วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ความเห็นของคนญี่ปุ่นถึงนิสัยการจราจรของคนไทย







จากคดีที่มีมอเตอร์ไซคฺวิ่งบนฟุตบาท แล้วชนนักเรียนหญิงจากโรงเรียนหนึ่งบนถนนลาดพร้าว จนได้รับบาดเจ็บนั้น

มอเตอร์ไซค์ผู้ก่อเหตุ อ้างว่า "เพราะรถติดมาก จึงต้องขึ้นมาขี่รถบนฟุตบาทแทน"

ซึ่งต่อมามีสำนักข่าวทีวีหลายแห่ง ลองกลับไปตั้งกล้องถ่ายฟุตบาทบริเวณที่เกิดเหตุอีกในเวลาต่อมา ก็พบว่า ยังมีมอเตอร์ไซค์อีกจำนวนมาก ที่ยังวิ่งบนฟุตบาทเหมือนเดิมโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายเลย



ซึ่งบังเอิญผมไปเจอความเห็นของผู้แสดงความเห็นท่านนึงในคลิปของเพจข่าวไทยพีบีเอสเหมือนคลิปยูทูปด้านบน

โดยเขาได้เล่าถึง ความเห็นของเพื่อนคนญี่ปุ่นคนนึงที่เขาเคยรู้จักเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ได้ให้ความเห็นถึงนิสัยการใช้รถใช้ถนนของคนไทยไว้อย่างน่าสนใจมาก

ผมจึงขอนำมาให้อ่านกันครับ

----------------------

โดยความเห็นคนญี่ปุ่นคนนั้น เขาพูดว่า

"คนญี่ปุ่นเราก็รีบตลอดเวลาเหมือนกัน แต่เราไม่เห็นแก่ตัวเหมือนคนไทย"

"พื้นฐานคนไทยไม่ใช่แค่เห็นแก่ตัว แต่กลัวคนรวยและชอบใช้กำลังแก้ปัญหา"

ผมนั่งคุยกับคนญี่ปุ่นคนนี้เรื่อง “พื้นฐานของชาติเขา คือการมีระเบียบวินัย แต่พื้นฐานของคนไทย คือ ความเห็นแก่ตัว

ชาวญี่ปุ่นคนนี้เคยถูกส่งตัวมาทำงานที่กรุงเทพฯ เมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว สุดท้ายก็ต้องหนีกลับประเทศ

ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาเคยเกือบโดนรถชนตายบนถนนบนทางม้าลาย และยังถูกคนขับรถเปิดกระจกตะโกนด่าเขาซ้ำ !

เขาเป็นคนหนึ่งซึ่งคิดเหมือนกันว่า พื้นฐานของคนไทย คือความเห็นแก่ตัว
เช่น คนไทยต้องคอยขยับรถทีละนิด ๆ เพราะกลัวว่าตนจะถูกคนเอาเปรียบ  นี่คือสภาพถนนกรุงเทพ ฯ ที่คนญี่ปุ่นสังเกต

“ถ้าไม่รีบขยับรถไปข้างหน้า จะมีคนเห็นแก่ตัวหาทางโกงคุณเสมอ”

คือสิ่งที่เขาบอกผมมา หมายถึง รถซ้ายขวาที่จ้องจะแย่งเข้าเลน แม้ว่ามันจะขยับไปทับเส้นขาว แล้วขวางทางรถพยาบาลหรือไปหยุดกลางสี่แยก กั้นไม่ให้ทุกคนได้ไป คนไทยก็จะทำโดยไม่ลังเล และ คนไทยยังสามารถจอดรถซื้อของในที่ห้ามจอดบนทางเท้า หรือจอดทั้งที่รถติด ๆ โดยไม่เคยสนว่ารถคันหลังจะมีธุระด่วนแค่ไหน”

แต่ที่ญี่ปุ่นไม่มีแบบนี้ แม้เรารีบตลอดเวลา แต่ว่า “เราไม่เห็นแก่ตัวเหมือนคนไทย”

และ “ที่บ้านเราต่อคิวได้อย่างสบายใจ เพราะรู้ว่าใครมาก่อนก็ต้องได้ก่อน ไม่มีใครคอยจ้องจะเอาเปรียบกัน”

นิสัยคนไทยชอบกลัวคนรวย แต่กลับไม่กลัวกฏหมาย ! ดังนั้น "คนรวยจึงมักอยู่เหนือกฎหมายและคนจนในประเทศนี้"

เขาเห็นด้วยกับผมอย่างมากเรื่องนึงคือ  คนไทยโดนหลอกให้ใช้สะพานลอยทั้งที่เมืองนอกไม่จำเป็น !

ในประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งคุณภาพชีวิต ทั้งคุณภาพจิตใจ เราจะไม่เห็นสะพานลอยในเมือง เพราะรถทุกคันต้องหยุดให้คนข้ามตรงทางม้าลายอยู่แล้ว

ไม่มีเหตุผลที่จะไล่คนท้อง คนพิการและคนชราให้ปีนขึ้นสะพานชัน ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับรถยนต์ราคาแพง

เมื่อผมบอกเขาว่าทันทีว่า “ถ้าไม่ข้ามสะพานลอยแล้วรถชนตาย คนจะสมน้ำหน้าให้”

คนญี่ปุ่นขำแล้วบอกว่า “เพราะคนไทยขี้กลัว” ไม่กล้าโวยใส่คนรวยแม้เขาจะทำผิดกฏหมาย แต่ยอมปีนบันไดชัน ๆ ดีกว่า เพื่อให้คนรวยเขาอยู่สบาย ๆ เหนือกฏหมายต่อไป

“…แต่ผมก็เข้าใจเพราะคนไทยชอบใช้กำลัง !“

ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนญี่ปุ่นที่อยู่เมืองไทยมานานมากพอ

“ทันทีที่คนไทยแพ้หรือรู้สึกเสียหน้า จะหาทางใช้กำลัง” ทั้งที่ตัวเองเป็นคนผิด

แต่ “คุณลองคิดว่าถ้าวันนั้นที่ผมข้ามทางม้าลาย แล้วถูกคนเปิดกระจกรถตะโกนด่า แต่ถ้าผมยืนยันจะเอาเรื่องจริง ๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ คนขับ Taxi จะโมโหแล้วลงมาต่อยผม หรืออาจชักมีดที่ซ่อนไว้เสียบผมตายกลางสี่แยก

ก็เพราะกฏหมายไทยไม่ช่วยอะไร ทำให้ทุกคนยิ่งต้องเห็นแก่ตัวไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ถูกคนอื่นมาเอาเปรียบกัน

“พื้นฐานคนไทยอาจไม่ใช่คนเลว” คือสิ่งที่เขาพูดก่อนจะโบกมือลา แล้วทิ้งท้ายว่า

“เมืองไทยมักไม่มีที่ยืนให้คนทำดี”

----------

สรุปท้ายบทความ

นั่นเป็นเพียงความคิดเห็นของคนญี่ปุ่นคนนึง ที่เคยทำงานในไทยเมื่อ 10 กว่าปีก่อน

เราไม่จำเป็นต้องเชื่อเขาก็ได้ เพราะเวลามันผ่านมาหลายปีแล้ว ยุคสมัยเปลี่ยน อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปมากแล้ว

แต่ที่แน่ ๆ เรามองประเทศของเราเองในวันนี้ เราคิดว่า การจราจรของไทย ระเบียบวินัยในการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน เรารู้สึกอย่างไร นั่นแหละคือคำตอบในใจเราทุกคน

คลิกอ่าน ลดจำนวนคนตายจากอุบัติเหตุบนถนนไทยต้องเริ่มต้นแก้ที่



วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

คนมีบุญมากคือใคร เป็นสุขที่แท้จริงรึเปล่า






คนมีบุญมากคือใคร?
ใช่คุณรึเปล่า?

คนที่มีบุญมากคือ คนที่สบายใจง่าย อยู่ที่ไหน ในเวลาใด ก็สุขง่าย ทุกข์ยาก มีแต่ความเบาจิตเบาใจ ปลอดโปร่งโล่งสบาย

แล้วท่านล่ะเป็นเช่นว่าหรือเปล่า ?

คนที่สามารถจ่ายค่าอาหารแพง ๆ ในร้านดีร้านดัง แต่ยังปล่อยให้ตัวเองหงุดหงิดกับบริการ หรือเรื่องอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ แบบนี้เรียกได้ว่า เป็นคนมีเงินมาก แต่ยังไม่ใช่คนมีบุญมากจริง ๆ

คนที่มีบุญมากจริง ๆ นั้น มักจะอยู่ง่ายกินง่าย ปรับตัวได้ง่าย ไม่ค่อยถือสาอะไรมากมายให้เป็นทุกข์ อะไรที่เป็นทุกข์ก็เพียงรู้ว่าเป็นทุกข์ แต่ไม่นำทุกข์มาแบก

คนที่มีบุญมากจริง ๆ มักไม่ค่อยถือตัวถือตน
เพราะเข้าใจว่า สรรพสิ่งล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนถาวร มีเกิดแล้ว ตั้งอยู่ ในที่สุดก็ดับไป มีความรู้สึกปล่อยวาง มากกว่าจะเอามาแบกทับถมตัวเองให้เป็นภาระหนักตลอดเวลา

คนที่มีบุญมากจริง ๆ มักไม่คิดว่าตนเองพิเศษอะไรกว่าใคร ๆ 
ในทางตรงกันข้าม เขาจะรู้สึกขอบคุณเวลาที่ใครทำอะไรให้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ จนรู้สึกว่าตนเองเป็นคนโชคดี แม้ถึงคราวที่ต้องประสบกับเหตุการณ์ใด ๆ ที่ไม่ดี ก็ยังเห็นเป็นบทเรียน หรือยังมองเห็นด้านดีในเหตุไม่ดีได้อยู่ หรือมักมองเห็นด้านบวกได้เสมอ

คนที่มีบุญมากจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเพียบพร้อมหรือดีพร้อม 
กระนั้น เขาก็ไม่รู้สึกต่ำกว่าหรือสูงกว่าใคร ดีกว่าใครหรือเลวกว่าใคร ฉลาดกว่าใครหรือโง่กว่าใคร เพราะเขาให้เกียรติความเป็นคนของทุกคน รวมทั้งตนเอง เขาจึงไม่นำตนเองไปเปรียบเทียบกับใคร …หรือนำเอาใครมาเปรียบเทียบกับตนเอง ถึงกระนั้น เขาก็ยินดีรับฟังคำแนะนำจากผู้อื่น โดยไม่หลงเป็นเหยื่อคำสรรเสริญและคำนินทา

คนมีบุญมากจริงๆ มองไปที่ไหน เมื่อใด ได้ยินอะไร ก็สบายอกสบายใจ 
เพราะเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองของทุก ๆ ชีวิต เห็นคนได้ดี ก็รู้ว่าเขาคงเคยทำสิ่งดี ๆ มาก่อน เห็นคนลำบากที่พอช่วยเหลือได้ ก็ช่วยไปตามกำลัง แต่อะไรที่เกินกำลัง ก็ไม่ปล่อยให้ตนเองว้าวุ่น กังวล ทุกข์ร้อนใจไปกับสิ่งนั้น เข้าใจดีว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง ทุกคนมีกรรมเป็นมรดก แต่ละคนย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรมที่ตนได้เคยกระทำไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี ละอายชั่วกลัวบาป ทำสิ่งที่ดีๆ

หาเวลาทำจิตให้ผ่องใสด้วยการมีสติในการปฏิบัติธรรม โดยทำในที่ใด ๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปปฏิบัติธรรมทำที่วัด หรือที่สำนักปฏิบัติธรรมใด ๆ ทำที่บ้านก็ได้ ทำได้ในทุกแห่ง ด้วยการมีสติในปัจจุบันขณะ

(บทความข้างต้นนั้นไม่ทราบเป็นข้อเขียนของใคร แต่ขอขอบคุณครับ)

-----------------

คนมีบุญจริง ควรรู้จักความสุขที่แท้จริง




ความสุขที่แท้จริง โดยท่านพุทธทาส

ความสุขที่แท้นั้นมักชนไปในทางสงบร่มเย็น ส่วนความเพลิดเพลินหลงใหลนั้นมักนำไปสู่ความร้อน

ดังนั้นความสุขที่แท้จริงต้องมาจากความพอใจที่แท้จริง และความพอใจนั้นก็ต้องมาจากการทำหน้าที่ที่ถูกต้อง ซึ่งไม่ทำอันตรายแก่ใคร อีกทั้งยังเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายและทุกคน ถ้าอย่างนี้ถึงจะเรียกได้ว่าถูกต้อง

คำสำคัญในที่นี้คือ “ถูกต้องและพอใจ” ซึ่งต้องทำให้เกิดขึ้นอยู่เสมอในทุกขณะจิต ไม่ว่าจะเป็นขณะที่ทำงาน ขณะที่กลับบ้าน ขณะกินข้าว ฯลฯ

ถ้ามันมีความถูกต้องและพอใจเกิดขึ้นแล้ว ก็จะกลายเป็นความสุขที่ถูกต้อง ที่ควรพอใจ แล้วก็จะเป็นความสุขที่แท้จริง

“เมื่อเรารู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ นั่นแหละคือสวรรค์”

แล้วถ้าเป็นนรกล่ะเป็นยังไง ?

