วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

ทั้งพระเทวทัตและพระบิดาถูกธรณีสูบลงอเวจีทั้งคู่






พระเทวทัต

พระเทวทัตในสมัยพระพุทธกาลเป็นพี่ชายของพระยางยโสธรา หรือพระนางพิมาซึ่งเป็นพระมเหสีของเจ้าชายสิทธัตถะ และเป็นลูกของลุงของพระพุทธเจ้า พระเทวทัตนั้นตามจองล้างพระพุทธเจ้ามานานหลายชาติ

ในอดีตชาตินานมาแล้ว ซึ่งถือเป็นอดีตชาติแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ก่อให้เกิดความอาฆาตของพระเทวทัตที่มีต่อพระพุทธเจ้า นั่นก็คือ ชาติที่พระเทวทัตเป็นพ่อค้าวานิช มีจิตละโมบทุจริตและในชาตินั้น พระพุทธองค์ได้เสวยพระชาติเป็นพ่อค้าวานิชด้วยเช่นกันแต่เป็นฝ่ายสุจริต

วันหนึ่งหญิงชราซึ่งเป็นผู้ดีตกยากมีถาดทองคำของต้นตระกูลเหลืออยู่ จึงนำออกมาขาย อดีตชาติของพระเทวทัตได้เกิดเป็นพ่อค้าชื่อ เสรีวะ ได้เห็นเช่นนั้นจึงลวงด้วยเล่ห์ต่อหญิงชรานั้นว่า ถาดนั้นมิใช่ทองคำแท้เป็นทองปลอม จึงเสนอขอซื้อราคาถูกแต่หญิงชรานั้นรู้ดีว่าถาดที่แกนำออกมาขายนั้นทำด้วยทองคำแท้จึงมิยอมขายให้

พ่อค้าเสรีวะผู้ทุจริต จึงแกล้งทำเป็นไม่สนใจที่จะซื้อ แล้วเดินทางออกไป แต่คิดว่าเดี๋ยวจะแวะกลับมาใหม่ เพราะเชื่อว่า หญิงชราผู้นี้จนมาก ๆ แถมมีหลานสาวที่กำลังหิวโหย ยังไง ๆ ก็ต้องยอมขายถาดทองให้แก่ตนอย่างแน่นอน

ในช่วงเวลาใกล้กันนั้น พระพุทธองค์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพ่อค้าชื่อ เสรีวะ (ชื่อเหมือนกัน) เดินมาพบเข้า เห็นเป็นถาดทำด้วยทองคำแท้ก็ให้ราคาตามความเป็นจริง

เมื่อเสรีวะพ่อค้าผู้ทุจริตย้อนกลับมา จึงรู้ว่าถูกเสรีวะผู้สุจริต ได้ซื้อถาดทองคำแท้ตัดหน้าไปแล้ว จึงเกิดความโกรธแค้นเป็นยิ่งนัก ถ้าไม่มีเสรีวะพ่อค้าผู้สุจริตหรือพระพุทธองค์มาซื้อถาดทองคำนั้น ในมิช้าหญิงชราก็จักต้องนำถาดทองคำมาขายแก่ตนเพราะความยากจน

ด้วยเหตุนี้พระเทวทัตจึงผูกพยาบาทด้วยการกอบเม็ดทรายขึ้นมา ๑ กำมือหว่านลงกับพื้นดินประกาศว่า .. "เราจะจองล้างจองผลาญท่านต่อไปเท่าเม็ดทรายในกำมือ ๑ เม็ด เท่ากับ ๑ ชาติ" 

(ในระหว่างจองเวรกรรมนี้ต่างฝ่ายต่างก็เกิดเป็นทั้งคนและสัตว์หลายภพหลายชาติ เป็นเวลานานถึง 5 กัป ซึ่งทุกชาติเทวทัตก็ไม่หยุดอาฆาตจองเวรเลย)

พระเทวทัตได้ตามเบียดเบียนพยาบาทจองเวรกันมานับภพชาติไม่ถ้วนเรื่อยมา จนกระทั่งพระชาติสุดท้ายก่อนจะที่จะมาตรัสรู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือได้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร พระเทวทัตได้มาเกิดเป็นพระพราหมณ์นามว่า “ชูชก”

จนกระทั่งมาถึงพระชาติที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระเทวทัตมีจิตริษยาพระพุทธเจ้านับตั้งแต่เยาว์วัย

ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เจ้าชายเทวทัตได้ออกบวชด้วยเช่นกัน เมื่อบวชแล้วได้โลกีย์ญาณ มีความชำนาญในอภิญญา สามารถนิรมิตกายเหาะเหินเดินอากาศได้ จึงเกิดความกำเริบใจเพราะอกุศลกรรมเข้าสนับสนุน ใช้ฤทธิ์แปลงกายเป็นพระศาสดา กล่าวให้ร้ายในพรหมจรรย์ของพระพุทธองค์ว่า ยังอนุญาตให้สงฆ์สาวกฉันเนื้อสัตว์ที่ถูกนำมาถวายเป็นพระกระยาหาร

แล้วพระเทวทัตก็เริ่มต้นสร้างความเลื่อมใสด้วยการฉันมังสวิรัติ เพื่อชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ยินยอมให้พุทธสาวกปฏิบัตินั้นคือความเสื่อม

