วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

รำลึกเหตุการณ์รัฐบาลขับไล่ม็อบคนจน!!







สถานการณ์การชุมนุมสมัชชาคนจนหน้าทำเนียบรัฐบาล
6 ธันวาคม 2545 ยุครัฐบาลทักษิณ

จากการที่มีกลุ่มชายฉกรรจ์ บุกเข้ารื้อทำลายสิ่งของของกลุ่มชาวบ้านสมัชชาคนจน ที่ชุมนุมกันที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลในเช้าตรู่ของวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา

ในวันนี้สมัชชาคนจน จำนวน 65 คน นำโดยนายบุญมี คำเรือง นายชนาธิป พิมพ์ราช ได้เข้าพบตัวแทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อยื่นหนังสือ และรายงานถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้เดินทางออกจากที่ชุมนุมในเวลา 10.30 น.

กลุ่มชาวบ้านเดินทางไปถึงสำนักงานคณะกรรมการสิทธิ์ เมื่อเวลาประมาณ 11.20 น. และได้เข้าพบกับตัวแทนคณะกรรมการสิทธิ์ฯ ที่ห้องประชุมชั้น 1 จากนั้น นายแพทย์ ประดิษฐ์ เจริญไชยทวี และตัวแทนอีกสองคนได้รับหนังสือจากชาวบ้าน

ตัวแทนชาวบ้าน 5 คนได้แก่ นายคง มหาไชย นายบุญมี คำเรือง นายชนาธิป พิมพ์ราช นางไสว นางสน ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้ามืดวันที่ 5 โดย นายชนาธิป พิมพ์ราช ตัวแทนคนหนึ่งบอกว่าตนเห็นชายคนหนึ่งที่คนในกลุ่มเรียก ”พี่โย” จะจุดไฟจากขวด และได้ยินว่า เดี๋ยวเกิดเรื่องใหญ่ จากนั้นก็เคลื่อนออกไปทางฝั่งทำเนียบ

ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้คิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นกับคนจนซึ่งหลายครั้งหลายคราแล้วที่คนจนถูกกระทบด้วยความรุนแรงอย่างนี้

หลังจากตัวแทนทั้งหมดได้เล่าเหตุการณ์แล้ว นายแพทย์ประดิษฐ์ เจริญไชยทวี ได้กล่าวกับชาวบ้านที่มาว่า คณะกรรมการสิทธิ์จะเร่งส่งเรื่องไปยังรัฐบาล เพื่อที่จะได้ดำเนินการให้มีการคุ้มครองสิทธิ์ต่อประชาชน และขอเป็นกำลังใจให้กับชาวบ้านต่อไป

นายบุญมี คำเรือง ตัวแทนชาวบ้านกล่าวว่า เนื่องจากคณะกรรมการสิทธิ์ฯ ถือว่าเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น ที่ชาวบ้านเห็นว่าน่าจะเป็นองค์กรที่ช่วยผลักดันต่อรัฐบาลให้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งจะได้ช่วยหามาตรการที่จะปกป้องสิทธิ์ของคนจนไม่ให้ถูกละเมิดอีก

เพราะที่ผ่านมาถือว่าสิทธิ์ของคนจนถูกละเมิดครั้งแล้วครั้งเล่าและทุกวิธีการ ไม่ว่าจะเป็นทางกายและทางใจ ชาวบ้านไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกไม่ว่าจะกับสมัชชาคนจนหรือกับใครก็แล้วแต่



กระทั่งเวลาประมาณ 12.00 น.ชาวบ้านทั้งหมดจึงเดินทางกลับไปยังทำเนียบรัฐบาล

และในวันเดียวกัน สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย คณะกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อม 17 สถาบัน (คอทส.) โดยนายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ เลขาธิการสนนท.นายคง มหาไชย ตัวแทนชาวบ้านได้เล่าเหตุการณ์ในเช้าวันที่ 5 ว่า ขณะที่ตื่นขึ้นมาก็เห็นกลุ่มคนเข้าตัดสายเต็นท์ สายมุ้ง และข้าวของที่เพื่อนๆ เขาฝากไว้ในเต็นท์ด้านข้างก็ถูกเตะ โยนลงน้ำ เต็นท์ที่รื้อก็ถูกทิ้งลงน้ำ ส่วนที่ได้ยินที่เขาตะโกนได้ยินว่า รื้อให้หมดใครสู้เอามันเลย ส่วนที่เพื่อนฝากไว้ก็โยนลงน้ำ

ได้แถลงข่าวกรณีการใช้ความรุนแรงที่หน้าทำเนียบรัฐบาลว่า การเข้าทำลายข้าวของชาวบ้านครั้งนี้นับเป็นการปฏิบัติการที่อุกอาจที่เกิดขึ้นกลางเมืองหลวง ทั้งที่สถานที่เกิดเหตุอยู่ใกล้กับสถานที่ราชการสำคัญอย่างทำเนียบรัฐบาล และยังมีรถของเจ้าหน้าที่ตำตวจซึ่งจอดประจำอยู่ใกล้ที่ชุมนุม แต่เป็นที่หน้าสังเกตว่าในช่วงเกิดเหตุกลับไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำการ?