นรก ก็คือเมื่อเกลียดตัวเอง เมื่อชังน้ำหน้าตัวเอง อะไรก็ตามที่ทำอะไรแล้ว ชนิดที่มองดูแล้วมันเกลียดตัวเอง นับถือตัวเองไม่ได้ เคารพตัวเองไม่ได้ นั่นน่ะคือนรก จะสวรรค์ที่แท้จริง หรือนรกที่แท้จริงนั้น ก็เกิดขึ้นได้ที่นั่นและเดี๋ยวนั้นเช่นกัน

ถ้าจะพูดโดยสรุปแล้ว เราจงทำให้ทุกอย่างถูกต้อง ทุกอิริยาบถ ทุกนาที ทุกที่ ทุกเวลา ทุกหน และทุกแห่ง แล้วก็อยู่ด้วยความพอใจชนิดนี้ จนสามารถยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่คือสวรรค์ที่แท้จริง เป็นความสุขที่แท้ตลอดวันตลอดคืน

ถ้าเป็นความสุขที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลย ถ้าเป็นความสุขที่หลอกลวงแล้วล่ะก็ต้องใช้เงินมาก ยิ่งหลอกลวงมากก็ยิ่งใช้เงินมาก



คลิกอ่าน ปฎิบัติธรรมที่แท้จริงคืออะไร



วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

อินโทรแซกโซโฟนอันดับ1&เทคนิคฟิงเกอร์สไตล์ชั้นสูง






ในบรรดาเพลงที่มีการอินโทรและการโซโล่ด้วยแซกโซโฟน นั้น

เพลงที่ได้รับการยกย่องจากการจัดอันดับในหลาย ๆ คลิปบนยูทูปไว้ว่า เป็นเพลงที่มีอินโทรแซกโซโฟนที่ไพเราะที่สุดติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก

นั่นก็คือเพลง Careless Whisper(1984) ที่โด่งดังมากในยุค 80 ของ George Michael จอร์จ ไมเคิล ศิลปินชายชาวอังกฤษผู้ล่วงลับไปแล้ว






แล้วก็มีศิลปินกีต้าร์ นามว่า Alexandr Misko ได้นำเพลง Careless Whisper มา cover ในแบบฟิงเกอร์สไตล์ (fingerstyle) ด้วยเทคนิคกีต้าร์ชั้นสูงที่หาดูยากมาก

นั่นคือ การหมุนปรับตั้งเสียงที่ลูกบิด(Tuning Key) ในขณะที่กำลังบรรเลงเพลงอยู่




คลิกอ่าน ท่าเต้นมูลวอร์ค ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของ ไมเคิล แจ็คสัน



วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ฤา ชัชชาติ จะด่า ยิ่งลักษณ์ ไม่ค่อยอ่านหนังสือรึเปล่า ?







นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ได้ไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ 2561 แล้วก็กลับมาโพสในเพจของเขาว่า

เมื่อวานฟังเพลง ประเทศกูมี แล้วโดนหลายประโยค อันนึงก็คือ 

"ประเทศที่คนไม่อ่านหนังสือ โดยเฉพาะผู้นำ อะ..."





ทีนี้เรามาย้อนดูคลิป คุณยิ่งลักษณ์ อดีตผู้นำหญิงของประเทศไทยโชว์ฮา กันครับ




คุณชัชชาติ ทำไมถึงประชดประชันเก่งแบบนี้ล่ะครับ

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คุณชัชชาตืจะหลอกด่าคุณยิ่งลักษณ์ รึเปล่า ? 555

คลิกอ่าน หลังรัฐประหาร ชัชชาติ แต๋วแตก ยิ่งลักษณ์ หน้าซีด



วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2561

วิธีบอกเลิกแบบเนียน ๆ โดยอีกฝ่ายไม่เสียใจ







ตามปกติในเรื่องของความรักของคนสองคนที่ผิดหวังล้มเหลว มักจะมี คนหนึ่งหมดใจก่อน กับอีกคนที่ยังรักอยู่เหมือนเดิม

หากคนที่เป็นฝ่ายหมดใจก่อน บอกเลิกในทันที ก็จะเหมือนการหักดิบ ซึ่งอาจทำให้อีกฝ่ายรับไม่ทัน ซึ่งจะส่งผลกระทบรุนแรงทางจิตใจ (ซึ่งหลายกรณีอาจตามมาด้วยการแก้แค้น)

แต่ก็มีคนที่หมดใจแล้วหลายคน ก็มักใช้วิธีแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่กลับยิ่งเป็นการทรมานอีกฝ่ายยาวนาน ด้วยการทำเย็นชาใส่ เช่น เลิกเป็นฝ่ายติดต่อไปหาอีกฝ่ายก่อน หรือทำตัวแบบ ถามคำตอบคำ เป็นต้น

หรือถ้าอีกฝ่ายที่ยังรักอยู่ ส่งข้อความมาทางเฟสบุ๊คหรือไลน์ แต่ฝ่ายคนที่หมดใจแล้วก็มักเลือกที่จะไม่รีบตอบ หรือ กว่าจะอ่านข้อความก็ผ่านไปหลายชั่วโมง หรืออาจนานข้ามวันจึงจะอ่าน หรืออ่านก็ช้าแถมไม่ตอบกลับด้วย เป็นต้น

แน่นอนฝ่ายที่ยังรักอยู่ เมื่อเจอสภาพถูกเย็นชาใส่ ถูกไม่ใส่ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากจะทุกข์แสนสาหัสแล้ว ก็จะพยายามหาทางง้อ หาทางขอคืนดีกับคนที่หมดใจแล้วมากขึ้น ๆ

แต่ยิ่งกลับกลายเป็นว่า ยิ่งพยายามง้อ ยิ่งพยายามเอาใจคนที่หมดใจแล้วมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไปสร้างความรำคาญให้เขายิ่งหมดใจมากขึ้นเท่านั้น

สุดท้าย เมื่อฝ่ายยังรักอยู่ รู้ตัวว่า คงไม่มีทางคืนดีหรือกลับไปเป็นดังเดิมได้อีกแล้ว ก็ต้องเลือกที่จะยอมออกไปจากชีวิตคนที่หมดใจแล้วอย่างเจ็บช้ำ



งั้นที่ฝ่ายหมดใจก่อน ลองใช้วิธีให้อีกฝ่ายอยากเลิกกับเราก่อน โดยไม่ทำร้ายน้ำใจกัน ดูไหม ?

ในกรณีที่ไม่มีมือที่ 3 มาเกี่ยวข้อง

ตามปกติฝ่ายที่หมดใจก่อน มักจะเริ่มเย็นชา ไม่อยากคุยด้วย เริ่มพูดจาไม่เข้าหูไม่รักษาน้ำใจให้อีกฝ่ายที่ยังรักอยู่บ่อย ๆ ให้ได้ยินใช่ไหม

แต่ลองทำในทางกลับกันดูสิ เช่น แทนที่จะเย็นชาใส่คนที่เราหมดรักเขาแล้ว

ก็ลองทำเป็นยิ่งใส่ใจให้มากขึ้น ๆ ๆ จนดูน่ารำคาญ

หรือแกล้งบ่นด้วยความห่วงให้มากขึ้น ๆ เวลาอีกฝ่ายที่ยังรักตอบข้อความช้าไปนิดนึง หรืออีกฝ่ายที่ยังรักหายไปแปบนึง

แต่ให้ฝ่ายที่หมดใจแล้วแกล้งทำเป็นเรื่องใหญ่จนน่าหงุดหงิด

หรือแกล้งพยายามถามฝ่ายที่ยังรักแบบจุกจิกว่า อยู่ที่ไหน ทำอะไร ไปกับใคบ่อย ๆ ให้ฝ่ายที่ยังรักอยู่เริ่มเบื่อหน่ายกับคำถามพวกนี้ จนเริ่มขี้เกียจจะตอบ

เพราะการแสดงออกว่ารักอีกฝ่ายมากเกินไป ห่วงใยมากเกินไป หรือที่เรียกว่า ทำตัวงี่เง่าเซ้าซี๊ จนเขารำคาญนี่แหละ คืออีกวิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายเริ่มเบื่อเราและในที่สุดจะค่อย ๆ หมดรักเราไปเอง

และเมื่ออีกฝ่ายทนความรักมากเกินไป ห่วงมากไป หึงมากไป ของเราไม่ไหว เขาก็จะเลิกรักเรา เลิกอยากคุยกับเรา เขาจะเริ่มเย็นชาใส่เราแทน

นั่นแหละครับ คือ เข้าทางเราทันที ที่จะทำให้เขาอยากบอกเลิกเราก่อน โดยที่เราไม่ต้องทำบาปที่ทำให้เขาต้องเสียใจหากเราบอกเลิกรักเขาก่อน หรือเป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อน

สรุปว่า  หากเราหมดรักเขาก่อน ให้เราลองใช้วิธีแกล้งรักเขาให้มากเกินไป จนสุดท้ายเขาจะกลับมาเบื่อเราแทน และจะเลิกรักเรา และเป็นฝ่ายบอกเลิกเราก่อนในที่สุด

เพราะฝ่ายที่ยังรักอยู่ แต่ถูกกระทำจากเราจนเขาหมดรักเรา เขาจะนึกว่า เขาเป็นฝ่ายหักอกเรา และเป็นฝ่ายทิ้งเราไป

ซึ่งแบบนี้ เขาจะไม่เสียใจ และไม่รู้ว่า ความจริงฝ่ายเราต่างหากที่หมดรักเขาก่อน แต่แกล้งว่ายังรักเขามากเกินไป จนเขาหมดรักเราไปเอง

เข้าทำนองที่ว่า แผนซ้อนแผน เพราะการที่เราถูกเขาบอกเลิก ย่อมดีกว่าเราไปหักอกใครให้เขาต้องเสียใจ จริงไหม

เพราะสุดท้าย จะกลายเป็นต่างฝ่ายก็ต่างหมดใจ ก็เลิกกันไปแบบวินวิน ไม่มีใครต้องเสียใจมากมายแน่นอน



---------

อ้อ !! แต่ถ้าฝ่ายที่หมดใจก่อน ถ้าพยายามแกล้งรักมากเกินไปก็แล้ว แกล้งถามจู้จี้ เป็นห่วงเป็นใยเกินไปก็แล้ว แกล้งหึงแบบไม่ค่อยสมเหตุสมผลก็แล้ว อีกฝ่ายที่ยังรักคุณอยู่เหมือนเดิม แล้วเขากลับชอบที่คุณทำกับเขาแบบนี้

นั่นแสดงว่า คน ๆ นั้นเขารักคุณจริง ๆ ครับ เขามีรักแท้ต่อคุณแน่นอน

ถ้าคุณยังจะหมดรักเขาได้ลงคอ ก็แสดงว่า ...

