วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แค่รูปเดียวตอบโจทย์เกี่ยวกับ เค-วอเตอร์ ได้หมด







เมื่อคืนวันที่ 26 มิ.ย.56 เวลา 3 ทุ่มกว่า ผมได้ดูสกู๊ปข่าวจากรายการที่นี่ไทยพีบีเอส เกี่ยวกับ บริษัท โคเรีย วอเตอร์รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น หรือ บ. เค วอเตอร์ ที่ชนะประมูลทำโครงการสร้างฟลัดเวย์ระยะทางกว่า 300 กม. ในไทย มูลค่าถึง 1.63แสนล้านบาท

ซึ่งในสกู๊ปข่าว มีนักวิชาการและสื่อเกาหลีที่ตามมาศึกษาและตามตรวจสอบ บ.เค วอเตอร์ ยังให้สัมภาษณ์กับทีวีไทยว่า บริษัทนี้มันใกล้เจ๊งแล้ว เพราะขาดทุนมาตลอดหลายปี แถมไม่เคยทำโครงการใหญ่ที่มีมูลค่าสูงมากขนาดนี้

โครงการขุดคลอง ที่เค-วอเตอร์เคยทำในเกาหลีนั้น เป็นคลองที่มีระยะทางแค่ 18 กม. ลึก 6เมตรเท่านั้น ซึ่งเค-วอเตอร์ ยังใช้เวลาถึง 3 ปี กว่าจะเสร็จ

แล้วการจะมาสร้างคลองฟลัดเวย์ในไทย ระยะทาง 300 กว่ากิโลเมตร ในเวลา 5 ปี สงสัยจะยาก !!

ซึ่งกรรมการผู้จัดการเค วอเตอร์ (พูดไทยได้ด้วย) ได้ออกมาแก้ต่างว่าที่บริษัท เค-วอเตอร์ ถูกใส่ร้ายเรื่องภาวะการเงินของบริษัทที่ย่ำแย่นั้น สืบเนื่องจากเหตุผลความขัดแย้งทางการเมืองในเกาหลีใต้เอง

เพราะความเป็นจริง บริษัทเค-มอเตอร์ไม่ได้มีฐานะการเงินแย่ตามที่ถูกกล่าวหา





---------------------

ช่อง 5 ตัดสกู๊ป เควอเตอร์ ออกกลางอากาศ 

ทีแรกผมก็นึกว่า สกู๊ปเกี่ยวกับเค-วอเตอร์ จะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นและน่าสนใจเท่าไหร่ แต่ที่ไหนได้ มันดันเกิดกรณีมีข่าวว่ารายการฮาร์คอร์ข่าว ทางช่อง 5 กำลังจะรายงานสกู๊ปเกี่ยวกับ บ.เค-วอเตอร์ นี้ แต่กลับตัดสกู๊ปนี้ออกกลางอากาศแบบน่ากังขา ค้างคาสายตาคนดูทั้งประเทศ ตามข่าวนี้


ช่อง 5 ตัดกลางอากาศ สกู๊ปข่าว'เค วอเตอร์'เจ๊ง

วิจารณ์ขรม  ทีวีช่อง 5 กองทัพบกเอาใจรัฐบาล ยัดโฆษณาแทรก“ฮาร์ดคอร์ข่าว” ขณะกำลังเสนอสกู๊ป “เค วอเตอร์” ผู้ชนะประมูลโครงการแก้มลิงแก้น้ำท่วม 1.63 แสนล้านมีผลขาดทุนต่อเนื่องมากกว่า 700 เปอร์เซ็นต์




