ร้ายแฝงตัวเข้ามาหากินได้

ก็อย่างว่า ปัญหารถแท๊กซี่ปล้นผู้โดยสารยังแก้ไม่ได้ แล้วเรื่องคนดูแลผู้สูงอายุเป็นโจร หรือไร้จรรยาบรรณ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง วัดดวงกันเอง เพราะที่ีนี่คือประเทศไทย


รสนา แฉกลโกงแก๊สngvของปตท.เอาเปรียบ!!

V

V


เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า ปตท. แปรรูปจากของรัฐ100%มาเป็นในรูปบริษัทกึ่งเอกชน ที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำกำไรสูงสุดเพื่อผู้ถือหุ้น มีกลวิธีขูดรีดคนไทยมากมายจากบริษัทปตท.แห่งนี้

สโลแกนปตท.ยุคนี้คือ ปตท.บริษัืทคนไทยเพื่อขูดรีดคนไทย


------------------------------------

ส.ว.แฉเล่ห์โกง ปตท.ผสมก๊าซขยะ 18% ฟันกำไร “เอ็นจีวี” จี้หาต่อมธรรมาภิบาล


“ส.ว.รสนา” ปูดงบลดโลกร้อน 3.4 หมื่นล้าน อาจมีการใช้ผิดทางสวนยุทธศาสตร์รัฐบาล แฉเล่ห์โกง ปตท.ผสม คาร์บอนไดออกไซด์ ในก๊าซ “NGV” ถึง 18% สูงกว่ามาตรฐาน 6 เท่า ขณะที่มาตรฐานและถังก๊าซก็รองรับได้แค่ 3% โดยมีไอ้โม่งแอบขายคาร์บอนไดออกไซด์ กก.ละ 5 บาท ให้ปั๊มก๊าซเพื่อผสมเอ็นจีวี ถือเป็นการโกงผู้บริโภคที่ได้ใช้ก๊าซจริงแค่ 82% โดยฟันกำไรจากก๊าซขยะ พร้อมจี้ต่อมธรรมาภิบาลผู้บริหาร

น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวในรายการ “ตอบโจทย์” ทีวีไทย วานนี้ โดยระบุว่า ขณะนี้มีการกระทำการสวนทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่จะใช้เงิน 3.4 หมื่นล้านบาท เพื่อลดโลกร้อน กำจัดก๊าซขยะ แต่ปรากฏว่า ทางกระทรวงพลังงานได้มีการกำหนดมาตรฐานคุณภาพก๊าซเอ็นจีวี ให้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงถึง 18% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานตลาดโลกถึง 6 เท่า โดยประเทศอื่นๆ กำหนดให้มีคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 3% และถังก๊าซที่นำเข้ามาเป็นมาตรฐานคาร์บอนไดออกไซด์ 3% ไม่รู้ว่าถังจะผุพังก่อนเวลาหรือเปล่า

น.ส.รสนา กล่าวเสริมว่า ขณะนี้ ปตท.มีปั๊มก๊าซ 30 แห่งตามแนวท่อก๊าซ เพื่อเอาก๊าซที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ 1-2% มาเติมคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 18% และมีการขายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กิโลกรัมละ 5 บาทให้กับปั๊มก๊าซ ซึ่งเรื่องนี้ผู้บริโภคไม่รู้เรื่องเลยว่าก๊าซเอ็นจีวีที่ซื้อมา 100% ได้ก๊าซมาแค่ 82% อีก 18% เป็นก๊าซขยะ

“เรื่องนี้ผู้บริโภคต้องฟ้องกระทรวงพลังงาน ต้องถามกระทรวงพลังงาน และผู้บริหาร ปตท.ว่ากำกับดูแลอย่างไร จึงไม่เกิดธรรมาภิบาลที่แท้จริง”

**แฉซื้อคาร์ฟูร์ผ่องถ่ายกำไรเลี่ยงภาษี

ส่วนสาเหตุที่ ปตท.ต้องการประมูลซื้อคาร์ฟูร์ น.ส.รสนา มองว่า เนื่องจากต้องการผ่องถ่ายกำไรไปจับกิจการอื่น เพื่อลดการเสียภาษี โดยไปลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่ง ปตท.คงมองเห็นอนาคตในอีก 10-20 ปี ธุรกิจน้ำมันจะไม่สามารถเพิ่มกำไรได้มากขึ้น ดูจากปริมาณการใช้น้ำมันลดลงจากวันละ 124 ล้านลิตร เหลือวันละ 109 ล้านลิตร และมีแนวโน้มจะลดลง ต่อไปจะใช้พลังงานอื่นเพิ่มขึ้นใช้น้ำมันน้อยลง เช่น เน้นพลังงานไฟฟ้า ไฮโดรเจน การใช้พลังงานฟอสซิลจะถดถอยลง ปตท.ก็อยากข้ามไปทำธุรกิจอื่น

ส่วนสถานะของ ปตท.นั้น น.ส.รสนา กล่าวว่า "ปตท.อยู่ในฐานะกึ่งๆ เป็นนกมีหูหนูมีปีก เวลาขายเชื้อเพลิงให้ กฟผ.ราคาแพงกว่าที่ขายให้บริษัทลูก ก็บอกว่าเพราะ ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ ต้องผูกขาดการขายให้ กฟผ.พอบอกว่า ทำไมไม่ลดราคาให้ผู้บริโภค ปตท.ก็อ้างว่า เพราะเป็นมหาชน ซึ่ง ปตท.อาศัยประโยชน์จากความเป็นบริษัทมหาชน กับการเป็นรัฐวิสาหกิจไปพร้อมๆ กัน ซึ่งทำให้เกิดปัญหา เพราะการเป็นรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจหลายอย่างมีการผูกขาด ขณะนี้ ปตท.มีหุ้นใหญ่ในโรงกลั่นน้ำมัน 5 แห่งจาก 6 แห่ง มีกำลังการผลิตรวมกันถึง 85% ส่งผลให้กลไกการแข่งขันในเรื่องพลังงงาน เป็นกลไกตลาดเทียม ทำให้ผู้บริโภคเสียประโยชน์ และถ้าปตท.ขยายไปทำธุรกิจอื่น อาจจะใช้พลังอำนาจที่ผูกขาด ไปทำให้เกิดปัญหาแก่ภาคส่วนธุรกิจค้าปลีกได้"

ส่วนผลกระทบที่ผู้บริโภคได้รับ น.ส.รสนา กล่าวว่า "จากการที่มีกลไกตลาดเทียม เนื่องจากราคาน้ำมันไม่มีการแข่งขัน จากเดิมที่ผูกขาดโดยรัฐ เป็นการผ่องถ่ายการผูกขาดไปเป็นรัฐร่วมมือกับเอกชน ขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันน้อยลง แต่ส่วนต่างกำไรถ่างได้กว้างขึ้น ซึ่งปตท.ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตอนนี้ปตท.อยากก้าวไปสู่ธุรกิจสายอื่น ในเรื่องสาธาณูปโภคพื้นฐานรัฐควรจะเข้ามาดูเรื่องนี้มากขึ้น"

“ตอนแปรรูป ปตท.ประเมินทรัพย์สินคิดจากมูลค่าตามบัญชี แต่พอมีประเด็นท่อก๊าซ เมื่อหมดอายุแล้วต้องตัดค่าเสื่อมไปหมด แต่ ปตท.เอาไปประเมินมูลค่าใหม่โดยใช้ตามราคาตลาด และมาขึ้นราคากับผู้บริโภค คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานก็อนุญาตให้ ปตท.ขึ้นค่าผ่านท่ออีก 2 บาท โดยใน 6 ปีที่ผ่านมาเสียค่าผ่านท่อไปถึง 1.37 แสนล้านบาท ทำให้ต้นทุนหลายอย่างแพงขึ้น ความจริงถ้าตัดค่าเสื่อมหมดราคาควรจะลดลง แต่ไปขึ้นราคาใหม่ ซึ่งท่อก๊าซชุดนี้ศาลปกครองสูงสุดตัดสินว่าทรัพย์สินที่ได้มาต้องคืน ตนอยากจะถามกระทรวงการคลังเมื่อไรจะทวงคืน กระทรวงการคลังมีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินตรงนี้แต่ไม่ทวงคืน ขณะนี้กรรมาธิการอยู่ระหว่างการตรวจสอบเรื่องนี้ ถามกระทู้ไปก็ไม่สนใจ หรืออาจจะกลัวว่าถ้าดึงทรัพย์สินนี้ออกมาจะทำให้หุ้นตกหรือเปล่า”

นางรสนา กล่าวว่า "ในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น นายกรัฐมนตรีได้ตอบในการอภิปรายเรื่องงบประมาณ กรณีความขัดแย้งในผลประโยชน์ นายกฯ ระบุว่า 1.ต่อไปนี้ข้าราชการที่ไปนั่งในคณะกรรมการของธุรกิจพลังงาน โบนัสครึ่งหนึ่งจะเอาเข้าหลวง เรื่องนี้ก็ต้องต้องถามนายกฯ ว่าทำไมเอาแค่ครึ่งเดียวไม่เอาทั้งหมด และนายกฯ ยังบอกว่า 2.ราคาแอลพีจี เราผลิตพอใช้ในประเทศ ในส่วนของภาคครัวเรือนจะไม่ขึ้นราคา แต่ถ้าหากต้องนำเข้าเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมและปิโตรเคมีก็ให้ไปจ่ายค่าส่วนต่างตรงนั้นเอาเอง ตนก็อยากจะถามนายกว่าจะเริ่มเมื่อไร เพราะขณะนี้ เราเอาเงินกองทุนน้ำมันชดเชยให้ปตท.มาตลอด ในปี 2551 ชดเชยไป 8 พันล้านบาท ในปี 2552 ชดเชยไป 5-6 พันล้านบาท ชดเชยทุกปี นายกฯพูดแบบนี้ ก็ต้องยุติการที่ต้องจ่ายตรงนี้"

นางรสนา กล่าวต่อว่า "มีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ คุณสมบัติมาตรฐานข้าราชการระดับสูงที่จะไปอยู่ในบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ ปกติตอนนี้จะให้อยู่ได้คนละไม่เกิน 3 บอร์ดรัฐวิสาหกิจ ขณะที่ปตท.มีบริษัทลูกมากกว่า 30-40 บริษัท มี 6 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ มีปัญหาก็คือ ปตท.จะส่งข้าราชการไปนั่งในบริษัทลูกที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ เพราะ ปตท.ถือหุ้นไม่ถึง 50% ทำให้ตรวจสอบไม่ได้"

ตาม พ.ร.บ.ปปช.ระบุชัดเจน ว่า ห้ามข้าราชการในหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลไปนั่งในฐานะกรรมการบริษัทที่ตัวเองกำกับดูแล แต่ปรากฏว่า มีการแก้เงื่อนไขเหล่านี้โดยไม่สัมพันธ์กับ พ.ร.บ.ของ ป.ป.ช.ซึ่งขณะนี้กรรมาธิการจะติดตามตรวจสอบเหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลก็ยังไม่ได้ตอบอะไร ก็หวังว่านายกฯ กับ รมว.คลัง จะตอบเรื่องนี้

นอกจากนี้ น.ส.รสนา กล่าวว่า "จากข้อมูลของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ มูลค่าของราคาปิโตรเลียมเมื่อเทียบกับค่าภาคหลวงที่รัฐได้รับ แสดงให้เห็นว่า รัฐได้ปล่อยให้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีจำกัดและหมดได้ ถูกขายไปในราคาที่ถูกมาก จากมูลค่าขาย 2.6 ล้านล้านบาท แต่ได้ค่าภาคหลวง 3 แสนล้านบาท คิดเป็น 12.54% ได้ภาษีมาอีก 4 แสนล้านบาท รวมกันแล้วรัฐมีรายได้ 28.87% ในทรัพยากร 100% รัฐได้ไม่ถึง 30% ขณะที่ทรัพยากรเหล่านี้จะหมดไป ราคาจะต้องสูงขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบริษัทน้ำมันถึงรวย แต่รัฐได้น้อย กำไรเหล่านี้ แทนที่เขาอยากเสียภาษีให้ได้ถึง 50% ก็เอาไปผ่องถ่ายสร้างธุรกิจใหม่ของเขาขึ้นมา"

น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านตลาดทุน กล่าวในรายการ “ตอบโจทย์” ทีวีไทย ระบุว่า ขณะนี้บริษัท ปตท.มีสองสถานะ คือ เป็นทั้งบริษัทมหาชน และเป็นรัฐวิสาหกิจเนื่องจากมีรัฐถือหุ้นเกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งหลายประเทศก็มีบริษัทน้ำมันจดทะเบียนในตลาดหุ้นเหมือนกัน ซึ่งธุรกิจการส่งก๊าซผ่านท่อและใช้ก๊าซไปผลิตไฟฟ้าเป็นการผูกขาดโดยธรรมชาติ ก็มีเหตุผลที่จะผูกขาด แต่ถ้าให้ทำแบบเอกชนไปเลยก็ไม่มีอะไรควบคุม

กรณีการประมูลซื้อคาร์ฟูร์นั้น ในแง่ธุรกิจ ปตท.มีร้านจิฟฟี่ในปั๊มเจ็ท การประมูลซื้อคาร์ฟูร์ก็มีเหตุผลในการต่อยอดธุรกิจ แต่ที่นายกรัฐมนตรีไม่อยากให้ไปประมูล เพราะจะทำให้รัฐไปแข่งกับเอกชนหรือเปล่า คือ มอง ปตท.ในฐานะที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถึงแม้ ปตท.เข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่รัฐยังถือหุ้นเกิน 51% ถ้ารัฐตั้งใจกำกับเพื่อประโยชน์สาธารณะถ้ารัฐไม่อยากให้ประมูลก็เห็นด้วย เพราะ ปตท.มีอำนาจในธุรกิจผูกขาด จะเอากำไรที่ได้จากธุรกิจผูกขาดมากีดกันคู่แข่ง อาจเข้าข่ายการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม แต่ ปตท.อยู่ในฐานะรัฐวิสาหกิจ ก็จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายนี้ จึงเป็นห่วงว่าถ้าไปประมูลกิจการธุรกิจไม่ผูกขาดแล้วชนะขึ้นมา จะใช้อำนาจผูกขาดที่ตัวเองมีอยู่บีบคู่แข่ง

“เรื่องนี้อยากให้ช่วยจับตามมองการแก้ไข พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า ที่กระทรวงพาณิชย์เคยจะยกร่างแก้ไข เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีมีมติให้กลับไปพิจารณาใหม่ เพราะยังไม่ชัดเจนเรื่องนิยาม ถ้ามีการแก้ไขนิยาม ให้ขยายไปสู่รัฐวิสาหกิจที่เข้าทำธุรกิจที่แข่งขันกับเอกชน จะทำให้สบายใจขึ้นได้มาก เวลาที่มีบริษัทใหญ่ๆ อย่าง ปตท.ที่เป็นรัฐวิสาหกิจไปประมูลกิจการในลักษณะนี้ ก็จะไม่สามารถใช้อำนาจผูกขาดเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองได้เปรียบคู่แข่ง”

น.ส.สฤณี กล่าวเสริมว่า "ขณะนี้ ในปตท.มีปัญหา 2 ระดับ คือ ในแง่กรรมการบริษัท ปตท.มีประธานกรรมการบริษัทที่มาจาก รองปลัดกระทรวงพลังงาน ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทนในฐานะประธานบริษัท มีผลประโยชน์ที่ได้จากบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่เทียบกับรายได้จากราชการ คงชัดเจนว่าอะไรมากกว่ากัน อย่างในประเทศฝรั่งเศส จะไม่ให้คนมีอำนาจกำหนดนโยบายไปนั่งในคณะกรรมการบริษัทที่เกี่ยวข้องในธุรกิจนั้น โดยจะตั้งเป็นบริษัทโฮลดิ้งของรัฐบาล แล้วส่งตัวแทนเข้าไปนั่งตามรัฐวิสาหกิจต่างๆ เงินที่ได้เป็นค่าตอบแทนก็ไม่ได้ เพราะถือเป็นการไปทำหน้าที่ เรียกว่า นอมินีไดเร็คเตอร์ แต่ของไทยเรายังไม่มีแนวคิดเรื่องนี้

อีกปัญหาคือ ระดับคณะกรรมการบริหาร ปตท.เป็นบริษัทใหญ่ มีบริษัทลูก บริษัทร่วมมากมาย และมี 5-6 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ปตท.จะส่งซีอีโอ (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร) ไปเป็นกรรมการในบริษัทลูก บริษัทร่วมต่างๆ ซึ่งต้องถือว่าไปในหน้าที่ แต่ได้รับค่าตอบแทนซ้ำซ้อน ถ้าดูอย่างบริษัท เชลล์ เอสโซ่ ที่มีธรรมาภิบาลดี เขาจะไม่ทำ เพราะถือว่าต้องไปในหน้าที่อยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงหลักธรรมาภิบาลด้วยซ้ำ โดยธรรมชาติเป็นเรื่องที่ผู้ถือหุ้นจะต้องไม่อยากจ่ายเงินซ้ำซ้อน เรื่องนี้ต้องถามผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือกระทรวงการคลัง ว่าทำไมหละหลวมให้เกิดกรณีแบบนี้ ทำไมปล่อยให้มีผลประโยชน์ทับซ้อนมานานขนาดนี้"