ขอฝากโดยเฉพาะ ลูกผู้ชายที่ดี เขาจะไม่ยอมทิ้งหญิงที่เขาเคยรักก่อน แต่เขายินดีที่จะให้ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายทิ้งเขาไปก่อนดีกว่า ด้วยหลักคิดที่ว่า

"การให้เธอเข้าใจว่า เธอคือฝ่ายทิ้งเราก่อน ย่อมดีกว่าเราไปทิ้งเธอก่อน เพราะเธอจะได้ไม่เสียใจ"



----------------------

เหตุผลที่ ทำไมคุณถูกทิ้ง ? (อันที่จริงมีเหตุผลเดียว)



คลิกอ่าน ควรบอกรักเมื่อไหร่ดี



วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ควรจะสารภาพรักเมื่อไหร่ดี






บทความต่อไปนี้ผมเจอความเห็นนึง ที่แสดงไว้ในกระทู้นึงของเว็บพันทิป ซึ่งเป็นข้อคิดและข้อแนะนำที่ดีมาก ว่า

เราควรจะสารภาพรัก หรือ บอกรัก คนที่เรารักเมื่อไหร่ดี

ความเห็นโดยคุณ Orange Tabby 

ถ้าจะให้แนะนำโดยที่ไม่รู้ข้อมูลเลยนะคะ อยากจะบอกว่า อะไรที่ไม่แน่ใจในผลลัพท์ หรือ ยังไม่ได้ทำใจรับผลลัพท์ทั้งดีที่สุด (ได้คบกัน) และแย่ที่สุด (มองหน้ากันไม่ติด) ได้ ก็อย่าเพิ่งบอกออกไป

ส่วนมากถ้ายังลังเล ก็แสดงว่ามันมีปัญหาอะไรอยู่ในนั้น

จากประสบการณ์ของเรา เวลาเรารู้สึก 50/50 ว่าเค้าจะรับรักเราไหม ที่ผ่านมา เราไม่เคยได้คบเลยค่ะ (เราเลยมาคิดได้ว่า ที่เราไม่มั่นใจ ครึ่ง ๆ กลาง ๆแบบนั้น มันก็มีเหตุผลของมัน) แต่คนที่เราได้คบ กลับเป็นคนที่เรามั่นใจว่าเค้าสนใจเราแน่

ถ้ามองอีกมุมนึง ให้ปล่อยเรื่องนี้ (ว่าจะบอกรักดีหรือไม่บอกรักดี) ให้เป็นไปตามธรรมชาติ แล้วคิดว่า ถ้าเป็นคู่กันจริง ๆ จะบอกพรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า ก็ไม่แตกต่างกันมาก เพราะ ถ้าเราคู่กัน ยังไงเราก็จะได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันไปตลอดอยู่แล้ว จะรีบเร่งไปทำไม เรายังมีเวลาทั้งชีวิตด้วยกัน 

แต่ถ้าเราสองคนไม่ใช่คู่กัน การบอกหรือไม่บอกรักก็ไม่มีความหมายอยู่ดี เพราะเราไม่ใช่คู่กัน

ง่าย ๆ ก็คือ ให้ใจเย็น ๆ คิดให้รอบคอบ ถ้าไม่มั่นใจก็ให้นิ่ง ๆไว้ก่อน โยนหินถามทางไป มั่นใจแล้วค่อยบอก

อีกอย่าง ถ้าเค้าชอบเรามาก ๆ เค้าจะรู้สึกอยากเป็นคนบอกรักเราเอง เพราะไม่อยากเสียเราไปโดยที่เราไม่เห็นต้องไปกระวนกนะวายใจเลยค่ะ


รูปจากWikiHow

บทความจากกระทู้ของคุณ Orange Tabby เรื่อง ถ้าคุณแอบรักใครแล้วไม่สมหวัง เข้ามาอ่านเถอะ แล้วคุณจะตัดใจได้

-------------------

คลิปสั้นแต่ดี เรื่อง 6 สิ่งที่คนรักมากต้องเผื่อใจ



-----------------------------

ขอปิดท้ายด้วย 

ข้อคิดจากชีวิตรักของ แป๋ว ไนน์เอนเตอร์เทน

เป็นคลิปที่คุณแป๋ว พัทรวี บุญประเสริฐ พิธีกรรายการดังทางช่อง 9 ได้เล่าถึงชีวิตรักที่ผ่านมาของตัวเองว่า ทำไมถึงล้มเหลวแล้วล้มเหลวอีก กับข้อคิดโดนใจ

"ทุก ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นกับเรา มันคือกระจกสะท้อนตัวตนข้างในของเรา.. ที่เค้าไม่เห็นหัวเรา เพราะเราไม่เคยเห็นหัวตัวเอง เค้าไม่เห็นคุณค่าเรา เพราะเราไม่เคยเห็นคุณค่าตัวเอง..."

อยากแนะนำให้ใครที่มีปัญหาความรัก ลองดูคลิป 1 ชั่วโมงกว่า ๆ นี้ครับ ได้ข้อคิดดีมาก ๆ



คลิกอ่าน วิบากรรมใดหนอที่ทำให้รักเธอหัวปักหัวปำ

คลิกอ่าน วิธีบอกเลิกแบบเนียน ๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่เสียใจ



วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2561

วิบากกรรมใดหนอที่ทำให้ฉันรักเธอหัวปักหัวปำ







บทความต่อไปนี้ ถือเป็นสุดยอดบทความ เนื้อหาอธิบายถึงกฎแห่งกรรมในความรัก ได้อย่างเข้าใจง่าย และลุ่มลึก

ผมเคยมีความคิดในหัวที่อยากจะเขียนบทความทำนองนี้ แต่ความคิดของผมยังไม่ตกผลึกพอที่จะเขียนได้ในช่วงเวลาอันใกล้

จนโชคดีที่ได้มาเจอบทความนี้ซึ่งเขียนได้ตรงใจผมที่สุด

ขอขอบคุณท่านผู้เขียน คุณดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ ที่เขียนบทความนี้ขึ้นมาครับ



-------------------


ทำไมต้องรักเธอ กรรมใดหนอที่พาให้เราต้องมาผูกพัน

หลายคนอาจจะเคยสงสัยว่า ทำไมเราจึงต้องชอบคนนี้ ทำไมต้องรักคนนี้ ทำไมจึงต้องยอมให้กับคนนี้ กับคนอื่นเราก็ไม่เคยยอมขนาดนี้ ไม่เคยเผลอพลาดไปขนาดนี้ ต้องเป็นคนนี้เท่านั้นที่เราจะยอมให้ทำกับเราได้ขนาดนี้

เราได้เห็นเหตุแห่งความรักความหลงใหลกันมาแล้วในบทความก่อน ซึ่งแน่นอนว่าคนมีกิเลสก็ต้องพุ่งเข้าไปหาความรักเสมอ แสวงหาคู่หรือแสดงท่าทีพร้อมจะมีคู่เสมอ กิเลสนี่มันจะพยายามหามาเสพให้ได้ ซึ่งก็ได้ขยายกันมามากแล้ว

ในบทความนี้เราจะกล่าวกันในเรื่องของ กรรมและผลของกรรม เป็นสิ่งที่ยากจะอธิบาย เป็นเรื่องอจินไตย

หลายคนมักจะพบว่าเราไปชอบคนที่เราไม่อยากชอบ เราไปรักคนที่ไม่ควรรัก เราไปหลงกับคนที่ไม่น่าหลง แม้ว่าเขาจะทำไม่ดีกับเราสักเท่าไร จะทิ้งเราไปนานแค่ไหน ทำไมเรายังต้องพลาดพลั้งกลับไปรักเขาทุกที เรามาลองไขรายละเอียดในเรื่องผลกรรมให้พอเห็นภาพกว้าง ๆ กันดูว่าทำไมหนอ ทำไมต้องรักเธอ...

1). กรรมกิเลสในชาตินี้

กรรมนั้นคือการกระทำ ส่วนกรรมที่ไม่ดีนั้นเกิดมาจากอะไร ก็เกิดมาจากการที่เรามีกิเลส กิเลสก็สั่งให้เราไปทำกรรมแบบนั้นแบบนี้ ในหัวข้อก็จะชี้ให้เห็นถึงผลว่าทำไมเราจึงต้องรักต้องหลง จากเหตุแห่งกรรมกิเลสที่เราทำมาเอง

1.1). ทำไมเราจึงต้องรู้สึกชอบเมื่อแรกพบ... เราปรุงแต่งกิเลสไว้มากว่า คู่ในฝันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ พอมาเจอเข้าจริง ๆ ก็จะพบว่าใช่เลย ซึ่งมันก็เป็นผลกรรมที่เราปรุงแต่งลักษณะคู่ในฝันตามกิเลสขึ้นมาเอง

1.2). ทำไมเราจึงต้องหลงหัวปักหัวปำ... ผลของการมีกิเลสคืออยากเสพอย่างไม่จบไม่สิ้น ความหลงนั้นเกิดขึ้นเพราะเราเข้าใจว่า เขาจะสามารถบันดาลสุขให้เราเสพได้ตลอดไป เราจึงจมอยู่กับความหลง เป็นผลกรรมที่เราต้องรับเพราะเรามีกิเลส

1.3). ทำไมเราจึงยอมให้เขากลับมาทุกครั้ง ... คนที่คบหากันมานั้นก็จะร่วมกันบำรุงบำเรอกิเลสกันมาจนเสพติดรสสุขจากเสพเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เขาทิ้งเราไปมีคนอื่น แต่สุดท้ายเขากลับมาง้อเรา แม้ก่อนหน้านั้นเราจะทำใจแข็ง คิดไปว่าฉันจะไม่มีวันกลับไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังกลับไปจนได้ เหตุนั้นเพราะเรายังติดรสสุขเดิม ๆ อยู่ เช่นการดูแลเอาใจใส่ ฯลฯ

จะขอยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา คือเรื่องการสมสู่

สมมุติว่าเราเคยมีคู่และสมสู่กันจนติดรสสุข ที่นี้เขาทิ้งเราไปแล้วด้วยเหตุอันใดก็ตาม แต่วันหนึ่งเขากลับมา ตอนแรกเราก็ใจแข็งนะ แต่สุดท้ายก็ยอมให้เขาเหมือนเดิม เหมือนกับคำที่เขาว่า “วัวเคยค้า ม้าเคยขี่” , “ถ่านไฟเก่า” ทั้งนี้ที่ยอมเพราะติดรสสุขของการสมสู่ กิเลสเรามาก เราเลยต้องรับผลกรรมจากกิเลสคือต้องยอมเขาไปเรื่อย ๆ เพราะลึก ๆ เราก็ยังอยากเสพเขาอยู่เช่นกัน

และความกลัวเหงาก็เป็นอีกสาเหตุ ความพร่องในใจของคนจนต้องหาใครมาเติมตลอดเวลา มันอาจจะไม่ง่ายนักที่จะหาคนใหม่มาเติมเต็มในทันที ซึ่งถ้าคนเก่ากลับมาก็จะง่ายกว่า

แต่ในประเด็นของความเหงาก็ไม่แน่ว่าจะทำให้กลับไปคบเสมอไป เพราะบางครั้งความทุกข์มันมากกว่าความเหงา หลายคนจึงสามารถยอมตัดใจได้แม้ว่าจะต้องทนเหงา ดังนั้นความเหงาจึงเป็นสาเหตุหนึ่งเท่านั้น ซึ่งมีน้ำหนักค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังมีผลอยู่ เพราะความเหงานี่ไม่จำเป็นต้องให้คนเดิมมาสนองเสมอไป อาจจะเป็นคนใหม่ หรือใช้เพื่อน ครอบครัว กิจกรรมใดๆมาสนองความเหงาก็สามารถทำได้

...สรุปในหัวข้อ “กรรมกิเลส” นี้ก็หมายถึง กรรมใหม่ที่ทำกันในชาตินี้ในชีวิตนี้นี่แหละ ไม่ได้เป็นเรื่องซับซ้อนมากมายนัก เพราะมีหลักฐานที่เห็นได้ด้วยตา รับรู้ได้ด้วยใจ เป็นของใหม่ที่มีหลักฐานให้สืบสาวราวเรื่องให้เห็นผลของกรรมที่ทำในชาตินี้

คือถ้าเราขุดค้นกิเลสของเราดี ๆ ค้นไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ ไปที่เหตุแห่งทุกข์แท้ ๆ ก็จะสามารถเจอกับกิเลสตัวการที่สร้างกรรมให้เราต้องหลงรัก ปักใจ ไม่ยอมปล่อยยอมวาง แม้จะโดนทำร้ายก็ยังยอมให้เขาอยู่เรื่อยไปได้