26 มิ.ย.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า ขณะดูรายการ “ฮาร์ดคอร์ข่าว” จากทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ซึ่งออกอากาศในช่วงเวลา 18.00-18.30 น. มีการเสนอสกู๊ปข่าวกรณีบริษัทเค วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น ซึ่งชนะการประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล โดยได้โมดูล 3 สร้างฟลัดเวย์และแก้มลิงในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ งบประมาณ 1.63 แสนล้านบาท อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านบาทของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ข้อร้องเรียนระบุว่า พิธีกรสาวโปรยหัวข่าวว่า พบความไม่ชอบมาพากลที่บริษัทแห่งนี้มีหนี้สินสะสมมากกว่า 700 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งไม่เคยดำเนินโครงการขนาดใหญ่มาก่อน และให้ผู้ชมติดตามรายงานข่าวชิ้นนี้ ปรากฏว่า เมื่อปล่อยภาพครู่เดียว ก็ถูกตัดเข้าโฆษณาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย จนกระทั่งจบโฆษณาและกลับมาเข้ารายการ พิธีกรก็กล่าวสวัสดีทันที และไม่มีการนำเสนอรายงานข่าวชิ้นนี้อีกแต่อย่างใด ทำให้เกิดกระแสวิพากวิจารณ์ว่าเป็นการแทรกแซงสื่อมวลชนในการเสนอข้อเท็จจริง

อนึ่ง สำหรับรายการฮาร์ดคอร์ข่าว เป็นรายการข่าวความยาว 30 นาที โดยผลิตรายการร่วมกันระหว่าง สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 กับ บริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เจ้าของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ โพสต์ทูเดย์ รับสัมปทานผลิตรายการข่าวให้กับสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) กรมประชาสัมพันธ์ และผลิตรายการโทรทัศน์ป้อนให้กับฟรีทีวี และทีวีดาวเทียมหลายรายการ โดยก่อนหน้านี้ ททบ.5 ได้ผลิตร่วมกับบริษัท เนชั่น บอร์ดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มาระยะหนึ่ง

ที่มา http://astv.mobi/Ai6AuZ8


--------------------------

นี่หรือรัฐบาลที่อ้างว่า เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ?

การปกปิดไม่ให้ประชาชนได้รับข่าวสารที่ถูกต้องครบถ้วน ในยุคที่รัฐบาลที่ชอบแอบอ้างว่า เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย

ทีแรกผมก็สงสัยว่าเมื่อ บ. เค วอเตอร์ มีประวัติน่ากังขา จนขนาดสื่อและนักวิชาการเกาหลีใต้เดินหน้าแฉเองขนาดนี้แล้ว

ทำไมรัฐบาลที่ชอบแอบอ้างเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยถึงได้ยอมเลือกใช้บริการบริษัทที่ยังไม่มีชัดเจนโปร่งใสนี้ ได้?

โชคดีที่มีผู้รู้ใช้ชื่อว่า RAYGUN ได้โพสรูปนี้รูปเดียว ตอบทุกโจทย์ที่คาใจได้ทันทีเลยว่า

ทำไม K-WATER บริษัทที่ยังมีประวัติไม่ค่อยชัดเจนโปร่งใส กลับได้รับงานประมูลใหญ่ขนาด1.6แสนล้านบาทไปทำ ?




พอได้เห็นรูปไอ้คนหน้าเหลี่ยมๆ แล้ว ได้ความชัดเจนจริง ๆ เลยว่า

ไอ้ตัวอภิมหาแดกมันเริ่มสวาปามอีกโครงการแล้ว !!


วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กะลาธิปไตย ถ่อยธิปไตย ของเสื้อแดง






โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ

อุดมคติของประชาธิปไตยคือ ประชาชนเป็นใหญ่มีสิทธิเสรีภาพ มีความเท่าเทียมเสมอภาพ มีอิสรภาพ และการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่น

นักการเมืองและผู้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยควรมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน เป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่ตัวแทนเฉพาะของคนที่เลือกตัวเองมา

ฝ่ายประชาธิปไตยควรจะเปิดใจรับฟังเสียงของคนที่มีความเห็นต่าง และเห็นคุณค่าในเสรีภาพของคนอื่นเหมือนที่ตัวเองหวงแหนเสรีภาพของตัวเอง

ฝ่ายประชาธิปไตยควรจะเคารพกฎเกณฑ์กติกาของบ้านเมือง ไม่ใช่เลือกเคารพเฉพาะที่ตัวเองได้ประโยชน์ อำนาจรัฐที่อยู่ภายใต้รัฐบาลประชาธิปไตยควรมุ่งที่จะใช้กฎเกณฑ์และกฎหมายที่เท่าเทียมกันในสังคมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเขาหรือฝ่ายเรา