**เบรก ปตท.ขยายเพดานราคาขายเอ็นจีวี

ด้าน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) วานนี้ โดยระบุว่า ที่ประชุมมีมติยังไม่ขยายเพดานสูงสุดราคาจำหน่ายปลีกก๊าซเอ็นจีวี จากกำหนดไว้ 10.34 บาทต่อกิโลกรัม จากที่ ปตท.เสนอขอขยายเพดานราคา เนื่องจากมีต้นทุนเพิ่ม

ทั้งนี้ พบว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดหลายแห่งได้ขอเก็บภาษีท้องถิ่นเอ็นจีวี ในอัตรากิโลกรัมละ 10 สตางค์ และต้นทุนค่าขนส่งเอ็นจีวี ขยับขึ้นตามราคาน้ำมัน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลมีต้นทุนสูงขึ้นตั้งแต่ 0.50 - กว่า 2 บาทต่อกิโลกรัม โดย กบง.มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ไปศึกษาต้นทุนค่าขนส่งให้ชัดเจนก่อนแล้วจึงกลับมารายงานอีกครั้ง

ส่วนกรณีการเก็บภาษีท้องถิ่นของจังหวัดใดมีผลทำให้อัตราเพดานขยับสูงขึ้นกว่าเพดานที่กำหนด ก็ค่อยมาดู และขออนุมัติปรับเพดานเป็นรายจังหวัด

นพ.วรรณรัตน์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุม กบง.ได้เห็นชอบให้นำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปชดเชยการตรึงราคาพลังงานตามนโยบายรัฐบาลที่ขยายระยะเวลาการตรึงราคาแอลพีจี เอ็นจีวี และค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) จากเดิมสิ้นสุดเดือนสิงหาคม 2553 เป็นสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554

โดยในส่วนของแอลพีจี กองทุนจะเข้าไปรับภาระชดเชยส่วนต่างการนำเข้าที่จะประมาณ 2,200 ล้านบาทต่อเดือน หรือรวม 13,224 ล้านบาท ชดเชยต้นทุนเอ็นจีวีในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัม เดือนละ 300-400 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 1,800-2700 ล้านบาท และในส่วนของการตรึงค่าเอฟทีนั้น ทาง กฟผ.จะเป็นผู้รับภาระไปก่อนจะอยู่ที่ประมาณ 5,996 ล้านบาท

ข้อมูลข่าวจาก http://astv.mobi/AYjlKTo

.
.

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เนื้อเพลง ศึกสายเลือด




เนื้อเพลงศึกสายเลือด

(1)
จันจันหยิดฟ้งฟันฟั่นโชย
หมอกหมอกฟั้นจั๊นฉีนหยีดโลย
ฉีนหยีดโลย
ไซก๊านปีนหว่านซวูดเฮ้งโซย

(2)
ตูนตูนซีเฟย์หยิวซั่มกาน
หมักหมักไต๋เสาซวี๊ดฟู่โลย
ซวี๊ดฟู่โลย
หงอเจ๊ทานต่ายจีปั๊ดหนั่งโซย

(3)
เหม่งเลย์ฝูโลย
โหว่งเฮย์ยัดซั้งเก๋งตอไวโก่ย
หมิ่นโตยจูเก๋ง
หน่านโต่วหงอหุยโถ่ยยีนเฮาโท้ย
เซ้งฟูนฉวิ่นหม่งหน่านโตวหยีต๋งโจ๋วเหยาเหม่งหวั่นหล่อเซ็งจี๋
ฟูนหลีวโจ่ย

(4)
โปวโปวจีกั๋มหยัดเก้งซัม
โต่วโต่วโต้วกว้องกีนโปวโลย
กีนโปวโลย
ซนเซ็กไจหยู่นหยาจั๊งโฉย

(5)
เยเยหยีดกว๊องสาเช่งไฟ
ต่านยวีนจ่อยฟ้าก๊านโผวหยีดโซย
โผวหยีดโซย
หงอจี๋พานหม่งโลยจั๊นเฉ่งก๊ง
เหว็งโหย


.
.

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นิตยสารฟอร์บfobes กับขบวนการล้มเจ้า





หากยังไม่get ไปอ่านอธิบายสาระสำคัญต่อได้ที่

บทความเรื่องพวกไม่จงรักภักดี ตอนนิตยสาร fobes


.
.

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เมื่อฝรั่งวิเคราะห์วิถีชนบทไทยแบบค้านสายตา นปช.



.




สื่อที่ชื่อ นาย Andrew Walker เขาได้รับข้อเขียนจากนาย Robert Woodrow อดีตบรรณาธิการยิตยสารรายสัปดาห์ regionly newsmazine จึงได้นำมาลงในเว็บ New Madala

ซึ่งนายโรเบิร์ต ได้เขียนถึงสิ่งดี ๆ ในชนบทไทย ที่มีมาก่อนที่ทักษิณจะมาเป็นนายกฯ เสียอีก

---------------

10 May 2010

เรื่องคนจนในชนบทเมืองไทยที่ถูกกดขี่ มันอาจไม่เป็นอย่างที่คุณคิด 


โดย โรเบิร์ต วู้ดโรว์


ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับคนจนในชนบทของประเทศไทย พวกเขาร่ำรวยที่สุดในบรรดาคนยากจนในชนบทแห่งประเทศโลกที่สามทั้งหลาย และเขาไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณทักษิณในฐานะความเป็นอยู่ใดๆทั้งสิ้น

ทักษิณเป็นนักโทษหนีคดี เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีและมหาเศรษฐีพันล้านที่ทางการไทยกำลังต้องการตัวในคดีคอร์รัปชั่นและหนีภาษีรวมกันแล้วมูลค่ามหาศาล สิ่งที่เขาทำได้ดีเป็นพิเศษคือสามารถทำให้โลกเชื่อว่าเขาเป็นขวัญใจคนยากจนแห่งชนบทเมืองไทย และสามารถทำให้เชื่อไปอีกว่า ความกินดีอยู่ดีของคนชนบทเหล่านี้เป็นเพราะตัวเขา แต่ในความเป็นจริงโครงการช่วยเหลือชนบทที่อ้างว่าเป็นของเขานั้นได้มีมาก่อนยุคทักษิณนับเป็นสิบๆปีมาแล้ว เขาเพียงแต่ใช้เครื่องมือประชาสัมพันธ์ต่างๆที่เขาได้ทุ่มเงินให้เป็นจำนวนมากเปลี่ยนชื่อโครงการเหล่าให้หวือหวาขึ้นเท่านั้น

ชาวไร่ชาวนาในยุโรปและอเมริกามักมีฐานะดี แต่การเปรียบเทียบกับฐานะของชาวไร่ชาวนาไทยนั้นเป็นเรื่องไร้ความหมาย ลองนึกเปรียบเทียบช่างไม้ในชนบทอีสานกับช่างไม้แห่งเมืองเล็กๆในมลรัฐไอโอวาดู แม้ช่างไม้ไทยจะดูอนาถา ที่อยู่อาศัยของเขาในสายตาอเมริกันนั้นจะดูไม่มีอะไรเลย และจะดูเหมือนเขาไม่ค่อยมีความหวังอะไรในชีวิต

แต่! ทว่าในความเป็นจริงคนไทยมักอาศัยในที่ของพ่อแม่พี่น้องเขาโดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่า ในอากาศเย็นสบายในชนบทไทยเขาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปเพื่อต่อสู้กับความหนาวเหน็บเช่นในไอโอวา พวกเขาปลูกผักเลี้ยงไก่ไข่เลี้ยงหมูไว้บริโภคในครัวเรือนโดยไม่ต้องซื้อกิน เขามีมอเตอร์ไซค์เพื่อขี่ไปทำงาน เขามีทีวีดู ชีวิตความเป็นอยู่แบบอเมริกันที่เขาเห็นในทีวีก็แตกต่างกับการดำเนินชีวิตแบบไทยๆ ที่เขาคุ้นเคยเสียจนไม่มีความรู้สึกอิจฉาชาวอเมริกันเลยสักนิด

ทุกๆหมู่บ้านในไทยมีไฟฟ้าใช้มานานมากก่อนยุคทักษิน ชาวบ้านมีตู้เย็นหม้อหุงข้าวไฟฟ้าทีวีวิทยุและพัดลมไฟฟ้าใช้มาเป็นเวลานานแล้ว เกือบทุกบ้านในชนบทมีมอเตอร์ไซค์แม้มันจะโทรมหรือเก่าแค่ไหนก็ตาม ในทุกๆหมู่บ้านจะมีหลายครอบครัวที่มีรถปิคอัพใช้ ชาวนาเลิกใช้วัวควายไปแล้วเหลืออยู่ก็แต่ในท้องที่ไกลมากๆ ถ้าชาวไร่ชาวนาใดไม่มีรถอีแต๋นไว้ใช้ทำไร่ทำนาพวกเขาก็สามารถเช่าหรือยืมได้จากเพื่อนบ้าน

ชาวไร่ชาวนาไทยที่ไร้ที่ทำกินนั้นมีอยู่ แต่ก็มีเป็นจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับในฟิลิปปินส์ อินเดียและประเทศส่วนใหญ่ในอเมริกาใต้ ในไทยเราแทบไม่เคยเห็นเศรษฐีเจ้าของที่นาที่ไม่ได้เป็นชาวนาเอง ชาวนาไทยส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของที่นาผืนเล็กๆที่ปลอดจำนอง ที่ปลอดจำนองนั้นเป็นเพราะกฏหมายคุ้มครองล้าสมัยฉบับหนึ่งที่ไม่อนุญาติให้เอาที่ดินประเภทนี้ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืม แต่พวกเขาสามารถใช้ผลผลิตที่จะได้รับในฤดูเก็บเกี่ยวถัดไปใช้ค้ำประกันได้ พวกเขามักขายผลผลิตให้กับสหกรณ์ ลูกหลานพวกเขามักหารายได้เพิ่มเติมโดยเข้าไปทำงานในเมือง

เมืองไทยก็เหมือนที่สหรัฐอเมริกาที่มีผู้ยากไร้ด้อยโอกาสอยู่จำนวนหนึ่ง ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยนั้นก็เหมือนที่อื่นๆที่เราต้องดูโดยใช้วิจารณญาน (* ที่มาของตัวเลขสถิติที่จะนำมาใช้ถัดจากนี้ให้ดูที่หมายเหตุท้ายบทความ) ตัวเลขเป็นทางการไทยผู้ยากจนมี10% ของประชากรทั้งหมด เทียบกับ 12%ในอเมริกา 14%ในอังกฤษและ36%ในบ้งคลาเทศ แน่นอนเส้นวัดระดับความยากจนของแต่ละประเทศไม่เหมือนกันเพราะการดำเนินชีวิตที่ต่างกัน ความยากจนในเมืองไทยจึงไม่จำเป็นต้องแปลว่าการไม่มีทีวีดู หรือไม่มีมอเตอร์ไซค์เก่าๆใช้

สถิติการว่างงานในไทยอยู่ที่ 1.4% ซึ่งจัดว่าอยู่ในกลุ่มต่ำที่สุดในโลก แต่เป็นที่รู้กันว่าตัวเลขสถิติการว่างงานมักเชื่อถือไม่ค่อยได้ แม้แต่ในประเทศที่เจริญแล้วนักเศรษฐศาสตร์ยังถกเถียงกันว่าจะรวมถึงพวกทำงานไม่เต็มเวลาหรือพวกที่ไม่ยอมหางานทำดีหรือไม่ แต่สำหรับเมืองไทยงานไร้ฝีมือค่าแรงต่ำนั้นหาง่าย ตึกอพาร์ทเม้นต์ที่ผมเช่าอยู่ในกรุงเทพนั้นมีป้ายติดประกาศรับพนักงานรักษาความปลอดภัยมาหลายสัปดาห์แล้วก็ยังติดอยู่อย่างนั้น

ในช่วงฤดูแล้งชาวไร่ชาวนาจำนวนมากเข้ามาเป็นกรรมกรก่อสร้างในเมือง ส่วนที่เหลือเลือกที่จะมีชีวิตอย่างง่ายๆถึงไม่หรูหราแต่ก็อุดมสมบูรณ์อยู่ที่บ้านในชนบท สองสามปีที่แล้วผมต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการหาช่างเพื่อมาต่อห้องน้ำเพิ่ม ชาวไร่ชาวนาหลายรายที่มีหัวการค้าได้กลายมาเป็นเจ้าของกิจการและทำได้ดีทีเดียว นโยบายของรัฐบาลทักษิณไม่ได้มีผลอะไรที่ชัดเจนกับแรงงานทั้งหลายเหล่านี้เลย

ไทยไม่มีปัญหาประชากรล้นเกิน ผู้หญิงมีบุตรกัน1.6คนโดยเฉลี่ยซึ่งต่ำกว่าอัตราการตายซึ่งหมายความว่าจำนวนประชากรจะลดลงหากไทยไม่สนับสนุนการอพยพของชนชาติอื่นให้เข้ามาอยู่อาศัย การลดของขนาดครอบครัวไทยเป็นผลมาจากการให้ความรู้เรื่องผลดีทางเศรษฐกิจที่มีต่อครอบครัวขนาดเล็กซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้ได้ผลทำให้ประชากรลดลงมาแล้วในยุโรปและญี่ปุ่น ในเมืองไทยการรณรงค์เหล่านี้ได้เริ่มมาร่วมห้าสิบปีแล้ว

ปัญหาการกระจายความร่ำรวยในไทยนั้นไม่ได้เลวร้ายไปกว่าชาติอุตสาหกรรมใดๆเลย คนยากจนที่สุด10% ของประชากรไทยเป็นเจ้าของ2.6%ของทรัพย์สินทั้งหมด คนรวยที่สุด10% ของประชากรไทยเป็นเจ้าของ33.7%ของทรัพย์สินทั้งหมดที่มีในชาติ เมื่อเทียบกันสหรัฐอเมริกามี2% และ30% อังกฤษมี2.1% และ28.5% ตามลำดับทรัพย์สินของคนจนสุด10% และรวยสุด10% 


ถึงแม้ตัวเลขสถิติเหล่านี้จะเชื่อไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่ที่น่าเชื่อถือได้อย่างไม่มีข้อสงสัยเลยก็คือ การกระจายรายได้ของไทยนั้นมีความเท่าเทียมกันมากกว่าในประเทศจีน อินเดีย บราซิล หรืออาฟริกาใต้

แม้แต่หมู่บ้านถิ่นธุรกันดารของไทยโดยเฉพาะในบริเวณที่ราบภาคกลางก็ยังดูมั่งคั่งกว่าหมู่บ้านในชนบทของประเทศปากีสถาน และจะกลายเป็นแดนในอุดมคติไปในทันทีเมื่อเทียบกับหมู่บ้านส่วนใหญ่ในประเทศไนจีเรีย กองทุนหมู่บ้านที่ทักษิณภูมิใจนักหนานั้นมันได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ร่วมสี่สิบปีมาแล้ว

ถนนเมนทุกสายในเมืองไทยเป็นถนนราดยางหรือไม่ก็คอนกรีต ซึ่งดีเทียบเท่ามาตรฐานประเทศโลกที่หนึ่ง ถนนรองส่วนใหญ่ก็ราดยางซึ่งถนนเข้าหมู่บ้านชนบทห่างไกลรวมทั้งในอีสานและเหนือแม้จะเป็นหมู่บ้านจนที่สุดก็มีถนนดีพอกัน ถนนเหล่านี้มีใช้กันแล้วก่อนที่ทักษิณลาออกจากตำรวจและเขาอยู่ในสภาพล้มละลาย

ในกรุงเทพนั้นมีสลัม แต่ในเมื่อทุกคนมามีงานทำในกรุงเทพพวกเขาก็มักเลือกที่จะอยู่ในสลัมเพราะอยู่ฟรีโดยไม่เสียค่าเช่าที่ดินเหล่านี้เพราะมันเป็นที่หลวง โสเภณีนั้นหาได้ไม่ยากเพราะรายได้จากการขายตัวนั้นมากกว่ารายได้จากการทำงานในโรงงานถึงห้าเท่าตัวหรือมากกว่า  ส่วนคนตาบอดหรือพิการสามารถขอเงินช่วยเหลือได้จากรัฐแต่ทว่าการขอทานจะมีรายได้งามกว่า เขาต่างก็เลือกทางเดินชีวิตเองและดีชั่วอยู่ย่อมอยู่ที่ตัวเขาเองทั้งนั้น