2). กรรมเก่า

มาถึงเนื้อหาจริง ๆ ของบทความนี้กันเสียที สิ่งที่เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนยากที่จะขุดค้นหาสาเหตุลงไปได้นั้นคือกรรมเก่า

กรรมเก่า ในที่นี้หมายถึง กรรมที่สะสมมาตั้งแต่ชาติก่อน ๆ ที่สืบสาวราวเรื่องกันไม่ได้ในชาตินี้ นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าไปทำกรรมนั้นไว้ตอนไหน เราก็จะยกไว้ให้เป็นเรื่องของกรรมเก่า และกรรมเก่านี่เองเป็นพลังลึกลับที่ผลักดันให้ต้องไปรัก ไปหลง ยอมให้อภัยทุกครั้งแม้เขาจะทำผิด โดยที่อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับกิเลสที่มีในชาตินี้เลยก็เป็นได้

ผลของกรรมหรือวิบากกรรมนั้น เป็นผลจากที่เราเคยไปทำกรรมไว้ในชาติใดชาติหนึ่ง เช่นเดียวกับที่เรามีกรรมจากกิเลสในชาตินี้ ผลกรรมก็จะส่งผลในชาตินี้และชาติต่อไปอีกเป็นส่วน ๆ

ดังนั้นในชาตินี้เราก็ต้องรับวิบากกรรมของเราที่เคยทำมาในชาติก่อน ๆ ด้วยเช่นกัน วิบากกรรมนี้อาจจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราทำกรรมด้านใดมามาก

2.1). ทำไมเราจึงต้องรู้สึกชอบเมื่อแรกพบ... วิบากกรรมเก่านั้นจะส่งผลเหมือนแม่เหล็กดึงดูดสิ่งที่คู่ควรกับกรรมของเรามาให้เราเจอ เราจะไม่สามารถผลักไสหรือป้องกันได้ ต้องรับผลอย่างเดียวเท่านั้น ดังเช่นอาการหลงชอบตั้งแต่แรกเจอโดยไม่มีเหตุผล มีความรู้สึกแปลกประหลาดต่างจากคนอื่น

เราอาจจะเคยพบคนหน้าตาดี นิสัยดี ฐานะดี ฯลฯ แต่กลับรู้สึกไม่เหมือนพบกับคนคนนี้ วิบากกรรมจะยิงผลเข้ามาที่ใจตรงๆ โดยไม่สามารถป้องกันได้ด้วยสติ

เพราะวิบากกรรมมันจะมาเหนือเมฆเสมอ มาเหนือกว่ากำลังสติปัญญาของเราเสมอ มันจะหลงของมันไปเองตั้งแต่แรก ส่วนจะสามารถรู้ตัวทีหลังได้นั้นก็เป็นอีกเรื่อง แต่ถ้าตราบใดที่วิบากกรรมยังส่งผลไม่หมด ก็จะไม่สามารถหนีได้ จะต้องพบกับความรักความหลงที่ไม่มีเหตุผลแบบนี้จนกว่าผลของกรรมจะสิ้นสุด

ยิ่งคนที่ปฏิบัติธรรมมาก มีภูมิธรรมสูง เวลาวิบากกรรมขั่วมาก็จะรุนแรงกว่าชาวบ้านทั่วไป 

เพราะกรรมชั่วนั้นมีหน้าที่หนึ่งคือกระแทกให้เกิดทุกข์ เมื่อเกิดทุกข์จึงค้นหาเหตุแห่งทุกข์ จนศึกษาการดับทุกข์ และดับทุกข์ด้วยวิถีทางดับทุกข์ที่ถูกตรง

ดังนั้นคนที่มีกำลังสติมาก ๆ ผลกรรมที่บางเบาอาจจะไม่สามารถทะลุกำแพงสติปัญญาเข้ามาทำให้ทุกข์ได้ ดังนั้นเมื่อได้รับก็จะได้รับผลกรรมก้อนใหญ่ที่มีความรุนแรงมาก ทำให้กระวนกระวายมาก ทำให้หลงมากและสิ่งที่เกิดจะทะลุกำแพงสติและปัญญาที่มีทั้งหมด

วิบากกรรมจะทำให้นักปราชญ์รู้สึกหลงรักหลงชอบไปไม่ต่างจากความรู้สึกของคนธรรมดาทั่วไป แต่แน่นอนว่ามีวิบากกรรมชั่วก็ต้องมีวิบากกรรมดี คนที่ทำดีมามากก็จะสามารถหลุดจากสภาพหลงได้ในเวลาไม่นานนัก อาจจะหลงชอบอยู่สักพักหนึ่งแล้วอยู่ ๆ ก็หลุดจากอาการเหล่านั้น นั่นเพราะผลกรรมชั่วได้ถูกชดใช้จนหมด คือถูกทำให้หลงรักแล้ว และเมื่อหมดวิบากกรรมชั่ว วิบากกรรมดีจึงส่งผลได้คือทำให้มีสติ ทำให้ตาสว่าง ทำให้เกิดปัญญาขึ้นมาเอง จนปล่อยจนคลายได้

2.2). ทำไมเราจึงต้องหลงหัวปักหัวปำ... กรณีของคนที่มีวิบากกรรมมากก็จะต้องผูกพันนานหน่อย จะไม่หลุดง่าย ๆ จะหลงมัวเมาหัวปักหัวปำอยู่แบบนั้น สติปัญญาอะไรไม่ต้องถามถึง มันไม่มีหรอกเพราะวิบากกรรมมันจะแรงกว่าเสมอ ฝึกมาดีแค่ไหนก็จะกลายเป็นคนที่หลงในความรักคนหนึ่ง แทบไม่ต้องพูดถึงคนทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างถูกตรงเลย มัวเมาจากวิบากกรรมตัวเองแล้วยังต้องเมากิเลสตัวเองซ้อนเข้าไปอีก กลายเป็นหลงหัวปักหัวปำ

ถึงเขาจะทำไม่ดีกับเรา เราก็จะไม่ถือโทษนะ จริง ๆ มันอาจจะดูว่างี่เง่า เอาแต่ใจ ไม่มีเหตุผลในสายตาของคนอื่น แต่ในความเข้าใจของเรามันจะเข้าใจเขาได้ มันจะลำเอียงเพราะหลงรักเขา ที่ไปหลงรักเขามันก็มีพลังแห่งวิบากกรรมมาดล มันดลให้รักให้ปักมั่น เหมือนคนหูหนวกตาบอด ใครบอกก็ไม่ฟังเหมือนโดนมนต์สะกดอะไรสักอย่าง

แม้ว่าจะมีคนบอกว่าเขาหรือเธอคนนั้นไม่น่าทำให้หลงได้ขนาดนั้น ไม่เหมาะสม ไม่น่าคบหา หรือคนอื่นบอกว่าถ้าเป็นเขาก็ไม่คบหรอก เราได้ยินเขาพูดนะ เข้าใจด้วย รับฟังอย่างมีสติด้วย แต่ในใจเราจะไม่รู้สึกตามเขา เวลาฟังมันเข้าใจเหตุผลได้ทุกอย่าง แต่มันทำไม่ได้ มันฝืนไม่ได้ ผิดชอบชั่วดีรู้หมดทุกอย่างแต่ต้านทานอะไรไม่ได้เลย

นี้เองคือพลังของกรรมและผลของกรรม เมื่อเราทำกรรมอะไรไว้แล้วมันจะให้ผลเหมือนกับจับเราไปขึงแล้วยิงเป้าโดยที่ไม่อาจจะขัดขืน สั่งให้เราหลงงมงาย ให้เราจมอยู่กับทุกข์ใจแสนสาหัส เวลาที่คนต้องอยู่แบบไม่อยากเสพแต่หนีไม่ได้นี่มันทุกข์นะ ตัวเองก็ไม่ได้อยากรักอยากหลงสักเท่าไร แต่มันหนีไม่ได้ มันออกไม่ได้ มันไม่มีปัญญา มันจะตื้อไปหมดสุดท้ายก็มาหลงเขาเหมือนเดิมแม้จะทุกข์แค่ไหนก็ต้องวนกลับมาโดนอยู่ดี

วิธีเดียวที่จะพ้นวิบากกรรมชั่วที่ทำให้ต้องทนทุกข์อยู่คือการทำกรรมดีช่วย แน่นอนว่าผลกรรมชั่วก็ต้องรับ แต่กรรมดีก็ต้องรับเช่นกัน

ดังนั้นเราจึงควรทำกรรมดีให้มากเพื่อไปเจือจางผลกรรมชั่วนั้นเสีย เพื่อให้เราไม่ต้องทนรับกรรมชั่วต่อเนื่องกันนานๆ ให้พอมีกรรมดีได้ส่งผลให้เกิดปัญญา ให้เห็นความจริง ให้โผล่ขึ้นมาหายใจได้บ้างหลังจากที่ถูกกรรมชั่วลากลงน้ำจนทุกข์ทรมาน

2.3). ทำไมเราจึงยอมให้เขากลับมาทุกครั้ง... คนที่มีกรรมผูกผันมาก แม้จะพยายามสะบัดก็จะสะบัดไม่หลุด หนีไม่ได้ ถึงจะพยายามหนีก็ต้องกลับมาหลงเหมือนเดิม ถึงเราจะยอมใจแข็งตัดใจทิ้งความสัมพันธ์นี้ไป สุดท้ายวิบากกรรมก็จะดลให้เขามาง้อ ให้เขามาแสดงอาการให้เรารู้ว่าเราสำคัญ คำพูดมากมายที่ตรงกับใจซึ่งทำให้เราใจอ่อน หรือไม่ก็เป็นเราที่วนกลับไปเสียเอง ยอมรับกรรมนั้นกลับมาซ้ำเติมเราอีกครั้งหนึ่ง

แม้เราจะไม่ได้รู้สึกอยากเสพสิ่งใดในตัวเขา แต่ก็จะมีเหตุผลบางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดูดดึงเขากลับมาไว้กับเราอีกครั้ง จริง ๆ แล้วเป็นการลากกลับมาของวิบากกรรม

ตราบใดที่ผลของกรรมนั้นหากยังไม่ได้ถูกชดใช้จนหมด ก็จะไม่ปล่อยให้เราให้เราได้เป็นอิสระ เรายังจะต้องจมและวนเวียนอยู่กับเขาหรือเธอซึ่งก็ไม่รู้ไปหลงใหลอะไรมากมาย หาเหตุผลก็ไม่ค่อยเจอ ข้อดีก็มีให้เห็นไม่มาก ก็เสียก็มากมาย แต่เรากลับไปขยายเนื้อความในข้อดี แล้วมักจะทำเป็นมองไม่เห็นข้อเสียนั้นเสียเอง

วิบากกรรมมันพาให้หลงไปแบบนี้ อะไรก็ป้องกันไม่อยู่ ได้แต่จำยอมรับผลกรรมด้วยใจที่เป็นสุข แน่นอนว่าในทางภาษานั้นพอจะยอมรับได้ แต่ในความจริงที่เกิดขึ้นในใจมันจะยอมรับไม่ได้ ทำใจให้เป็นสุขไม่ได้ เพราะผลกรรมนั้นก็ดลให้เกิดความหลงผิด จนเกิดความทุกข์ ลืมธรรมะ ลืมเครื่องมือทุกอย่างที่เคยใช้เพื่อกำจัดทุกข์เหมือนกับคนไม่เคยฝึกปฏิบัติใจมาเลย

วิบากกรรมนั้นยังมีช่วงเวลาของการส่งผล บางคนเลิกกับคนรักที่เคยหลงยึดไว้หลายปีแล้ว แม้ว่าจะหันหน้าปฏิบัติธรรม หันมาทำดี หันมาสร้างกุศล แต่สุดท้ายกลับถูกกรรมดึงกลับไปให้ต้องไปมีคู่ ตอนแรกมันเหมือนจะหนีออกมาได้นะ มาพบธรรมะ มีกัลยาณมิตร เจอครูบาอาจารย์ที่ถูกตรงแล้ว เห็นทางพ้นทุกข์ก็แล้ว แต่ยังถูกวิบากกรรมลากกลับไปให้หลงมัวเมาอีก

ตอนถูกลากกลับไปอีกทีมันจะลืมธรรมะหมดเลยนะ ลืมคำสอนครูบาอาจารย์ ลืมกัลยาณมิตร ลืมศีล ลืมสติ ลืมปัญญา หันกลับไปหลงแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ดีไม่ดีจะยอมลดศีลทิ้งธรรมไปเลย ยอมกลับไปมีรักดีกว่ามีธรรม

ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร?