แต่ผมแปลกใจมากที่พวกเรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเรา ที่เที่ยวไล่ทุบตีฝ่ายที่มีความเห็นต่าง ราวกับว่า ประชาธิปไตยในประเทศนี้เป็นของเสียงข้างมากเท่านั้น ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นแต่เกิดขึ้นตั้งแต่การไล่ทุบตีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหัวร้างข้างแตก ไล่ยิงด้วยเอ็ม 79 ล้มตายตั้งแต่การชุมนุมครั้งแรกๆ แล้ว

พฤติกรรมถ่อยเถื่อนแบบนี้มันเป็นเสรีภาพของฝ่ายประชาธิปไตยด้วยหรือ

ในระบอบประชาธิปไตยนั้นแม้ประชาชนในรัฐควรจะมีความเท่าเทียมกันตามกฎหมาย แต่ดูเหมือนว่า อำนาจรัฐจะให้สิทธิคนเสื้อแดงเหนือกว่าบุคคลกลุ่มอื่น 

คนเสื้อแดงจึงมีอำนาจที่จะทุบตีทำร้ายฝ่ายตรงข้ามได้ โดยที่อำนาจรัฐเปิดทางให้ ให้ท้าย เสียงข้างมากเท่านั้นที่รัฐจะคุ้มครอง แต่เสียงข้างน้อยเป็นพวกแพ้แล้วไม่รู้จักแพ้จึงสมควรถูกทุบตี

ราวกับว่า รัฐบาลจะปกครองและเป็นตัวแทนของคนที่เลือกพรรครัฐบาลมาเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การพูดเกินเลย เหมือนที่ทักษิณเคยบอกว่าจะดูแลจังหวัดที่เลือกพรรคของตัวเองก่อน หรือที่ปลอดประสพบอกว่า ศูนย์ประชุมที่ภูเก็ตยังไม่สร้าง ไม่มีอารมณ์จะทำ จนกว่าคนภูเก็ตจะเลือกเพื่อไทย

ดังนั้นพวกเขาจึงมีความคิดว่า การออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลของฝ่ายที่แพ้เลือกตั้งจึงเป็นการเดินออกมาล่อตีนสมควรโดนกระทืบ พวกเสื้อแดงเป็นพวกลิเบอรัลต่อต้านรัฐประหารพวกเขาจึงมีเสรีภาพที่จะกระทืบพวกที่มีความเห็นต่าง นี่เป็นการควบคุมเสรีภาพที่ฝ่ายเสียงข้างน้อยจะต้องยอมรับ ถ้าขัดขืนมากก็จะเปลี่ยนจากก้อนหิน หัวน็อต เป็นระเบิดเอ็ม 79 เพราะเสียงข้างมากประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินยังไงเล่า

เราจึงเห็นพวกที่เรียกตัวว่า เป็นนักประชาธิปไตยออกมาแสดงความกร่างทางการเมือง ใช้ไฟฟ้าโดยไม่ต้องจ่าย ติดธงแดงท้ายรถแท็กซี่แล้วตำรวจไม่กล้าจับถ้าทำผิดกฎหมาย ข่มขู่คุกคามว่าจะใช้อำนาจเถื่อนจัดการฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล สิ่งที่แสดงออกเหล่านี้พวกเขาเรียกว่าประชาธิปไตยของเสียงข้างมากที่เสียงข้างน้อยจะต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ใต้อาณัติอย่างหมอบราบคาบแก้ว

คลิกที่รูปเพื่ออ่านข่าว



อำนาจรัฐยังมีสิทธิที่จะข่มขู่คุกคามไปถึงนักเคลื่อนไหวที่ต่อต้านรัฐบาลจะต้องระวังเหมือนเอกยุทธ อัญชันบุตรที่ถูกอุ้มฆ่า ถ้าออกมาชุมนุมก็อาจจะถูกระเบิดจากมือที่สาม หรือข่มขู่ว่าจะดำเนินการจับกุมคุมขัง