การรักษาพยาบาลผู้ป่วยอนาถา(ไม่ต้องเสีย30บาทด้วย) โดยโรงพยาบาลรัฐนั้นมีมานานมากก่อนที่ทักษิณจะมาเสนอโครงการ30บาทรักษาทุกโรค ซึ่งไม่ได้บริการแตกต่างกันจากระบบเก่าเลย การรักษาผู้ป่วยอนาถาถึงมันจะไม่เป็นระดับโลก แต่มันก็ยังเป็นการรักษาพยาบาล ถ้าคนป่วยไม่มีสตางค์ค่าผ่าตัดซึ่งราคาก็ไม่ได้แพง เขาก็จะได้รับการยกหนี้ให้ 


ไม่มีคนป่วยรายใดที่โรงพยาบาลรัฐจะปฏิเสธไม่รับ แพทย์ผู้สำเร็จการศึกษาก็ด้วยทุนของรัฐและจะต้องทำงานใช้หนี้รัฐโดยได้รับเงินเดือนไม่แพงในโรงพยาบาลชนบทไปจนกระทั่งชดใช้ค่าเล่าเรียนหมด


แทบไม่มีคนไทยคนไหนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เด็กผู้หญิงมีเวลาเรียนโดยเฉลี่ย14ปี และเด็กผู้ชายที่13ปี โปรดสังเกตุหญิงมีการศึกษามากกว่าชาย นักเรียนมัธยมปลายปีละร่วมสองล้านคนซึ่งคิดเป็น20%ของคนวัยเดียวกันได้เข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาทั้งสายอาชีพและปริญญา นักเรียนที่เรียนดีก็จะได้รับทุนเล่าเรียนหลวง เรื่องราวของเด็กยากจนที่ต่อมาเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จนั้นมีมากมายเสียกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆ การไต่เต้าทางสังคมลักษณะนี้ได้มีมาตลอดเป็นเวลาครึ่งค่อนศัตวรรษมาแล้ว

อัตราการตายในทารกแรกเกิดในไทยอยู่ที่17รายต่อ1,000 เทียบกับแองโกล่าอยู่ที่180 อัฟกานิสถานที่153 และ 6 ในสหรัฐอเมริกา สถิติช่วงเวลาการมีชีวิตของคนไทยอยู่ที่ 73.1ปีในขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ที่78.1ปี และรสเซียที่66.1ปี ในไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี1.4%เทียบกับสหรัฐอเมริกาอยู่ที่0.6%ของประชากร

ในประชากรทั้งหมด 66 ล้านคนในไทย มีโทรศัพท์มือถือลงทะเบียนถึง 62 ล้านเลขหมาย และอีก7ล้านเลขหมายเป็นโทรศัพท์มีสาย เครือข่ายการบริการเชื่อถือได้เทียบเท่าในยุโรป 


คนไทยหนึ่งในสี่มีอินเตอร์เนตใช้ บริษัทโทรศัพท์ของทักษิณซึ่งรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในสมัยที่เขาเป็นนายก มีส่วนแบ่งการตลาดถึงหนึ่งในสามของผู้ใช้มือถือในไทย ต่อมาเขาได้ขายให้กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์โดยหลบเลี่ยงภาษีรายได้
ไทยมีการส่งออกมากกว่านำเข้าอยู่เป็นประจำและมีเสน่ห์ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นจึงมีเงินทุนสำรองมหาศาล ถึงแม้จะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติไว้ส่งออกมากนัก แต่ไทยก็ยังมีทุนสำรองอยู่ที่ 138,000ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐซึ่งมีมากเป็นอันดับสิบของโลก เทียบกับอังกฤษมี $56,000ล้าน ขณะที่ออสเตรเลียมี $45,000ล้าน



มีความเชื่อที่ผิดๆว่าไทยมีสินค้าการเกษตรเป็นสินค้าหลัก แต่ความจริงแล้วคือเป็นรถปิคอัพ มอเตอร์ไซค์และชิ้นส่วนอาหลั่ยยานยนต์เป็นหลัก ซึ่งเป็นสาขาของบริษัทจากต่างชาติ รถปิคอัพซึ่งส่งออกได้มากที่สุดถ้านับแบบประเภทเดี่ยวของสินค้าส่งออกนั้น แทบไม่มีส่วนประกอบที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเลย บริษัทผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายหนึ่งส่งรถปิคอัพหนึ่งตันจากเมืองไทยแหล่งเดียวเท่านั้นไปขายทั่วโลกรวมทั้งในญี่ปุ่นเอง เครื่องจักรกลก็เป็นสินค้าส่งออกหลักอีกประเภทหนึ่ง นอกนั้นยังมีชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ อิเลคโทรนิค สิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า อาหารสำเร็จรูป อาหารสัตว์ สิ่งที่ทำเงินตราต่างประเทศในระดับต่ำกว่านั้นก็จะเป็นข้าว น้ำตาลและตามด้วยการท่องเที่ยว

ในหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลสามารถทำการค้าได้เกินดุลย์ ทำบัญชีเดินสะพัดได้เกินดุลย์และทำงบประมาณได้เกินดุลย์เช่นกัน (แต่ปีนี้งบประมาณขาดดุลย์)

นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2503 ปีที่ทักษิณมีอายุได้เพียง 11 ขวบ เป็นต้นมา ไม่มีชาติที่กำลังพัฒนาชาติใดในโลกที่จะมีการเติบโตของค่าGDPเฉลี่ยต่อจำนวนประชากรได้เกินกว่าของประเทศไทย


ถึงแม้ชาวนาไทยยังยากจนในสายตาตะวันตก แต่พวกเขาก็ได้รับส่วนแบ่งจากความมั่งคั่งเหล่านั้น และพวกเขาก็มีความกินดีอยู่ดีมากกว่าคนในชนบทในประเทศใดๆในประเทศแห่งโลกที่สาม

* ตัวเลขสถิติทั้งหลายในบทความนี้แต่ละตัวได้ถูกตรวจสอบโดยการเปรียบเทียบกับอย่างน้อยสามแหล่งจากหน่วยงานต่างๆดังนี้ UNICEF, UNDP,ธนาคารโลก, ADB, IMF, CIA, WHO, ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ไม่มีตัวเลขใดๆในบทความนี้ที่ยกเอามาจากหน่วยงานของไทยล้วนโดยไม่ปรียบเทียบกับตัวเลขของหน่วยงานนอกประเทศไทย

ขอขอบคุณ คุณRobert Woodrow


--------------------------------------


ต้นฉบับภาษาอังกฤษ

The Down-Trodden Rural Poor of Thailand: It’s not quite what you think

Here’s what you need to know about the rural have-nots of Thailand . They are the richest poor people in the Third World. And they owe none of their affluence to Thaksin Shinawatra.

Fugitive former Prime Minster Thaksin, a billionaire wanted in connection with corruption and tax-evasion on a staggeringly egregious scale, has done a remarkable job of convincing the world that he is the champion of the rural poor in Thailand, and that such prosperity as the farmer enjoys is in some way due to him. Yet all of “his” programs have been in place for decades. His well-financed public-relations machine merely invented catchy new terms for them.

In Europe and North America , farmers tend to be affluent. A comparison is therefore not at all meaningful. But take a village carpenter in Thailand ’s northeast and compare him with a wood-worker in a small town in Iowa . To the American, the Thai seems impoverished, his house appalling basic, his expectations in life distressingly limited. But the Thai carpenter probably lives on family land rent-free, pays nothing to moderate the climate, produces his own vegetables, chickens, eggs and pork, and rides his own motor-cycle to his jobs. He’s seen the American lifestyle on TV, and it’s so far beyond the range of his experience, he doesn’t feel deprived or envious.
ฝรั่ง
Every village in Thailand was on the electricity grid long before Thaksin came on the scene, and virtually every village family has a refrigerator, electric rice-cooker, TV, radio and a couple of oscillating fans. Almost all rural households have a motorcycle, though it may be old and battered. In every village several families own pickup trucks. Animals are no longer used for farm work except in extremely remote corners of the kingdom. If farmers don’t have a mini-tractor of their own, they rent or borrow one from a neighbor.

The “landless peasant” class exists, but is very small when compared with the Philippines , India and much of South America . The rich absentee farm landlord is almost unknown. Most farming families tend a small plot of land they own outright, mortgage-free (due to unscrupulous practices in the past, an outdated, paternalistic law prevents them putting up land as security with money-lenders, though they may borrow on anticipated harvests.) They sell a small cash crop through a co-operative. Their grown-up or adolescent children supplement the family income from jobs they hold in the cities.

Thailand, like the U.S. , has a fallen-through-the-cracks underclass. While statistics*, as everywhere, have to be taken with a large measure of scepticism, officially 10% of the population is below the poverty line (12% in the U.S. , 14% in Britain , 36% in Bangladesh ). Of course, that means the poverty line for Thailand and no international comparisons are invoked. Poverty doesn’t necessarily mean doing without TV or not being able to lean a beat-up old 100 c.c. Honda Dream by the door.

Unemployment in Thailand is 1.4% — among the lowest in the world. Here it has to be cautioned that employment statistics are notoriously unreliable. Even in advanced countries, economists cannot agree whether to include the under-employed and those not actively seeking work. But unskilled work, if not well-paid, is not hard to find. My Bangkok apartment building has had a “security guard wanted” sign out for weeks.

During the dry season, many farmers supplement their income with construction work in the cities. But some prefer to do without extra luxuries and live the slow-paced, well-fed rural life. Two or three years ago, I found it impossible for several weeks to find a plumber to put in a new bathroom. Many “peasants” have become self-employed entrepreneurs and done well for themselves. Thaksin’s policies had no discernible impact on the labor force.

There is no population pressure in Thailand , since each female, on average, gives birth to 1.6 children in her lifetime. That is well below replacement level, so the population will in time shrink unless immigration is vigorously promoted. Reduction in family size was achieved through education and the perceived economic benefits of smaller families, the same way it was reduced in Europe and Japan . This got started in the 1960s.

Wealth distribution in Thailand is no more extreme than in most industrialised countries. The poorest 10% of the people of Thailand own 2.6% of the nation’s wealth. The richest 10% own 33.7%. In the U.S. , the comparable figures are 2% and 30%, in the U.K. 2.1% and 28.5%. These statistics may not be wholly reliable, but distribution of wealth is unquestionably much more equitable than in China , India , Brazil or South Africa . Even isolated Thai villages, especially in the central plains, would seem very prosperous to rural Pakistanis and positively utopian to most Nigerians. Thaksin’s much-vaunted “village revolving development funds” financing local enterprise had their antecedents in the 1970s.

All main roads in Thailand are paved (close to First-World standards), and most secondary roads are surfaced, as are a good many of the tracks that lead into remote villages, even in the poorer north and northeast parts of the country. It was like this when Thaksin was still a bankrupt ex-cop.

There are slums in Bangkok , but you have to go out of your way to find them. Since almost everyone is employed, squatters on state land in the cities often live there by choice because it is rent-free. You certainly do not have to go out of your way to see red-light districts. Incomes from the sex industry (obviously denied to those lacking looks and personally) exceed factory wages fivefold or more. The blind and maimed can apply for state aid, but street begging is often more lucrative. One sets one’s own moral priorities.

There was care at government hospitals and health clinics long before Thaksin came along with his fancy $1 scheme. Treatment is not world-class but it is medical care nonetheless. People in need of operations get them for small fees, and if they have no money the charge is written off. No one is turned away from emergency rooms at government hospitals. Doctors who went through medical school on state scholarships owe as many years of modestly paid service in rural hospitals as they had in tuition.

Almost no Thais are unable read & write. Girls on average get 14 years of schooling and boys 13 years (note that girls are ahead). About 1.75 million post-secondary students (over 20% of their age group) are enrolled in universities (ranging from world-class to barely respectable), two-year colleges or vocational schools. Bright kids from poor families get government scholarships, so up-by-the-bootstraps success stories are so common as to be unremarkable. This high rate of upward social mobility goes back at least half a century.

Infant deaths per 1,000 live births in Thailand tallies 17, compared with 180 in Angola, 153 in Afghanistan and 6 in the U.S. Life-expectancy at birth is 73.1 years (78.1 in the U.S., 66.1 in Russia). HIV-positive people make up 1.4% of Thailand ’s population (0.6% in the U.S. )

With a population of 66 million, Thailand has 62 million registered cellphones and 7 million landlines. Service is as reliable as it is in Europe . One-fourth of the people regularly use the Internet. Thaksin’s own company, which prospered prodigiously while he was prime minister, had one-third of the nation’s mobile-phone customers. He sold the firm to an investment arm of the Singapore government (and paid no income tax).

Thailandroutinely exports more than it imports. It is attractive for foreign direct investment. It therefore has enormous foreign reserves, and even though the country has few natural resources to sell abroad, its reserves, at $138 billion, are the 10th highest in the world. ( Britain has $56 billion, Australia $45 billion). This means plenty of capital for employment-creating new manufacturing jobs, which entice rural folk seeking work in cities. The Thai currency is so strong that even recent political troubles have not budged it.

Contrary to a widespread perception, the country’s main exports are not agricultural products, but cars & trucks, motorcycles & vehicle parts (made by foreign-owned subsidiary companies). Exported pick-up trucks, the biggest single-selling item, contain negligible imported parts. One Japanese manufacturer sources its world-wide production of one-ton pickups, including those sold in Japan , from its Thai factories. Machinery is another big export, as are components for computers and other electronic goods, textiles, garments & footwear, processed food and animal fodder. Way down the list of foreign-currency earners are rice, sugar and tourism.

Over the years the Thai government has routinely produced a trade surplus, a current-account surplus and (though not this year) a budget surplus.

Since 1960 (when Thaksin was 11) no “developing” country has exceeded Thailand in average annual per-capita GDP growth. The farmers are still poor by western standards, but they’ve had their share of this rising affluence, and they are better off than rural folk in any other nation on earth for which we reserve the term Third World .
.
.

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องขำๆ "หลอกถามแท๊กซี่เสื้อแดง!!"

.
.
ข้อเขียนต่อไปนี้ ผมได้มาจากเว็บสนุก โดยคุณMe164เป็นคนโพส อ่านแล้วถ้าไม่คิดมาก อ่านแล้วก็ขำๆดี

แน่นอนไม่มีที่มาที่ไปว่า น่าเชื่อถือหรือไม่??

อ่านแล้วโปรดวางใจกลางๆ อย่าได้เชื่้อเรื่องที่อ่านทันที หรืออย่าได้ไม่เชื่อเรื่องที่อ่านทันที

โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเชื่อ?

--------------------------------------

เรื่องหลอกถามแท๊กซี่เสื้อแดง



เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25/04/53 ที่ผ่านมา
เจ๊มีธุระต้องกลับมาที่บ้านที่ ต่างจังหวัด...เจ๊เรียก Taxi เพื่อจะให้ไปส่งยังท่ารถตู้


ก่อนที่จะ ขึ้นรถ เจ๊ก็ไม่ลืมที่จะมองทางด้านหลังของรถ ว่าได้ติดสติ๊กเกอร์คำว่า
“ยุบ สภา” ไว้หรือไม่ปรากฎว่าไม่มี ปลอดภัย

เจ๊จึงได้บอกว่ากับคนขับว่า
ไป สี่แยกคอกวัว คนขับบอกว่าได้ครับ (คนขับอายุประมาณ 40-50 ได้)

ระหว่างทาง เจ๊ก็ได้แอบเห็นสายรัดข้อมือสีแดงที่คนขับใส่ไว้ที่ข้อมือด้านซ้าย

แต่ อาจจะไม่ชัดเนื่องจากคนขับเอาแขนเสื้อมาปิดไว้ แต่ยังไงก็ไม่มีทางปิดคนชอบยุ่ง (...) แบบเจ๊ได้หรอก...ทันใดนั้นสมองเจ๊ปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันที

เจ๊ยิ้มในใจ อย่างมีความสุข และแล้วแผนปฏิบัติการล้วงความลับจึงได้เกิดขึ้น

เจ๊ จ๋อ: พี่ๆ ทำไงดี พี่ชายหนูเข้าไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง แต่หนูได้ข่าวมาว่าเขาจะมีการสลายการชุมนุมแล้ว หนูเป็นห่วงพี่หนูจัง ที่บ้านร้อนใจมาก กลัวพี่หนูได้รับอันตราย

Taxi: อ้าวหนูเสื้อแดงเหมือนกันเหรอ? (สำเนียงออกไปทางคนอิสาน)

เจ๊จ๋อ: ใช่! บ้านหนูแดงกันทั้งบ้านเลย (เจ๊จ๋อ ก็สะตอได้ใจนะเนี่ย)

Taxi: อ้าวแล้วทำไมหนูไม่โทรศัพท์เข้าไปหล่ะ?