นั่นก็เพราะเมื่อคนหันมาทำดี ทำกุศลกรรมเข้ามาก ๆ ศึกษาธรรมะมาก ๆ ผลกรรมในด้านดีจะส่งผลและดึงวิบากกรรมชั่วเข้ามา กล่าวกันแบบนี้อาจจะงง ว่า เอ๊ะ!ทำไมทำกรรมดีแล้วชั่วจึงมา

นั่นเพราะว่าเวลาเราทำดีไปมากเข้า กรรมดีก็จะดึงวิบากกรรมชั่วมาให้เกิดผลที่ดีขึ้น คือดึงวิบากกรรมชั่วมาใช้ให้มันหมดไปอีกเรื่องหนึ่งชีวิตจะได้ดีขึ้น

เมื่อวิบากกรรมชั่วนั้นส่งผลขึ้นมาก็จะทำให้หน้ามืดตามัว แม้ว่าจะอยู่กลางวงธรรม ห้อมล้อมด้วยมิตรสหายและครูบาอาจารย์ที่ถูกตรง แต่ก็สามารถหลุดออกจากวงโคจรไปได้เช่นกัน เพราะวิบากกรรมนั้นลากออกไปให้ได้ทำภารกิจ คือไปชดใช้กรรม

ถ้าถามว่าต้องใช้วิบากกรรมถึงไหน ก็ยากจะตอบได้ เพียงแค่เข้าใจได้ว่าใช้เท่าที่ควรจะใช้ แต่มันจะไม่มากกว่าที่เราทำมาแน่นอน เมื่อใช้วิบากกรรมหมดก็จะรู้เอง มันจะหายโง่ มันจะมีเหตุการณ์ที่มาดลให้เกิดปัญญาเอง

แต่ทีนี้มันจะมีโอกาสพลาดอยู่ตรงที่ว่าคนดีที่กุศลกรรมนั้นลากอกุศลกรรมมาแล้ว ไม่ได้มีแค่ผลของกรรมอย่างเดียว ยังมีกิเลสรวมอยู่ด้วย สุดท้ายคนดีที่ทำดีมาก ๆแต่ล้างกิเลสไม่เป็นก็จะต้องจมไปกับชะตากรรม ต้องวนเวียนมีคู่ แต่งงาน มีลูก เลี้ยงลูก แบกภาระมากมายสะสมทุกข์และกรรมชั่วเพิ่มไปอีกชาติหนึ่ง

ซึ่งก็จะวนเวียนอยู่แบบนี้เป็นธรรมดาของโลก จะสังเกตว่าคนทำดีมาก ๆ มักจะได้รับผลร้ายแปลก ๆ มักจะได้ยินว่าคนดีไม่น่าได้รับสิ่งร้าย ไม่น่าตายไม่ดีเลย

จริง ๆ แล้วสิ่งร้ายนั้นไม่ได้เกิดมาจากการทำดี แต่เกิดจากกรรมชั่ว จึงส่งผลเป็นสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิต สิ่งที่ไม่ดีนั้นเกิดขึ้นเช่นเดียวกับที่ยกตัวอย่างมาในข้างต้นคือ มาเพื่อกระแทกให้เห็นกรรมชั่วที่ตัวเองทำไว้ จะได้ทำดีให้มากขึ้น

หรือในกรณีคนดีบางคนก็เพียงแค่ตายใช้กรรมเพื่อเปลี่ยนภพไปสู่ภพที่ดีกว่า เช่นชาตินี้อาจจะเป็นคนจนมีภาระมาก เมื่อทำดีมาก ๆ ก็หมดกรรมเร็ว จึงถูกทำให้ตายและเกิดใหม่เป็นคนที่พร้อมด้วยปัจจัยที่เอื้อต่อการทำดีมากขึ้นก็เป็นได้

ในกรณีเดียวกันที่คนทำดีเจอสิ่งไม่ดีนั้นเพราะวิบากกรรมลากสิ่งชั่วมาให้เรียนรู้


แต่ทีนี้ คนดีส่วนมากแม้จะมีความดีมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีปัญญามากพอจะผ่านเรื่องเลวร้ายนั้นได้ บางคนก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับอกุศลกรรมที่ถูกดึงเข้ามา นั่นเพราะเขาไม่คบหาสัตบุรุษ ไม่มีครูบาอาจารย์ที่ถูกตรง ไม่มีกัลยาณมิตร ไม่มีธรรมที่จะพาให้ผ่านเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นได้

พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า การที่จะก้าวเข้าสู่วิธีปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ หรือก่อนจะเข้าสัมมาอริยมรรคได้นั้นจะต้องพบกับกัลยาณมิตรเสียก่อน มรรคนั้นเหมือนกับดวงอาทิตย์

แต่ก่อนอาทิตย์จะขึ้นเราจะต้องเห็นแสงอาทิตย์ก่อน เห็นแสงเงินแสงท่องที่ส่องมาก่อน คือต้องคบหาสัตบุรุษหรือมีกัลยาณมิตรที่รู้สัจจะแท้สู่การพ้นทุกข์เสียก่อน และพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้อีกว่า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของการพ้นทุกข์

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะเก่งกาจยิ่งใหญ่มาจากไหนก็หนีพลังของวิบากกรรมไม่พ้น หนีสิ่งที่ตัวเองเคยทำมาไม่พ้น เรายังคงต้องรับผลกรรมที่เราเคยทำมานั้นอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้

แต่หากเราได้คบหากับมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี เขาเหล่านั้นก็จะพาเราสร้างกรรมใหม่ เป็นกรรมดีที่พาให้เจริญเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่พอจะเจือจางพลังแห่งวิบากกรรมชั่วให้ส่งผลเบาบางลงได้บ้าง

เหมือนกับเราผสมน้ำเปล่าใส่น้ำหวาน มวลของน้ำหวานยังมีอยู่เหมือนเดิม แต่ถ้าเรากินน้ำที่ผสมแล้วก็จะไม่รู้สึกหวานมากเหมือนกินน้ำหวานล้วน ๆ วิบากกรรมดีและชั่วก็เช่นกัน แม้เราจะไม่สามารถทำให้หมดไปได้ แต่สามารถทำให้วิบากกรรมเหล่านั้นเจือจางได้ และทำให้เราสามารถชดใช้กรรมได้ในขีดที่ไม่ทุกข์มากนัก จะดีกว่าไหมหากเราสามารถเลือกที่จะผ่อนหนักเป็นเบาได้ เหล่านี้คือกรรมใหม่ที่เราเลือกได้ ชีวิตลิขิตเองได้ โดยการทำกรรมใหม่ซึ่งมีคุณค่ากว่าการจมอยู่กับกรรมเก่า


3). เราทำกรรมอะไรมาจึงต้องมาหลงมัวเมากันขนาดนี้

กว่าจะมาถึงชาตินี้เราเวียนว่ายตายเกิดกันมาหลายภพหลายชาติ เป็นคนดีคนเลวมามากมาย มีคู่มาก็มาก แม้ว่าชาตินี้จะไม่อยากมีคู่ก็ตาม วิบากกรรมก็จะดลให้อยากมีเพราะจริง ๆ เรามีสะสมมาหลายชาตินับไม่ถ้วน กรรมที่เคยผูกพันกันในแบบสามีภรรยาจึงถูกสร้างขึ้นมามากมาย ฝังลึกลงไปในจิตวิญญาณ

เมื่อเคยมีคู่มาหลายชาติ ก็ต้องมารับผลกรรมจากการมีคู่ที่เคยทำมาด้วย ไม่ใช่ว่าจะแค่ตัดใจแล้วหนีได้ทันที มันทำไม่ได้

วิบากกรรมจะดลให้หลงไปมีคู่เองเมื่อถึงเวลาอันควร ส่วนจะมากน้อยเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับว่าเราสะสมกรรมแห่งการมีคู่มากมากเท่านั้น นี่ยังไม่รวมวิบากกรรมจากการไปจีบเขา ไปหักอกเขา ไปทิ้งเขานะ มันต้องรับกรรมทั้งหมด ดังนั้นเราเกิดมาก็จะเจอลีลาทุกข์จากเรื่องคู่ต่างกันเพราะทำหลายรูปแบบ

ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงบางคนหลงไปว่าฉันมีคนมาจีบเยอะ ฉันมีแฟนหลายคน ฉันมีเสน่ห์ ก็เมาโลกธรรมหลงไปบริหารเสน่ห์คุยกับคนนั้น เล่นหูเล่นตากับคนนี้ ปั่นหัวคนโน้น สารพัดลีลาที่จะใช้ยั่วคนอื่นไปทั่ว แม้แต่การมีแฟนหลายคนก็อย่าหลงดีใจไป ทั้งหมดนั้นเราจะต้องรับแน่นอน เราไปเป็นสิ่งที่กระตุ้นกิเลสให้ใคร เราจะต้องโดนเอาคืนในชาติใดชาติหนึ่งแน่นอน

เช่น ตายแล้วมาเกิดในร่างผู้ชาย พอโตได้ที่ถึงวัยกิเลสกำเริบก็พยายามจีบเขาไปทั่ว แต่ก็ทำยังไงก็โดนเขาหักอก โดนเขายั่วแต่ไม่ยอม โดนเขาทิ้งก็ยังหลงมัวเมาตื้อเขาอยู่ ต้องทนทุกข์อยู่แบบนั้น นี่ก็เกิดจากกรรมที่ทำมานั่นเอง

คนที่ไม่ชัดเจนเรื่องกรรม ไม่เชื่อในกรรมและผลของกรรม ก็จะสะสมกรรมชั่วไปเรื่อย ๆ แล้วก็วนเวียนรับกรรมชั่วทุกข์ทรมานแสนสาหัสจนหันมาทำดีจนได้รับผลกรรมที่ดี เกิดมามีหน้าตาดีแต่แล้วก็เลือกทำกรรมชั่วไปทั่ว ก็ต้องวนมารับวิบากกรรมชั่วแบบนี้เรื่อยไป คนก็วนเวียนในวัฏสงสารแบบนี้ ทำดีทำชั่วสลับกันไปแบบนี้ แล้วก็ต้องมาคอยรับผลกรรมชั่วจนทุกข์ทรมานแบบนี้ มันเหนื่อยไหมล่ะ


4). การพาตนให้รอดพ้นกรรมเก่า

คนที่กิเลสหนามักจะต้องเวียนกลับไปเจอกับทุกข์เช่นนี้ เพราะยังมีเชื้อกิเลสเป็นตัวดูดดึง แม้จะอยู่ในกลุ่มมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มีครูบาอาจารย์ที่สอนอย่างถูกตรงสู่การพ้นทุกข์ ลดกิเลสได้จริง มีปัญญาจริง ถึงจะพยายามปฏิบัติจนมีความสงบ รูปสวย มีคนนับหน้าถือตา เป็นดังพ่อพระแม่พระ แต่สุดท้ายก็จะโดนวิบากกรรมลากกลับไปให้หลงรัก ให้มีคู่ ดังที่เห็นได้ทั่วไปในสังคมว่า คนที่ดีแสนดีแต่ทำไมเวียนกลับไปเสื่อมจากศีลธรรม

การที่เสื่อมจากศีลธรรมนั้นเพราะว่าแท้จริงแล้วไม่เคยมีธรรมนั้นจริง ๆ ในตนเองต่างหาก ไม่มีปัญญาในตน ไม่มีสภาพรู้แจ้งกิเลสในตน ดังนั้นจึงมีกิเลสเป็นไส้ศึกทำให้ต้องแพ้พ่ายเมื่อผลกรรมยกทัพมาตี ถ้าเราไม่ใช่ของจริงถึงแม้จะอยู่ในหมู่คนดีก็จะต้องโดนพรากโดนจับแยกออกไปให้รับทุกข์