องค์กรอิสระอื่นจะตรวจสอบคัดค้านขัดขวางการทำงานของรัฐบาลเสียงข้างมากไม่ได้ เพราะองค์กรเหล่านั้นมีที่มาจากคนไม่กี่คน ต่างกับรัฐบาลเสียงข้างมากที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนส่วนใหญ่ ถ้าไม่เชื่อฟังจะถูกเสียงข้างมากล้มล้างยุบเลิกองค์กร

พวกเสียงข้างน้อยไม่มีสิทธิที่จะออกมาต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะใช้นโยบายที่ผิดพลาดอย่างไร ฉ้อฉลอย่างไร

หากเลือกตั้งแพ้แล้ว ฝ่ายที่แพ้ควรจะต้องเก็บตัวสงบปากสงบคำไม่ควรจะมีสิทธิแสดงออกทางการเมือง และไม่ควรมีสิทธิแสดงความคิดเห็น พวกเขาบอกว่า ถ้ารับรัฐบาลไม่ได้ก็รอไปเลือกตั้งใหม่นี่คือประชาธิปไตย

หรือไม่ก็มีหนทางเดียวเท่านั้นคือไปตั้งพรรคการเมืองมาแข่งกับพรรคของรัฐบาล

ทั้งที่นักคิดฝ่ายเสรีนิยมเคยบอกว่า เสรีนิยมเป็นแนวความคิดทางการเมืองที่อำนาจรัฐแม้จะเป็นอำนาจของเสียงข้างมากและเป็นอำนาจที่แข็งแกร่งแต่ก็จะจำกัดอำนาจของตนและปล่อยให้คนที่มีความคิด และ ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากตนจะยังมีพื้นที่ที่จะยืนอยู่ได้

พวกต่อต้านรัฐบาลอยู่ในเวลานี้ คือ พวกเลือกตั้งแล้วแพ้ พวกนี้ต่อต้านนโยบายรถคันแรกและนโยบายจำนำข้าวเพราะอิจฉาคนชั้นล่างที่มีโอกาสมีรถคันแรกเป็นของตัวเอง พวกนี้อิจฉาชาวนาที่จะลืมตาอ้าปากได้ พวกนี้เป็นพวกนิยมเผด็จการอำนาจนิยม พวกนี้ไม่เชื่อในประชาธิปไตยจึงออกมาต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และขัดขวางนโยบายที่รัฐบาลเสียงข้างมากจะทำให้คนจนมีชีวิตที่ดีขึ้น พวกนี้ขี้อิจฉาเป็นพวกอำมาตย์ที่ต้องการกดหัวคนยากจน

แต่ประชาธิปไตยของฝ่ายครองอำนาจรัฐในปัจจุบันเริ่มต้นด้วยการทุ่มซื้อผู้สมัคร ส.ส. ซื้อพรรคการเมือง ซื้อองค์กรอิสระ จนกลายเป็นเผด็จการเสียงข้างมาก แล้วใช้นโยบายประชานิยมในการผูกใจประชาชนคนชั้นล่าง แสวงหาประโยชน์จากอำนาจแล้วออกนโยบายแบบมีผลประโยชน์ทับซ้อนเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งให้กับตัวเองและวงศ์วาน

นักวิชาการรายหนึ่งสถาปนาการปกครองในยุคที่ทักษิณเรืองอำนาจว่า ระบอบทักษิณไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย แต่พอทักษิณถูกยึดอำนาจเพราะฉ้อฉล นักวิชาการรายนั้นหันไปสู้เพื่อทักษิณและเรียกฝ่ายทักษิณว่าฝ่ายประชาธิปไตย

วันนี้คนเสื้อแดงผูกขาดความเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เพราะพวกเขาต่อต้านรัฐประหาร เพราะพวกเขาสนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างมากที่มาจากการเลือกตั้ง การต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ใช่สิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย สิ่งที่พวกแพ้การเลือกตั้งจะล้มล้างรัฐบาลนี้ได้อย่างเดียวก็คือ เอาชนะในการเลือกตั้งให้ได้ และต้องอดทนต่อการบริหารประเทศที่ล้มเหลว ให้คนโง่ปกครองไปให้ครบ 4 ปี

