วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

ใช้ชีวิตคิดต่าง..อย่างแกะดำ!!

.
.

รายการคมชัดลึกทอล์ค ที่คุณจอมขวัญ หลาวเพ็ชร พาไปพูดคุยกับคุณประเสริฐ เอี่ยมรุ่งโรจน์

เจ้าของทฤษฎีแกะดำ เคล็ดลับชีวิตที่พาไปสู่ความสำเร็จ!!ในยุคปัจจุบัน






-------------------------------

แถมด้วย

คดียึดทรัพย์76,00ล้าน

อดีตบก.ประชาชาติธุรกิจ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธ์ ฉายภาพของคดีแบบง่ายๆ ให้คนทั่วไปเข้าใจ ประเด็นแห่งคดี และพยานหลักฐานที่สำคัญแห่งคดี


.
.

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

ที่ดินเขายายเที่ยง 2 มาตรฐานจริงหรือ ?






กรณีที่ดินเชายายเที่ยงของพลเอกสุรยุทธนั้น พลเอกสุรยุทธไม่มีสิทธิคืนที่ดินบนเขายายเที่ยง เพราะมันไม่ใช่ที่ดินของสุรยุทธตั้งแต่ต้นอยู่แล้วจึงไม่มีสิทธิคืน

กรมป่าไม้มีหน้าที่ยึดที่ดินและไล่ให้สุรยุทธย้ายออกไปจากพื้นที่เท่านั้น

เพราะที่ถูกต้อง กรมป่าไม้ไปยึดที่ดินและเพิกถอนสิทธิของนายเบ้า เจ้าของที่ดินของเดิมคืนมา!

ไม่ใช่ไปเรียกร้องให้พลเอกสุรยุทธคืนที่ดิน! เพราะถ้าบอกให้พลเอกสุรยุทธคืนที่ดิน ก็เท่ากับไปยอมรับว่าที่ดินนี้เป็นของสุรยุทธ

ไม่มีกฏหมายให้ผู้สวมสิทธิโดยมิชอบคืนที่ดินภบท.5 มีแต่กฏหมายยึดที่ดินกลับคืนรัฐเท่านั้น!

กรณีสุรยุทธเรียกว่า การสวมสิทธิโดยมิชอบในที่ดินเขตป่าเสื่อมโทรมบนเขายายเที่ยง

คุณรู้จักคำว่า ที่ดินจัดสรรในป่าเสื่อมโทรมในพื้นที่ป่าสงวนไหม ?

ส่วนกรณีสวนลุงพร ที่เสื้อแดงยกมาเป็นประเด็นเปรียบว่า ทีสุรยุทธรุกป่าแต่ไม่ติดคุก แต่สวนอาหารลุงพรกลับโดนโทษติดคุกนั้น

ที่ดินสวนลุงพรเป็นที่ดินอยู่ตีนเขา แต่ที่ต้องถูกดำเนินคดีอาญาติดคุก ก็เพราะส่วนสวนลุงพรเดิมมีที่ดินจัดสรรเพื่อเกษตรกรอยู่แปลงหนึ่ง แต่สวนลุงพรกลับไปรุกล้ำพื้นที่ป่าสงวนแท้ๆ ที่ไม่ได้มีการจัดสรรจากกรมป่าไม้เพิ่มเติมอีก

ดังนั้นสวนอาหารลุงพรเดิมไม่ได้แค่สวมสิทธิในพื้นที่จัดสรรเพื่อเกษตรกรอย่างเดียว แต่ยังรุกเข้าไปในเขตป่าสงวนแท้ ๆ ด้วยครับ

เพราะที่ดินตรงนั้นอยู่ด้านล่างยังเป็นป่าสมบูรณ์กว่า ส่วนที่ดินบนเขายายเที่ยงด้านบนเขาเป็นหินเสียส่วนใหญ่ เกษตรกรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินเห็นว่า ที่ดินบนเขาเพาะปลูกไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรจึงได้ขายสิทธิในที่ดินต่อ

แต่พื้นที่สวนอาหารลุงพรเดิมมีที่ดินจัดสรรอยู่ส่วนหนึ่งแต่ไปรุกล้ำเพิ่มเติมในเขตที่ไม่ได้จัดสรร เป็นการบุกรุกป่าสงวนแท้ๆอย่างชัดเจน

ทั้งสองกรณีจึงต่างกัน!!