แต่คนที่มีสภาพรู้แจ้งกิเลสในเรื่องคู่จะต่างออกไป เพราะเข้าใจรู้แจ้งอริยสัจ ๔ ทั้งหมดในเรื่องคู่ จึงไม่มีวิบากกรรมใดที่จะสามารถมากระแทกกระทั้นให้สละความโสดหรือไปหลงรักใครได้ เพราะเข้าสู่ภาวะของความเที่ยงในวิญญาณว่าไม่มีคู่นี่มันสุขที่สุดแล้ว

แต่ถึงกระนั้นก็ตามแม้ว่าจะเป็นผู้มีปัญญารู้แจ้งในกิเลส เขาเหล่านั้นก็ไม่ได้ปัญญามาด้วยความบังเอิญ แต่ได้มาจากการเผชิญกับความหลง ความรัก เรียนรู้สุขทุกข์ ล้มลุกคลุกคลานกันมามากมายเช่นเดียวกับคนกิเลสหนานั่นแหละ

แต่สิ่งที่ทำให้เขาผ่านมาได้และเพียรพยายามจนไม่ต้องวนกลับไปทุกข์อีก คือการคบหาสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมได้ฟังสัจธรรมที่บริบูรณ์ เกิดศรัทธาและปฏิบัติตามจนพ้นทุกข์ได้นั่นเอง


15.1.2558
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์


---------------

ใหม่เมืองเอก สรุปท้ายบทความ

แม้เนื้อหาบทความจะเกี่ยวกับความรัก แต่คำอธิบายในบทความกลับอธิบายให้เห็นวิธีส่งผลของ กฎแห่งกรรม ได้อย่างชัดเจนมาก

ที่ผมชอบมากและอยากจะเน้นเป็นพิเศษ คือ ผู้ปฏิบัตืธรรมเพื่อความหลุดพ้น ยิ่งก้าวหน้าทางธรรมมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีบททดสอบที่หนักขึ้นหรือที่เรียกว่า วิบากกรรม มาหาเร็วขึ้นเท่านั้น

นั่นก็เพื่อจะช่วยให้เราได้ผ่านทดสอบที่ยากขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อจะได้หลุดพ้นจากวัฏสงสารเร็ว ๆ สักที

แต่ถ้าใครยังพลาดไม่ผ่านบททดสอบที่เรียกว่า วิบากกรรม นั้นได้

คุณก็จะต้องย้อนกลับไปเจอเรื่องทุกข์เดิม ๆ นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าจิตใจจะผ่านทุกข์นั้นไปได้จริง ๆ ซึ่งตรงนี้ตรงกับหลักของกฎแห่งจักรวาลหรือกฎแห่งแรงดึงดูด ที่กำลังฮอตฮิตในปัจจุบัน

คือถ้าเราไม่ผ่านเรื่องทุกข์เดิม ๆ ไปได้สักที จักรวาลก็จะส่งบททดสอบนั้นมาให้เราซ้ำ ๆ อยู่เรื่อย ๆ นั่นเองครับ



คลิกอ่าน หลักจิตวิทยา เหตุผลที่เราไม่สามารถตัดใจจากคนที่ทำให้เราเจ็บได้



วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เหตุผลที่เราไม่สามารถตัดใจจากคนที่ทำให้เราเจ็บได้







เกริ่น

บทความต่อไปนี้มาจากกระทู้ในเว็บพันทิป ที่ผมได้หาเจอโดยความบังเอิญ ทั้ง ๆ ที่อยากจะอ่านบทความดี ๆ และโดนใจแบบนี้มานานแล้ว

แต่หาอยู่ตั้งนาน ก็เพิ่งจะได้เจอโดยบังเอิญนี่แหละ

ขอบอกก่อนว่า เนื้อหาในบทความนี้อาจไม่ใช่คำตอบในเหตุผลทุกอย่างของทุกคนที่เจอปัญหาแบบนี้เสมอไปนะครับ

แต่น่าจะมีเหตุผลที่ตรงใจกับใครหลายคนบ้างแน่ ๆ เพราะผมอ่านแล้วรู้สึกชอบมาก

--------------------

จากกระทู้พันทิปเรื่อง

ทำไมเราจึงรักคนที่ทำให้เจ็บ/ตัดใจยาก?วิธีตัดใจ เรามีคำตอบ

สวัสดีค่า วันนี้อยากจะมาแนะนำวิธีคิด

ทำไมการตัดใจจากใครบางคนที่เราคิดว่า "รักมาก" "เป็นคนที่ใช่" "เป็นเนื้อคู่" "เป็นเจ้ากรรมนายเวร" ที่ทำให้เราเจ็บช้ำได้ยาก?

เราไม่ได้บอกว่า ตัวเราก็สามารถตัดใจหรือทำใจได้ง่าย ได้เร็วนะคะ ความจริงตัวเราเองก็ทำใจอยู่ 555 (หัวเราะทั้งน้ำตา)

แต่เรามานั่งคิดวิเคราะห์แล้ว เรามองว่า มันก็แค่เป็นกลไกทางจิตวิทยาของมนุษย์อย่างหนึ่งค่ะ แล้วเราก็ได้สติขึ้นมา มีการได้ไปอ่านได้ฟังจากที่ต่างๆ

จึงอยากมาสรุปและแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันเพื่อเป็นวิทยาทานค่ะ

ขอให้วิทยาทานครั้งนี้ ช่วยให้เราและผู้ที่กำลังมีความทุกข์จากความรัก ตัดใจจากคนที่ไม่ดีไม่รักเราได้ง่ายดายภายในไม่กี่วันด้วยเถิด



องสังเกตุดูว่า คนที่เรามักนึกถึง ตัดใจไม่ได้ หรือบอกรักมาก เลิกไม่ได้ อะไรก็ตาม

ส่วนใหญ่แล้วบุคคลเหล่านั้นมักไม่ใช่คนที่ให้ความรักที่ดีกะเราสม่ำเสมอ ใช่มั้ยคะ ?

มักเป็นคนที่รักเราบ้าง ไม่สนใจเราบ้าง หรือใจร้ายกะเราบ้าง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย

บางคนถึงขั้นเคยทำร้ายจิตใจหรือร่างกายเรา บางคนมีครอบครัวแล้ว ๆ มาคบเรา
เราอาจเป็นเมียน้อยบ้างล่ะ หรือเขามีกิ๊กเยอะบ้างล่ะ

ทำไมเราถึงตัดบุคคลแบบนี้ไม่ได้ ? 
เพราะเรารักเขาหรอ ?
แล้วมันใช่ความรักจริง ๆ เหรอ ?

ในขณะที่บางคนทำดีให้เราทุกอย่าง ไม่เคยทำเราเสียใจ รักเรามาก รักเราคนเดียว เป็นคนที่แสนดี แต่เรากลับไม่ได้รักมาก เราอาจจะรักในช่วงแรก แต่แล้วเราก็เบื่อ หรือถ้าความรักจืดจาง เราก็ตัดใจออกมาจากเขาง่าย ๆ ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย

สาเหตุที่สำคัญ ที่ทำให้เรานึกถึงหรือตัดใจจากบุคคลประเภทแรกไม่ได้ ก็เป็นเพราะ...

กลไกทางจิต "ความอยากเอาชนะ" ของเราเอง

ซึ่งมันไม่ใช่ความรักที่แท้จริงหรอกค่ะ มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไปรักคนที่เขาไม่ดีกับเรา (ยกเว้นความรักของพ่อกับแม่ที่มีต่อลูกนะ ต่อให้ลูกเลวกับพ่อแม่แค่ไหน พ่อแม่ก็รักอยู่ดี และนั่นคือความรักที่บริสุทธิ์)

แน่นอนมนุษย์ทุกคนไม่โง่

แต่สิ่งที่ติดค้างในใจ มันคือ. "ความอยากเอาชนะ" / "ปมที่ติดในใจ" / "ความอยากรู้สึกมีค่าในสายตาคนที่เค้ายังไม่เห็นค่าเรา" / "อยากทำให้เขารักเรา”

เหมือนเรากำลังเล่นเกมอะค่ะ แต่มันไม่ชนะซะที เค้ายังไม่ยอมเราสักที เราก็จะยังมีความติดค้างในใจ อยากจะเล่นเกมนี้ต่อไป จนกว่าเราจะชนะ แล้วเราจึงจะมีความสุข

คนบางคนไม่เคยแม้แต่จะได้เป็นแฟนเขา หรือเคยเป็นแล้วถูกบอกเลิกแบบไม่ดี หรือเขาทำร้ายจิตใจ หรือเขาไปมีคนใหม่

แต่เราก็ลืมไม่ได้ เป็นปีก็ยัง hurt อยู่ ไม่ยอมไปรักใครใหม่ ใครมาดี เพอร์เฟคแค่ไหน เราก็ไม่รัก เราจะรอคอยแต่เขาคนนั้นคนเดียว บางคนถึงขั้นคิดไปเองว่า เพราะเขาคือคู่แท้ของเราแน่ๆ เราเลยไปรักใครอีกไม่ได้

แต่เปล่าเลย !!

สาเหตุเป็นจากสิ่งเดียว คือ เรายังไม่สามารถเอาชนะบุคคลคน ๆ นั้นได้ต่างหาก เหมือนเรายังไม่สามารถปิดจ๊อบนั้นได้สักที ประมาณนี้ 555

ตราบใดที่เขายังไม่ได้มาอยู่ภายใต้การบังคับของเรา เราจะยังต้องการเขาอยู่เพื่อมาปิดหลุมดำในความรู้สึกของเราที่ยังติดว่าเราไม่มีคุณค่า , เราไม่ชนะ

คนที่เขามาทำให้เราเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเรา แล้วก็มาดีกะเรา แล้วก็มาร้ายอีก มันทำให้เราเคยชินกับความตื่นเต้น สมองจะมีการหลั่งสาร dopamine มากกว่าเวลาปกติ มันทำให้เรารู้สึกสนุก มีความสุข

คือเป็นความสุขที่ปน ๆ กับความทุกข์ ต้องคอยลุ้นว่าจะดีไม่ดี เวลาเขาทำดีเราก็มีความสุข

เวลาเขาเมินเฉยหรือทำไม่ดีเราก็ทุกข์ วนอยู่ขึ้นลงอย่างงี้

จิตใจมนุษย์ทุกคนชื่นชอบความรู้สึกแบบนี้ค่ะ

มากกว่าความรู้สึกที่ไม่มีอะไรให้ลุ้นให้ตื่นเต้น ไม่ต่างกับ เวลามีคนมาแสนดีกับเรารักเรามาก รอเราเสมอ แต่เรากลับไม่ได้ติดใจอะไรคนนี้มากนัก

ย้ำว่า "ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ใช่รักที่แท้จริง" นะคะ ยิ่งเขาเมินเฉย ทำตัวแย่กะเราแค่ไหน เรายิ่งอยากเข้าหา อยากพิสูจน์กะคนคนนี้ว่า

"เรามีดีนะ เรามีคุณค่านะ เห็นคุณค่าของฉันหรือยัง รักฉันหรือยัง เธอต้องรักฉันสิ ฉันดีขนาดนี้"

เห็นมั้ยคะว่า สิ่งที่เราคิดตอนนี้ มีแต่คำว่า ตัวเรา ของเรา ต้องรักฉัน ต้องได้มา ต้องยึดครอง

แต่ไม่ได้มีคำไหนที่เกี่ยวข้องกับคำว่า คุณรักเขาเลย ถ้ารักจริง ๆ คุณจะยินดีที่เค้าไปดีค่ะ คุณจะไม่ทุกข์แบบนี้)

แล้วถ้าเขาไม่สนองตอบในสิ่งที่จิตใจเราต้องการ เราจะยิ่งสร้างปมมากขึ้น ตัดใจไม่ได้ เลิกนึกถึงไม่ได้ แอบรอคอยความหวังว่าเค้าจะมาดีด้วย

ซึ่งกลไกนี้ไม่ต่างกับ เวลาผู้ชายจีบผู้หญิง ยิ่งยากยิ่งชอบ ยิ่งติดใจ เขาจึงสอนว่า ให้ผู้หญิงทำตัวแบบ Push and Pull เข้าหาบ้าง ถอยออกไปบ้าง เพื่อดึงดูดผู้ชายให้อยู่กะเรา ไม่เทเรากลางทาง 555