มิเพียงเท่านั้น เทวทัตยังลวงเจ้าชายอชาติศัตรูให้กบฏต่อพระราชบิดาแล้วตั้งตัวเองเป็นพระราชา พระเจ้าอชาติศัตรูนั้นเคยเลื่อมใสพระพุทธองค์ แต่เมื่อถูกพระเทวทัตลวงก็ตัดอุปนิสัยแห่งมรรคผลเบื้องต้นเสีย ทำตัวเองไปสู่ความพินาศอย่างใหญ่หลวงถึงขั้นทำกรรมหนักปลงพระชนม์พระราชบิดา และพระเทวทัตได้ยุยงให้พระเจ้าอชาติศัตรูมอมเหล้าช้าง “นาฬาคีรี” จนมึนเมาดุร้ายแล้วปล่อยออกไปทำร้ายพระพุทธองค์

พระเทวทัตกระทำการถึงขั้นที่เสนอให้พระพุทธเจ้าลาออกจากตำแหน่งพระศาสดาแล้วให้พระเทวทัตเป็นพระศาสดาแทน

ต่อมาพระเทวทัตเองก็คิดปลงพระชนม์พระพุทธองค์แล้วจะตั้งตนเป็นพระศาสดาเสียเอง คือส่งนายขมังธนูเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธองค์ ตลอดจนกระทั่งยุยงหมู่พระสงฆ์ให้เห็นความมัวหมองในพรหมจรรย์ของพระพุทธองค์

ขณะเดียวกันพระเทวทัตได้หันมาฉันมังสวิรัติ เป็นเพื่อการโอ้อวดพรหมจรรย์ที่สูงกว่า เสนอพระวินัยอย่างเคร่งครัด เช่น กินมังสวิรัติตลอดชีวิต อยู่ป่าตลอดชีวิต แก่พระพุทธเจ้าเพื่อให้ทรงบัญญัติ แต่พระพุทธเจ้าทรงมิได้ทำตามที่พระเทวทัตเสนอ

แม้ภายหลังพระเทวทัตจะได้สำนึกผิด และเดินทางไปขอขมาพระพุทธเจ้า แต่ทว่าด้วยกรรมที่ท่านสร้างไว้นั้นหนักมาก จนแผ่นดินที่รองรับอยู่นั้นทนมิได้ แยกตัวออก และสูบเอาพระเทวทัตตกสู่ขุมนรกอเวจี ณ ริมสระโบกขรณีหน้าวัดพระเชตวันมหาวิหาร ต้องเสวยอกุศลวิบากอีกนานเท่านาน จนแทบจะนับกาลเวลาไม่ได้




ตามคัมภีร์อรรถกถากล่าวว่า สถานที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบอยู่ริมสระน้ำหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร ในปัจจุบันบริเวณหน้าวัดเชตวันยังคงมีพื้นที่ว่างแปลงหนึ่งอยู่กลางนา ไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าไปปรับพื้นที่ทำนา เนื่องจากเล่าสืบต่อกันมาว่าเป็นสถานที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบ


------------------------------

พระเจ้าสุปปพุทธะ

พระเจ้าสุปปพุทธะเป็นกษัตริย์โกลิยะวงศ์เป็นพระราชบิดาของพระเทวทัต เมื่อทราบว่า พระเทวทัตถูกธรณีสูบลงมหาอเวจีนรกก็มิสำนึกในบาปบุญคุณโทษ กลับมีจิตอาฆาตพยาบาทพระพุทธองค์มากขึ้น เพราะนอกจากจะทำให้พระเทวทัตต้องธรณีสูบ พระพุทธองค์ยังทำให้เจ้าหญิงยโสธราธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะเป็นม่าย

พระเจ้าสุปปพุทธะจึงกลั่นแกล้งพระพุทธองค์ด้วยการเกณฑ์อำมาตย์ข้าราชบริพารไปนั่งเสพเมรัยขวางทางที่พระพุทธองค์จะออกบิณฑบาตโปรดเวไนยสัตว์ ซึ่งทางนั้นมีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่พระพุทธองค์จะทรงเสด็จดำเนินไปได้

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดำเนินผ่านไม่ได้ เพราะพระเจ้าสุปปพุทธะกับบริวารขวางอยู่ ทำให้วันนั้นพระพุทธองค์ทรงอดพระกระยาหาร ๑ วัน พระอานนท์จึงทูลถามอยากจะทราบโทษของพระเจ้าสุปปพุทธะ

พระพุทธองค์จึงทรงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า “อานันทะดูก่อนอานนท์ หลังจากนี้ไปนับได้ ๗ วัน พระเจ้าสุปปพุทธะจะลงอเวจีตามเทวทัตไป”

เมื่อบริวารของพระเจ้าสุปปพุทธะนำเรื่องที่พุทธฎีกากลับไปถวายรายงาน พระเจ้าสุปปพุทธะก็มีจิตต้องการให้พุทธฎีกาของพระพุทธองค์มิเป็นความจริง จึงขึ้นประทับ ณ ปราสาท ๗ ชั้น แต่ละชั้นมีนายทวารป้องกันแข็งขัน แล้วทรงตรัสกับนายทวารที่มีร่างกายกำยำนั้นว่า “ในระหว่าง ๗ วันนี้ ถ้าฉันลงมาละก็ พวกเธอจงขัดขวางเราเอาไว้จะไม่มีใครต้องโทษ” โดยประกาศต่ออำมาตย์ ข้าราชบริพาร และพระบรมวงศานุวงศ์ไว้ดังนั้น เพื่อมิให้นายทวารทั้งหลายต้องโทษ