กรณีสุรยุทธไปสวมสิทธิในพื้นที่จัดสรรในเขตป่าเสื่อมโทรม กฏหมายระบุให้เพิกถอนสิทธิของนายเบ้าที่เป็นเจ้าของสิทธิเดิม และไปไล่ให้ผู้สวมสิทธิมิชอบออกจากพื้นที่ และหากมีค่าเสียหายใดๆที่เกิดขึ้นในพื้นที่ กรมป่่าไม้็ก็เรียกร้องค่าเสียหายจากผู้สวมสิทธิได้

แต่สวนอาหารลุงพรไปรุกล้ำเพิ่มเติมในเขตป่าสงวนที่ไม่อยู่ในเขตจัดสรร! เป็นป่าสงวนแท้ๆ เท่ากับบุรุกป่า!! มีโทษอาญาติดคุก!!

ไม่ว่าจะเป็นพระราชบัญัญัติ ส.ป.ก.ปี2518 ไม่มีระบุโทษอาญาจำคุกของผู้สวมสิทธิ มีแต่ให้รัฐยึดคืนและปรับค่าเสียหายเท่านั้น

สมมุติ หากมีกฏหมายลงโทษถึงขั้นติดคุกจริง โทษฐานบุกรุกป่าสงวน คนแรกที่จะโดนติดคุกก็คือ นายเบ้า!! เจ้าของสิทธิเดิมนั่นแหล่ะ โทษฐานบุกรุกป่าสงวนเป็นคนแรก (แต่เอาผิดไม่ได้เพราะป่าไม้เขาจัดสรรให้นายเบ้าทำกิน)

ในเมื่อกฎหมายเอาผิดนายเบ้าที่บุกรุกป่าสงวนไม่ได้ ก็เอาผิดพลเอกสรยุทธ์ ฐานบุกรุกป่าสงวนไม่ได้เช่นกัน เพราะตัวกฎหมายแท้ ๆ ต้องไม่เลือกปฏิบัติ

ดังนั้นกรณีพลเอกสรยุทธ์ ซื้อที่ดินต่อมาหลายทอดจากเจ้าของสิทธิเดิมคือนายเบ้า ก็ทำได้แค่ยึดคืนและปรับค่าเสียหายเท่านั้น ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 16ทวิ (2)

ใน พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ผู้กระทำความผิดในมาตรา 16 ทวิ มีเพียงเพิกถอนสิทธิและยึดคืนรัฐเท่านั้น โดยมีโทษปรับตามมาตรา 25 (3) ซึ่งไม่มีบทลงโทษจำคุกทางอาญาตามหมวด 3 บทลงโทษ ใน พ.ร.บ.ฉบับนี้



หากกฎหมายเอาผิดคนที่เข้ามาถือครองเปลี่ยนมือในที่ดินจัดสรรของรัฐแล้วล่ะก็ จะต้องมีคนติดคุกนับล้านคน ทั้งคนจนที่เปลี่ยนมือซื้อขายกันเอง รวมทั้งคนรวยที่มาซื้อเพื่อสร้างบ้านตากอากาศด้วย

ด้วยเหตุนี้กฎหมายจึงไม่ต้องการขังคนนับล้านคน กฎหมายจึงไม่ระบุโทษจำคุกในการสวมสิทธิครอบครองที่ดินจัดสรรของรัฐ

-------------

แกนนำเสื้อแดงมักพูดว่า ที่ดินบนเขาเป็นที่ดินต้นน้ำ แต่ที่ดินข่างล่างของสวนลุงพรใกล้ถนน กลับโดนศาลสั่งจำคุก