การปฏิบัติการดังกล่าวถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ไร้ประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ไม่สามารถดูแลความสงบเรียบร้อยได้ ในเรื่องนี้รัฐบาลจะต้องกำกับดูแลการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มีความคืบหน้าในการติดตามคดี

รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะรัฐบาลไม่ได้ แก้ไขปัญหาตามหลักวิชาการและฐานข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ชาวบ้านต้องปักหลักชุมนุมเพื่อความถูกต้องและเป็นธรรม จนต้องเกิดเหตุรุนแรง 

และเพื่อยุติปัญหาทั้งปวงรัฐบาลจะต้องแก้ไขปัญหาอย่างตรงไปตรงมาหยุดความดื้อรั้นไร้เหตุผล รัฐบาลจะต้องทบทวนมติครม.ในวันที่ 1 ตุลาคม 2545 และต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอโดยให้เปิดประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูลตลอดปี

ทางด้านสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ(สกน.) ได้ออกแถลงประณามปฏิบัติการอันป่าเถื่อนในครั้งนี้ และเรียกร้องให้รัฐบาลหาตัวคนทำผิดและผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิบัติการดังกล่าว มิฉะนั้นแล้วจะทำให้สาธารณะเช้าใจว่าเป็นการกระทำของรัฐบาลหรือลิ่วล้อของรัฐบาล 

นอกจากนั้นแล้ว รัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ต้องยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่ให้มีการปิดประตูเขื่อนปากมูล และให้มีการเปิดประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูลเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ หากรัฐบาลยืนยันให้ปิดประตูน้ำก็เท่ากับว่ารัฐบาลรัฐบาลแก้ไขปัญหาประชาชนโดยมีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่ หรืออยู่ภายใต้การครอบงำของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

ซึ่งในกรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การกระทำของรัฐบาลอย่างแน่นอน และรัฐบาลจะไม่มีการทบทวนกรณีการเปิดเขื่อนปากมูลอีก เพราะได้ตัดสินใจไปแล้ว ซึ่งประชาชนจะต้องยอมรับความจริงและปรับตัว เพราะรัฐบาลไม่สามารถทำตามใจคนทั้งหมดได้
.



วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

คนเสื้อแดงไม่ใช่ไพร่...คนไทยไม่ใช่ขี้ข้า

โดยไทยทน


จากการนัดชุมนุมคนเสื้อแดง ที่เริ่มโหมโรงกันตั้งแต่วันที่ 12-14 มีนาคม 2553 เรื่อยมา

...ผู้ริเริ่ม พยายามสร้างให้เป็นเรื่องสงครามระหว่างคนต่างจังหวัด กับคนกรุง

...ผู้ยุยง พยายามสร้างความแตกแยก ให้เป็นเรื่อง อำมาตย์-ไพร่ ชนชั้นสูง-ชาวรากหญ้า ทหาร-ประชาชน

...ผู้ป่วนเมือง พยายามต่อรอง พร้อมเสียสละประเทศชาติและเลือดเนื้อประชาชน เพื่อตนเอง

มีข้อสังเกตหลายประการ

...ผู้ร่วมชุมนุม มีจำนวนน้อยลงๆ จนเห็นชัดถนัดตา

...ผู้ร่วมชุมนุมหลายคน รู้สึกต้องเสียเลือด ต้องถูกกดให้เป็นทาส ให้เป็นไพร่ แต่เริ่มไม่รู้ว่า...ใต้ใคร?

...คนไทยไม่ใช่โง่ๆ คนไทยไม่ใช่ขี้ข้า คนส่วนใหญ่ต่อสู้เพื่อชาติ เพื่อประชาธิปไตย เพื่อความจริง

ปัญหาคือ มีการใช้ความเท็จมากมาย และที่น่าหดหู่ใจ คือเป็นการกล่าวเท็จโดยผู้นำระดับอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย มีหลายเรื่องที่คนไทยน่าจะทำความเข้าใจตรงกัน ดังนี้

1. อดีตผู้นำ เป็นนักโกหก ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจสร้างภาพยนตร์ หลังวันแรกที่ป่วนเมืองที่ดูไบ มีข่าวชัดเจนว่า ประเทศยูเออีจะไม่ให้อยู่ในประเทศอีกแล้ว ในวันที่ 13 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ได้วิดีโอลิงก์เข้ามากล่าวอีกว่า “วันนี้ปล่อยข่าวสารพัดหาว่าอยู่เขมร ผมอยู่ยุโรป มาพบกับลูกที่มาดูงาน... ผมเป็นคนซึ่งไม่มีที่ไหนขับไล่ มีแต่ให้เกียรติ ผมอยู่ดี ผมสู้ ยิ่งโดนรังแกยิ่งสู้” ดูเหมือนพยายามทำให้คนเข้าใจว่า ไปหาลูกสาวที่มีข่าวว่าไปดูงานนิทรรศการที่ประเทศเยอรมนี

แต่ความจริงก็ปรากฏแล้วใน 14 มี.ค. 2553 นายฮันส์ ชูมาร์คเคอร์ เอกอัคราชทูตเยอรมนีประจำไทย ให้สัมภาษณ์สื่อ โดยปฏิเสธเสธข่าวกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปพบลูกสาวที่อยู่ในประเทศเยอรมนี โดยให้เหตุผลว่าพ.ต.ท.ทักษิณถูกสั่งห้ามจากรัฐบาลเยอรมนีไม่ให้เดินทางเข้าประเทศตั้งแต่ปี 2552

ในวันที่ 17 มี.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงได้วิดีโอลิงก์มาบนเวทีชุมนุมของกลุ่ม นปช.ว่า เวลานี้ตนอยู่ที่ประเทศมอนเตเนโกร เพราะประเทศนี้ออกพาสปอร์ตให้ตน ได้มาเจอกับลูกสาวที่ไปงานนิทรรศการที่เยอรมนีแล้วได้นัดเจอกันที่นี่

สิ่งที่ชาวเสื้อแดงน่าจะได้คิดคือ ถ้ารักกันจริงก็ไม่น่าจะต้องโกหกกับแม้เรื่องเล็กๆ ว่าตนอยู่ไหน? แต่เมื่อได้รู้ความจริง เห็นภาพแท้ว่าเป็นนักกล่าวเท็จ ก็ทำให้น่าจะ “ได้คิด” ถึงข้อน่าสงสัยหลายๆ ข้อต่อไป

2. จริงหรือที่ทักษิณเป็นนักธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขัน? ภาพที่ตนต้องการสร้างนั้น ก็คือ ประโยคที่ว่า “ผมเป็นคนซึ่งไม่มีที่ไหนขับไล่ มีแต่ให้เกียรติ ผมอยู่ดี” หากเป็นเช่นนั้น ทำไมต้องออกจากประเทศอังกฤษ ทำไมประเทศเยอรมนีจึงไม่ต้อนรับ ทำไมจึงไม่สามารถไปอยู่ในอารยประเทศที่มีความเป็นอยู่ดีๆ อย่างเช่นสหรัฐอเมริกา หรือแม้กระทั่งประเทศสิงคโปร์