เดี๋ยวว่าง ๆ จะเขียนเรื่อง "ทำไมผู้หญิงถึงรู้สึกเซ็งเวลาคนที่คุย ๆ อยู่แล้วมาเทเรา อยู่ดี ๆ ผู้ชายหายไป และสาเหตุ"

อเรามีสติ รู้ตัวเองว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ความทุกข์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากการที่เรารักเขาจริง ๆ นะ เขาไม่ใช่เนื้อคู่ ไม่ใช่คู่เวรคู่กรรม (บางคนอาจจะเชื่อเรื่องเวรกรรมที่พาเรามาเจอคนไม่ดี อันนั้นก็อีกเรื่องนึงนะคะ)

เราไม่ได้ไปยึดติดอะไรกะเขาเลย แต่เรายึดติดที่ใจเราเองล้วน ๆ

มันเป็นความรู้สึก อยากเอาชนะ อยากมีคุณค่าในสายตาคน ๆ นี้ และต้องคนนี้เท่านั้น คนอื่นมาทำดีด้วยมันไม่สามารถคลายปมทางจิตใจที่เรามีต่อคนนี้ได้

อีกอย่างนะคะ เราต้องมีสติว่า คน ๆ นี้เขาไม่ได้รักเราจริงนะ เพราะคนที่เขารักเราจริง ๆ เขาไม่มีวันทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เรา หรือเก็บเราไว้เป็น option หรือ เดินจากเราไปง่าย ๆ หรอกนะ เพราะความรักที่ดีงามสมบูรณ์ คุณจะต้องมีความสุข (มากกว่าความทุกข์) เสมอ

วิธีแก้/วิธีตัดใจ

- ร้องไห้ซะให้พอ ถ้าอยากร้องก็ร้องเลย ความทุกข์จะคลายเร็ว จริง ๆ

- พยายามมีสติให้มาก ให้รู้ว่ามันไม่ใช่ความรักที่แท้จริง (ความรักที่แท้จริงจะไม่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุกข์ค่ะ)

- คลายปม เลิกความคิดที่จะเอาชนะไปเลย อาจจะทำยาก แต่ต้องพยายามทำ เราไม่สามารถเอาชนะทุกสิ่งในโลกนี้ได้ ของบางอย่าง คนบางคน เราต้องปล่อย เราจึงจะได้มาค่ะ

- ห้ามสร้างความหวังค่ะ ให้คิดว่ามันหมดหวัง ไม่มีทางแล้วกับคน ๆ นี้ล้านเปอร์เซ็นต์ เขาไม่รักเรา และเราก็ไม่รักเขาค่ะ มันจะทำให้ใจเราสละออกได้ง่ายค่ะ

- สวดมนต์ ไหว้พระ ทำบุญ ทำทาน นั่งสมาธิ แผ่เมตตา ตั้งสัจจะอฐิษฐานว่าจะหลุดจากความหลงนี้ได้ในเร็ววัน ช่วยได้เยอะมากค่ะ ใจเราจะสงบเย็น ทำให้เรามีความฮึกเหิมที่จะตัดใจ และมีสติที่จะคิดวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความรักนะ

- พัฒนาตัวเอง ทำงาน ออกกำลัง เสริมสวย เรียนทำอาหาร อะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เราดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน

- มั่นใจในตัวเองเสมอค่ะ ว่าเราดีเราเริ่ด เราไม่แคร์ และสิ่งดีๆจะเข้ามาในชีวิตค่ะ (ทั้งคนใหม่ที่ดีกว่าหรืออาจจะคนเก่ากลับมาหาเราได้ค่ะ)


จากกลไกทางจิตเบื้องต้นของมนุษย์ มันทำให้เราคิดได้อย่างนึงค่ะว่า ถ้าเราอยากให้ใครมาตามเรา เราอย่าไปไล่ตามเขาค่ะ (อันนี้อาจจะเหมาะสำหรับผู้หญิงนะคะ)

ทำตัวแบบเริ่ดไม่แคร์มันอะค่ะ ผู้ชายมันจะเอะใจว่า เอ๊ะ ทำไมมันไม่ตามเราแล้ววะ มันจะเกิดความ insecure จากคนที่มันคิดว่ารักมันยอมมันได้เปลี่ยนไปแล้ว ผู้ชายมันจะตามเราค่ะ อาจไม่ตามในวันสองวันนี้ แต่ตามแน่ในอนาคต

ถ้ามันมา ก็ดีกะมันแบบมีระยะห่างนิดหน่อย สิ่งสำคัญคืออย่าไปแสดงออกว่าเราแคร์เขา รักเขามากค่ะ เขาจะกลับมาทำตัวแย่กะเราอีกค่ะ

ทั้งนี้ทั้งนั้นให้คิดไว้ก่อนว่าจะตัดใจแน่ ๆ อย่าตั้งความหวังเลยค่ะ อะไรจะเกิดมันก็จะเกิดเองค่ะ

ขอบคุณมากค่ะที่อ่าน ช่วยโหวตช่วยแชร์ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ด้วยค่า

ที่มา https://pantip.com/topic/35570745



----------------------

จากกระทู้ในพันทิปข้างต้นคุณได้ข้อคิดอะไรเพิ่มแติมบ้าง ?

สำหรับที่ผมอ่าน ผมได้ข้อคิดว่า

คนที่รักเราจริง ๆ เรามักเบื่อและเห็นเป็นของตาย จนละเลยหรือละทิ้ง เพราะเห็นว่า คน ๆ นั้นไม่น่าตื่นเต้น และไม่น่าสนใจ

ซึ่งถ้าใครเป็นคนแบบที่ว่า ที่มักมองข้ามคนที่เขาทำดีกับเราอย่างจริงใจ นั่นแสดงว่า คุณคือคนโง่ ที่มักจะมองว่า คนที่มาดีกับคุณแบบจริงใจนี้ว่าเป็นคนที่ดีเกินไป

โดยเฉพาะมีผู้หญิงจำนวนมาก ที่มักไปชอบไปรักผู้ชายร้าย ๆ กับเธอ สุดท้ายมักจบลงด้วยความเสียใจ แล้วมักมาร่ำร้องคร่ำครวญภายหลังว่า

ทำไมฉันถึงไม่เจอคนที่ซื่อสัตย์ จริงใจ รักเดียวใจเดียว และไม่นอกใจฉัน สักที

ขอบอกว่า ความจริงพวกคุณได้เจอคนที่ดีกับคุณแล้ว แต่คุณกลับโง่มองข้ามเขาเองต่างหากครับ

--------------------


แถมท้าย เรื่อง

ความต่างของคนยังรัก กับคนหมดใจ ในการรักษาความสัมพันธ์



คลิกอ่าน วิบากกรรมใดหนอที่ทำให้ฉันรักเธอหัวปักหัวปำ





วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2561

มารยาทดี ยุด 4.0 ด้วยหลัก ใจเขาใจเรา







ใจเขาใจเรา ( via นุสนธิ์บุคส์)

1. เวลาได้รับข้อความ อย่าอ่านแต่ไม่ตอบ ต่อให้ไม่อยากเสวนาด้วย ก็ควรตอบข้อความ อาจจะด้วยสติกเกอร์ หรืออิโมชั่น การไม่ตอบข้อความไม่ใช่การถือไพ่เหนือกว่า แต่มันหมายถึงไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอน


2. อย่าฝากความลับไว้กับสายลม เพราะลมจะพัดกระพือให้มันไปทั่วผืนป่า


3. อย่าทำตัวสนิทสนมกับใครให้มันเร็วจนเกินไป อย่าคิดว่าคุยถูกคอก็คือมิตรแท้สหายจริง สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร!

(ในข้อ 3 นี้ akeicty ขอเสริมว่า เป็นจริงมาก มีหลายคนเคยพลาดเพราะคิดว่า คุยกันถูกคอ เล่าเรื่องได้ทุกอย่างให้เขาฟัง เขาก็รับฟังอย่างดี จนเผลอคิดเองเออเองว่า เรากับเขาสนิทกัน แต่สุดท้ายกลับไม่ใช่ !! จนเข้าทำนองภาษิตที่ว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน เพราะจะจนใจเอง" )


4. สิ่งที่ไม่ควรพูดต่อหน้าคนอื่น ก็ไม่ควรพูดลับหลังคนอื่นเช่นกัน


5. ใช้คำว่า "ขอบคุณนะ" แทนคำว่า "ขอบคุณ" แม้จะต่างกันเพียงแค่คำเดียว แต่คนฟังรู้สึกได้ว่าแตกต่างกัน


6. เวลาไปพักแรมกับคนอื่น เมื่อมีใครสักคนหนึ่งในห้องนอนหลับ ก็ต้องรู้จักหยุดพูดคุยหัวเราะเสียงดัง หากมีเรื่องจะคุยกัน ก็ออกจากห้องพักไปคุยข้างนอก


7. ต่อให้ใครยินดีให้ยืมโทรศัพท์ ใช้แล้วก็รีบส่งคืน และหากใครเปิดรูปในโทรศัพท์ให้ดู ดูรูปนั้นเสร็จก็ส่งคืน อย่าเสียมารยาทเลื่อนดูรูปอื่นๆต่อ เหตุผลเดียวกัน คุณก็ไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัว ใช่ไหม?


8. มีคน 2 ประเภทที่คุ้มค่ากับการเชื่อถือ 1.คนที่ไม่เอ่ยยืมเงิน 2.คนที่ยืมแล้วคืนตรงตามสัญญา


9. เวลาทำผิด อย่าพยายามหาข้อแก้ตัวหรือแถจนสีข้างถลอก ผิดก็คือผิด ยอมรับผิดแบบแมน ๆ เขาก็ให้อภัยได้ง่าย ไม่ยอมรับผิดแถมมาพาลใส่ รู้ไหม มันน่าหมั่นใส้


10. เวลาโมโห อย่าพรวดคำด่าอันเจ็บแสบรัวใส่ฝ่ายตรงข้าม เพราะเมื่อสงครามสงบ เรื่องจบ แต่แผลไม่มีทางลบไปจากใจเขา


11. คนที่บอกว่า "พูดมาตรงๆเลย เรารับได้!" ร้อยทั้งร้อย พอพูดตรงๆกลับยอมรับไม่ได้


12. ให้เกียรติพนักงานบริการที่คุณไปใช้บริการ คุณอยากได้รับการบริการที่ดี เขาก็อยากเจอลูกค้าที่นิสัยดีเช่นกัน ใจเขาใจเรา หากคุณเลือกงานได้ คุณก็คงทำงานอย่างอื่นแทนการรับใช้คนอื่นใช่ไหม?



--------------------

มารยาทดี ยุค 4.0 คัดเฉพาะมารยาทที่โดน ๆ (ข้อมูลจากเพจ speaking.co.th)

1. ไม่ใกล้ชิดจนเกินพอดีกับสามีหรือภรรยา ผู้อื่น

2. ไม่ยืนกั๊กที่จอดรถ ใครวนก่อนมาถึงก่อน ก็ได้สิทธิเป็นผู้จอด

3. ไม่จอดรถขวางทางเข้าออกหน้าบ้านคนอื่น

4. ไม่โอ้อวดตนจนเกินไป ควรให้ผู้อื่นชื่นชมดีกว่าเรายกตัวเอง

5. แต่งกายให้ถูกกาลเทศะ เช่น เวลาเข้าวัดหรือไปสถานที่ราชการ ผู้หญิงก็ไม่ควรนุ่งกางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้นจนเกินงาม

ุ6. ไม่แซงคิว ควรต่อคิวตามลำดับมาก่อนมาหลัง



วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561

ทุกข์ของพระโสดาบันมีมากแค่ไหน ?