จนกระทั่งถึงวันที่ ๗ วันนั้นปรากฏว่า ม้าแก้ว ซึ่งเป็นม้าทรงศึกที่พระเจ้าสุปปพุทธะโปรดปราน อาละวาดกระทืบโรง ร้องเสียงดังมาก พระเจ้าสุปปพุทธะเกิดเป็นห่วงม้า ด้วยอาการขาดสติจึงทรงลงจากปราสาทชั้น ๗ แต่ปรากฏว่านายทวารมิได้ขัดขวาง ด้วยคิดว่าเลยครบกำหนด ๗ วันแล้ว

พอพระเจ้าสุปปพุทธะย่างพระบาทเหยียบแผ่นดิน ก็ถูกพระธรณีสูบหายไปสู่มหานรกอเวจี ตรงตามพุทธฎีกาที่ตรัสไว้แก่พระอานนท์


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.kanlayanatam.com/sara/sara60.htm


คลิกอ่าน แผนให้ร้ายพระพุทธเจ้า ทำสงฆ์แตกแยกของพระเทวทัต


วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

ที่มารูป ในหลวงขับรถโตโยต้าโซลูน่า








หลายคนคงเคยเห็นรูปนี้ แล้วคงสงสัยว่า รูปนี้มีที่มาอย่างไร ทำไมในหลวงถึงขับรถโตโยต้าราคาถูก ๆ อย่างโซลูน่า

ก่อนอื่นผมขอให้สังเกตรูปว่า เลขทะเบียนรถ เป็นเลขทะเบียนปกติ (*สังเกตเลขทะเบียนหมวดอักษร ด.) ซึ่งหมายถึง ไม่ใช่รถหลวงที่ใช้ในกิจการของพระราชสำนัก ซึ่งจะใช้ เลขทะเบียน ร.ย.ล. นำหน้า

ร.ย.ล. หมายถึง ราชยานยนต์หลวง (สำหรับในหลวง พระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์)
ร.ย.ล. หมายถึง รถยนต์หลวง สำหรับใช้ในราชการกิจการของพระราชสำนัก

รถที่เป็นของหลวงของแผ่นดินที่ใช้ในกิจการพระราชวัง ไม่ว่าจะรถกระบะ รถบรรทุก รถตู้ หรือรถอะไรก็ตามแต่ หากเป็นรถที่มาจากเงินหลวง จะต้องใช้เลขทะเบียน ร.ย.ล. หรือเลขทะเบียน ดส.xxxx นำหน้า (ดส.ย่อมาจากพระราชวังดุสิต)

อย่างเช่นรถที่ใช้เป็นราชพาหนะของในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ หากเป็นรถหลวง ก็จะใช้ ร.ย.ล.ทุกคัน ซึ่งหมายถึง ไม่ใช่รถส่วนพระองค์ เพราะเป็นของหลวง เป็นสมบัติแผ่นดิน

แต่รถโตโยต้าโซลูน่าคันที่ในหลวงทรงขับในรูปนั้น ใช้เลขทะเบียนปกติ ก็เพราะเป็นรถส่วนพระองค์ของในหลวง ที่ในหลวงทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อมาครับ

หากเราช่างสังเกต เราจะเห็นว่า มีหลายครั้งที่ในหลวงทรงเสด็จด้วยพระราชพาหนะที่ใช้เลขทะเบียนปกติ แต่จะใช้หมวดอักษร. นำ นั่นหมายถึง เป็นรถที่มีใช้เงินส่วนพระองค์จัดซื้อมาเอง หรือคนทูลเกล้าถวายให้ในหลวงเป็นการส่วนพระองค์ เป็นต้น

ส่วนเลขทะเบียน ร.ย.ล. 1 ในปัจจุบัน เป็นราชพาหนะ ยี่ห้อMaybach (มายบัค) โดยได้จัดซื้อมาใช้แทนรถยนต์พระที่นั่ง โรลส์-รอยซ์ แฟนทอม ซิกซ์ (VI) ที่ใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่งทรงมานานกว่า 30 ปี



ร.ย.ล.1 เป็นราชพาหนะประจำตำแหน่งพระมหากษัตริย์ หรือรถประจำตำแหน่งองค์พระประมุขของชาติ ซึ่งไม่ใช่รถส่วนพระองค์ของในหลวง ครับ



----------------------

ทำไมในหลวงซื้อรถโตโยต้าโซลูน่า ?

เรื่องราวนี้นำมาจาก สารสภาวิศวกรรม ฉบับเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2550

เป็นเรื่องเล่าโดย คุณนินนาท ไชยธีรภิญโญ รองประธานกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด คุณนินนาท ได้เล่าว่า

ในหลวงเคยทรงรับสั่งถึงแนวพระราชดำริอยากให้บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ประเทศไทย น่าจะลองผลิตรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมัน ราคาไม่แพง แถมลุยน้ำท่วมได้ดี

ทำให้บริษัท เลยนำแนวพระราชดำรินี้ไปออกแบบรถโตโยต้าโซลูน่า เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี ซึ่งมีคนไทยร่วมกันออกแบบ ทำให้โตโยต้าโซลูน่า สามารถลุยน้ำท่วมได้สูงถึง 50 ซม.