เจ๊จ๋อ: โทรไปแล้วค่ะพี่ แต่พี่ก็บอกว่าเดี๋ยวกลับ แต่หนูก็ยังไม่เห็นกลับมาซะที

Taxi: อ๋อถ้างั้น ไม่ต้องห่วงหรอก ให้ตายก็สลายไม่ได้หรอก เพราะว่าตอนนี้ แกนนำคนเสื้อแดง เตรียมแผนรับมือและตอบโต้ไว้แล้ว

เจ๊จ๋อ: จริงหรอ?? พี่เขาไม่เคยบอกหนูเลย

Taxi: เขา ห้ามบอก เขาจะบอกกันเฉพาะคนที่ชุมนุม เพราะว่าเขากลัวแผนรั่ว เนี่ยเขาให้เตรียมถั่วเขียว ลูกปัดไว้โรยบนพื้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ ที่จะเข้ามาสลายการชุมนุมลื่น หากเจ้าหน้าที่ลื่นก็ให้กลุ่มผู้ชุมนุมกระทืบและยึดอาวุธได้เลย ที่เหลือจะทำอะไรก็ได้แล้วแต่จะตัดสินใจ (สีหน้าคนขับตอนพูดดูสะใจมาก) เนี่ยรู้ไหมเขายังเตรียมพริกป่นไว้ยิงใส่เจ้าหน้าที่ด้วยนะ คล้ายๆ กับแก็สน้ำตาหน่ะ แต่เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่เข้ามาร่วมชุมนุม

เจ๊ จ๋อ: จริงหรอ เออเก่งเนอะ (เจ๊ต้องแกล้งชมเข้าไว้)

Taxi: นี่ เขาสั่งให้ซื้อที่ฉีดน้ำแบบที่ใช้ฉีดรีดผ้ามาด้วย เพราะว่าเขาจะเอามาใส่น้ำมัน ถ้าเจ้าหน้าที่โผล่มาให้ฉีดใส่แล้วก็ให้ปาระเบิดเพลิงหรือจุดไฟใส่เจ้า หน้าที่ได้เลย เนี่ยคุณกี้ร์(อริสมันต์) ยัง บอกเลยว่าไม่ต้องกลัว เพราะว่าหากสลายการชุมนุมจริง รัฐบาลจะให้ตำรวจเข้ามาก่อนแล้วทหารปิดท้าย แต่พวกเราไม่ต้องกลัว ตำรวจคือพวกเรา เขาจะหันหลังกลับแล้วยิงใส่ทหารและในที่สุดพวกเราก็ชนะ

เจ๊จ๋อ:จริง เหรอพี่ ตำรวจเป็นพวกเราจริงใช่ไหม?? (ทำหน้าแบบว่าดีใจมาก)

Taxi:โอ๊ย หนูทำไมจะไม่ใช่หล่ะ ใครๆ เขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าตำรวจหน่ะเข้าข้างเสื้อแดงอยู่แล้ว

เจ๊ จ๋อ: อ้าวพี่ แล้วถ้าเกิดว่าแผนการที่เตรียมไว้ไม่ได้ผลหล่ะ จะทำไง?

Taxi:ไม่ ต้องห่วง คุณกี้ร์เขามีกำลังที่เตรียมไว้เพื่อต่อสู้และสังหารเจ้าหน้าที่ ที่จะเข้ามาสลายการชุมนุมครั้งนี้โดยเฉพาะ เห็นเขาบอกว่าชื่อ “กองทัพหรือกองกำลังอริสมันต์” อะไรนี่แหละพี่ก็จำไม่ค่อยได้ นี่เขายังบอกอีกว่าถ้าจวนตัวจริงๆ ใกล้ห้างหรือโรงแรมไหน ทุบที่นั่นเข้าไปหลบได้เลยไม่ต้องกลัว ใกล้ที่ไหนทุกบที่นั่น พังเข้าไปได้เลย

เจ๊จ๋อ: อ้าวพังเข้าไปแบบนี้ เดี๋ยวเขาก็จับเราสิ

Taxi: จะ ผิดอะไร ขนาดพวกเราตั้งด่านจับทหาร จับตำรวจเป็นตัวประกัน ยังทำอะไรเราไม่ได้เลย ตำรวจไม่จับพวกเราหรอก ถ้าเขาทำ เขาทำมานานแล้วนี่เขาปล่อย เขาอยากให้เราชนะจะตาย..

เจ๊จ๋อ: อ๋อ.. ใช่ๆ (คิดในใจ อืม...พวกเมิงนี่เลวจริงๆ)

Taxi: แล้วนี่น้องรู้หรือยังว่าหากเสื้อแดงชนะ คุณทักษิณได้กลับมาหรือพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล เขาจะให้คนที่มีบัตรสมาชิก นปช.เอาบัตรสมาชิกไปขึ้นเงินได้เลยนะ ถ้าใครมีบัตรจะได้คนละเป็นแสนๆ เลยนะ พี่ก็กำลังจะไปสมัครเหมือนกัน

เจ๊ จ๋อ: จริงหรอพี่ แล้วต้องทำไงถึงจะได้บัตร นปช.หล่ะ?

Taxi: จริงสิ ถ้าอยากทำบัตร นปช.ง่ายมาก แค่เอาบัตรประชาชนไปให้เขา เขาก็จะเอาบัตรไว้ แล้วออกบัตร นปช.ให้แทน แต่ว่าเขาจะไม่คืนบัตรประชาชนนะ

เจ๊จ๋อ: ทำไมต้องยึดบัตรประชาชนด้วยหล่ะพี่ เผื่อหนูจะไปเที่ยว แล้วจะเอาบัตรที่ไหนให้ตำรวจตรวจหล่ะ

Taxi: ไม่ยากเลยหนู หนูก็แค่ไปแจ้งความบัตรหาย แล้วก็ไปทำใหม่แค่นั้นเอง

เจ๊จ๋อ: (ทำหน้าแบบตกใจ) จริงด้วยพี่ หนูนี่โง่จริงๆ (...ชาติเลว)

หลัง จากที่คุยกันตอนนี้แท็กซี่ได้พาเจ๊เกือบถึงที่หมายแล้ว แต่ติดไฟแดงตรงหลานหลวงอยู่....พอไฟเขียวคนขับก็พาเจ๊มาถึงที่หมาย แต่ก็ยังไม่วายที่จะทิ้งท้ายประโยคให้เจ๊อึ้งว่า

Taxi: นี่ๆ หนูรีบไปทำซะนะบัตรสมาชิก นปช.เนี่ย เพราะว่าเขาจะปิดรับแล้ว เมื่อท่านทักษิณได้กลับมาเมื่อไหร่ ท่านทักษิณจะทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ พวกเราก็จะได้เป็นประชาชนกลุ่มแรกที่ได้สิทธิพิเศษและจะถูกยกให้เป็นประชาชนกิติมศักดิ์เลยนะหนู

เจ๊จ๋อ:พี่ๆ จอดตรงนี้แหล่ะค่ะ(เปิดประตู จ่ายเงิน 100บาท พร้อมกับก้าวเท้าลง)แล้ว หนูจะรีบไปนะ ขอบคุณพี่ที่ช่วยบอกให้หนูรู้ หนูจะได้ไปบอกคนที่บ้าน ขอบคุณค่ะ

Taxi: ไม่เป็นไรหรอก ก็เรามันพวกเดียวกัน โชคดีนะหนู

เจ๊ จ๋อ: ขอบคุณค่ะ โชคดีเหมือนกันนะ คะ (ปิดประตู) แล้วคิดในใจ ขอให้...โชคร้าย ไม่มีผู้โดยสารขึ้นรถ และขอให้พ่อที่พวก...เคารพ เป็นมะเร็งตายไปจริงๆ ด้วยเถอะ สาธุ!!!

หากว่า คำบอกเล่าของคนขับแท็กซี่ ที่บอกเจ๊จ๋อเป็นเรื่องจริงมันก็คงไม่ดีและน่ากลัวมากๆ เลยใช่ไหมคะ

วันนั้นถ้าเป็นไปได้ เจ๊อยากจะให้พวกองค์กรต่างๆ ที่คัดค้านการใช้ความรุนแรง เป็นคนขึ้นไปนั่งในรถกับเจ๊จ๋อและได้รับฟังเรื่องนี้ด้วยหูตัวเอง

เพื่อ ที่จะได้หายโง่และเลิกปกป้องพวกทรราชย์ กบฏของชาติเสียที
ว่ากลุ่มคนพวก นี้ชุมนุมแบบสันติ อหิงสาจริงหรือเปล่า ปัดโธ่ ...พวกหมา!!!!

พวก องค์กรต่างๆ ชอบบอกว่า เราเป็นคนไทยด้วยกันอย่าทำแบบนี้เลย อย่าให้มีการเสียชีวิตเกิดขึ้นเลย ใช่ค่ะเจ๊เองก็เป็นคนไทย

ไม่อยาก ให้มีการนองเลือดหรอกค่ะ แต่ในเมื่อทุกๆ วันก่อนหน้าที่จะมีการชุมนุมของคนเสื้อแดง
คนบริสุทธิ์ก็ถูกฆาตรกรรมหรือ ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตมามากมายแล้วนี่คะ ถ้าหากว่ารัฐบาลจะมีการสลายการชุมนุมจนต้องมีการสุญเสียเกิดขึ้นไม่ว่าจะ เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงหรือเจ้าหน้าที่หรือใครๆ ก็ตามให้คิดไม่ได้หรือคะว่ามันเป็นอุบัติเหตุ

เพราะว่าถ้าพวกคุณคิดว่า กลัวการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง ประเทศไทยก็ไม่สามารถที่จะเดินหน้าต่อไปได้

ถ้า เป็นอย่างนั้นจริงประเทศไทยก็คงจะสูญสิ้น เช่นกัน

"ใน เมื่อรัฐบาลได้ประกาศแล้วว่าให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ แต่เขาไม่ออกก็ เท่ากับเขาสมัครใจตายแล้วหละค่ะ ถ้าในเมื่อเขาอยากตายก็ให้เขาตายเถอะ ค่ะ" อย่างมากเราก็แค่ทำบุญไปให้เขา ประเทศเราจะได้สูงขึ้น....เจ๊จ๋อ ขอเม้าท์

ป.ล.Taxi ที่เจ๊ขึ้นเป็น Taxi สีชมพู ทะเบียน ทล(T)164...ตัวสุดท้ายเดาเอาเองนะคะ

บทการสนทนาบางประโยคอาจมีการ เปลี่ยนแปลง เพื่อลดความหยาบของคำพูด เนื่องจากคำพูดของพี่ Taxi บางคำไม่สามารถที่จะเอ่ย ณ ที่นี้ได้
.
.

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สุดยอดบทความ เจาะขบวนการแม้วลวงโลก






เป็นฟอร์เวิร์ดเมล ที่อ้างว่าผู้เขียนบทความนี้เป็นชาวญี่ปุ่น

ซึ่งเราไม่ต้องสนใจหรอกว่า เขาชื่ออะไร หรือเขาเป็นคนญี่ปุ่นจริงหรือไม่? เหมือนพวกฟายแดงพันทิปชอบถามหา

แต่แนะนำให้เราสนใจที่เนื้อหาที่เขาเขียนว่า เขาเขียนสมเหตุสมผลหรือไม่?

แต่สำหรับความเห็นของผม ผมเห็นว่า เขาวิเคราะห์ลัทธิแห่งการล่อลวง ที่เกิดจากทักษิณและลูกน้องได้อย่างเยี่ยมยอด !!

บทความแม้จะยาวไปหน่อย อยากขอให้ทุกท่านค่อยๆอ่านให้จบ จะทำให้เราชื่นชมผู้เขียนว่า วิเคราะห์ทักษิณและขบวนการได้อย่างยอดเยี่ยม!!

-----------------------------------------

บทความนี้สำคัญมาก เขียนโดยนักวิชาการชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

อ่านแล้วช่วยแชร์ต่อให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จะช่วยชาติได้อย่างมหาศาล

ลัทธิสีแดง : ลัทธิแห่งการล่อลวง - กล่องดวงใจของทักษิณและ นปช.

ความสำเร็จทางการเมืองของทักษิณมาจากไหน?

เมื่อทักษิณเตรียมจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เพื่อเตรียมเป็นนายกทักษิณได้
จ้างคนเขียนหนังสือเรื่อง "ตาดูดาว เท้าติดดิน" แล้วลงพิมพ์ในมติชนยาวต่อเนื่อง

หนังสือเล่มนั้นทำให้คนเกิดความเชื่อว่าทักษิณรวยแล้ว อยากช่วยชาติ จะไม่โกงกิน

จากนั้นทักษิณไปใช้พวกอดีตคอมมิวนิสต์ซึ่งเก่งในการหาความนิยมจากคนยากจน และคนชนบทมาช่วยคิดหาวิธีจะเอาคะแนนเสียงจากคนเหล่านี้ ซึ่งก็ได้นโยบายแนวสังคมนิยมมา เรารู้จักกันต่อมาว่า เป็นนโยบายประชานิยม

ในระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง และก่อนจะตั้งรัฐบาล ทักษิณบอกว่าจะเป็นรัฐบาลที่พูดความจริงกับประชาชน จะไม่โกหก

นโยบายและการบริหารหลายอย่างของทักษิณได้ผล คนจนได้จับเม็ดเงินจริง ๆ ยิ่งเชื่อกันใหญ่ ทั้งในเรื่องความรู้ ความสามารถและความดี ดีไปหมด เก่งไปหมด

เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป เราจึงได้เห็นธาตุแท้ของทักษิณกัน แต่คนที่หลงเชื่อและนิยมชมชอบทักษิณมองไม่เห็น

ทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็น เพราะรักเขาแล้ว เชื่อเขาแล้ว เชื่อเขาหมด

ความสามารถของทักษิณจึงอยู่ตรงที่ทำให้คนเชื่อได้จำนวนมาก

เมื่อทักษิณถูกปฏิวัติทักษิณเริ่มต่อสู้เพื่อกลับมาครองอำนาจและพาตัวเองให้พ้นผิด

ทักษิณทำอย่างไรบ้าง

ทักษิณเป็นคนที่เห็นศักยภาพของธุรกิจสื่อสาร และสื่อมวลชน

ทักษิณอ่านและเข้าใจเรื่องของสังคมข่าวสาร (information society)

ทักษิณเคยพูดหรืออ้างอิงนักวิชาการไว้ในเรื่องที่ว่า

"ในโลกยุคข่าวสาร ใครที่ครอบครองข้อมูลข่าวสาร คนนั้นเป็นผู้ชนะ"

คนทั่วไปอาจตีความว่า เป็นการเข้าถึงความรู้หรือข่าวสาร จะทำให้รู้มากแล้วชนะ

แต่ทักษิณตีความว่า เข้าครอบครอง ควบคุม และบังคับข้อมูลข่าวสารให้เป็นไปตามที่ตัวต้องการต่างหาก ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า control and manipulate information

ทักษิณชนะเลือกตั้งมาถล่มทลาย ก็เพราะความสามารถตรงนี้ (จึงไม่ใช่เพราะเงินเสียทั้งหมด)

เราก็รู้ว่าถ้าเลือกตั้งวันนี้ เพื่อไทยก็จะชนะอีก เพราะคนยังหลงเชื่ออยู่
เขาไม่ต้องใช้เงินก็ชนะ ดังนั้น อาวุธของเขาจึงไม่ใช่เงิน

แต่เป็นข้อมูลข่าวสารที่เขาควบคุมบังคับอยู่ต่างหาก ส่วนเงินนั้นใช้ในการควบคุมบังคับข้อมูลข่าวสารเป็นสำคัญ

สิ่งที่ทักษิณทำ พวกเราเห็นอยู่แล้ว ได้แก่การตั้งกลุ่มเสื้อแดงขึ้นมา

ทีแรกเป็นแค่ไว้ต้านพันธมิตร แต่เมื่อเจอการโจมตีเปิดโปงของพันธมิตร

เสื้อแดงก็แปรรูป ซึ่งเป็นการแปรรูปที่แยบยลมาก คือการจัดตั้งเวทีใช้ชื่อว่า
"ความจริงวันนี้" เอาคู่กับสัญลักษณ์สีแดง

การตั้งรายการ "ความจริงวันนี้" คือการเริ่มต้นทำ "สงครามข้อมูลข่าวสาร"
(information warfare) เริ่มจากการอภิปรายของแกนนำ สามเกลอ วีระ จตุพร ณัฐวุฒิ ฯลฯ

รายการ "ความจริงวันนี้" เริ่มให้ความเท็จตั้งแต่วันแรก และต่อเนื่องตลอดมา

เรามักนึกถึงเงินของทักษิณ คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทักษิณมีฤทธิ์

แต่ฤทธิ์ของทักษิณจริงๆ มีที่มาจากความสามารถในการโกหก

ซึ่งเป็นสิ่งที่ทักษิณเก่งมาก มีทักษะสูงมาก เพราะฝึกมาตั้งแต่เด็ก ๆ

ทักษิณเป็นคนโกงที่โกหกเก่งที่สุด ใครที่เคยคุยกับทักษิณ หรือฟังทักษิณพูด จะรู้ดีว่าได้เคลิบเคลิ้มไปแค่ไหน ไม่ว่าจะมีการศึกษาระดับไหนก็ต้องเคยเคลิ้มกันมาแล้วทั้งนั้น

นับประสาอะไรกับมวลชนของคนเสื้อแดง กว่าจะรู้ตัวก็สายกันแล้ว จะอย่างไรก็ตาม
ตอนนี้พวกเรารู้ตัวแล้ว แต่ยังมีคนที่ไม่รู้ตัวอีกมากมาย

จึงต้องช่วยให้เขาเห็นความจริงและรู้ตัวว่าถูกหลอกลวงอย่างไร ทักษิณจึงจะหมดฤทธิ์จริง ๆ

เมษายน 2552 ทักษิณสามารถระดมคนได้เกือบแสนคน มากกว่าที่พันธมิตรเคยระดมได้

ทักษิณกะจะล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยยั่วยุให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้กำลังปราบปราม จะได้กลายเป็นทรราชย์ขาดความชอบธรรม แต่โชคดีที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปราบอย่างรอบคอบ

ปี 2552 จึงไม่มีคนล้มตาย และมีสื่อต่างชาติคือ CNN เป็นพยานให้ โดยยืนยันซึ่งหน้าตอนที่ทักษิณให้สัมภาษณ์ CNN ว่า ที่ทักษิณว่าคนตายเป็นร้อยนั้น ไม่เป็นความจริง

เมษาเลือดปี 52 ของทักษิณจึงทำให้ทักษิณแพ้ไป นั่นคือ CNN จับโกหกทักษิณได้ต่อหน้าคนทั้งโลกที่ดู CNN อยู่

เห็นหรือยังว่า แพ้ชนะ ยุคนี้ อยู่ที่สงครามข่าวสาร

หลังจากทักษิณแพ้เมื่อเมษา 52 ถ้าเราสังเกตจะเห็นชัดเจนว่า ทักษิณวางแผนจะกลับมาอีก

ต้องดูว่าทักษิณลงทุนไปกับอะไรมากที่สุด แล้วใช้สิ่งที่ลงทุนไปทำงานอะไรให้ทักษิณมากที่สุด

ทักษิณให้เงินแกนนำ นปช. แน่นอน ให้เงิน ส.ส.เพื่อไทย แน่นอน ให้เงินหัวคะแนนแน่นอน

ต้องจ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการจัดชุมนุม อภิปราย ทั้งค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าเวที ฯลฯ แน่นอน

แต่ที่ทักษิณจ่ายมากที่สุด คือการสร้างเครื่องมือในการทำสงครามข่าวสาร

ทักษิณลงทุนอะไรอีกบ้างหลังสงกรานต์เลือด?