ก็เพราะที่่ดินบนเขายายเที่ยงเป็นพื้นที่ที่มีหินจำนวนมาก ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก เจ้าของสิทธิจึงขายที่ดินต่อให้นายทุนหรือคนรวยเพื่อใช้เป็นที่พักเพราะมีวิวสวย

ส่วนที่ดินข้างล่างอุดมสมบูรณ์กว่า จึงมีพื้นที่ที่ยังไม่ถูกการจัดสรรที่ดิน กรณีสวนลุงพรไปบุกรุกที่ดินป่่าสงวนแท้ๆทืี่ยังไม่ได้รับการจัดสรรตามกฏหมาย จึงมีความผิดอาญาฐานบุกรุกเขตป่าสงวน

ฉะนั้นหากฟังจากแกนนำเสื้อแดง ที่มีสำนวนโวหาร เมื่อฟังแล้วก็ดูน่าเชื่อถือ แต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง!!

-------------------------

แต่สำหรับความเห็นส่วนตัวของผมในทางจริยธรรมของพลเอกสุรยุทธ

พลเอกสุรยุทธสมควรลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี เพื่อแสดงความรับผิดชอบในความบกพร่องของตน เพราะเรื่องเขายายเที่ยงสุรยุทธโดนซักฟอกมาร่วม2ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยตัวเองเป็นนายกฯ

แทนที่พลเอกสุรยุทธจะรีบจัดการโดยเรียกให้กรมป่าไม้เข้ามาจัดการให้ถูกต้องโดยเร็ว แต่กลับละเลย เสียดายที่ดินในทางที่ผิด จนเรื่องบานปลาย!!

เวลานี้พลเอกสุรยุทธจึงหมดความน่าเชื่อถือไปแล้ว ในฐานะคนที่เคยเป็นถึงอดีตนายกฯและผู้หลักผู้ใหญ่ของบ่านเมืองครับ

----------------------------


ทีนี้ลองฟังผู้รู้เกี่ยวกับป่าไม้ อธิบายความ



เขายายเที่ยงเป็นภูเขาในเขตตำบลคลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา มีอาณาเขตแนวป่าติดต่อกับ ป่าเขาเตียน ป่าเขาเขื่อนลั่น ป่าปากช่อง ป่าหมูสี และเขื่อนลำตะคอง

ชาวบ้านขึ้นมาทำกินบนเขาตั้งแต่ปี 2517 โดยถางป่าทำไร่ข้าวโพด จนเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม กรมป่าไม้จึงได้เสนอคณะรัฐมนตรีจัดสรรพื้นที่ในเขตป่าเสื่อมโทรม เพื่อแก้ไขปัญหารุกที่ดินป่าสงวน

สาระของโครงการหมู่บ้านป่าไม้ ตามมติคณะรัฐมนตรี 29 เม.ย.2518 บนเขายายเที่ยง คือการจัดสรรที่ดินนอกเขตต้นน้ำให้ครอบครัวละไม่เกิน 15 ไร่ โดยมิให้กรรมสิทธิ์ แต่ให้สิทธิตกทอดถึงทายาทโดยทางธรรมได้เป็นการถาวรตลอดไป ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้นายทุนเข้ามาครอบครองโดยวิธีกว้านซื้อ โดย กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในสมัยนั้นจะออกใบอนุญาตชั่วคราวให้เข้าอยู่ในพื้นที่ รวมทั้งการให้จ้างแรงงานจากหมู่บ้านป่าไม้ให้ปลูกป่าด้วย

แต่เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ส่วนหนึ่งเป็นหิน ไม่เหมาะสำหรับทำการเกษตร ชาวบ้านจึงขายที่ต่อให้กับคนต่างถิ่น โดยมีข้าราชการจำนวนหนึ่งมาซื้อต่อเป็นทอดๆ เพราะบนเขามีทิวทัศน์สวยงาม มีอากาศดี เหมาะจะนำมาสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศ รวมทั้งพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์

ทั้งนี้พื้นที่บริเวณนี้ยังไม่มีการออกเอกสารสิทธิ มีเพียงหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.ท.บ.5) ที่ที่ว่าการอำเภอเป็นผู้ออกให้