คุณนินนาท เล่าต่ออีกว่า สิ่งหนึ่งที่สร้างความประทับใจให้แก่ตนเองและพนักงานโตโยต้าทุกคน คือ เมื่อกลางปี พ.ศ. 2540 ที่ประเทศไทยประภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ

ในวันที่ 5 พ.ย.2540 มีข่าวในหน้า นสพ.ว่า ทางโตโยต้าจะปิดโรงงานลอยแพ พนักงาน 5,500 คน ซึ่งกระทบภาพลักษณ์บริษัท ขวัญและกำลังใจของพนักงานอย่างยิ่ง

ในบ่ายวันเดียวกันนั้น ทางบริษัทฯ ได้จัดแถลงข่าว เพื่อแก้ข่าวที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่า บริษัทไม่เคยคิดปิดโรงงานและเลิกจ้างพนักงาน

ต่อมามีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงห่วงใยพนักงานโตโยต้า

ในเช้าวันที่ 6 พ.ย. 2540 เลขานุการส่วนพระองค์ได้โทรศัพท์ถึง คุณนินนาท และแจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ สั่งซื้อ รถโตโยต้าโซลูน่า 1 คัน โดยให้พนักงานใช้มือทำก็ได้

ไม่ต้องใช้เครื่องจักร ไม่ต้องรีบ พนักงานคนไทยจะได้มีงานทำนานๆ

*****

ประโยคนี้สร้างความปลื้มปิติยินดีแก่พนักงานโตโยต้าเป็นอย่างมาก

เมื่อนำรถคันดังกล่าวไปถวายพระองค์ในเดือน ธ.ค.2540 พระองค์ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นเช็คเงินสด 600,000 บาท โดยทรงพระราชทานแนวพระราชดำริว่า ให้โตโยต้าไปตั้งโรงสีข้าวเพื่อช่วยเหลือชาวนา 

โตโยต้าจึงนำเงิน 600,000 บาทไปตั้งโรงสีข้าวรัชมงคล โดยในหลวงจึงทรงถือหุ้นโรงสีรัชมงคล 12 % จากทุนจะทะเบียนทั้งหมด 5 ล้านบาท

ใน 10 ปีแรกของการดำเนินการโรงสียังขาดทุน แต่พอเริ่มปีที่ 11 โรงสีก็เริ่มมีกำไร โดยปัจจุบัน มีกำไรปีละประมาณ 2-3 ล้านบาทต่อปี ทั้ง ๆ ที่ โรงสีรัชมงคลรับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนาในราคาสูงกว่าราคาตลาด 10 % แต่จะขายข้าวสารถูกกว่าท้องตลาดประมาณ 20 % แต่ก็ยังพอมีกำไร

โตโยต้ามีการบริหารจัดการที่ดี ควรตั้งโรงสีข้าวตัวอย่าง เมื่อสีข้าวได้แล้วขายในราคาสวัสดิการให้แก่พนักงาน และขายผลพลอยได้ เช่น แกลบ รำ ให้แก่เกษตรกรชุมชนที่เลี้ยงหมู และเป็นที่มาของ บริษัท ข้าวรัชมงคล จำกัด ซึ่งสามารถหาซื้อข้าวรัชมงคล ได้ที่ตัวแทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ

 เรื่องดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่พนักงานโตโยต้าทุกคนปลื้มปิติในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านเป็นอันมาก /ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน

----------------

โตโยต้าได้กำลังใจ ในหลวงได้ช่วยชาวนา

สุดยอด !!




คลิกที่รูปเพื่อขยาย และกดF11 ขยายแบบเต็มจอ


คลิกอ่าน Look The king never smiles






วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

ย้อนดู31นโยบายเพื่อไทยก่อนยิ่งลักษณ์แถลงผลงาน






ตกลง 24 ก.ย. 56 นี้ ยิ่งลักษณ์จะยอมแถลงผลงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา

แต่ก่อนอื่น เรามาดู 31 นโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยกันก่อนว่า อะไรที่ทำได้ อะไรแหล

ข้อมูล 31 นโยบายหาเสียงของเพื่อไทยนำมาจาก มติชนออนไลน์ วันที่ 28 พ.ค. 2554

1. ทำเขื่อนกั้นน้ำทะเล ไม่ให้ท่วมกรุงเทพฯ แถวๆ สมุทรสาครและสมุทรปราการ ไม่ต้องกู้
ยังไม่ได้ทำ

2. ดึงน้ำจากเขื่อน จากประเทศเพื่อนบ้าน ลาว พม่า เขมร และเชื่อมแม่น้ำด้วยลำคลองใหม่
ยังไม่ได้ทำ

3. รถไฟฟ้าให้ครบทั้ง 10 สาย แต่ละสายเก็บ 20 บาท
สุกำพลเคยสารภาพไปแล้วว่าทำไม่ได้

4. ทุกสถานีรถไฟฟ้า จะสร้างคอนโดราคาประหยัด ให้เช่า
ยิ่งลักษณ์ให้บริษัทเอสซีแอสเซท กับแสนสิริทำ แต่คอนโดหรูทั้งนั้น

5. ทำรถไฟรางคู่เชื่อมต่อบริเวณชานเมืองกรุงเทพ
ยังไม่ได้ทำ

6. ทำรถไฟความเร็วสูงไปโคราช ไประยอง จันทบุรี
นี่ไงหลักฐานว่ามันจะทำรถไฟความเร็วสูงไปอีสานหยุดที่โคราช ไปภาคตะวันออกจอดที่ ระยอง กับ จันทบุรี

7. ขยายแอร์พอร์ตลิงส์ ไปพัทยา
ยังไม่ได้ทำ เพราะแอร์พอร์ตลิงค์ที่มีอยู่ตามนโยบายของทักษิณยังขาดทุนยับจนวันนี้ แก้ไม่ตก

8. ภาคใต้ทำแลนด์บริดจ์
อันนี้ยังเจอปัญหาคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่