ทุกข์ของพระโสดาบัน

พุทธพจน์ “ทุกข์ส่วนที่หมดไปแล้วของพระโสดาบันเปรียบเหมือนกับขุนเขาสิเนรุ ส่วนทุกข์ที่ยังเหลือเปรียบเหมือนก้อนหินขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว 7 ก้อน” (สิเนรุสูตร, 19/1745-1746)

ถ้าอ่านจากพุทธพจน์ อาจยังไม่เข้าใจมากนัก

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ป.ปยุตโต จึงอธิบายเสริมว่า

ถ้าเปรียบความทุกข์ของมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ก็จะมีความทุกข์มากมายก้อนใหญ่ขนาดเท่าภูเขาหิมาลัย

แต่พระโสดาบันเหลือทุกข์ขนาดใหญ่แค่เพียงเท่าเมล็ดถั่วเขียว (ทุกข์มากสุดก็ไม่เกิน 7 เมล็ดเทียบเท่าไม่เกิน 7 ชาติ)


ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังอธิบายเพิ่มอีกว่า ปุถุชนแม้จะมีความสุขทางโลก ก็สุขได้ไม่สุด ๆ เพราะยังมีความทุกข์มหาศาลเก็บอยู่ในใจ

ในขณะที่พระโสดาบันซึ่งยังเสพความสุขทางโลกอยู่ ถ้าท่านสุขทางโลกก็จะสุขแบบสุด ๆ แบบที่ปุถุชนไม่มีทางสุขเทียบเท่าท่านได้เลย

เพราะทุกข์ในใจของพระโสดาบันเหลือน้อยจนเบาบางมาก จึงสามารถสุขทางโลกได้อย่างอิ่มเอมอย่างที่สุด

แล้วปุถุชนทั่วไปที่ยังต้องแสวงหาความสุขจากสิ่งภายนอกมากเท่าไหร่ เช่น พยายามเสาะแสวงหาที่กิน ที่เที่ยว เพื่อเสพไปเรื่อย นั่นแสดงว่า ภายในใจของปุถุชนเหล่านั้นยังขาดแคลนความสุขอย่างยิ่ง

เพราะคนที่มีความสุขจริง ๆ แค่อยู่เฉย ๆ ก็มีความสุขมากแล้ว จึงมักไม่ดิ้นรนแสวงหา

เมื่อตอนยังเด็ก ๆ อายุสัก 1-3 ขวบ เด็ก ๆ ก็จะมีความสุขกับการเล่นของเล่น แล้วผู้ใหญ่บางคนก็ชอบแกล้งแย่งของเล่นจากมือเด็ก เด็กเลยร้องไห้ประหนึ่งจะขาดใจ เพราะใจเด็กยึดติดความสุขที่เป็นของเล่นนั้นสำคัญที่สุด

แต่พอเราโตขึ้น พวกของเล่นของเด็กอายุ 1-3 ขวบ เราก็ไม่อยากเล่นแล้วใช่ไหม เราก็จะไปสนใจยึดติดสุขสิ่งอื่นแทน

ถ้าเปรียบจิตปุถุชนทั่วไปที่เสพติดสุขทางโลก ก็จะเสมือนเด็กที่ติดของเล่นนั่นแหละ แต่พอสำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็จะไม่สนใจเล่นของเล่นสำหรับเด็กเล็กอีก

ดังนั้นการเป็นพระอริยะแล้วจึงไม่ย้อนกลับไปเสพกิเลสระดับต่ำอีก มีแต่จะเดินหน้าต่อเพื่อเป็นพระอริยะที่สูงขึ้นไปอีก

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังทิ้งท้ายไว้ว่า จิตที่เป็น อุเบกขา นั้นเป็นสุขที่ยิ่งกว่าสุขแบบที่พวกปุถุชนทั้งโลกพยายามจะแสวงหา




ข้อคิดท้ายบทความ

ผมอยากขยายความที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ บอกว่า อุเบกขา คือ อารมณ์สุขยิ่งกว่าสุขแบบปุถุชนนั้น ก็เพราะ

อุเบกขา คือ "ความสงบ" ซึ่งความสงบคืออารมณ์ที่อยู่ระหว่างความสุข กับความทุกข์

ทั้งความสุข กับความทุกข์ก็ล้วนเป็นกิเลส

ความสุข --- (อุเบกขา) --- ความทุกข์

ซึ่ง จิตอุเบกขาจะไม่สุขไม่ทุกข์ แต่คือความสงบ ซึ่งความสงบในจิตใจนี่แหละสุขยิ่งกว่าสุขจริง ๆ

----------

อคติ4 คือ ความลำเอียง 4 ชนิด คือ

ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะชอบ
โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง
ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว
โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลงหรือเขลา

ปุถุชนทั่วไปล้วนมีความลำเอียงทั้งสิ้น (ความอยุติธรรม) แต่ปุถุชนที่ดี ก็จะพยายามดำรงความยุติธรรมโดยไม่ลำเอียงไปตามอคติทั้ง 4 ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่เมื่อเป็นอริยะชั้นโสดาบันแล้ว จะละอคติทั้ง 4 นี้ได้สิ้น

ให้สังเกตว่า หากใครที่ยังมีพฤติกรรมลำเอียงอยู่เยอะ ยิ่งเยอะมากเท่าไหร่ก็ยิ่งห่างไกลการสำเร็จโสดาบันมากขึ้นเท่านั้น

อคติ 4 จึงเป็นเหตุแห่งความเสื่อม

คลิกอ่าน การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคืออะไร




วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ปฏิบัติธรรมที่แท้จริง คืออะไร







เพราะยุคนี้มันยุคโซเชียล ซึ่งช่วยส่งเสริมอวดอัตตาของตนเองได้ง่าย

จึงมีผู้คนจำนวนมากในยุคนี้ที่ชอบอวดว่า ไปปฎิบัติธรรมที่นั่นที่นี่อยู่บ่อย ๆ และก็มีบางรายสาหัสถึงขนาด อวดบรรลุธรรม ไปก็มี

แต่ความจริง ปฏิบัติธรรม น่ะ ใคร ๆ ก็สร้างภาพได้ แต่ ปฎิบัติตัว ปฏิบัติใจ นี่แหละของแท้กว่าว่า จิตของตนนั้นได้พัฒนาขึ้นรึยัง

ปฏิบัติใจ คือ เมื่อมีกิเลสมายั่วยวน มีสุขทางโลกมายั่วเย้า มีทุกข์มากระทบใจให้มัวหมอง เรารับมือกับมันอย่างไร ใช้ธรรมะรับมือตามที่พระพุทธเจ้าสอนได้หรือไม่ นั่นแหละคือบทพิสูจน์ใจเรามีธรรมะแค่ไหนต่างหากครับ

ปฎิบัติธรรมที่แท้จริง ก็คือ ปฏิบัติใจให้มีธรรม

ผู้มีใจธรรมะ จึงไม่ได้วัดกันที่ไปปฏิบัติธรรมที่นั่นที่โน่นที่นี่ บ่อยแค่ไหน แต่ให้ดูที่ใจตนเองว่า รับมือกับกิเลสที่มากระทบกายใจได้ดีแค่ไหนต่างหาก




------------------

ทำไมคนที่ไปปฏิบัติธรรมบ่อย ๆ แต่ยังนิสัยไม่ค่อยดี ?

มีผู้หญิงคนนึงได้ถามคุณเอ็ดดี้ เจ้าของเพจธนาคารความสุข ว่า

เธอเห็นเพื่อนร่วมงานหลายคน ชอบไปปฏิบัติธรรมที่วัด แล้วชอบมาเล่าให้ฟังในที่ทำงาน ซึ่งเธอก็ยินดีด้วย เพราะเธอยังไม่เคยไปปฏิบัติธรรมอะไรแบบนี้มาก่อน

แต่พอผ่านไปได้สักระยะ เธอกลับพบว่า หลายคนที่ชอบไปปฏิบัติธรรมที่วัด หรือชอบเดินทางไปทำบุญที่วัดต่าง ๆ เหล่านี้ กลับมีนิสัยเห็นแก่ตัว ไม่ค่อยชอบช่วยเหลืองานส่วนรวม บางคนก็ชอบนินทาลับหลังคนอื่น บางคนก็ชอบพูดจาลามกตลอด และยังมีนิสัยไม่ดีอื่น ๆ

เธอจึงสงสัยว่า คนพวกนี้เขาไปปฏิบัติธรรมที่วัดกันแบบไหนเหรอ แล้วที่วัดเขาสอนยังไง ทำไมคนที่ปฏิบัติธรรมที่วัดบ่อย ๆ กลับยังมีนิสัยไม่ดีมากมาย ทำให้เธอชักกลัวการไปปฏิบัติธรรมที่วัดว่า มันทำไมเป็นแบบนี้ ไม่ได้ดีอย่างที่เธอเคยคิดไว้

สำหรับผม ก็ได้ไปแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตามรูปครับ



--------------------

ปฏิบัติธรรม ต้องเริ่มต้นที่ไม่สร้างทุกข์แก่ผู้อื่น
โดย ดังตฤณ

คนคิดปฏิบัติธรรม มักคุยกันว่า ปฏิบัติแบบไหนถูก ปฏิบัติแบบไหนผิด แต่ไม่ค่อยเน้นคิดสำรวจว่า ปฏิบัติตัวแบบไหนผิด ปฏิบัติตัวแบบไหนถูก

ถ้ายังปฏิบัติตัวผิด ไม่มีทางปฏิบัติธรรมถูก เพราะที่แท้ยังปฏิบัติ ‘อธรรม’ อยู่ต่างหาก

ถ้ายังจงใจให้ร้าย ทำลายใคร หรือให้ทุกข์แก่ท่าน นึกว่าทุกข์นั้นไม่มีวันถึงตัว

นั่นแหละ! เครื่องชี้ว่ายังปฏิบัติตัวผิด โอกาสปฏิบัติธรรมถูกจึงเป็นศูนย์

จงใจสร้างความทุกข์ให้คนอื่น ไม่มีทางหยุดวงจรทุกข์ให้ตนเอง

ถ้าคิดจะเจริญสติจริง จึงต้องถือศีลให้ได้สติ เพื่อรู้ความจริงข้อนี้ให้ได้ก่อน

ศีลที่แท้ คือจิตที่ผ่องแผ้ว ไม่เอาทุกข์หยาบ ๆ คือจิตที่ไม่อยากหาเรื่องร้อน ๆ ใส่ตัว คือจิตที่ไม่อยากโยนเรื่องร้อน ๆ ใส่ใคร

เมื่อรักษาศีลได้ ย่อมอยู่เย็น มีสติรู้ว่า ไม่ให้โทษแก่เขา เราเองก็ไม่ต้องรับโทษไปด้วย ไม่ต้องพลุ่งพล่านอลหม่าน ไม่มีเมฆหมอกบดบังทัศนวิสัยทางจิต คิดอะไรได้ตรง เห็นอะไรได้ตรง รู้เข้ามาในกายใจได้กระจ่างไม่ติดขัด

ศีลที่แท้เป็นฐานให้ใจเย็น เมื่อดูลมหายใจ ก็เห็นได้นานพอ จนรู้ชัดว่าลมหายใจไม่เที่ยง มีเข้ามีออก มียาวมีสั้น

เมื่อดูสุขดูทุกข์ ก็เห็นได้ชัดเจน ทุกข์อยู่กี่ลมหายใจก็รู้ ไม่ใช่ทุกข์แล้วมัวแต่อยากแก้แค้น สุขอยู่กี่ลมหายใจก็รู้ ไม่ใช่สุขแล้วมัวแต่หวงแหนไว้

ศีลที่แท้ชวนเราสำรวจใจเรื่อย ๆ ว่า
ยังให้ทุกข์กับใครอยู่หรือเปล่า ?
พัวพันกับภัยเวรอยู่หรือเปล่า ?
กำลังปฏิบัติตัวถูกอยู่หรือเปล่า?

จนยิ่งวันยิ่งทราบชัดแก่ใจว่า เมื่อปฏิบัติตัวถูกอยู่ ธรรมก็ปรากฏชัด ให้ปฏิบัติต่อตรงนั้นแล้ว!



------

สรุปท้ายบทความ

หากปฏิบัติธรรมแต่เปลือก แต่ตัวเองยังทำร้ายผู้อื่น ด้วยกายก็ดี ทำร้ายผู้อื่นด้วยวาจาก็ดี ต่อให้ปฏิบัติธรรมทั้งชาติ ก็ไม่มีทางสำเร็จมรรคผลได้เลย (โสดาบัน)

การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง คือ ฝึกลดละกิเลสในใจลง ซึ่งทำได้ทุกที่และตลอดเวลา

คลิกอ่าน ตถตา เพราะโลกนี้ไม่มีความบังเอิญ