นายสมชัย เพียรสถาพร อธิบดีกรมป่าไม้กล่าวว่า กรณีที่กรมป่าไม้ถูกกล่าวหาว่า ทำ 2 มารตรฐานนั้น เข้าใจว่า มีการเอาคดีการบุกรุกพื้นที่ สวนลุงพร ที่อยู่บริเวณทางขึ้นเขายายเที่ยง ที่กรมป่าไม้เข้าดำเนินคดีตามกฏหมายไปแล้ว

แต่ ทั้ง 2 เรื่อง การพิจารณาคดีไม่เหมือนกัน เพราะสวนลุงพรมีหลักฐานชัดว่าเป็นการบุกรุกพื้นที่เมื่อไม่นานมานี้

---------------------

ตัวอย่างคำถามในข่าวอัยการสูงสุดไม่สั่งฟ้องพลเอกสรยุทธ

เมื่อถามว่า เหตุใดผู้ที่ครอบครองที่ดินเชิงเขาจึงถูกดำเนินคดี ไม่เหมือนกับกรณีของ พล.อ.สุรยุทธ์ ?

การครอบครองที่ดินเป็นคนละกรณีกัน โดยที่ดินบนเขาที่ พล.อ.สุรยุทธ์ สร้างบ้านไว้ เจ้าของเดิมได้รับการจัดสรรจากกรมป่าไม้ตามมติ ครม. ให้ชาวบ้านที่อยู่บนเขาถือครองได้คนละ 15 ไร่ แต่ไม่มีการจัดสรรที่ดินเชิงเขาให้ชาวบ้าน ดังนั้นผู้ที่เข้าไปยึดครองจึงมีความผิดฐานบุกรุก

เมื่อถามว่า การที่นายเบ้า ซึ่งได้รับจัดสรรที่ตามติ ครม. นำที่ดินมาขายต่อ ซึ่งฝ่าฝืนเงื่อนไขการครอบครองที่ดิน จะมีการดำเนินคดีได้หรือไม่ ?

มติ ครม. เป็นข้อห้ามการซื้อขาย แต่ไม่มีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน ดังนั้นนายเบ้าจึงไม่มีความผิด ส่วน พล.อ.สุรยุทธ์ ที่ซื้อที่ดินไปแม้จะไม่มีความผิดเช่นกัน แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ครอบครอง ซึ่งสิทธิ์ครอบครองที่แท้จริงต้องตกเป็นของทายาทนายเบ้า

คลิกอ่านข่าวนี้

--------------

กรณีเขายายเที่ยงจึงเป็นการเข้าครอบครอบที่ดิน (โดยสวมสิทธิมิชอบ) ตามที่รัฐเคยจัดสรรไว้ให้ตามโครงการหมู่บ้านป่าไม้ตั้งแต่ปี 2518-2521 และเรื่องของการเปลี่ยนมือการครอบครอง (ข่าวคมชัดลึก)




วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

ทักษิณเคยตีกอล์ฟที่เขาสอยดาว3ครั้ง??

.
.

ส่องกล้องเขาสอยดาวสนามกอล์ฟเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า?


วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553


ป่าเขาสอยดาวมีการประกาศให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 200 เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2515
โดยจอมพลถนอม กิตติขจร หัวหน้าคณะปฏิวัติ กำหนดให้ป่าเขาสอยดาวในท้องที่ ต.ทรายขาว ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน ต.ตะเคียนทอง ต.ฉมัน อ.มะขาม และ ต.แก่งหางแมว อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

พื้นที่ดังกล่าวได้ชื่อว่าเขาสอยดาวเพราะความสูงเฉียด 1,675 เมตรจากระดับน้ำทะเล เปรียบจินตนาการยามกลางคืนจะเห็นดวงดาวอยู่ใกล้ยอดเขาหยิบหรือสอยถึงได้

แต่ที่ไม่ใช่จินตนาการก็คือความ ชุกชุมของสัตว์ป่าและความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำให้มีการลอบล่าสัตว์กันมากรวมถึงการเข้าไปบุกรุกพื้นที่!