ผู้นำชุมนุมได้กล่าวบนเวทีทำนองว่า “อภิสิทธิ์ทำงานเป็นที่ไหน? สู้นายกฯ ของเราได้ที่ไหน ท่านทักษิณแค่บินจากประเทศไทย ไปประเทศอังกฤษก็หาเงินได้มากมายแล้ว จำได้ไหมครับ ไปถึงปั๊บก็ซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ได้เลย”

จริงหรือที่ทักษิณ คือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ลองถามตัวเองดูว่า ถ้าไม่ใช่ใช้สินบน ซื้อเสียง ซื้ออำนาจรัฐ เอื้อประโยชน์ธุรกิจตัวเองแล้ว “มีธุรกิจแข่งขันอะไรบ้าง ที่ทักษิณทำแล้วประสบความสำเร็จ” ทักษิณก็พูดเองว่า พีโอเอส บัสซาวด์ก็ทำแล้วเจ๊งมาก่อน ต้องกู้หนี้ยืมสิน ต่อเมื่อได้ธุรกิจผูกขาดด้วยการใช้อำนาจรัฐอย่างโทรศัพท์มือถือ ดาวเทียม จึงร่ำรวยเป็นล่ำเป็นสัน

ชินฯ อินเตอร์ ไปลงทุนกิจการต่างประเทศ ก็เจ๊งไม่เป็นท่า 3-5 พันล้านบาท ไม่แน่ใจว่าเจ๊งจริงเท่าไร? ยักยอกเงินจากกลุ่มชินฯ ออกไปเท่าไร?

กิจการดาวเทียม แม้ได้รับประโยชน์ภาษีมากมาย ก็ยังไม่สามารถจะแข่งขันในตลาดโลกได้ง่ายๆ

ไปลงทุนสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ เติมเงินค่าตัวนักกีฬา และผู้จัดการเสวนไป ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ต้องขายธุรกิจออกไป ก่อปัญหาจนอังกฤษไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ

ที่จะบอกว่า แค่ลงเครื่องบินก็ซื้อสโมสรฟุตบอลได้เลย ไม่ได้สะท้อนความเก่ง แต่สะท้อนความโกงชาติที่มีเงินยักยอกไปอยู่ต่างประเทศอยู่แล้วต่างหากการ “เติมเงิน” เพื่อเพิ่มมูลค่า และขายไปในราคาที่ดูสูงขึ้น มันก็ดูเป็นการฟอกเงินสกปรกให้สะอาดนั่นเอง ที่ถูกงดวีซ่า ตามข่าวก็เพราะไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้นั่นเอง

ที่ซื้อเหมืองเพชร ก็ใช้เงินที่ได้มาจากการซุกหุ้นในชื่อลูกชายและลูกสาว คนไทยก็จะไม่มีวันเห็นการดำเนินการที่แท้จริง ก็เพราะเป็นเพียงการ “ฟอกเงิน” ที่ง่ายที่สุด อาจไปซื้อถ้ำมาก็ได้ แล้วเอาเงินสกปรกไปซื้อแร่เพชรมา แล้วเอามาโชว์ว่า ทำธุรกิจเหมืองเพชรกำไรได้ง่ายๆ

ไปลงทุนดูไบยิ่งใหญ่เป็นหน้าเป็นตา จนดูไบยอมให้พำนักระยะยาว ก็เป็นที่รู้กันว่า กิจการอสังหาริมทรัพย์ที่ดูไบล่มสลาย ยากที่จะฟื้น มันเป็นการเก็งกำไรกันแบบแมงเม่า ซึ่งทักษิณก็เป็นเพียงแมงเม่า ที่ไปกู้เงิน ทำกิจการอสังหาริมทรัพย์ในช่วงลูกโป่งกำลังจะแตก จนแตก ก็เพราะไม่รู้จักใช้หลัก “เศรษฐกิจพอเพียง”

คนเสื้อแดงลองตั้งคำถามแกนนำของท่านดูว่า “ถามจริงๆ เหอะ ธุรกิจสุจริต ไม่มีอำนาจรัฐเอื้ออะไรบ้างนะ ที่ท่านทักษิณทำแล้วประสบความสำเร็จ” แล้วลองดูว่าจะได้คำตอบว่าอย่างไร? มีหรือไม่?

3. จริงหรือที่ อำมาตย์คือผู้ถ่วงประเทศ ทักษิณคือผู้พัฒนาประเทศ? ตั้งแต่สมัยรัฐบาลป๋าเปรม ได้บริหารกิจการแผ่นดิน โดยสะกดนักการเมืองโกงๆ ได้มาก ได้พัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ดจนเป็นแหล่งพลังงานและปิโตรเคมีที่เป็นกำลังสำคัญที่แข็งแกร่งของประเทศ จนเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ที่แข่งขันได้สูงของโลกในระดับที่จะเป็นดีทรอยเอเชีย

แต่ทักษิณมุ่งแต่กอบโกย เอาอำนาจผูกขาด แก้ไขสัมปทานเอื้อประโยชน์กิจการที่ตนเป็นเจ้าของและเอาไปซุกหุ้น แล้วก็เอากิจการผูกขาดนั้น ไปประเคนขายประเทศสิงคโปร์

เตรียมยกพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารให้เขมร ซึ่งจะมีผลถึงแหล่งทรัพยากรทางทะเลไปด้วย จนฮุนเซนถึงขั้นตื่นเต้น มาดูพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหาร และอาจหาญถึงกับจะเข้ามาดูบริเวณปราสาทตาเมือนธม

ยิ่งให้บริหาร ก็อาจจะตัดชิ้นส่วนประเทศค่อยๆ ขาย และหาเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ภาพของเงินที่เก็บซ่อนในต่างประเทศ และการทยอยฟอกเงินผ่านสโมสรฟุตบอลหรือผ่านเหมืองเพชรย่อมยืนยันภาพของรูปแบบธุรกิจของทักษิณอย่างชัดเจน