9. ปราบยาเสพติดให้หมดไปภายใน 12 เดือน
อันนี้ตอแหลชัดเจน 

10. ความยากจนต้องหมดไปภายใน 4 ปี
ผ่านมา 2 ปีกว่า คนจนเพิ่มขึ้นว่ะ 

11. กองทุนหมู่บ้านเพิ่มเงินทุก ตำบลๆ ละ หนึ่งล้านบาท
กองทุนหมู่บ้าน แต่เสือกเพิ่มเงินทีละตำบล กูงง ทำหรือยังอันนี้ไม่รู้จริง ๆ

12. พักหนี้สำหรับผู้ที่มีหนี้ไม่เกิน ห้าแสนบาท ไม่น้อยกว่า 3 ปี
พักหนี้ แต่ภาษีชาติแบกภาระไป 

13. สำหรับผู้ที่มีหนี้เกินห้าแสนแต่ไม่เกินหนึ่งล้าน ให้ปรับโครงสร้างหนี้

14. โครงการ30 บาทรักษาทุกโรค รักษาอย่างมีคุณภาพ
ห่วยแตกกว่าเดิมครับท่าน 

15. ส่งเสริม OTOP ร่วมกับศูนย์ศิลปาชีพ
16. องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ได้รับเงินเพิ่ม 25 % ไม่ต้องทุจริต
เหมือนโดนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกมาด่าเยอะ ว่าเงินไม่พอใช้ เพราะเบี้ยผู้สูงอายุ เงินเดือนหมื่นห้าตามนโยบายรัฐ และค่าแรงขั้นต่ำตามนโยบายรัฐทำ อปท. ไม่มีเงินจ่าย คลิกอ่านข่าว

17. ออกเครดิตการ์ดสำหรับเกษตรกร เพื่อนำไปซื้อปุ่ยหรือเมล็ดพันธ์เพื่อการเพาะปลูก
ออกบัตรเครดิตแล้ว แต่หนี้เกษตรกรก็เพิ่มขึ้นไปด้วย เพราะรัฐบาลออกนโยบายนี้มาเพื่อส่งเสริมการขายให้บริษัท ปุ๋ย ยา รวย ทำให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรสูงเหมือนเดิม แต่ผลผลิตกลับราคาตกต่ำ ตัวอย่างเช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น

18. ลดภาษีนิติบุคคล จาก 30% เหลือ 23%
พวกนายทุนสบายกับนโยบายนี้ แต่พวกมันขายของให้ประชาชนแพงกว่าเดิม 

19. จบปริญาตรีทำงานมีเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท
เอกชนแบกภาระไป ตอนนี้ปริญญาตรีตกงานเพิ่มขึ้น

20. ปรับเงินเดือนให้ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ
แต่ที่แน่ ๆ เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในรัฐสภา หลายคนก็ยังได้ไม่ถึงหมื่นห้า ลูกจ้างหลายก็ไได้ไม่ถึงวันละ 300 อันนี้เรื่องจริงจากการอภิปรายพ.ร.บ.งบประมาณปี 2557 ที่ผ่านมา

21. คนไทยต้องตั้งตัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี
22. ตั้งกองทุนร่วมทุน แต่ละจังหวัด
23. ต้องกองทุนร่วมทุนในมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน โดยมีเงินนักศึกษาที่จบการศึกษากู้ยืม

24. คืนภาษีและเพิ่มค่าลดหย่อนภาษีให้กับ ผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรก
25. คืนภาษีให้กับผู้ซื้อรถคันแรก และต้องถือครองรถไม่น้อยกว่า 5 ปี

26. สนับสนุนภาครัฐและเอกชน ไปหาสัมปทานพลังงานเช่นน้ำมัน จากทั่วโลก
แม่ง สนับสนุนแต่ ให้ ปตท. ขูดรีดคนไทยเพิ่มขึ้น

27. เด็กนักเรียนมีคอมพิวเตอร์ใช้ One Tablet PC Per Chind
แจกแท็บเล็ต หรือจะอะไรก็ตาม การศึกษาไทยก็ยังห่วยกว่าเขมรอยู่ดี นี่แสดงให้เห็นว่า ไทยมีเงินอุดหนุนการศึกษามากกว่าเขมร แต่การศึกษาไทยไม่อาจดีกว่าเขมรได้ 

28. Free WIFI เล่น Internet ในที่สาธารณะ เช่นสถานศึกษา สถานที่ท่องเที่ยว โรงพยาบาล ฯลฯ
29. ยกเว้นวีซ่า ในกับประเทศแถบตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น
ยกเว้นวีซ่าญี่ปุ่นแล้ว แต่มันแถมให้มอนเตเนโกรอีก (ยกเว้นวีซ่า90วัน ให้ขี้ข้าไปกราบแม้วโดยสะดวก)

30. ทำสนามบินสุวรรณภูมิ ให้เป็น HUB
ยังไม่ได้ทำ 

31. ประสานความสัมพันธ์กับประเทศซาอุดิอาระเบีย ให้กลับมาเหมือนเดิม
คงลืมไปแล้ว

----------------




ใหม่เมืองเอก สรุป

ลดค่าครองชีพ ในความหมายยิ่งลักษณ์ คือ ลดเงินในการดำรงชีวิตของคนไทยให้ยิ่งเหลือน้อยลง ๆ

กระชากราคาสินค้า ในความหมายของยิ่งลักษณ์ คือ ฉุดราคาสินค้าให้แพงยิ่ง ๆ ขึ้น

ค่าแรง300บาทเอามั้ยค้า ในความหมายของยิ่งลักษณ์ คือ ได้ค่าแรง 300 บาท/วัน แต่ได้ค่าข้าวกะเพราะหมูจานละ 35-40 บาทในปริมาณไม่พออิ่ม กับไข่ดาวฟองละ 10 บาทด้วย




วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

กินของมัน ๆ ที่ห้ามกิน กลับรักษาโรคร้ายได้






ทฤษฎีใหม่ ๆ เรื่องการบริโภคอาหาร เริ่มมีแนวคิดที่ว่า ที่ฝรั่งสอนมาว่าดี คือกลายเป็นไม่ดีไปแล้ว

คุณเคยสังเกตไหมว่า ตั้งแต่คนไทยหันมากินน้ำมันพืชแทนน้ำมันหมู คนไทยก็กลับเป็นโรคร้ายมากขึ้น โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับไขมันอุดตันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

ไม่ว่าจะเป็นไขมันอุดตันหัวใจ ไขมันอุดตันสมอง หรืออื่น ๆ อีกมากมาย

เมื่อปี 2551 ผมเคยเขียนบทความเรื่อง กินไข่มาก ๆ ช่วยลดคลอเรสเตอรอลได้

ยิ่งในยุคนี้ผู้คนกลับมีความคิดที่ว่า กินขาหมู จะยิ่งอันตรายต่อสุขภาพมาก ๆ

แต่ทฤษฎีของคุณหมอบรรจบ ชุณหสวัสดิกุล อาจไม่ใช่เช่นนั้น

-------------------------

กินหนังไก่ ขาหมู รักษาเบาหวาน ลดอ้วน

โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล

"ขาหมู หนังไก่ กินไปเลยนะ ทั้งรักษาเบาหวานและลดน้ำหนักได้" ผมบอกกับสมาชิกที่มากันเต็มพิกัดเพื่อเข้าเวิร์กช็อป 1 วัน ณ บัลวี สำหรับใครต่อใครที่ต้องการควบคุมเบาหวานและลดน้ำหนักด้วยสูตรการล้างพิษตับอ่อน

"เหวอ...จะเป็นไปได้ยังไง" หลายเสียงถามกันเซ็งแซ่ เหมือนคนดูรอบสนามมวย เวลาที่กรรมการผู้ตัดสินยกมือให้นักมวยนอกสายตาเป็นฝ่ายชนะ ค้านสายตาผู้ชม เพราะใครๆ ก็ถูกสอนกันมากว่า 40 ปีที่บอกว่า ถ้าใครอ้วน ไขมันสูง เบาหวานต้องงดกินหนังเป็ดหนังไก่ งดกินคากิหรือขาหมูที่แสนโปรดปราน เพราะทั้งแคลอรีสูง ทั้งไขมันสูง

ด้วยคำสั่งสอนที่ฝังหัวมาว่าไขมันจากสัตว์เป็นอันตรายกับสุขภาพ จะทำให้อ้วน ทั้งอ้วนในและอ้วนนอก

อ้วนภายในก็คือคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งจะตามมาด้วยโรคหัวใจ ความดันเลือดสูง

อ้วนภายนอกก็คือโรคอ้วน ตามด้วยเบาหวาน และอื่นๆ อีกสารพัด

ด้วยเหตุฉะนี้น้ำมันหมู หนังหมู หมูสามชั้น ขาหมูคากิ จึงถูกขึ้นบัญชีดำทางสุขภาพ แล้วพลอยพาลพาโลไปถึงหนังไก่ หนังเป็ด ใครกลัวอ้วน กลัวคอเลสเตอรอลเวลากินไก่ก็ต้องเลาะหนังทิ้ง

แต่ผมกำลังประกาศกับผู้รักสุขภาพที่กำลังต้องการรักษาเบาหวาน ลดอ้วนว่าให้กินหนังไก่ ขาหมู นอกจากรักษาเบาหวานแล้ว ยังหุ่นดี ลดน้ำหนักได้อีกด้วย



"จริงนะคะ จะบอกให้" คุณทิพวัลย์ยืนยัน

คุณทิพวัลย์เป็นสมาชิกตัวอย่างที่ผมเชิญมาเพื่อเป็นกำลังใจกับผู้รักสุขภาพที่มาเวิร์กช็อป เธอลดน้ำหนักไป 10 ก.ก. ใน 6 เดือน และลดอินซูลินที่ฉีดรักษาเบาหวานของเธอจากวันละ 40U. จนไม่ต้องฉีดเลย ลดยาเบาหวานวันละ 4 เม็ดเหลือเม็ดเดียว และลดไตรกลีเซอไรด์จาก 253 ม.ก.% --> เป็น 163 ม.ก.% โดยทิ้งยาลดไขมันไปหมดสิ้นตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา

"เมื่อคุณหมอบรรจบบอกดิฉันให้กินขาหมู เวลากินไก่ก็ไม่ต้องเลาะหนังทิ้ง ดิฉันก็ไม่เชื่อเหมือนพวกคุณนี่แหละค่ะ เพราะหมอคนอื่นห้ามเราไปซะหมดทุกอย่าง จนคนเป็นเบาหวานอย่างดิฉันไม่รู้จะกินอะไรเลย ครั้นเมื่อโดนฉีดยากินยา ก็เกิดอาการหิว คว้าอะไรได้ก็กิน ในเมื่อไม่ให้กินหมูไก่ ดิฉันก็เหลือแต่กินผลไม้ และแอบกินขนมบ้าง ให้อภัยตัวเองไปทุกที เบาหวานก็ยิ่งขึ้น ตัวก็ยิ่งอ้วน" เธอกล่าว "แต่สูตรล้างพิษตับอ่อนกินหนังไก่ ขาหมูได้ค่ะ"