ประมาณปลายปี 2544 มีประชาชนในพื้นที่ อ.เขาสอยดาว ร้องเรียนคณะกรรมาธิการเกษตรฯ ของวุฒิสภา ให้ตรวจสอบการบุกรุกที่ดินเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาวโดยนายทุนที่ส่อผิดกฎหมาย ซึ่งผลจากการเข้าตรวจสอบของกรมป่าไม้โดย นายสุนทร วัชรกุลดิลก ผู้อำนวยการส่วนป้องกันและปราบปราม กรมป่าไม้ ขณะนั้น ตรวจสอบพบว่ามีการบุกรุกจริง เป็นการบุกรุกทับซ้อนพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

เขาได้สรุปรายชื่อพร้อมเอกสารทั้งหมดส่งให้กับตำรวจรวบรวมเพื่อให้อัยการสั่งฟ้องดำเนินการในปี 2546 แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการดำเนินคดี ในขณะที่ส่วนหนึ่งได้มีการร้องต่อป.ป.ช.ให้ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ เนื่องจากเห็นว่าการออกโฉนดน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย

“มีหลักฐานชัดเจนพบว่าที่ดินกว่า 300 ไร่ที่นักธุรกิจและนายทุนกลุ่มนี้เข้าไปครอบครองเป็นพื้นที่อยู่ภายในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าและป่าสงวน ซึ่งเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไม่เคยมีการออกเอกสารสิทธิหรือโฉนดรับรองแต่อย่างใด ในขณะนี้มีข้อสรุปว่ามีผู้บุกรุกด้วยกัน 8 กลุ่ม” ข้อมูลที่นายสุนทรยืนยันต่อกมธ.

ด้าน พล.ท.ภารวี ชาญเลขา ผู้จัดการทั่วไปของสนามกอล์ฟสอยดาวไฮแลนด์ จำกัด ปฏิเสธที่จะเปิดเผยถึงรายชื่อกรรมการบริหารของสนามกอล์ฟ โดยระบุว่าเป็นรูปของการถือหุ้นในลักษณะหุ้นส่วน เพราะฉะนั้นในส่วนตัวของเขาก็ยังไม่ทราบว่าเนื้อที่แท้จริงเท่าไหร่ แต่ที่ยืนยันได้คือสนามกอล์ฟนี้เปิดเมื่อปี 2536 ที่ดินกว่า 90% เป็นโฉนดทั้งหมด เพราะฉะนั้นหากมีการบุกรุกก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย

“แต่ขอยืนยันว่า พล.อ.เปรม ประธานองคมนตรี ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือถือครองหุ้นในธุรกิจสนามกอล์ฟแต่อย่างใด ที่สักกระแบะมือท่านก็ไม่มี ผมมาบริหารที่แห่งนี้เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว เห็น พล.อ.เปรม เคยเดินทางมาเล่นกอล์ฟที่นี่เมื่อ 3 ปีมาแล้ว พล.อ.ชวลิต ก็เคยมา พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เคยมา 3 ครั้ง เพราะฉะนั้นจะโยงว่าใครมาแล้วเกี่ยวข้องกันก็คงไม่ชอบธรรมนัก”

พล.ท.ภารวี กล่าวว่า ใครจะมากล่าวหาว่าโฉนดไม่ชอบ ตนเองไม่ทราบ แต่ที่แห่งนี้มีสุภาพสตรี 2 คนดูแล มอบอำนาจให้ตนเองบริหาร มีสิทธิบริหารอย่างเต็มเหนี่ยว เพราะฉะนั้นถ้าเสื้อแดงจะมาตั้งเวทีด่าใคร หากไม่บุกรุกสถานที่ก็เชิญ แต่ถ้าบุกรุกต้องดำเนินการตามกฎหมาย
.
.
.
.

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

อภิสิทธิ์เหน็บ!! กู้น้อยกว่าทักษิณ!!

.
.