4. จริงหรือที่รัฐบาลอภิสิทธิ์บริหารงานไม่ได้เรื่อง หมดสภาพแล้ว ต้องอาศัยไม้ค้ำ? รัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารงานเพียงปีเดียว ถูกดูถูกโดยทักษิณและพวกหลายครั้ง เปรียบเหมือน “เด็ก 2 คน” คือ ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ และท่านรัฐมนตรีกรณ์

แต่จริงๆแล้ว แม้ปี 2552 เป็นปีที่ยากและท้าทาย วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์สร้างปัญหาทางการเงิน และวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก หลายคนเทียบว่า เป็นวิกฤตครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปี กลัวว่าจะใกล้เคียงสมัย 1930 ที่เรียกกันว่า เกรทดีเปรสชั่น (Great Depression) หลายคนประมาทว่าไทยจะเจอวิกฤตหนักกว่าต้มยำกุ้ง

ในประเทศก็มีปัญหาทางการเมืองที่เปราะบางเป็นอย่างยิ่ง ทักษิณและพวกป่วนรัฐบาล ป่วนชาติมาตลอดตั้งแต่ต้น จนหนักที่สุดคือ นำพรรคพวกถล่มการประชุมผู้นำอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพ และยกย่องผู้นำการทำลายการประชุมว่าเป็นวีรบุรุษ

แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับบริหารบ้านเมืองผ่านความลำบากมาได้ เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างดี เงินช่วยเหลือภาครัฐได้ออกแบบอย่างโปร่งใส ให้เข้ามือประชาชนอย่างทั่วถึง และออกแบบให้ใช้เงินเพื่อให้กลับมาสะพัดในระบบเศรษฐกิจอย่างได้ผล ทำให้กลไกทางเศรษฐกิจขับเคลื่อนไม่ติดขัด ส่งออกฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ในปลายปีจนยอดนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในเดือนธันวาคมสูงสุดในประวัติศาสตร์ไทย ขณะที่สหรัฐอเมริกายังมียอดคนว่างงานสูงระดับ 10% ไทยเรากลับสามารถลดจากจุดสูงสุดประมาณ 2% เหลือเพียง 1% เท่านั้น

ตอนนี้ระดับว่างงานต่ำมากจนกิจการเอกชนเริ่มหาคนทำงานได้ยาก ราคาสินค้าเกษตรก็ดีด้วยนโยบายประกันราคา โดยรัฐไม่ต้องมีภาระมากมายจากนโยบายจำนำเหมือนแต่ก่อน ในปีที่ยาก ไทยเรากลับผ่านมาได้โดยแทบไม่รู้สึกถึงวิกฤตเลย จะหาว่าบริหารงานไม่ได้ได้อย่างไร?

สำหรับคุณกรณ์ ก็เป็นหน้าตาของประเทศอีกท่านหนึ่ง โดยนิตยสารยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ The Banker เครือ Financial Times เลือก คุณกรณ์ รมว.คลัง ของไทย เป็นผู้ได้รับรางวัล “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโลกแห่งปี” อย่าปิดบังเรื่องเหล่านี้จากคนไทยด้วยกันเลยครับ

5. จริงหรือที่นายอภิสิทธิ์ สั่งทหารฆ่าประชาชน ใครกันแน่ที่ “บ้าเลือด?” น่าเศร้าใจในความตกต่ำของอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ย้ำเท็จย้ำลวงอยู่นั่นเอง โดยยังใช้ “คลิปเสียง” ปลอมที่ตัดต่อเสียงนายกฯ อภิสิทธิ์อยู่เลย

ในวันที่ 16 มีนาคม ทักษิณได้กล่าวกับคนเสื้อแดงว่า วันนี้ตนมามาดใหม่เป็นนักวิเคราะห์ ผู้ที่เข้ามาวุ่นวายในบ้านเมืองต้องเป็นผู้มีปัญหาทางจิตแน่นอน ยิ่งฟังเสียงเทปอภิสิทธิ์สั่งการให้ใช้ความรุนแรง ตนว่าอภิสิทธิ์ป่วยแน่นอน “ที่มีแดงมีเหลือง นับวันเส้นขนานกว้างขึ้นยาวขึ้น” “กลุ่มอำมาตย์จึงเป็นที่มาสีเหลือง ... เป็นกลุ่มคุมอำนาจ มีทหาร ศาล เป็นเครื่องมือ ส่วนกลุ่มแดงมีฐานประชาชนเป็นหลัก...มาร่วมขับเคลื่อนเพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง” ทักษิณกล่าว

ใครกันแน่ที่พร้อมจะเห็นคนไทยฆ่ากันตาย? ในช่วงเดือนเมษายน 2552 ทักษิณก็บอกกับคนเสื้อแดงว่า “มากันเยอะๆ” “วันใดเสียงปืนแตก ท่านจะกลับมานำประชาชน” แต่ก่อนก่อความวุ่นวาย ครอบครัวบินหนีออกไปเสียก่อน มีการทำลายการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ยั่วยุปลุกปั่นผู้ชุมนุม จนมีการเอารถแก๊สมาตั้ง ทำให้คนมากมายหวาดกลัว เผารถเมล์ เผายางทำให้บ้านเมืองเกิดบรรยากาศลุกเป็นไฟ มีการทำร้ายประชาชนในชุมชนนางเลิ้งจนเสียชีวิต 2 คน “เสียงปืนก็แตกแล้ว ท่านอยู่ไหนครับ?” ไม่เพียงเท่านั้น แกนนำอยู่ไหนครับ?