ตั้ง PTV ออกอากาศผ่านดาวเทียม และออกผ่านเว็บไซท์

เว็บไซท์ เสื้อแดง มีเยอะมาก ทักษิณสร้างทีมเรียกว่า นักรบไซเบอร์ ช่วยกันเผยแพร่ความเท็จ

ลองสำรวจดูว่ามีทั้งหมดกี่เว็บไซท์ ทั้งที่ใช้ เซิร์ฟเวอร์ ในประเทศและ ต่างประเทศ

วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์และวารสารแดง สร้างคนหลงลมลวงได้มหาศาล

หนังสือเล่ม แบบ Where are you? ของหมวดเจี๊ยบ แกก็ไปหาทักษิณรับเงินมาเหมือนกัน

นอกจากนี้ยังมี Hi 5, Facebook, Twitter

สื่อในต่างประเทศ บริษัท Lobbyist ในอเมริกาไปตรวจสอบดูก็จะรู้ว่าบริษัทอะไร ช่วยนัดสื่อระดับโลกไปสัมภาษณ์ทักษิณ สร้างทั้งความน่าเชื่อถือ และการเอาความเท็จให้กับต่างชาติ

ทำให้คนในเมืองไทยเชื่อสนิทหนักเข้าไปอีก

เห็นไหมว่าฝรั่งยังเชื่อถือ รัฐบาลต่างชาติก็หลงลมไปหลายชาติ นึกว่าทักษิณเก่งเศรษฐกิจ เชิญให้เป็นที่ปรึกษา

ฮุนเซนก็หลงลม แล้วก็ยังมีบริษัทหรือมูลนิธิอะไรที่ฮ่องกงชื่อ Sam Hui ก็เป็น lobbyistที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ความเก่งกาจให้ทักษิณด้วย

นักการเมือง/นักวิชาการ พวกบ้านเลขที่ 111 และนักวิชาการพวกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน พวกนี้ก็เสื้อแดงทั้งนั้น การพูดของคนพวกนี้ก็สร้างความน่าเชื่อถือให้ทักษิณมากขึ้น

ส.ส.เพื่อไทย รวมทั้งว่าที่ผู้จะสมัคร ส.ส.เพื่อไทย ตลอดจนหัวคะแนน พวกนี้ก็จะช่วยพูดปากต่อปากช่วยกันหลอกลวงราษฎรให้เชื่อว่าทักษิณดี ทักษิณเก่ง ทักษิณถูกรังแก บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย อภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน

อภิสิทธิ์สร้างฉากที่มหาดไทยเพราะไม่ได้อยู่ในรถที่ถูกทุบ ฯลฯ ความเท็จทั้งนั้น แต่คนก็เชื่อ

แกนนำในต่างจังหวัด อย่างขวัญชัย ที่อุดร หรือเพชรวรรต ที่เชียงใหม่และอีกหลายๆ จังหวัด

โรงเรียนการเมืองของ นปช. นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ฝึกแกนนำเพิ่มเติมเอาความเท็จบรรจุลงในหลักสูตร แล้ววางระบบการควบคุมสั่งการ ติดต่อสื่อสาร จ่ายเงิน และหาเหยื่อเพิ่มเสร็จสรรพ

ศึกษาต่อไปอาจจะเจอเครื่องมืออื่นๆ อีก แต่เท่าที่จำแนกให้ดูนี้ก็น่าจะพอแก่การประเมินได้แล้วว่า เครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อของทักษิณนั้น มหาศาลขนาดไหน และประสิทธิภาพสูงขนาดไหน

และพอจะประมาณได้หรือยังว่า ทักษิณ ทุ่มทุนลงไปขนาดไหน

จริงอยู่ทำทั้งหมดนี้ต้องใช้เงิน แต่ขอให้เห็นประเด็นให้ชัดว่า เงินไม่ใช่ตัวความสามารถหลัก เงินถูกนำไปสร้างความสามารถในการหลอกลวงต่างหาก

แล้วเมื่อหลอกคนสำเร็จ จะใช้ให้คนทำอะไรให้ก็ได้ พูดขาวให้เป็นดำก็ได้ จะบอกว่าใครเลวก็ได้

สังเกตต่อไปจะเห็นว่าปีที่ผ่านมา ทักษิณทดลองเครื่องมือของสงคราม (war mechanism)

โดยลองทำ clip เสียงอภิสิทธิ์ ตัดต่อดื้อ ๆ ให้เหมือนกับสั่งให้ฆ่าผู้ชุมนุม แล้วปล่อยให้หลุดออกไป

สังเกตดูจะเห็นการทำงานของกลไกสงครามของทักษิณชัดเจน แกนนำเอาไปพูดในที่ชุมนุม ส.ส.เพื่อไทยเอาไปพูดในสภา สื่อของทักษิณทุกสื่อเอาออกเผยแพร่ ความเท็จ 100%

แต่ก็ยังสามารถทำให้คนจำนวนมากหลงเชื่อได้

ปีที่แล้วทั้งปี ทักษิณ phone in ไปทุกจังหวัดที่จัดการชุมนุม เพื่อสร้างภาพและความเข้าใจ และความเชื่อของคนทุกจังหวัดให้ตรงกัน

ในประเด็นที่คิดมาอย่างดีแล้ว เช่น อำมาตยาธิปไตย รัฐบาลทหารตั้งสองมาตรฐาน

สู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ทักษิณถูกรังแก ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย ช่วยกันทำประชาธิปไตยที่แท้จริงไว้ให้ลูกหลาน

ทักษิณหลอกลวงคนทั้งประเทศให้เชื่อว่า การออกมาเคลื่อนไหวนั้นเป็นการกระทำไปเพื่อชาติ เป็นการกระทำที่รักชาติ เสียสละเพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของทักษิณ

ปีนี้จึงไม่แปลกว่าเมื่อเครื่องมือพร้อมแล้ว ทักษิณก็ลงมืออีก อย่างที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้

ถ้าเอาเทป video หรือ phone link ของทักษิณมาดู ฟังไปจะพบว่า ทุกครั้งที่พูด
ทักษิณ จะเน้นว่า ตัวเองและเสื้อแดงพูดความจริง และรัฐบาลพูดเท็จ

และจะใช้เวลาตรงนี้ประมาณ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด เพื่อย้ำการหลอกลวงไม่ให้พลาด

จากนั้นแกนนำก็จะย้ำตามต่อไป คนฟังก็จะเคลิ้ม นึกว่ากำลังฟังความจริงที่ถูกปกปิดอยู่

ถ้าเช่นนั้น ขบวนการทั้งหมดของทักษิณ มีลักษณะเป็นอะไร?

คำตอบคือ เป็นลัทธินิกายชนิดหนึ่ง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cult

เหมือนกับลัทธิโอมชินริเคียว ที่วางยาพิษคนที่สถานีรถใต้ตินที่ญี่ปุ่น หรือ James Jones ที่หลอกให้สาวกฆ่าตัวตายจำนวนมาก โดยมีทักษิณ เป็นศาสดา มีแกนนำอย่างจตุพร พวกสามเกลอ และพวก ส.ส. เพื่อไทยทั้งหลาย เป็นสมุนรับใช้ โดยมีราษฎรคนเสื้อแดงที่ตกเป็นเหยื่อ

เพียงแต่ทักษิณ เป็น Cult ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกเท่านั้น

ความสามารถของ Cult ทั้งหลาย คือความสามารถในการที่ทำให้สาวกเชื่อสนิท
ถึงขั้นสั่งให้ทำอะไรก็ได้ บางแห่งถึงกับให้ฆ่าตัวตายก็ยังทำตาม

ส่วนทักษิณอาจยังไม่ถึงขั้นทำให้คนฆ่าตัวตายได้ แต่ทักษิณหาสาวกได้มากกว่า cult อื่นๆ แน่

ดูลุงคนที่ขโมยเงินเมียมา 20,000 บาท แล้วเดินทางมากรุงเทพฯ คนเดียว เตรียมขี้วัวมาเสร็จ แล้วไปที่บ้านอภิสิทธิ์ แล้วขว้างขี้ใส่ โดยไม่ต้องมีใครสั่งเลย

ดังนั้นก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพของการหลอกลวงของทักษิณได้ชัดเจน ถ้าจะมีคนยอมตายเพื่อทักษิณ ก็ไม่น่าจะเกินวิสัย และเรื่องนี้จะน่ากลัวเพราะอาจให้คนเผาตัวประท้วง หรือบุกเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ จนต้องปะทะกัน เป็นต้น

เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว มองเห็นกล่องดวงใจของทักษิณแล้วหรือยัง?

จะฆ่าทศกัณฐ์อย่างทักษิณ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกล่องยิงธนูใส่เอาดาบฟัน ก็ไม่ตาย

ต้องไปหากล่องดวงใจให้เจอ พอเจอแล้วแทง ทศกัณฐ์จึงจะตาย ทักษิณก็เหมือนกัน

ความสามารถในการหลอกลวงของทักษิณ คือกล่องดวงใจของทักษิณ

ถ้าทำลายความสามารถนี้ได้ ทักษิณก็จะหมดฤทธิ์ อย่าทำให้แกตายแบบเสียชีวิต
แต่ควรให้แกมีชีวิตอยู่ และควรทำให้ประชาชนที่ถูกทักษิณหลอกลวงได้ตาสว่าง

เพื่อให้มองเห็นว่าถูกทักษิณหลอกมาอย่างไร และกำลังหลอกให้ทำอะไรอยู่
เมื่อเหยื่อตาสว่าง ก็จะมองเห็นธาตุแท้ของทักษิณ

แล้วให้ทักษิณรับกรรมจากคนที่ตัวเองล่อลวงไว้นั้น แกสมควรจะได้รับสิ่งที่ทำลงไป

การทำลายความสามารถในการหลอกลวงของทักษิณ?

ทำได้ด้วยการพิสูจน์อย่างไม่มีข้อสงสัยในเรื่องที่ทักษิณกับสมุน โกหกหลอกลวง
คนเสื้อแดง ต้องใช้ความจริงเท่านั้นในการพิสูจน์ ต้องไม่ใส่ร้าย

และต้องไม่ใช้เรื่องที่ยังไม่ชัดเจน เอาเฉพาะเรื่องที่แกโกหกหลอกลวงอย่างแน่นอน
ก็มีหลายร้อยเรื่องแล้ว

ประเด็นอยู่ที่การชี้ให้เห็นว่า ทักษิณนั้น หลอกลวงคนที่รักทักษิณนั้นเอง และอธิบายให้เห็นว่า หลอกอย่างไร แล้วทักษิณจะได้อะไรจากการที่คนเชื่อ

เราต้องไม่หลงประเด็น หลายอย่างที่ทักษิณทำตอนเป็นนายก แล้วราษฎรได้ประโยชน์ ต้องยอมรับว่ามีอยู่

แต่เราต้องชี้ให้เห็นว่า ส่วนที่ทำชั่วมีอะไรบ้าง และที่ทำดีนั้น ทำได้อย่างไร เพื่อให้ได้อะไรในที่สุด ส่วนที่โกหกหลอกลวงอยู่ตรงไหน

ตัวอย่างการล่อลวงของทักษิณและแกนนำ นปช.


ประเด็นอำมาตยาธิปไตย เรื่องนี้เป็นเท็จอย่างไร ลองพิจารณาดู

คำ ๆ นี้ในตำรารัฐศาสตร์ไม่มี ถ้าในภาษาอังกฤษอาจเทียบได้ 2 คำ คือ Aristocracy กับ Oligarchy ซึ่งหมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่มีอภิสิทธิ์หน่อย เป็นผู้ปกครอง

แต่ความหมายตามนัยที่ทักษิณต้องการ คงหมายถึงพระเจ้าอยู่หัว หรือ พลเอกเปรม ว่า มีอิทธิพลครอบงำรัฐบาลและข้าราชการต่าง ๆ ทั้งที่ไม่ควรมีใครมีอำนาจอย่างนี้

คำว่าอำมาตยาธิปไตย ประดิษฐ์ขึ้นโดยจักรภพ เพ็ญแข แล้วทักษิณรับมาใช้ ให้ นปช.ขยายต่อ จนคนเสื้อแดงนึกว่ามีอยู่จริง ๆ

ทักษิณเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แล้วแก้กฎหมายให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือบริหารให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือที่เรียกร้องมาตลอดคือจะเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้

ก็รัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ใช่หรือที่ใช้อยู่ตอนที่ทักษิณบอกว่า อำมาตย์สั่งทหารให้โค่นทักษิณ

ดังนั้นถึงใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ก็ไม่สามารถป้องกันอำมาตย์ได้ เห็น ๆ อยู่

การเรียกร้องเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ จึงเป็นการหลอกลวง เพราะที่ทักษิณต้องการจริง ๆ จะเกี่ยวกับการทำให้ทักษิณพ้นผิด และการโกงง่ายกว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันต่างหาก

เพราะรัฐธรรมนูญของไทยไม่ว่าฉบับไหนไม่มีเขียนให้อำนาจอำมาตย์ไว้

ความจริงการที่ใครสักคนสามารถสั่งการหรือแนะนำคนให้ทำตามที่ตัวแนะนำได้โดยไม่ต้องมีอำนาจตามกฎหมายรองรับนั้น เรียกว่าบารมี แต่จะเกิดขึ้นได้เพราะคนที่เชื่อฟังเขาให้ความเคารพนับถือ เท่านั้น

ถ้าพลเอกเปรม ได้รับความเชื่อถือจากนักการเมืองและข้าราชการ จะเอากฎหมายอะไรไปห้ามไม่ให้เขาเชื่อถือ จะสั่งอย่างไรไม่ให้พลเอกเปรมไปพูดจากับคนอื่น มันเป็นสิทธิเสรีภาพของเขา

ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญจึงไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้

การออกมาชุมนุมของเสื้อแดงเพื่อเรียกร้อง จึงเป็นการหลอกลวงแท้ ๆ ของทักษิณ

หรืออย่างเมื่อทักษิณ phone in ในช่วง 2-3 วันมานี้ ทักษิณอ้างว่าต้องการแก้ระบบ

ไม่ได้เจาะจงอำมาตย์คนไหน ถ้าอย่างนั้น ระบบอำมาตยาธิปไตยหมายความว่าอย่างไร?