จากไทยรัฐออนไลน์

ชี้แจงผลงานรัฐบาลผ่านเว็บไซต์ นายกรัฐมนตรี ฟุ้ง 1 ปี เศรษฐกิจฟื้น ผลงานเป็นรูปธรรมหลายเรื่อง เหน็บกู้เงินน้อยกว่ารัฐบาลทักษิณ....

วันนี้(14 ม.ค.)นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามประชาชนที่ยังไม่พอใจผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปี ผ่านเว็บไซต์นายกรัฐมนตรีไทย(www.pm.go.th) ว่า ตนก็ขอน้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่อยากเรียนว่าในการทำงานหนึ่งปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราได้เห็นแน่ชัดในเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและพร้อมกับช่วยเหลือ ในเรื่องนโยบายที่ประชาชนสัมผัสว่าได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมเป็นจำนวนมาก เรื่องการเรียนฟรี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ค่าตอบแทน อสม.

สำหรับใครที่เป็นห่วงเรื่องเงินกู้ อยากเรียนว่าได้มีการพูดคุยถึงตัวเลขในการกู้จำนวนมากนั้น จริงๆตัวเลขไม่ได้สูง เพียงแต่ในช่วงของรัฐบาลนี้ นำโครงการเงินกู้เข้าสู่สภาผู้แทนราษฏรให้เกิดความโปร่งใส ซึ่งย้อนกลับไปดูได้การกู้ในปีที่แล้ว

แม้การออกพระราชกำหนดในการกู้เงินน้อยกว่าบางปี ซึ่งเป็นปีที่ไม่ประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจ เช่นปี 2545 กู้ไปรวดเดียว 7 แสนล้านบาท แต่ว่าปีที่ผ่านมา กู้ไปแล้ว 4 - 5 แสนล้าน และเป็นเรื่องที่รัฐบาลทั่วโลกจึงต้องทำเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ

ในทางตรงกันข้ามถ้าไม่มีการกู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจนั้นมีความเป็นไปได้สูง ว่าประเทศจะเป็นหนี้อยู่ดี รัฐบาลก็จะเป็นหนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ และการจัดเก็บรายได้ภาษีไม่ได้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ตนอยากให้ความมั่นใจ

เมื่อถามว่าไม่รู้จะหารายได้มาใช้หนี้หรือไม่? เราเห็นผลแล้ว เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวขนาดนี้การจัดเก็บภาษีเกินเป้า เพราะฉะนั้นไม่ประเสริฐส่วนของหนี้สาธารณะการบริหารทางด้านการเงินการคลังได้ดูอย่าง รอบคอบ ระมัดระวัง มั่นใจได้ว่าจะไม่กระทบในเรื่องเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศในระยะยาว.



ขอบคุณข่าวจากไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/pol/58812


-----------------------------

สรรพากรเผย3เดือนแรกปี53รีดภาษีทะลุเป้า เพราะเศรษฐกินฟื้นตัว!!

นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรในเดือน ธ.ค.2552 กรมสามารถจัดเก็บได้ 72,600 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 6,813 ล้านบาท คิดเป็น 10.35% และสูงกว่าประมาณการ 12,400 ล้านบาท คิดเป็น 20.54%

โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจัดเก็บได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากภาษีหัก ณ ที่จ่าย จากเงินเดือนและดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้เพิ่มขึ้น จากค่าบริการและการจำหน่ายเงินกำไร และภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดเก็บได้เพิ่มขึ้นจากการนำเข้าและการบริโภคภายในประเทศที่มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพการ ไตรมาสแรก ปีงบประมาณ 53 (ต.ค.-ธ.ค.53) มีทั้งสิ้น 230,000 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 3,059 ล้านบาท คิดเป็น 1.35% และสูงกว่าประมาณการ 26,500 ล้านบาท คิดเป็น 13%


ข่าวจากกรุงเทพธุรกิจออนไลน์
.
.

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

ดูทีวีช่อง7 และช่อง3พร้อมกัน

ช่อง7

ช่อง3