"แต่ผมขออย่างหนึ่งว่า คุณต้องงดแป้งข้าวทุกชนิด ขนมและรวมไปถึงผลไม้ด้วย ห้ามกินเด็ดขาด มันคือตัวยักษ์ตัวมารที่ทำลายสุขภาพของพวกเรา เพราะทุกวันนี้เราอ้วน ไตรกลีเซอไรด์สูง คอเลสเตอรอลก็สูงตาม แล้วก็เบาหวานกัดกิน ก็ด้วยการกินคาร์โบไฮเดรต โดยมัวแต่กลัวกินเนื้อกินไขมันนั่นเอง เรียกว่ากำหนดมิตรศัตรูผิดหมด เห็นมิตรเป็นศัตรู เห็นศัตรูเป็นมิตร"



การที่คนสมัยนี้เราต่างกำหนดมิตรศัตรูไม่แจ่มชัดก็เพราะการโฆษณาชวนเชื่อผิดๆ เรื่องนี้มันล้ำลึกมีมาตั้งแต่เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ผมขอย้อนเล่าให้ฟังอีกสักครั้งกล่าวคือ :

มีการศึกษาที่เรียกว่า การศึกษาฟรามิงแฮม ซึ่งสถาบันโรคหัวใจแห่งชาติสหรัฐอเมริการิเริ่มขึ้นในปี ค.ศ.1960 โดยมีสมมติฐานว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจหลอดเลือด เช่น ระดับคอเลสเตอรอลและระดับ LDL-Chol การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา น้ำหนักตัว เบาหวาน โรคเกาต์ เป็นต้น การออกกำลังกาย และระดับ HDL-Chol ลดอัตราเสี่ยง

นี่คือจุดเริ่มต้นของการปลุกผีคอเลสเตอรอล แล้วไขมันสัตว์ก็เป็นแหล่งคอเลสเตอรอลจึงเป็นปิศาจสุขภาพนี่น่ากลัวไปด้วย

ก่อเกิดเป็นกระแสสูงของการไม่กินน้ำมันหมู หนังหมู คากิ ถ้าใครกินไก่ก็ต้องเลาะหนังไก่ทิ้งไป

เหตุการณ์ผ่านไป 40 ปีมีการประชุมนานาชาติเมื่อ ค.ศ.1999 จึงมีผู้วิจารณ์การศึกษาฟรามิงแฮมว่า

"แม้ฟรามิงแฮมจะพบความสัมพันธ์ของคอเลสเตอรอลกับโรคหัวใจในคนหนุ่มและชายวัยกลาง แต่ไม่พบข้อเท็จจริงนี้ในผู้สูงอายุและในผู้หญิง และแม้แต่ในคนหนุ่มกับชายวัยกลาง การวิจัยก็ไม่สามารถพิสูจน์ต่อถึงความสัมพันธ์ของโรคหัวใจพวกเขากับคอเลสเตอรอลในอาหารที่กินเข้าไป ว่าจะสัมพันธ์โดยตรงหรือไม่แท้ที่จริงแล้วการวิจัยทางคลินิกหลายชิ้นยังไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่า ไขมันอิ่มตัวในอาหารเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ"

แสดงว่าการอ้างงานวิจัยฟรามิงแฮมมารณรงค์ต่อต้านอาหารไขมันจากสัตว์ ล้วนเป็นเรื่องด่วนสรุป และตีความเกินจริง

แถมมีข้อสังเกตอีกว่า แม้การศึกษาฟรามิงแฮมจะพบปัจจัยอื่นๆ อีกมากที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือด เช่น ภาวะขาดการออกกำลังกาย ความอ้วน ความเครียด การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ซึ่งล้วนได้รับการพิสูจน์ว่ามีความสำคัญ

แต่ "ด้วยเหตุผลที่ลับลวงพราง" ข้อสรุปกลับมาเน้นที่เรื่องของคอเลสเตอรอลอย่างจริงจัง



พูดกันตรงๆ ก็คือ ถ้าโจมตีเรื่องคอเลสเตอรอลก่อโรคหัวใจ ไขมันจากสัตว์พาโรคอ้วนและไขมันเลือดสูง จะมีธุรกิจที่ขายดีคือ ยาลดไขมันกับธุรกิจน้ำมันพืช สองปัจจัยนี้จึงถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นรณรงค์จนเวอร์ แต่ในวงการไม่ยักจะมียาชนิดไหนกินแล้วขยันออกกำลังกาย ชนิดไหนกินแล้วไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ จึงไม่มีธุรกิจที่จะมาโปรโมตปัจจัยอื่นๆ เหล่านี้

เหตุฉะนี้พวกเราซึ่งรับข้อมูลข่าวสารจึงแยกมิตรแยกศัตรูผิดๆ พากันเลาะหนังไก่ทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย

ด้วยเหตุนี้ ใครที่เป็นเบาหวานและพอมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้างลองตรองดูเถอะว่า น้ำตาลในเลือดของเราสูงขึ้นเพราะอะไร?