หมายความถึง การที่อำมาตย์ซึ่งเป็นผู้มีบารมีที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
ไปบอกให้รัฐบาลหรือข้าราชการทำอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ตัวต้องการใช่หรือไม่

ถ้าใช่ ฐานะปัจจุบันของทักษิณก็เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญตัวจริง ที่กำลังสั่งการให้ สส.เพื่อไทย ทำตามที่ตัวเองต้องการอยู่

ทักษิณก็ต้องเป็นระบบอำมาตยาธิปไตยที่ตัวเองกำลังต่อต้านเหมือนกัน ใช่หรือไม่

นี่ก็แสดงถึงความเท็จที่ทักษิณกำลังหลอกลวงคนอยู่อย่างชัดเจน

ประเด็น สองมาตรฐานคือ ??

เรื่องนี้ทักษิณเอามาพูดหลายหนอย่างมาก แต่เอาที่จตุพรพูดกับอภิสิทธิ์ตอนเจรจากันออกทีวี

ซึ่งจตุพรบอกว่ารัฐบาลนี้ได้รับการสนับสนุนจากทหาร เมื่อนายสมัครเป็นนายกฯ เคยออก พรก.ฉุกเฉิน แล้วสั่งให้ทหารสลาย mob พันธมิตร แต่ทหารไม่ทำ แต่พอนายอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ ทหารกลับช่วยทำทุกอย่าง เป็นเรื่องสองมาตรฐาน 

เรื่องนี้เป็นจริงหรือเท็จอย่างไร ?

ตอนที่สมัครเป็นนายก พันธมิตรยึดทำเนียบ สมัครประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน แล้วสั่งการให้ดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุม แล้วพลเอกอนุพงศ์ ผบ.ทบ. ได้นำกำลังเข้ามา แต่ไม่ดำเนินการเพื่อสลายการชุมนุม ถ้าไปดูให้ดีจะเห็นว่า นายสมัครไม่ได้สั่งให้ชัดเจนว่าจะให้ทหารทำอะไร พลเอกอนุพงศ์ก็เลยไม่ทำ

บอกว่าให้สั่งให้ชัดเจน แต่สมัครไม่กล้าสั่ง คงรู้และกลัวจะต้องรับผิดชอบ

จตุพรก็เลยกล่าวหาว่าทหารไม่ทำหน้าที่ แต่ถ้ากลับไปดูสัมภาษณ์และหลักฐานเอกสารดี ๆ จะเห็นชัด

ตอนรัฐบาลสมชายยิ่งแล้วใหญ่ สั่งให้ตำรวจสลายการปิดล้อมสภาเมื่อ 7 ตุลา ตำรวจทำรุนแรงจนประชาชนบาดเจ็บและตาย โดยนายกฯ สมชาย โยนความผิดให้ตำรวจ บอกว่า ตัวเองไม่ได้สั่ง บิ๊กจิ๋วเป็นคนสั่ง

ส่วนบิ๊กจิ๋ว บอก ผมสั่งแต่ไม่ได้สั่งให้ทำแบบนั้น ส่วน พล.ต.อ.พัชรวาทย์ ผบ.ตร. บอก เขาสั่งข้ามหัวผม สรุปแล้วคนที่รับผิดคือ พล.ต.ท. สุชาติ เหมือนแก้ว ซึ่งเป็น ผบช.น.ในขณะนั้น ถูกดำเนินคดีทั้งทางวินัยและทางอาญา

หลังจากนั้น เมื่อพวกพันธมิตรไปยึดสนามบิน รัฐบาลสมชายประชุม
จะให้ตำรวจไปจัดการสลาย mob จากสนามบิน

ตำรวจคือ สุชาติ เหมือนแก้ว บอกกับ ครม.ว่า ถ้าจะให้ตำรวจทำต้องสั่งให้ชัดเจน มีผู้รับผิดชอบชัดเจน ไม่งั้นนักการเมืองไม่ต้องรับผิด ตำรวจต้องรับผิด

ครม.สมชายไม่กล้าสั่งเอง โยนไปให้คณะกรรมการติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคง ซึ่งรัฐบาลตั้งขึ้น มี ผบ.ทบ.เป็นประธาน และปลัดทุกกระทรวงเป็นกรรมการ ให้เอาไปพิจารณา

โดยต้องการให้กรรมการชุดนี้เสนอแนะให้สลาย mob โดยเสนอวิธีการมาให้เลย
ปรากฎว่าคณะกรรมการชุดนั้นประชุมเสร็จแล้วมีมติว่า รัฐบาลยุบสภาเสียดีกว่า

นายกสมชายกลับจากเปรูคืนนั้นบินไปลงที่เชียงใหม่ พอ 4 ทุ่ม ไม่รู้ว่าปรึกษาใคร
ก็ออกแถลงการณ์สดประกาศว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออก

ทั้งหมดนี้ จะเห็นว่า ความจริงทหารตำรวจไม่ได้ใส่เกียร์ว่างเพราะไม่เต็มใจทำงานให้ หรือมีใครสั่งไม่ให้ร่วมมือ แต่เป็นเพราะนักการเมืองไม่รับผิดชอบ ต้องการจะให้ข้าราชการประจำปราบ แต่ตัวเองไม่ต้องรับผิด เขาเลยไม่ทำ เพราะทำแล้วจะต้องกลายเป็นคนผิด

มาดูสมัยอภิสิทธิ์บ้าง เมื่ออริสม้นต์นำเสื้อแดงบุกการประชุม Summit
ที่พัทยาจะเห็นว่า ตำรวจและทหารเรืออีกจำนวนมากก็เกียร์ว่างเหมือนกั เพราะตอนนั้นฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ออกมาแสดงตัวว่าจะรับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้น วางกำลังไว้แต่กฎการใช้กำลังไม่ชัดเจน คำสั่งให้ปฏิบัติอย่างไร เพียงใด ไม่ชัดเจน เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ การประชุมก็เลยล่ม

*ถ้าอำมาตย์ค้ำอภิสิทธิ์จริง ตำรวจและทหารก็คงปฏิบัติหน้าที่เข้มแข็งกว่านั้นแน่นอน***

บ่ายวันนั้น อภิสิทธิ์ประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน แต่ mob ก็สลายไปแล้ว

อย่างไรก็ตามคืนวันนั้นรัฐบาลประชุมกับฝ่ายตำรวจและทหาร

อภิสิทธิ์แจ้งชัดเจนว่าการตัดสินใจต่อจากนี้ เป็นการตัดสินใจของรัฐบาล
รัฐบาลเป็นผู้ออกคำสั่ง และจะรับผิดชอบต่อการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ชัดเจน ออกTV ด้วย

หลังจากนั้น ทหารและตำรวจจึงปฏิบัติตามคำสั่ง เอาเทปเหตุการณ์มาดูอีกทีก็จะเห็นชัดเจน

ดังนั้นการกล่าวหาของนายจตุพรที่ว่า อำมาตย์สั่งทหารให้ค้ำอภิสิทธิ์จึงเป็นความเท็จ!

การกล่าวหาว่า ทหารและตำรวจใช้สองมาตรฐานต่อคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงจึงเป็นความเท็จ

แต่ถ้าบอกว่าเป็นต่างมาตรฐานหรือไม่ ต้องตอบว่าต่าง

เหตุเพราะรัฐบาลของนายสมัครและนายสมชาย ไม่กล้ารับผิดจากการสั่งงานของตัว จึงไม่ได้รับความร่วมมือจากทหารตำรวจ แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ออกมาพร้อมที่จะรับผิดชอบ จึงได้รับความร่วมมือ มาตรฐานต่างกันตรงนี้ต่างหาก

ความเท็จที่ทักษิณกับสมุนเอาออกมาปั่นหัวประชาชนในเรื่องนี้ ทำให้คนคิดว่ามีความไม่ยุติธรรมจริง ๆ จึงพากันออกมาต่อสู้เพื่อความยุติธรรม

เห็นภาพของการล่อลวงชัดเจนหรือยัง เป็นการจงใจสร้างเรื่องเท็จไปล่อลวงเพื่อใช้คนเหล่านั้น คนที่รักทักษิณ เชื่อในทักษิณ รักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม ให้เป็นเครื่องมือของทักษิณ

โดยหลอกให้เขานึกว่าที่เขาทำตามนั้น เพื่อประชาธิปไตย เพื่อบ้านเมือง เพราะทหารจะปฏิวัติ จึลต้องออกมาต่อต้านการปฏิวัติ??

เรื่องนี้ทักษิณกับสมุนที่เป็นแกนนำใช้หลอกลวงมวลชนมาตลอด ข้อพิสูจน์ที่เป็นจริงของเรื่องนี้ คือ

ตั้งแต่นายอภิสิทธิ์มาเป็นนายก ทักษิณและแกนนำ นปช.ก็ปล่อยข่าวลือว่าทหารจะปฏิว้ติมาตลอด

ถ้าเอาที่พูดบนเวที ที่พูดในสภา ที่ออก TV เสื้อแดงมานับดู ก็จะพบว่ามีการหลอกมวลชนของตัวเอง ว่าทหารจะปฏิวัติมาแล้ว เป็นร้อย ๆ ครั้ง เฉพาะจตุพรคนเดียวก็นับไม่ไหวแล้ว แต่ทหารก็ยังไม่ได้ปฏิวัติสักที

ความจริงทหารที่ถูกกล่าวหา เพราะบางครั้งระบุชื่อเลย เช่นพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา เป็นต้น

น่าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้กล่าวหา เพื่อทำให้ผู้กล่าวหาต้องออกมาขอโทษต่อสาธารณชน ยอมรับว่าได้โกหก

ถ้าเราทำอย่างนี้ คนก็จะเริ่มเห็นว่า ทักษิณโกหก นปช.โกหก เพื่อจะลวงล่อให้ประชาชนก่อเหตุ

ทักษิณเป็นประชาธิปไตย ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของการถูกทำลาย ถูกรังแก?

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชี้มุมโกหกหลอกลวงของทักษิณยากหน่อย สำหรับคนมีการศึกษาดีหรือเรียนทางรัฐศาสตร์มาจะเข้าใจง่ายมาก

แต่คนที่ไม่ได้เรียนมาจะไม่ค่อยเข้าใจ เพราะการใช้รูปแบบของการเมืองที่มีการเลือกตั้งจะทำให้คนเข้าใจว่าการที่ชนะเลือกตั้งแล้วเข้ามาปกครองประเทศ ก็เป็นไปตามประชาธิปไตยแล้ว

แต่ต้องเข้าใจลึกกว่านั้นนิดหนึ่งว่า การเป็นประชาธิปไตยนั้นนอกเหนือจากการเลือกตั้งแล้ว จะต้องมีลักษณะอื่น ๆ ที่จำเป็นด้วย เช่น การที่นักการเมืองทำการเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่, การแบ่งแยกอำนาจ,การตัดสินใจโดยสภา, การมีอิสระของศาล เป็นต้น

ซึ่งในประเด็นอื่น ๆ นอกจากการชนะเลือกตั้งมาแล้ว ทักษิณละเมิดหมดเลย นับตั้งแต่รวบอำนาจไว้กับตัว

ซื้อพรรคการเมืองอื่นเข้าร่วม ติดสินบนศาล สั่งการ ส.ว.ได้หมด

แต่งตั้งญาติและเพื่อนเข้าตำแหน่งสำคัญในวงราชการ

งานประมูลทั้งปวงของรัฐให้น้องสาวชื่อเจ๊แดง ชี้เป็นชี้ตายได้หมด ผูกขาดธุรกิจ
ถึงขั้นแก้กฎหมายหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ซึ่งเป็นการรวบอำนาจเด็ดขาดไว้กับตัว
ทำให้สาระของรัฐบาลทักษิณ เป็นรัฐบาล "เผด็จการโดยรัฐสภา" เหมือนกับ Hitler ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งชนะเลือกตั้งมาเหมือนกัน น่าจะเป็นประชาธิปไตย แต่ต่อมาฮิตเลอร์แกรวบอำนาจจากสภาและทุกอย่างมาไว้ที่ตัว

ซึ่งเราทุกคนก็รู้ดีว่า Hitler คือจอมเผด็จการที่กุมอำนาจทุกด้านในเยอรมันไว้กับตัวทั้งหมด จนทั้งโลกต้องทำสงครามโลกจึงจะปราบ Hitler ซึ่งชนะเลือกตั้งลงไปได้

ดังนั้นทักษิณ จึงไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นสัญลักษณ์ของ "เผด็จการโดยรัฐสภา" ต่างหาก เป็นตัวอย่างของการฉ้อฉลในระบอบประชาธิปไตย

ส่วนที่ว่าแกถูกทำลายถูกรังแกนั้น ไปดูเอาเองว่าใครรังแกแกอย่างไร
อธิบายให้มวลชนเสื้อแดงที่เมาหมัดฟัง คงไม่ยากนัก


ประเด็น นปช.พูดความจริง สื่อถูกบังคับให้บิดเบือน?

เรื่องนี้สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของทักษิณและ นปช. เกือบ 100% ของสิ่งที่พูดใน TV
และเวทีของ นปช.ล้วนเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และสามารถเอาเทปมาดู
แล้วทำความจริงเปรียบเทียบเพื่อให้มวลชนคนเสื้อแดงเห็นความจริงได้จำนวนมาก
และเป็นสิ่งที่เราต้องทำหลังจากการแก้วิกฤตเมษาปี 2553 ไปแล้ว อย่างน้อย ๆสักปีสองปี

กว่าคนจะตาสว่าง อาจต้องนานกว่านั้นด้วยซ้ำ การโกหกบิดเบือนในเรื่องนี้
ทำให้ดูเหมือนว่าทักษิณพูดความจริง


ประเด็น อภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน?

กรณี Clip เสียงตัดต่อนี้ ได้อธิบายไว้แล้วข้างต้น แต่ยังต้องนำเอาความจริงไปสู่ประชาชน ที่ถูกล่อลวงให้เห็นให้ชัดให้ได้


ประเด็น เปรมเป็นคนวางแผนรัฐประหาร??

เรื่องนี้เป็นสาเหตุของการประดิษฐ์ศัพท์ที่เรียกว่า อำมาตยาธิปไตย
ซึ่งเราต้องอธิบายให้ดี ความจริงที่เห็นได้คือพลเอกเปรม ออกมาด่าทักษิณแน่นอน

ที่เหลือที่พลเอกพัลลภ ไปเล่าให้ทักษิณฟัง ไม่มีใครพิสูจน์อะไรได้
พัลลภพูดอะไรก็ได้ให้ตัวเองได้เงิน แต่ทักษิณเอาไปทึกทักว่าจริง แล้วเอาไปหลอกมวลชนของตัวเองว่าพลเอกเปรม เป็นคนวางแผนฏิวัติ ซึ่งไม่แฟร์!!

การที่พลเอกเปรมพูดแล้วทำให้เกิดการปฏิวัติในเวลาต่อมานั้น
ไม่ได้หมายความว่าพลเอกเปรมวางแผน

แต่ความที่พลเอกเปรมเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง เมื่อด่าทักษิณแล้ว ทำให้การปฏิวัติขับไล่ทักษิณเกิดขึ้นได้

ซึ่งความจริงจะมองว่าเป็นการฉวยโอกาสของ คมช.ก็ได้

อย่างไรก็ตามความเลวของทักษิณก็สมควรแก่การถูกล้มล้าง เห็นได้จากการที่ประชาชนเอาดอกไม้ไปมอบให้ทหารที่ปฏิวัติ แต่ในที่สุดการปฏิวัติของ คมช.
กลายเป็นประโยชน์แก่ทักษิณ เพราะทักษิณเอาไปอ้างได้ว่าตัวเองได้รับเลือกตั้งแล้วถูกล้มล้างจากการรัฐประหาร กลายเป็นความชอบธรรมของทักษิณที่จะเอาไปอ้างได้กับคนไทยและคนที่ออกเสียงเลือกทักษิณมา รวมทั้งไปอ้างกับคนทั่วโลกด้วย

แต่ประเด็นก็คือ การอ้างว่าพลเอกเปรมวางแผนรัฐประหารนั้น เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน ไม่เคยมีใครยืนยันได้

มองในมุมหนึ่งก็เป็นศาลเตี้ย ที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยมีโอกาสแก้ตัวเลย

แต่การพูดย้ำกันเป็นร้อย ๆ พัน ๆ ครั้งโดยทักษิณกับสมุน ก็ทำให้คนหลงเชื่อได้
แต่สิ่งที่ตามมาคือ คนเกลียดพลเอกเปรม ทั้งที่ไม่รู้ความจริง

และไม่เป็นธรรมกับพลเอกเปรมที่ได้ประกอบคุณงามความดีมาตลอดชีวิต
มากกว่าทักษิณหลายเท่า และพลเอกเปรมก็ไม่เคยตอบโต้หรืออธิบายหรือแก้ตัวเลย

สังคมไทยเราปล่อยให้คนดีถูกทำร้ายจิตใจโดยไม่ช่วยเหลือเห็นใจกันเลย น่าเศร้า
การอธิบายเรื่องนี้ให้มวลชนเสื้อแดงทราบ

คงต้องใช้วิธีตั้งคำถามให้พวกเขาสำรวจจิตใจของตัวเองอาจจะพอได้


ประเด็น ทหารตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์?