ใครแน่ที่บ้าเลือด? เมื่อรัฐบาลถูกกดดันให้ปราบปรามผู้ก่อความวุ่นวายเดือดร้อน ท่านก็ไม่กลับมาจริง แกนนำผู้ชุมนุม ผู้ปลุกปั่นก็หายตัว หลังจากนั้น สิ่งน่าเศร้าคือ การ “หาศพ” คงเพราะ “ถ้าเป็นรัฐบาลท่าน มันต้องมีศพสิ” แต่กลับไม่พบศพ โลกพัฒนาไปมาก สื่อมวลชนติดตามมากมาย มีกล้องมากมายในสถานการณ์ คนเสื้อแดงเองก็ถือกล้องกันมากมาย แต่กลับไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้

แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้คือ “ความจงใจ” สร้างสถานการณ์ ยั่วยุคนเสื้อแดงให้สร้างความปั่นป่วนรุนแรง ยั่วยุให้รัฐบาล และทหารต้องใช้กำลังสะกดปราบปราม ยั่วยุให้ประชาชนผู้ไม่เกี่ยวข้องกดดันรัฐบาลให้จัดการให้เกิดความสงบเสียที หวังให้ต้อง “มีศพ” หรืออย่างไร? แม้เป็นคนของท่านก็ไม่สนใจ พร้อมสละได้หรืออย่างไร?

เหมือนครั้งนี้ที่เอาเลือดไปโยนเข้าบ้านนายกฯ คนเสื้อแดงก็น่าจะเห็นแล้วว่า ผู้นำคนเสื้อแดงตั้งใจยั่วยุให้เกิดความความรุนแรงเพียงไร? ในเมื่อทักษิณวิเคราะห์แล้วว่า ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ต้องเป็นโรคจิตตามคลิป แล้วพาคนที่สนับสนุนท่านไปเสี่ยงลบหลู่ท่านทำไม? ไปเสี่ยงกับคนที่ท่านกล่าวหาว่าเป็นโรคจิตสั่งฆ่าประชาชนทำไม? และเมื่อทำสำเร็จ กลับมีคนเสื้อแดงอีกจำนวนมาใช้ประเด็นว่า “รัฐบาลบริหารบ้านเมืองไม่ได้ เพราะขนาดบ้านนายกฯ ยังปกป้องไม่ได้” ก็ไม่รู้ว่าจะโกหกกันไปถึงไหน? แล้วคนที่ยังเชื่อ จะยังเชื่อไปถึงไหน?

การเคลื่อนไหวแรกของการชุมนุมครั้งนี้ ก็พาประชาชนไปท้าทายทหาร ไปที่ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ในเมื่อกล่าวหาว่าทหารภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นทหารที่ฆ่าประชาชน ท่านพาประชาชนที่รักท่าน หลงเชื่อท่านให้ไปท้าทายตั้งแต่แรกชุมนุมทำไม? ไปยั่วยุ ไปท้าทาย หวังต้องเห็นคนไทยฆ่ากันตายจริงๆ หรืออย่างไร? แต่ทหารที่กรมทหารราบ 11 แทนที่จะต่อสู้ด้วยรถถัง ปืนใหญ่ ปืนกล กลับจริงใจ ต่อสู้ด้วยไมโครโฟน และลำโพงเสียงอย่างดี สื่อสารภาษาไทย ภาษาอีสานอย่างจริงใจ จนคนเสื้อแดงเองก็ชอบใจ และเข้าใจความคิดของทหารอย่างแท้จริง หลายคนจึงเปลี่ยนใจกลับบ้านไปเลย เราจึงเห็นภาพว่า ท้ายขบวนยังไปไม่ถึงกองพันทหารราบ 11 เลยปรากฏว่าแกนนำประกาศให้กลับแล้ว เพราะสู้ “ความจริง” ของฝ่ายรัฐบาล และท่าทีที่แห่ง “ความรัก” จริงใจของทหารไม่ได้

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกวิดีโอลิงก์มายังเวทีคนเสื้อแดงอีสาน ในวันที่ 31 ม.ค. ที่ขอนแก่นว่า “ทหารไทยวันนี้เป็นทหารแตงโมกันหมดแล้ว แต่งเสื้อเขียวแต่ใจแดงครับ มีทหารสับปะรดไม่กี่คน เสื้อเขียวแต่ใจเหลือง พวกนี้ก็ไม่ค่อยเป็นสับปะรดหรอกครับ” ต้องนับว่า คิดผิดอย่างแท้จริง แต่พูดถูกเพราะทหารที่ท่านกล่าวหาว่าเป็นสับปะรด กลับเป็นสับปะรดจริงๆ หากจะมีทหารแตงโม ก็คงไม่เป็นสับปะรดจริงๆ ก็ในเมื่อเป็นแตงโม จะเป็นสับปะรดได้อย่างไร?

เป็นครั้งแรก ที่หลายๆ คนจะรู้สึกว่า เสธ.แดงพูดเข้าท่าเรื่องโครงการ “เอาเลือดไพร่ ไปไล่อำมาตย์” โดยขอแถลงการณ์แทนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ไม่ใช่นโยบายของพ.ต.ท.ทักษิณ ขอให้ประชาชนอย่าเข้าใจผิด เพราะท่านไม่เคยสั่งให้ประชาชนเสียเลือดเนื้อ แต่เป็นแนวความคิดของแกนนำ นปช.เอง

แต่บิดความจริงไปไม่ได้ เพราะทักษิณพูดเองว่า “เป็นสัญลักษณ์ วันนี้เป็นการแสดงออกด้วยอุดมการณ์ที่พร้อมเสียสละเลือดเนื้อแต่ด้วยสันติวิธี” สะท้อนว่า

...ใครกันแน่ที่บ้าเลือด อยากเห็นเลือด

...ใครกันที่ใส่ร้าย ป้ายสี (เลือด) เพียงเพื่อจะพูดว่า “การก้าวเข้าทำเนียบฯ นั้น ต้องผ่านกองเลือดของผู้ชุมนุม” ทั้งๆ ที่ไม่มีการฆ่าคนไทยจริง คนไทยไม่ได้โกรธเกลียดแตกสามัคคีจริง รัฐบาลและทหารไม่ได้มีการฆ่าประชาชนจริง กลับป้ายสีไม่หยุด