นั่นก็เพราะอาหารคาร์โบไฮเดรตแท้ๆ ทีเดียว แต่อาหารไขมัน โปรตีน และพืชผัก ไม่ได้เป็นเหตุปัจจัยโดยตรงของการเพิ่มขึ้นของน้ำตาลในเลือด

ดังนั้น ถ้าเราจะงดกินแป้งข้าว แล้วหันมากินให้อิ่มท้องด้วยเนื้อสัตว์กับผัก และถ้าจะเติมไขมันในอาหารบ้างก็ไม่ได้ผิดกติกาอะไร

แต่ต้องเน้นไว้ ณ ที่นี้ว่า เป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นเบาหวานที่เกิดขึ้นในวัยผู้ใหญ่ สัมพันธ์กับอาหารการกิน ส่วนเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งต้องพึ่งพาอินซูลิน และเกิดขึ้นในวัยเยาว์นั้น มีความซับซ้อนกว่านี้มาก ยังไม่ควรใช้วิธีนี้

สำหรับคนอ้วน แม้ว่าอาหารไขมันจะมีแคลอรีมากกว่าอาหารประเภทแป้ง แต่ก็ต้องรู้อย่างหนึ่งว่า ปัจจัยหลักที่คนอ้วนผิดพลาดอยู่ทุกวันนี้ เกิดจากการกินแป้งข้าว ขนม และผลไม้เป็นส่วนใหญ่ ขอเพียงแต่คนอ้วนเลิกกินคาร์โบไฮเดรต งดหวาน เลิกกินผลไม้ ก็เท่ากับขจัดศัตรูตัวร้ายต่อความอ้วนของตัวเองไปแล้ว

ครั้นหันมากินหมู ไก่ ไข่ ปลา กับผัก ความอ้วนก็จะลดเอาๆ อย่างน่าพึงพอใจ



ปัญหามีอยู่ว่า เวลาที่เรางดแป้งซึ่งเป็นอาหารชนิดที่พร้อมเป็นพลังงานแก่เราได้รวดเร็วที่สุด คนคุมอาหารสูตรนี้มักจะหิวบ่อย ยิ่งถ้าคนที่มีความคิดว่า การลดความอ้วนต้องคุมอาหารแบบอดๆ อยากๆ ด้วยความเคยชินเก่า ก็มักจะรู้สึกผิดถ้ามื้อไหนกินอิ่มมากสักหน่อย ครั้นพอเปลี่ยนสูตรอาหารแล้วยังกินอย่างประหยัดถ้อยประหยัดคำต่อไป บ้างก็เน้นกินแต่ผักสลัด เนื้อสัตว์ไม่ยอมกิน คนเหล่านี้มักจะเกิดอาการหิวขึ้นมาระหว่างมื้อ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะขโมยกินขนมหรือกินผลไม้ อันเป็นการกินนอกลู่นอกทาง ทำให้คุมอาหารไม่สำเร็จ

ทางออกของเรื่องนี้ก็คือ ต้องล้างสมองตัวเองว่า เนื้อสัตว์กินดี ไขมันกินได้ อาหารสูตรนี้ไม่ใช่เน้นให้กินแต่ผัก แต่มีสัดส่วนให้กินเนื้อ 1 ส่วน กินผัก 2 ส่วน จึงเป็นหน้าที่ของตัวเองที่ต้องเตรียมอาหารเนื้อสัตว์ให้มากพอที่จะกินอิ่ม

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมื้อเย็นต้องกินอาหารมันๆ จึงจะอยู่ท้อง ถ้ากินแต่สลัดมื้อเย็น กลางดึกก็ต้องตื่นขึ้นมาแอบเปิดตู้เย็นกินขนมอย่างแน่นอน

ผมจึงมักเน้นย้ำกับใครที่รักจะล้างพิษตับอ่อนว่า "ต่อไปนี้หนังไก่อย่าเลาะทิ้งแล้วนะครับ ขาหมูก็กินได้ ขาหมูพะโล้กินแล้วลดน้ำหนักด้วยสำหรับคนอ้วนทั่วไป

ส่วนคนที่เป็นเบาหวาน ระวังความหวานในน้ำพะโล้ ผมแนะนำให้กินต้มยำขาหมูไปเลย อิ่มอร่อยและหายอ้วน หายเบาหวานครับ"

"...อย่างนี้ได้เฮ...รึเปล่า" ปรากฏสมาชิกที่มาร่วมเวิร์กช็อปเฮฮาไปตามๆ กัน


(ที่มา:มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 6-12 กันยายน 2556)


---------------------


ใหม่เมืองเอก ขอสรุป

ผมว่าที่อาจารย์หมบรรจบ แนะนำนั้น เราก็ควรเชื่อแต่พอดี ก็อย่าเชื่อไปจนหมดใจนะครับ อาหารที่ท่านว่ามา สรุปก็คือ ไขมันสตว์ไม่ได้ร้ายอย่างที่เราคิดกัน

แต่ถ้าคนเราหันมาทานเนื้อสัตว์กันมาก ๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะดี เพราะเนื้อสัตว์นั้นเป็นบ่อเกิดโรคมะเร็งมากกว่าอาหารจำพวกแป้งนะครับ

และที่สำคัญเนื้อสัตว์ ย่อยยากกว่าอาหารจำพวกแป้ง ซึ่งจะทำให้ไตต้องทำงานหนักในการขับโปรตีนส่วนเกินออกจากร่างกาย แถมกินโปรตีนมาก ๆ กระดูกก็จะผุง่ายเหมือนกัน

ไป ๆ มา ๆ ลดแป้งกินเนื้อสัตว์จะกลายเป็นโรคไตแทนโรคเบาหวานนะ สิบอกให้ 555555

อ้อ.. อาหารที่เน้นเนื้อสัตว์มาก ๆ มักมีความเค็มตามมา เดี๋ยวจะกลายเป็นความดันสูงกันอีกล่ะ

ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว ความดันสูง เบาหวาน โรคไต มันก็พี่น้องท้องเดียวกันทั้งนั้น ^^