อันนี้เป็นข้อกล่าวหาที่แก้ง่ายมาก การที่ทหารสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลนั้น
เกิดขึ้นหลังจากการล้มของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน 2 รัฐบาล
และมีความขัดแย้งสูงในบ้านเมือง เมื่อเปลี่ยนขั้วแล้ว บ้านเมืองสงบขึ้นจริงอยู่ระยะหนึ่ง

ทำให้การที่ฝ่ายทหารสนับสนุนการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลครั้งนั้น เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อความสงบของบ้านเมืองจริง หลังจากที่สามารถฟันฝ่าการเผาเมืองของทักษิณเมื่อเมษา 2552 มาได้

ปัจจุบันที่ ทักษิณและ นปช.สามารถล่อลวงคนให้หลงเชื่อได้จำนวนมาก จึงทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองขึ้นมาอีก และโดยที่รัฐบาลไม่ได้เฉลียวใจระวัง
ป้องกันต่อต้านมาตั้งแต่ต้น ในขณะนี้จึงต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างลำบากอีก

การอธิบายเรื่องนี้ทำได้ไม่ยาก เพียงตั้งคำถามให้กับ นปช.และพรรคเพื่อไทย
ว่าเหตุผลที่ทหารไม่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยเพราะอะไร ?

เพราะพรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือของทักษิณ เป็นพรรคที่เอาความเท็จไปพูดในสภา

เช่นกรณีกล่าวหาว่าทหารฆ่าคนตายช่วงสงกรานต์ 2552 หรือกรณี clip เสียงที่ทำขึ้นมาใส่ร้ายอภิสิทธิ์ แล้วเอาไปพูดออกอากาศในสภาราวกับเป็นเรื่องจริง

เพราะต้องการสร้างเรื่องใส่ร้ายให้คนเกลียดชังรัฐบาล แล้วจะไม่ให้ทหารสนับสนุนได้อย่างไร

ทุกเรื่อง ทักษิณกับสมุน ก็เอาความเท็จไปหลอกลวงมวลชนของตัวเองทั้งนั้น


ประเด็น เศรษฐกิจแย่ลง สู้สมัยทักษิณไม่ได้?

เรื่องนี้ชี้แจงง่ายที่สุด เมื่อวันก่อน นายกรณ์ รมว.คลังได้แสดงตัวเลขที่ทำให้เห็นว่า รัฐบาลนี้ มีผลงานเหนือ รัฐบาลทักษิณในทุกหัวข้อ ทั้งที่อยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก

แต่ถูกทักษิณเตะตัดขาตลอดเวลา ทักษิณพูดออกวิดีโอลิงค์ ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจแย่ ซึ่งเป็นความเท็จ เพราะเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น

ความจริงก็คือทักษิณกลัวว่า หากไม่รีบล้มรัฐบาล แล้วมีการเลือกตั้งตอนนี้ คนจะหันไปนิยมรัฐบาลอภิสิทธิ์มากขึ้น จึงต้องทำลายทุกวิถีทาง รวมทั้งก่อเรื่องให้เศรษฐกิจกระทบกระเทือนด้วย ซึ่งจะเห็นเล่ห์กลของทักษิณอย่างชัดเจน

ที่ยกตัวอย่างมานี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

เพียงต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ทักษิณ กับ นปช. และ ส.ส.เพื่อไทย ร่วมมือกันให้ความเท็จ โดยจงใจ และวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อหลอกลวงมวลชนของตัวเองให้ออกมาเคลื่อนไหวและทำตามที่บงการ แม้จะให้ทำสิ่งที่ผิดกฏหมายก็ตาม

หวังว่าผู้อ่านคงจะเห็นความสำคัญของการช่วยกันเปิดโปงการล่อลวงของทักษิณกับสมุนในทุกเรื่องทุกมุม ทุกวงการ ทุกเวที จนกลายเป็นกระแสนำของสังคม

ถ้ามีคนช่วยกันเปิดโปงเป็นหมื่น ๆ คน ร้อย ๆ กลุ่ม รัฐบาลทำคนเดียวไม่พอ

แต่รัฐบาลต้องเป็นตัวนำ และผู้คนสนับสนุนช่วยกัน ถ้าทำใน ระดับที่เล็กกว่านี้
อาจจะไม่เพียงพอที่จะรับมือกับภัยคุกคามต่อชาติในครั้งนี้

*สรุปส่งท้าย***

สิ่งสำคัญที่เป็นหัวใจของทักษิณกับสมุน คือการล่อลวงที่มีการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะเห็นว่าเรื่องเท็จที่ปั้นแต่งขึ้นมานั้น ได้มีการวางแผนประดิษฐ์ออกแบบมาอย่างรอบคอบ ทำให้เกิดความสำเร็จอย่างที่เห็นกันอยู่

หากเราไม่ทำลายความสามารถในการล่อลวงนี้ เราจะไม่มีวันชนะทักษิณกับสมุนได้อย่างเด็ดขาด

ไม่ว่าเราจะใช้วิธีอื่นใดอีกเท่าไรก็ตาม และความแตกแยกในบ้านเมืองก็จะดำรงอยู่
และอาจจะขยายต่อไปอีก

เพราะคนจะไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ต่างฝ่ายก็จะเชื่อตามข้อมูลข่าวสารที่ตัวเองเสพอยู่ และเราจะไม่มีวันก้าวพ้นความแตกแยกนี้ไปได้ ต่อให้ทักษิณตายลงไปก็ตาม

ฉะนั้นต้องแก้ไขเสียก่อนที่ทักษิณจะตาย สู้กันซึ่ง ๆ หน้าให้เห็นชัดว่าใครโกหก
ใครพูดจริง ให้คนค่อย ๆ เห็น

จริงอยู่อาจจะยาก และอาจจะต้องใช้เวลานาน แต่ถ้าไม่เริ่มต้นทำและอดทนทำจนกว่าจะเป็นผลสำเร็จ เราก็สิ้นชาติ

*หลักใหญ่มี 3 ข้อเท่านั้น

1.เปิดโปงการโกหกให้ ความเท็จของทักษิณกับสมุน
2.ชี้ให้เห็นว่าความเท็จเหล่านั้น ใช้หลอกลวงมวลชนของตัวเอง
3.เราใช้ความจริงที่ พิสูจน์ได้เท่านั้นในการเปิดโปงนี้ และต้องไม่บิดเบือน

ถ้าเราทำสำเร็จ ตัวชี้วัดจะอยู่ที่การทำให้มวลชนคนเสื้อแดงที่ถูกหลอกลวงได้ตาสว่างเห็นความจริง แล้วหันไปโกรธแค้นทักษิณกับสมุน เราจะเห็นสภาพนั้นเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

และจะทำให้ความแตกแยกของคนในชาติจบลงได้ด้วย การเปิดโปงความโกหกหลอกลวงของทักษิณและ สมุน เป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้

และต้องทำให้มากเท่า ๆ กับที่ทักษิณทำ ไม่เช่นนั้นคนจะหลงเชื่อทักษิณต่อไป
เราจะไม่มีวันแก้ปัญหาได้

ตอนนี้รัฐบาลและคนรู้ทันทักษิณ แทบไม่ได้ทำเลย อย่างมากแค่ด่า ๆ ไป

แต่กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องพูดด้วยคือมวลชนของคนเสื้อแดง พี่น้องร่วมชาติของเราที่ตกเป็นเหยื่อของทักษิณ

ถ้าเราละทิ้งเขา ไม่ช่วยเขา เขาก็จะกลายเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของทักษิณตลอดไป

ต้องให้ความจริง ปรากฏจนชัดแจ้งต่อคนเสื้อแดงที่เป็นเหยื่อทักษิณให้ได้!!
"
"
แนะนำอ่าน ฝรั่งแฉสันดานคนไทย ตอนแรก!!  (คืออีกสุดยอดบทความที่พลาดไม่ได้เลยจริงๆ)





วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

CNNรายงาน ทักษิณรีบชิ่งจากเสื้อแดง!

.
.
May 19, 2010 2:24 a.m. EDT


Thaksin: I am not Red Shirt leader. ผมไม่ได้เป็นผู้นำเสื้อแดง!

Bangkok, Thailand (CNN) -- Former Prime Minister Thaksin Shinawatra said Wednesday he was not the leader of the United Front for Democracy, the formal name of the Red Shirt opposition, and that their movement calling for new elections is not on his behalf.

"They did not demand anything for me or on my behalf. I am not UDD leader," he said. " Any negotiation to end the demonstration or conflict must be made between the government and UDD leaders. I have no authority to negotiate on behalf of the UDD."

The anti-government protesters support Thaksin(แปลว่า กลุ่มต่อต้านรัฐบาลสนับสนุนทักษิณไม่ได้เพื่อประชาธิปไตย), who was ousted in a 2006 bloodless military coup and who fled the country to avoid a corruption trial.

In a statement, Thaksin accused the Thai government of defaming him when it said he was the mastermind behind the violence in the country's ongoing political crisis.

"I never approve nor agree to any use of violence," he said. "I believe in peace. I love my country as much as any member of this government. I believe in peaceful and non-violent means to end conflict and reject any use of force. If there is any act of terrorism, it is the duty of this government to find the wrongdoer and prosecute them in the court of law."

ขอสรุปที่แม้วบอก

"ผมไม่ได้เป็นผู้นำเสื้อแดง พวกเขาไม่ได้ทำเพื่อผมหรือในนามของผม ผมไม่เคยเห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง ผมรัีกชาติเช่นเดียวกับทุกคนในรัฐบาล ผมเชื่อเรื่องสันติภาพ ปราศจากความรุนแรง หมายถึงยุติความขัดแย้ง ปฏิเสธการใช้กำลัง

ถ้ามีการใช้ความรุนแรงจากผู้ก่อการร้าย มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะจัดการดำเนินคดีกับผู้ละเมิดกฏหมายด้วยระบบศาลยุติธรรม!"



.

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เปลว สีเงินเล่าถึงจอมพลสฤษดิ์

.
.

"ถ้าไม่ใช้อำนาจแล้วจะถูกอำนาจใช้"


"จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ปฏิวัติ ๒ ครั้ง ครั้งแรก-ยึดอำนาจรัฐบาล "จอมพล ป.พิบูลสงคราม" เมื่อ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ และตั้งให้ "นายพจน์ สารสิน" เป็นนายกฯ รักษาการ ๙๐ วัน เลือกตั้งใหม่ได้ "จอมพลถนอม กิตติขจร" เป็นนายกฯ ครั้งที่สอง-นายกฯ ถนอมเจอมรสุมรัฐสภา "ลาออก" ๑๙ ต.ค.๐๑ จอมพลสฤษดิ์ซึ่งพักผ่อนอยู่อังกฤษทราบข่าว บินกลับมาถึงตอน ๓ ทุ่มคืนที่ ๒๐ ต.ค. ตีนแตะสนามบินปุ๊บก็ "ยึดอำนาจ" ปั๊บ และขึ้นเป็นนายกฯ เองเมื่อ ๙ ก.พ.๐๒ จนอสัญกรรมเมื่อ ๘ ธ.ค.๐๖

ที่ผมเล่าย่อๆ มาทั้งหมดนี้ ก็เพียงอยากบอก "นายกฯ อภิสิทธิ์" คำเดียวว่า จาก ๒๕๐๐-๒๕๐๖ รวมเวลา ๖ ปี ของจอมพลนักรัก ผู้สร้างประวัติศาสตร์
"เผด็จการสร้างชาติ" ให้เป็นตำนานเล่าขานตราบถึงทุกวันนี้ ท่านใช้คำ ๑๗ คำเท่านั้น "ปฏิวัติสังคมชาติ" สำเร็จ

ยึดอำนาจครั้งแรก ยึดเสร็จ มอบให้ "นายพจน์ สารสิน" รับภาระนายกฯ ๙๐ วันเสร็จ ท่านพูด ๗ คำ ก่อนกลับไปทำหน้าที่ทหารดังเดิม ๗ คำนั้น มัดใจคนไทยทั้งชาติ ไม่ว่า เศรษฐี-ผู้ดี-ไพร่-ยาจก-วณิพก-ขอทาน-พระ-เถน-เณร-ชี ให้จำท่านในอารมณ์ถวิลหาด้วยวลีว่า

"พบ-กัน-ใหม่-เมื่อ-ชาติ-ต้อง-การ"!

เมื่อยึดอำนาจครั้งที่สอง รวบทั้งอำนาจทหารและอำนาจรัฐบาลเบ็ดเสร็จขึ้นเป็นนายกฯ เอง ท่านใช้คำพูด ๑๐ คำ ทำให้ข้าราชการ-ทหาร-ตำรวจ และทุกองคาพยพในชาติทั้งที่เป็นพวก และไม่ใช่พวก ฮึกเหิม-พร้อมใจ-ไม่พรั่น ขอเพียงสฤษดิ์สั่ง แม้ดำน้ำ-ลุยไฟ ทุกคนพร้อมยอมตาย เพื่องาน "ปฏิวัติชาติ" สู่เป้าหมายตามแผน

๑๐ คำนั้น มันคืออะไรกันนะถึงได้ "ขลัง" โดยไม่ต้องลงยันต์เช่นนั้น หลายท่านคงจำได้ เพียงแต่ชิน จนคร้านจะนำมาใคร่ครวญกันเท่านั้นเอง

"ข้า-พ-เจ้า-ขอ-รับ-ผิด-ชอบ-แต่-ผู้-เดียว"!

นี่ไง...ลองผู้นำประกาศว่า "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว" บรรดาผู้ตาม จะมีใคร-คนไหนไม่เต็มใจรับ ปฏิบัติ-ชัด-จบ บ้างล่ะ ในเมื่อลูกพี่ใหญ่รับประกันตายแทน แล้วมันจะมีลูกน้องคนไหนไม่ "แพ้ใจ" เจ้านายก็ให้มันรู้ไป เพราะ๑๐ คำที่ว่า "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว"

นั่นเท่ากับ สุข-สุขด้วยกันโว้ย...

แต่ถ้าซวย พวกมึงหลบไป กู...นายรับเอง!

นี่ย...เราไปศึกษา เราจะเห็นว่าจอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจ "เผด็จการทหาร" ทำหลายสิ่ง-หลายอย่างเป็นรากฐานให้อยู่ถึงทุกวันนี้ จุดแข็งอยู่ที่คำ ๑๐ คำนี้เท่านั้นในการ "ซื้อใจ" ลูกน้อง-บริวาร และคนที่ถูกบริหารทั้งประเทศ

ท่านไม่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การเงิน การคลัง การลงทุน การพัฒนาอะไร นอกจากคำว่า "เยส-ดอลลาร์" แต่ว่า "โน-เงินไทย" คือท่านชอบกินเงินอุดหนุนจากนอก แต่ไม่โกงเงินจากภาษีของชาวบ้าน ก็ดีอย่าง-เลวอย่าง

ที่สำคัญ "ท่านฉลาด" เด็ดขาด-ไม่ยอมใคร แต่พร้อมค้อมหัวให้ "คนเก่ง-ที่ไม่โกง"!

และคนเก่งที่ท่านต้องการนำมาใช้เพื่อการ "ปฏิวัติสังคมชาติ" คือใครท่านทราบมั้ย คือคนที่ท่านแค้นจนอยากฆ่าเพราะขวางทางการโกงแบงก์สมัยท่านเป็นนายทหารใหญ่ แต่พอคุมอำนาจบริหารประเทศ คนที่ท่านอยากฆ่า กลับเป็นคนคนแรกที่ท่าน "ตะกายหา" ให้กลับมาช่วยทำงาน...ปฏิวัติโครงสร้างสังคมชาติ

"ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์" ปรมาจารย์ทางเศรษฐกิจและการคลัง พ่อของนายจอน-นายใจ อึ๊งภากรณ์ นั่นไง!?

พูดถึงการปฏิวัติ-การยึดอำนาจ ท่านอย่าเข้าใจไขว้เขวนะครับ ที่ทหารลากปืน-ลากรถถังมาขับไล่รัฐบาลทักษิณ อย่าง ๑๙ กันยา ๔๙ ที่พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ทำนั้น เขาเรียกว่า "ยึดอำนาจ" ไม่ใช่ปฏิวัติ

ส่วนการปฏิวัตินั้น จะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดรื้อโครงสร้างระบบ-ระบอบเดิมทิ้ง แล้วนำของใหม่มาใช้แทน เป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดเฉียบขาด ฉับพลัน พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เห็นผลทันตาเห็น ถ้าเป็นทางการเมือง สมมุติเปลี่ยนจากประชาธิปไตยเป็นคอมมิวนิสต์ นี่เรียกปฏิวัติ

เลิกระบบเกษตรแล้วเปลี่ยนเป็นระบบอุตสาหกรรมเครื่องจักรหมด นี่ก็เรียกปฏิวัติ ตั้งแต่เกิดมาโตเป็นหนุ่ม-เป็นสาวยันโทรม ไม่เคยนุ่งกางเกงในเลย จู่ๆ หันมานุ่งกางเกงในชนิดไม่ใส่แล้วออกจากบ้านไปไหนไม่ได้ นี่ก็เรียกว่าปฏิวัติตัวเอง

แต่อย่างลากรถถังมาแล้ว "ชิ้ว...ชิ้ว...มึงออกไป กูเป็นรัฐบาลแทนเอง" แล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม โกงกันเหมือนเดิม พวกมึง-พวกกูเหมือนเดิม ข้าราชการก็มาสาย-บ่ายกลับเหมือนเดิม ปิดทางด่วนตะพึดตะพือเหมือนเดิม

อย่างนี้ไม่เรียกปฏิวัติ เรียกว่า "สมบัติผลัดกันแดก" เพียงล้มรัฐบาล แต่ไม่ได้ล้างระบอบ

พอเข้าใจกันนะครับ!?