ในฐานะคนไทยผู้รักชาติคนหนึ่ง ขอชื่นชมและให้กำลังใจท่านนายกฯ ที่เข้มแข็ง อดทน มีความรัก มีความให้อภัย จิตใจสูงส่ง แม้ฝ่ายทักษิณพยายามบอกว่าสังคมแตกแยกเป็นฝ่าย เป็นศัตรูกัน ต้องต่อสู้โดยพร้อมเสียสละเลือดเนื้อ การต่อว่า “พร้อมเสียสละเลือดเนื้อแต่ด้วยสันติวิธี” ก็คงบิดเบือนว่าเป็นสันติวิธียาก

ไทยทนได้พูดคุยกับคนเสื้อเหลือง และคนเสื้อสีใดๆ หลายๆ คน เป็นห่วงคนเสื้อแดงที่ถูกยั่วยุนำให้คนไทยโกรธกัน ทำร้ายกัน ดีที่คนไทยมีพ่อหลวงในใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่หลงกลทะเลาะกันง่ายๆ ทำร้ายกันง่ายๆ หากหลงเกิดความรุนแรงจริงๆ จนมีความบาดเจ็บต้องการเลือดช่วยคนเสื้อแดง ไทยทนเชื่อว่า คนเสื้อเหลือง หรือคนเสื้อสีใดๆ ก็พร้อมจะบริจาคเลือดให้ท่าน

... เพราะเราคนไทยสีใดๆ ไม่เคยเป็นศัตรูกัน อยากเห็นความรักสามัคคี ความสว่าง ความชอบธรรมมากกว่า

ไทยทนเชื่อว่า “คนเสื้อแดงไม่ใช่ไพร่ คนไทยไม่ใช่ขี้ข้า” นึกจะพาไปท้าทายทหาร ที่ท่านบอกว่าเป็นทหารที่ฆ่าประชาชนก็พาไป นึกจะพาไปทาเลือดโยนเลือดใส่บ้านนายกฯ ที่ท่านกล่าวหาเป็นโรคจิต จึงสั่งฆ่าประชาชนอย่างน่ากลัวตามคลิปเสียงก็พาไป นึกจะให้พี่น้องคนไทยต้องร่วมกันหลั่งเลือดอย่างไร้ประโยชน์ก็ทำ จึงขอส่งท้ายว่า “คนบ้าเลือด...ต้องออกไป” ครับ


ไทยทน
.
.

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิเคราะห์ ทำไม ศาลฎีกาฯฟันธง "ทักษิณ"ซุกหุ้นชินคอร์ป?

.
.
.

วิเคราะห์คำพิพากษายึดทรัพย์ ตอบโจทย์ ทำไม ศาลฎีกาฯฟันธง "ทักษิณ"ซุกหุ้นชินคอร์ป

โดยประสงค ์ เลิศรัตนวิสุทธิ์

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติให้นำเอาคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดียึดทรัพย์กว่า 46,000 ล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาพิจารณาเพราะมีคดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่ ป.ป.ช.ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนไว้หลายคดี

ในจำนวนคดีเหล่านี้ มีคดีที่กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ

ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ การแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 1 สมัย และ ส.ส. 2 สมัย รวม 13 ครั้ง สามารถเอาผิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณได้ทุกครั้งและมีประเด็นปัญหาเรื่องอายุความหรือไม่

เพราะในรัฐธรรมนูญปี 2540 กำหนดว่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อ จงใจแสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือเมื่อครบกำหนดต้องยื่นแสดงแต่ไม่ยื่น และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง

ดังนั้น การจงใจแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จในช่วงปี 2544-2549 จึงมีอายุความ 5 ปี โอกาสที่จะเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ในเรื่องนี้จึงน่าทำได้เฉพาะการยื่นพ้นจากตำแหน่งนายกฯเมื่อกันยายนปี 2549 และกันยายน 2550 เพียง 2 ครั้งเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เห็นว่า ศาลฎีกาฯใช้เหตุผลอะไรในการวินิจฉัยด้วยเสียงเอกฉันท์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ยังคงถือไว้ซึ่งหุ้นหรือ"ซุกหุ้น"บริษัทชินคอร์ปจำนวน 1,419 ล้านหุ้น " จึงขอนำคำพิพากษาดังกล่าวมาวิเคราะห์เห็นประเด็นสำคัญๆ ดังนี้

ประเด็นแรก การโอนหุ้นระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานไปยังบุตรและเครือญาติซึ่งรายงานต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ตามแบบ 246-2 ไม่ใช่หลักฐานแสดงการโอนกรรมสิทธิ์ในหุ้น

การพิจารณาว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน มีพฤติการณ์คงถือไว้ซึ่งหุ้นบริษัทชินคอร์ปหรือไม่ ต้องวินิจฉัยจากพฤติการณ์ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน กับนายพานทองแท้ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน ตั้งแต่ 1.มีการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทชินคอร์ป 2. การโอนหุ้นระหว่างกัน และ3.การถือครองหุ้นตั้งแต่มีการโอนจนขายหุ้นให้แก่กองทุนเทมาเส็ก เป็นสำคัญ

ประเด็นที่สอง การซื้อหุ้นเพิ่มทุน การโอนหุ้นของพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานให้แก่ บุตรและเครือญาติ ใช้เงินของคุณหญิงพจมานซื้อ และไม่มีการจ่ายเงินกันจริง แต่ผู้รับโอนหุ้นออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นประกันหนี้ค่าหุ้นดังกล่าวและอ้างว่า ทยอยชำระหนี้จากเงินปันผลหุ้นซึ่งบริษัทเริ่มจ่ายเงินปันผลตั้งแต่ปี 2546(งดจ่ายมาตั้งแต่ปี 2540) ซึ่งแต่ละกรณีพิรุธที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1.กรณีนายบรรณพจน์ ซื้อหุ้นเพิ่มทุนบริษัทชินคอร์ป เมื่อปี 2542 จำนวน 6.8 ล้านหุ้นเศษ ราคาหุ้นละ 15 บาท เป็นเงิน 102 ล้านบาทเศษ โดยอ้างว่า ยืมเงินเงินจากคุณหญิงพจมาน ทั้งๆที่นายบรรณพจน์มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท แต่ตั๋วสัญญาใช้เงินที่นายบรณณพจน์ออกให้ระบุว่า "ไม่มีดอกเบี้ยกลับทำให้เห็นเป็นพิรุธ"