อย่างจอมพลสฤษดิ์นี่อาจเรียกได้ว่า "กึ่งปฏิวัติ-รัฐประหาร" คือยึดอำนาจแล้วเปลี่ยนระบบ แต่ไม่ได้เปลี่ยนระบอบ คือจากระบบรัฐสภาไปเป็น "ระบบเผด็จการ" แต่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเหมือนเดิม

ที่ผมให้เครดิตว่า "กึ่งปฏิวัติ" เพราะท่านรัฐประหาร-ยึดอำนาจบริหารประเทศแล้ว ท่านปฏิวัติโครงสร้างสังคมชาติหลายอย่าง เปลี่ยนจากสังคมเกษตรพอกิน-พออยู่ภายใน ไปเป็นสังคมเกษตรอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก เปิดประเทศให้ทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน ปฏิวัติ-จัดระบบสถาบันการเงิน-การธนาคารใหม่ให้เข้ามาตรฐานโลก ตั้งสำนักงบประมาณ ตั้งสภาพัฒน์ มีการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นเข็มทิศนำประเทศ ฯลฯ

เรียกว่า "จัดโครงสร้างสังคมชาติใหม่" เป็นรากฐานไว้จนถึงทุกวันนี้ ส่วนวันนี้ ใครจะชี้ว่าท่านพาประเทศหลงทางจนเป็นทาสระบบทุนชนิดถอนตัวไม่ขึ้น ผมก็ไม่เถียง แต่อยากจะบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ในยุคหนึ่ง-สมัยหนึ่ง ก็ย่อมถูกต้อง-เหมาะสมกับยุคนั้น สมัยนั้น

แต่ผ่านมา ๕๐ กว่าปี จะโทษจอมพลสฤษดิ์ไม่ได้ ต้องโทษทุกรัฐบาล และทุกคน เอาแต่กอบโกยผลิตผลจากมรดกปฏิวัติโครงสร้างสังคมของจอมพลสฤษดิ์ โดยไม่ยอมวิวัฒนาการโครงสร้างชาติตามไปกับวัน-เวลา-สถานการณ์ในแต่ละยุคสมัยด้วย เหมือนเรามีโรงงานที่พ่อสร้างไว้ ๕๐ ปี เราก็เพลินแต่กอบโกยผลได้จากผลิตผลเครื่องจักรนั้น

ผ่านไป ๕๐ ปี ไม่ซ่อม ไม่เปลี่ยนเครื่องจักร ถึงวันนี้ จากยุคไอน้ำมาเป็นยุคไอที แล้วเราจะมาโทษว่า "ที่พ่อทำไว้ไม่ดี" โครงสร้างเกษตรของไทยป่นปี้ อุตสาหกรรมทุนทำให้ชาวไร่-ชาวนาเป็นหนี้ แต่พ่อค้า-นายทุนรวย อย่างนี้เห็นจะไม่ถูกต้องนัก

การนำประเทศที่เคยอยู่กันแบบ "พออยู่-พอกิน" สุขสบายกันถ้วนหน้าตามอัตภาพ ไปเป็นระบบทุนข้ามชาติ ระบบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกในยุคจอมพลสฤษดิ์ จนถึงวันนี้ ทั้งประเทศและคนไทยกลายเป็น "ทาสระบบทุน" กันไปหมดนั้น นั่นก็เพราะพวกเรา "เห็นแก่ตัว" ดูดทุกอย่างเอาจากประเทศ แต่ไม่เคยสนใจจะให้อะไรกับประเทศ

เพราะทั้งนักการเมือง ทั้งพ่อค้า-นายทุน "น้อยคน" จะสำนึกด้วยเอื้อเฟื้อในคำว่า

ได้แล้วรักษาเพื่อ "อนาคตส่วนรวม"!?

"จอมพลสฤษดิ์+อาจารย์ป๋วย" นั่นแหละครับคือ "ต้นตำรับปฏิวัติสังคมชาติ" จะเรียกว่าเป็น "เผด็จการที่มีคุณูปการ" แก่สังคมชาตินับตั้งแต่ประเทศไทยมีการยึดอำนาจมาก็ย่อมได้ เพราะท่านไม่ได้ยึดอำนาจเพื่อกินชาติ แต่ท่าน "ปฏิวัติ" เพื่อสร้างชาติ เป็นมรดกงานฝากไว้จนถึงวันนี้

เศรษฐกิจยุคจอมสฤษด์ จะเรียกว่ายุค "เศรษฐกิจ ๕๐ สตางค์" ก็ย่อมได้ ใครมีเงินติดกระเป๋าแค่ ๕๐ สตางค์พาสาวนั่งรถเมล์ชมกรุงได้ทุกสายรอบเมือง หิวกระหาย ร้อนนอก-ร้อนใน นั่งร้านไหนสั่งโอเลี้ยงมาบ้วนปากได้ ทุกร้าน-ทุกแก้ว-ทุกราคา ๕๐ สตางค์!

ใครทำซ่า เจอข้อหาอันธพาล โน่น...ส่งไปซ่าอยู่ในลาดยาว ไอ้ที่จะชุมนุมสันติ-อหิงสา มาตั้งเวทีก๋าๆ แสดงบทเหี้ยตะกายตึกอย่างนั้นน่ะ สฤษดิ์เอาตายตั้งแต่ยังเป็นแค่ไข่เหี้ยนั่นแล้ว!!!

ครับ...ก็ไม่มีอะไรมาก วันหยุดก็นั่งดูไร่แตงโม ไร่มะเขือเทศที่ปลูกไว้ ฝนตกติดต่อกัน ๒-๓ วัน เถาที่เหี่ยวเฉา บางเถาที่คอพับ-คออ่อน ค่อยกระดิกพลิกใบขึ้นมาบ้าง

แล้วแผนปรองดองไปถึงไหนล่ะ อย่าเล่นบท "พ่อแง่-แม่งอน" กันให้นานนัก!?

หัด "เจ้าชู้ยักษ์" ปากว่า-มือถึงบ้างเถอะครับท่านนายกฯ มัวแต่นั่งถอนหญ้า เอาผ้าเช็ดหน้ามาบิด แล้วเมื่อไหร่จะได้ขึ้นสวรรค์กันล่ะ ฝ่ายแกนนำเสื้อแดงเขาก็แค่เกี่ยงให้กำหนดวัน มันก็เหมือนมารยาหญิงเท่านั้น เพราะพวกเขาก็หลายฝ่าย มีทั้งพวกอยากให้จบ มีทั้งพวกอยากลากไว้หาแดก ลาไปไว้นาน ชาวบ้านจะเอียน

เชิญมานั่งโต๊ะหม่ำลาบ ส้มตำ แกล้มสะตอ แล้วคุยกันประสาเพื่อนฝูง ประสาพี่ ประสาน้อง มีอะไรก็ว่ากันไปให้จบไปซะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ใครไม่เห็นแก่ประเทศชาติ ก็ขอให้เห็นแก่ทางวัดบ้างเถอะ

หาที่คุยลับๆ ไม่ได้ มาที่ดง "ลาบ-ส้มตำ" คลองเตยนี่ก็ได้ ผมจัดการให้ ร้านอู๋หน้า "ไทยโพสต์" นี่ ถึงริมถนนแต่อินเตอร์ ฝรั่งตกเรือมาดินเนอร์ซดช้างแกล้มสเต๊กน้ำตกกับซุปทุกคืน...ซุปหน่อไม้น่ะ!

ตัดสินใจอะไรออกไปแล้ว "ลุยเลย" ไม่ต้องไปแคร์แดม "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว!"

มาร์คเอ๋ย!

ไทยโพสต์

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

ทำไมสื่อเกาหลีใต้ฉลาดกว่าคนเสื้อแดง!!?





สื่อเกาหลีใต้ยกทักษิณเป็นกรณีศึกษา "ระวังประชานิยม!!"


หน้าปก The Business of Politics in Thailand ฉบับภาษาเกาหลี โดยดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร


ในบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์โชซุนอิลโบ เรื่อง “ระวังประชานิยม” เกริ่นถึงสถานการณ์การเมืองในไทย ว่า กลุ่มผู้ประท้วงเกิดปะทะกับทหารเมื่อวันเสาร์ (10) จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 21 ราย และบาดเจ็บ 870 คน หลังจากรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน

บทบรรณาธิการนี้ ย้อนความว่า ความรุนแรงระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก โดยเมื่อเดือนเมษายนปีก่อน ผู้ประท้วงฝ่ายต่อต้านรัฐบาลได้บุกเข้าไปยังสถานที่จัดประชุมอาซียนซัมมิต +3 เป็นเหตุให้ต้องยกเลิกการประชุม และผู้นำประเทศ 16 ชาติ ในจำนวนนั้นรวมไปถึงประธานาธิบดี ลีเมียงบัค ต้องขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อหลบหนีออกมาโดยเฮลิคอปเตอร์

บรรณาธิการของโชซุนอิลโบ ชี้ว่า ศูนย์กลางของผู้ประท้วงฝ่ายต่อต้านรัฐบาล คือ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ที่ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งในปี 2001 และได้รับเลือกให้กลับมาอีกครั้งในปี 2005 แต่ในเดือนมกราคม 2006 เขาและครอบครัวขายหุ้นของบริษัทเทเลคอมแห่งหนึ่งมูลค่ากว่า 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปให้แก่บริษัทเพื่อการลงทุนแห่งรัฐของสิงคโปร์โดยปราศจากการจ่ายภาษี!!

แต่ที่ปรากฏตามออกมา นั่นคือ มันยังแสดงให้เห็นว่าเขาใช้ตำแหน่งหน้าที่สร้างความมั่งคั่งแก่ธุรกิจของตนเอง หลีกเลี่ยงภาษี รับสินบน และฉ้อฉลการประมูล โดยในเดือนกุมภาพันธ์ ศาลฎีกาของไทย พิพากษายึดทรัพย์ที่ผิดกฎหมายของเขาเป็นเงินกว่า 4.6 หมื่นล้านบาท

ทักษิณ พเนจรไปทั่วโลก นับตั้งแต่ถูกรัฐประหารโค่นล้มอำนาจในปี 2006 ขณะที่ผู้ชุมนุมฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเคลื่อนขบวนไปทั่วเมืองหลวง เพียงเพราะต้องการเห็นเขากลับมา จนทำให้ประเทศกำลังกลายเป็นรัฐแห่งสงครามกลางเมือง ทั้งนี้ ทักษิณ เป็นผู้นำกลุ่มสนับสนุนเขาซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวนาคนยากจนทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศผ่านทางทีวีดาวเทียม และข้อความโทรศัพท์มือถือ

โชซุนอิลโบ ระบุว่า เหตุผลที่ผู้สนับสนุนทักษิณ ต้องการเห็นเขากลับมา แม้อดีตนายกรัฐมตนตรีรายนี้คอร์รัปชันอย่างมโหฬาร เพราะพวกเขาถูกล่อด้วยนโยบายประชานิยม โดยหลังจากขึ้นดำรงตำแหน่ง ทักษิณ พักชำระหนี้เกษตร 3 ปี มอบสิทธิรักษาในสถานพยาบาลของรัฐในราคา 30 บาท มอบเงินทุน 1 ล้านบาทให้แก่แต่ละหมู่บ้านภายใต้ข้ออ้างขยับช่องว่างรายได้ระหว่างผู้อยู่อาศัยในเมืองและชาวนา

อย่างไรก็ตาม นโยบายที่ดูแสนจะกรุณานั้นจบลงที่เงินทุนในคลังของรัฐเหือดหายลงไป สุดท้ายแล้ว ทักษิณ ก็ถูกขับออกจากตำแหน่งหลังต้องเผชิญความไม่พอใจอย่างรุนแรงจากคนชั้นกลาง ผู้ที่รู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อคุณภาพการรักษาที่เสื่อมทรามลงไปทั้งที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น

ทว่า อีกด้านหนึ่งคนไทยที่มีรายได้น้อยได้เสพติดสิ่งที่ได้มาเปล่าๆ เสียแล้ว และไม่มีวิธีเยียวยาประชาชนจากการเสพติดนโยบายประชานิยม ทั้งนี้ ไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่เจอกับปัญหานี้

อาร์เจนตินาที่เคยเป็นรัฐเจริญที่สุดชาติหนึ่งในบรรดาประเทศละตินอเมริกาในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 สุดท้ายก็จบลงด้วยการกลับสู่สถานะโลกที่ 3 หลังจากพยายามทำตามความต้องการของประชาชนที่เคยชินนโยบายประชานิยมอย่างไม่สามารถถอนตัวได้

บรรณาธิการของโชซุนอิลโบ ปิดท้ายว่า ในเกาหลีใต้ พรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดด้วยนโยบายที่หวังชนะใจประชาชนก่อนหน้าศึกเลือกตั้งท้องถิ่นในวันที่ 2 มกราคม โดยพรรคเดโมแครตปาร์ตี เสนอใช้เงินภาษีจำนวน 1.5 ล้านล้านวอน มอบสิทธิ์เรียนฟรีแก่นักเรียน 5.48 ล้านคน ขณะที่พรรคแกรนด์ เนชันแนล ปาร์ตี ออกนโยบาย 9 ข้อ มีเป้าหมายนำเงินรัฐกว่า 1.22 ล้านวอนมาช่วยคนยากจน ซึ่งทั้งสองพรรคการเมืองควรดูเหตุประท้วงในไทยเป็นกรณีศึกษา เพราะนโยบายประชานิยมเป็นเสมือนแหวนแห่งลางร้าย
.
.

--------------------------------


ต้นฉบับภาษาอังกฤษ
The chosun Ilbo news (click!!)โชซุลอิลโบ





Beware of Populism

Protesters clashed with soldiers in Bangkok on Saturday in a standoff that killed 21 people and injured around 870 after the Thai government had announced a state of emergency. In April last year, anti-government protesters stormed into the conference venue of the ASEAN+3 Summit causing the high-profile meeting to be cancelled, and 16 heads of state, including Korean President Lee Myung-bak, had to be airlifted to safety from the rooftop. In December, 2008, an ASEAN foreign ministers' meeting in Thailand had to be canceled due to protests.

At the center of anti-government protests is former Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra. He became prime minister in 2001 and was re-elected in 2005. But in January of 2006, his family was sold US$1.9 billion worth of shares in a telecom company to Singapore's state investment company without paying any taxes. More revelations followed showing that he funneled lucrative business contracts to his own businesses, avoided taxes, took bribes and rigged bids. In February, the Thai Supreme Court ordered the confiscation of Thaksin's illegal fortune worth 46 billion baht (W1.61 trillion).

Thaksin has been roaming the world since being stripped of power at the end of 2006, and the anti-government protesters who have swept through the Thai capital want to see him return. At present, Thailand is in a virtual state of civil war as the red shirted anti-government protesters face off against citizens clad in yellow shirts supporting the incumbent government. Thaksin is leading his supporters, mostly poor farmers from northern and northeastern Thailand, via appearances on satellite broadcasts and through phone messages.

The reason why Thaksin's supporters long for his return despite his massive corruption scandals is that they have become hooked on his populist policies. After taking office, Thaksin rolled over farmers' debts for three years, provided state medical insurance to all Thais for a basic fee of just 30 baht (W1,050) and handed out 1 million baht (W35 million) to each village under the pretext of narrowing the income gap between city dwellers and farmers. The generous policies ended up emptying Thailand's state coffers. Thaksin was finally driven out of office as he faced mounting discontent among the middle class, who grew tired of the deteriorating quality of medical services despite rising taxes.

But low-income Thais had already become addicted to free handouts. There is no cure for a public that has become addicted to populist policies. Thailand is not the only country to experience such a problem. Argentina, which had almost reached advanced-country status in the late 1990s as well as other Latin American countries ended up falling back to Third World status after trying to meet the demands of citizens who had grown accustomed to populism.

In Korea, ruling and opposition parties are racing to come out with policies to win the hearts and minds of voters ahead of the June 2 regional elections. The Democratic Party has proposed using W1.5 trillion in taxpayer's money to provide free lunches to 5.48 million students, while the Grand National Party has produced nine policy goals aimed at helping the poor at a cost of W1.22 trillion in state spending. To those watching the red- and yellow-shirted protesters in Thailand, those pledges have an ominous ring.

englishnews@cho
sun.