นอกจากนั้นตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวออกเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2542 ก่อนที่นางพจมานจะได้"คุณหญิง" เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2542 แต่กลับใช้คำว่าสั่งจ่าย"คุณหญิงพจนมาน"
ข้ออ้างที่ว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินหายฉบับเดิมหาย จึงออกฉบับใหม่เมื่อปลายปี 2543 นั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะ ตั๋วสัญญาใช้เงินมีหลายฉบับ แต่กลับหายไปเกิดข้อพิรุธฉบับเดียว

คุณหญิงพจมานโอนหุ้นชินคอร์ปจำนวน 26.8 ล้านหุ้นให้อีกเมื่อวันที่ 1 กันายน 2543 มูลค่า 268 ล้านบาทเศษ ขณะที่นายบรณรพจน์ มีทรัพย์สินอาจจะถึง 1,000 ล้านบาท กลับออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 268.2 ล้านบาท ให้โดยไม่มีดอกเบี้ย เช่นเดียวกับตั๋วสัญญาใช้เงินที่อ้างว่า ชำระหนี้เงินยืมไปซื้อหุ้นเพิ่มทุน

2.กรณีนายพานทองแท้ รับโอนหุ้นชินคอร์ป ในราคาพาร์ 10 บาทจากพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน30,900,000 หุ้น และ 42,475,000 หุ้น รวม 73,395,000 หุ้น โดยนายพานทองแท้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ๆว้เป็นประกัน ซึ่งจำนวนหุ้นที่รับโอนดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ 24.99 ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด

เห็นได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน จะโอนหุ้นให้มากกว่านี้ จะทำให้นายพานทองแท้ถือหลักทรัพย์ถึงร้อยละ 25 ขึ้นไป ซึ่งตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 247 บัญญัติ ให้ถือว่า เป็นการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ และคณะกรรมการ ก.ล.ต.จะกำหนดให้จัดทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์(เทนเดอร์ออฟเฟอร์)ก็ได้

เชื่อว่า ด้วยเหตุนี้บุคคลทั้งสองจึงต้องโอนหุ้นที่เหลืออีก 2 ล้านหุ้น และ 26.8หุ้น ตามลำดับ ให้แก่บุคคลใกล้ชิดที่ตนไว้วางใจ คือน.ส.ยิ่งลักษณ์และนายบรรณพจน์

นอกจากหุ้นบริษัทชินคอร์ปแล้ว ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่ายังโอนหุ้นและใบสำคัยแสดงสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้นบริษัทต่างๆให้ โดยนายพานทองแท้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 3 ฉบับ รวมเป็นเงิน 4,621,590,000 บาทไว้ให้ โดยไม่มีดอกเบี้ย
3.กรณีน.ส.พิณทองทา เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2545 นายพานทองแท้ได้โอนหุ้นบริษัทชินคอร์ป จำนวน 367 ล้านหุ้น ในราคาพาร์ 1 บาท ให้โดยใช้เงินที่อ้างว่า ได้รับในโอกาสวันเกิดจากผู้คุณหญิงพจมานชำระให้แก่นายพานทองแท้

นอกจากนั้นในเดือนพฤษภาคม 2546 นายพานทองแท้โอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้อีกจำนวน 73 ล้านหุ้น โดยใช้เงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทชินคอร์ป จ่ายให้นายพานทองแท้

น.ส.พิณทองทา ยังใช้เงินปันผลที่รับมา 485,829,800 บาท ไปจ่ายเป็นค่าซื้อหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ 5 บริษัท ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ขายให้แก่บริษัทวินมาร์ค จำกัด คืนมาจากบริษัทวินมาร์ค จำกัดซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวทำให้เชื่อว่า เป็นการถือหุ้นไว้แทนพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน

4.กรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ เบิกความว่า ขอซื้อหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ 2 ล้านหุ้น(มูลค่า 20 ล้านบาท) เพื่อเก็บไว้เป็นทุนในอนาคต โดยซื้อตามกำลังเงินที่มีอยู่ แต่ กลับออกตั๋วสัญญาใช้เงินไว้เช่นเดียวกัน

น.ส.ยิ่งลักษณ์อ้างว่าได้รับเงินปันผลรวม 6 งวด เป็นเงิน 97,200,000 บาท เเงินปันผลงวดแรกจำนวน 9 ล้านบาท ชำระหนี้ให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณหาทั้งหมด งวดที่ 2 จำนวน13.5 ล้าน บาท สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ แต่เลขานุการเขียนตัวเลขในเช็คผิด จึงแก้ไขไปจาก 13.5 ล้านบาท เป็น 11ล้านบาท

เงินปันผลที่เหลืออีก 2.5 ล้านบาท จ่ายเช็คให้น.ส.พิณทองทา เป็นการคืนเงินที่ฝากซื้อนาฬิกาจากต่างประเทศ

ส่วนเงินปันผลงวดที่ 3 ถึงที่ 6 ได้สั่งจ่ายเช็ครวม 44 ฉบับ เป็นการสั่งจ่ายเงินเข้าบัญชีของตน 2 ฉบับ รวมเป็นเงิน 2.1 ล้านบาท

เช็คอีก 42 ฉบับ เป็นเช็คเบิกจ่ายเบิกเงินสด รวม 68 ล้านบาท นำมาตกแต่งบ้าน ทำสวน สนามฟุตบอล และสระว่ายน้ำ ประมาณ 20 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 6 ล้านบาท ซื้อทองคำแท่ง 13 ล้านบาท ซื้อเครื่องเพชรและเครื่องประดับ 11 ล้านบาท ซื้อเงินตราต่างประเทศประมาณ 10 ล้านบาท และสำรองไว้ที่บ้าน 8 ล้านบาท

แต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มีหลักฐานใดที่เกี่ยวกับการใช้เงินสดจำนวนมากถึง 68 ล้านบาท มาแสดง ข้ออ้างจึงรับฟังไม่ได้

5.กรณีบริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ จำกัด เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2542 พ.ต.ท.ทักษิณ โอนหุ้น 32,920,000 หุ้นให้บริษัทแอมเพิลริชฯ โดยใช้เงินจากบัญชีเงินฝากของคุณหญิงพจมานชำระแทนบริษัท และเปิดบัญชีที่ธนาคารยูบีเอส เอจี ที่ประเทศสิงคโปร์ บัญชีเลขที่ 119449 โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้มีอำนาจเบิกถอนแต่ผู้เดียวคือ "ดร.ที (T) ชินวัตร"

บริษัทแอมเพิลริช ได้รับเงินปันผลจากบริษัทชินคอร์ป ในปี 2546 ปี 2547 และงวดแรกของปี 2548 ในเดือนเมษายน 2548 รวม 5 งวด รวมเป็นเงินมากกว่า 1,000 ล้านบาทแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ จึงมีอำนาจเบิกถอนเงินของบริษัทแอมเพิลริชแต่ผู้เดียว

นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา ในฐานะกรรมการบริษัทแอมเพิลริช เพิ่งทำการเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินในในบัญชีของบริษัทแอมเพิลริชในเดือนมิถุนายน 2548 เป็นตนเอง โดยพ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่าได้ขายหุ้นบริษัทแอมเพิลริชให้แก่นายาพนทองแท้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2543 ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณยังเป็นผู้มีอำนาจแต่ผู้เดียวในการเบิกถอนเงินจากบัญชีของบริษัทต่อมาอีกถึง 4 ปี

ประกอบกับราคาที่อ้างว่าซื้อขายกัน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นผลให้ผู้ซื้อได้ไปซื้อหุ้นของบริษัทชินคอร์ป ถึง 32,920,000 หุ้น เป็นข้อกล่าวอ้างที่ไม่มีเหตุผลให้รับฟัง

ประเด็นที่สาม นายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทาซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทชินคอร์ป แต่กลับไม่มีบทบาทใดๆในการกำหนดทิศทางการลงทุนของบริษัทเลย

ตามรายงานประจำปี 2544-2549 ปรากฏว่าบริษัทชินคอร์ปมีพัฒนาการการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการซึ่งการจัดโครงสร้างการถือหุ้น การซื้อหุ้นเพิ่ม และการลงทุนในธุรกิจใหม่ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูง ย่อมไม่ใช่การตัดสินใจของกรรมการ ซึ่งมิได้มีส่วนได้เสียในความเสี่ยงนั้นด้วย

นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทามิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงใดว่า ได้ร่วมบริหารจัดการบริษัทชินคอร์ป ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นจำนวนมาก

การที่บุคคลทั้งสอง มอบฉันทะให้บุคคลอื่นเข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี ของบริษัทชินคอร์ปปีละครั้ง ไม่เป็นข้อสนับสนุนว่า ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ป ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์

ประเด็นที่สี่ การขายหุ้นให้แก่บริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้ง โดยนายบรรณพจน์ เบิกความว่า เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2548 ตัวแทนของกลุ่มเทมาเส็กมาติดต่อขอซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปจากกลุ่มชินวัตร และดามาพงศ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่

นายบรรณพจน์ตัดสินใจจะขาย จึงแจ้งให้นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา ทราบ และแจ้งให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทราบ เมื่อกลางเดือนมกราคม 2549

เหตุที่นายบรรณพจน์ ต้องการจะขายหุ้น เพราะอายุมากแล้ว และการบริหารงานบริษัทชินคอร์ปต่อไปจะลำบาก เพราะจะต้องลงทุนในโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3จี เกือบแสนล้านบาทนั้น

อย่างไรก็ตาม เห็นว่า ตามเอกสารสรุปการโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ป ปรากฏว่า กลุ่มดามาพงศ์มีถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปอยู่ร้อยละ 13.77 หากกลุ่มเทมาเส็กต้องการซื้อหุ้นเพื่อจะมีอำนาจจัดการ บริษัทก็น่าที่จะต้องติดต่อซื้อจากกลุ่มชินวัตร ซึ่งนายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทาถือหุ้นอยู่รวมกันถึงร้อยละ 35.44

การลงทุนโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3จี ก็ปรากฏข้อเท็จจริงจากรายงานประจำปีของบริษัทชินคอร์ป ว่า บริษัทเอไอเอส เห็นว่าแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคตจะมีการพัฒนาไปสู่โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 3จี ซึ่งบริษัทเอไอเอสมีความสนใจและความพร้อม ทั้งในด้านเงินลงทุน!และเทคโนโลยี!

ข้ออ้างในการขายหุ้นของบุคคลทั้งสี่จึงรับฟังไม่ได้

ทั้งในข้อเท็จจริงเรื่องการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้แก่กลุ่มเทมาเส็กนี้ พ.ต.ท.ทักษฺณได้ยืนยันไว้ในเอกสารท้ายคำร้องพิสูจน์ทรัพย์ของผู้ถูกกล่าวหา เรื่อง"ขายหุ้นชินคอร์ป ไม่ได้ขายชาติ ไม่ได้ขายดาวเทียม" ว่า ในส่วนของบริษัทชินคอร์ป มีการเตรียมการขายหุ้น และการเจรจาขายหุ้นต่อเนื่องมานานนับปีและมีกลุ่มผู้สนใจเสนอซื้อหลายราย ก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินการขายในวันที่ 23 มกราคม 2549

เป็นพิรุธว่าผู้ที่เจรจาและตกลงขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่นายบรรณ
พจน์
"
"
ข้อมูลจากมติชนออนไลน์
.
.