รัฐบาลเสียงข้างมากที่คนเสื้อแดงสนับสนุนจะทำนโยบายที่ผิดพลาดอย่างไรก็ได้ เพราะพวกเขามาจากการเลือกตั้ง จะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ เพราะพวกเขามาจากการเลือกตั้ง จะเลือกผู้นำโง่มาปกครองตัวเองอย่างไรก็ได้ เพราะพวกเขามาจากการเลือกตั้ง

ระบอบประชาธิปไตยให้สิทธิพรรคที่ชนะเสียงข้างมากจะนำพาประเทศไปทางไหนก็ได้ แม้จะไปสู่หุบเหวของความหายนะ ถ้าใครออกมาต่อต้านพวกนั้นเป็นพวกล้มล้างระบอบประชาธิปไตย

เท่าที่ผมสดับตรับฟัง ฝ่ายประชาธิปไตยเขากล่าวขานด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยฝ่ายเราว่าเป็นพวกล้าหลัง แต่ประชาธิปไตยของพวกเขามีความหมายดังที่กล่าวมาข้างต้นจริงๆ ครับ

ประชาธิปไตยที่ฝ่ายเสียงข้างน้อยต้องจำนน อย่าร้องแรกแหกกระเชอ ไม่เช่นนั้นจะเป็นพวกแพ้แล้วไม่ยอมรับความพ่ายแพ้

http://astv.mobi/AWnBRXz


------------------------

สรุปส่งท้ายกับ akecty

เพราะประเทศนี้มีฟายแดงโง่ ๆ เต็มประเทศเป็นเสียงส่วนใหญ่ เลยได้นายกรัฐมนตรีโง่ ๆ มาบริหารบ้านเมือง

โถ ๆ ประชาธิปควายแดง = สถุลธิปไตย = กากธิปไตย




คลิกอ่าน มองวิกฤติยุโรป แล้วย้อนมองไทย


วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

จากเพื่อนถึงเพื่อน เอกยุทธ อัญชันบุตร







เกริ่น

นายเอกยุทธ เคยทำแชร์ชาร์เตอร์ จนเมื่อพลเอกเปรม ออกกฎหมายควบคุมแชร์ หลังจากมีคดีแม่ชม้อยและแม่นกแก้วล้ม จึงเป็นผลให้แชร์ชาร์เตอร์เลยเข้าข่ายผิดกฎหมายด้วย (แต่ตอนนั้นแชร์ชาร์เตอร์ยังไม่ล้ม) โดยนายเอกยุทธอ้างว่า บริษัทของเขาดำเนินธุรกิจโดยมีการค้าขายจริง ที่ไม่ใช่รูปแบบเดียวกับแชร์แม่ชม้อย และแชร์แม่นกแก้วทำ

ต่อมานายเอกยุทธ จึงหนีคดีไปยุโรป จนคดีหมดอายุความ

เพราะนายเอกยุทธ ถูกยึดทรัพย์สินในไทยจำนวนมาก จึงแค้นใจต้องการล้มพลเอกเปรม เพื่อแก้แค้น นายเอกยุทธจึงลงทุนให้ 2 พี่น้องนายทหาร มนูญ-มนัส รูปขจร ทำการรัฐประหารพลเอกเปรม แต่ไม่สำเร็จ

ต่อมานายเอกยุทธ กลับเมืองไทย ประกาศต่อต้านระบอบทักษิณ เพราะนายเอกยุทธรู้เช่นเห็นชาติทางหนีทีไล่ของพวกคนโกงเป็นอย่างดี

ผมจำได้ว่า เคยดูนายเอกยุทธเคยให้สัมภาษณ์ในรายการทีวีรายการหนึ่งนานมาแล้วว่า ทักษิณต้องมีทรัพย์สินซุกซ่อนก่อนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไม่ต่ำกว่า 1-2 แสนล้านบาทในต่างประเทศ

ส่วนช่วงหลัง นายเอกยุทธคงอยากทำความดีไถ่โทษล่ะมั้ง ?

แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ เพราะโดนเก็บเสียก่อน

akecity




------------------

จากเพื่อน หน้า 1 ไทยรัฐ

เอกยุทธ

“เอกยุทธ อัญชันบุตร” ในสายตาเพื่อนพ้องน้องพี่ถือว่าเป็นคนมีน้ำใจ ใจกว้างรักเพื่อนมากกว่ารักมิ่งมิตรทางธุรกิจ ยอมทิ้งนัดหมายทางธุรกิจได้มากกว่าจะทิ้งเพื่อน

คนที่คบหาใกล้ชิดน่าจะเห็นตรงกันว่า...เขาเป็นคนใจถึง พึ่งได้

แต่กับลูกน้อง ถือว่าเป็นนายที่ดุ...ดุในระดับที่ดุมากๆ เวลาจะใช้ค่อนข้างจะแรง แข็งกร้าวทีเดียว ทั้งท่าที คำพูด...ขนาดคนที่รู้จักเห็นแล้วอาจจะรู้สึกว่าเหมือนโกรธ แต่ความจริงไม่ได้โกรธ

“แต่เห็นปากจัด ดุๆ อย่างนี้ ลูกน้องก็รักใคร่พอสมควร แต่กับลูกน้องบางคนไม่รู้ว่าในใจลึกๆคิดอะไรอยู่บ้าง น่าสนใจว่านายคนนี้ไม่เคยแสดงท่าทีดุ แรงกับกลุ่มลูกน้องที่เป็นบอร์ดี้การ์ด รักษาความปลอดภัย”

ประสบการณ์เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทคุ้นเคยที่เคยนั่งรถไปด้วยกัน เคยเจอกับคนขับรถส่วนใหญ่จะอายุ 30-40 ปี เป็นรุ่นใหญ่ทั้งนั้น เห็นข่าวยังแปลกใจทำไมไปกับคนขับรถแค่ 2 คน เพราะถ้าเป็นวันธรรมดาไม่เคยเห็นไปไหนมาไหนแค่ 2 คน นั่งรถก็จะมีคนขับรถ มีบอร์ดี้การ์ดถือปืนนั่งข้างหน้า แล้วก็จะมีรถแวนขับตามอีกคัน

“จะไปพบใคร จะมีบอร์ดี้การ์ดตามตลอด”

สวนน้ำตก โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เป็นที่ประจำของเอกยุทธ อัญชันบุตร...บริเวณนี้เป็นโอเพ่นแอร์ จะได้นั่งสูบซิการ์ได้อย่างสบายอารมณ์ ...

ประเด็น ว.5 โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ที่เป็นข่าวดังช่วงที่ผ่านมา เอกยุทธไม่ได้นั่งอยู่ที่ประจำ หากแต่อยู่ในล็อบบี้กินกาแฟอยู่ตอนกลางวัน บังเอิญเห็นนายกฯเดินผ่านพอดี

สำหรับสวนน้ำตกด้านนอก เป็นที่พิเศษที่จะนั่งอยู่กับเพื่อนๆ พี่ๆ พรรคพวกกัน ตรงนี้ไม่มีใครเดินผ่านแต่จะเป็นจุดที่ไฮโซทั้งหลายชอบมานั่ง เอกยุทธจะมีมุมเฉพาะ ด้านข้างเป็นบ่อปลาคาร์พ ตรงนั้นจะไม่มีใครกล้ามานั่ง เพราะจะรู้กันดีว่า เป็นที่ประจำของเอกยุทธ อัญชันบุตร

อีกกิจกรรมที่ทำ...นั่งกินไวน์ เป็นไวน์ที่เอามาจากอังกฤษเป็นลัง ๆ มาฝากไว้ที่ห้องอาหาร แล้วใครจะมาพบก็จะนัดมาเจอกันที่นี่ ชวนมานั่งกินไวน์ นั่งยาวกันไปจนถึง 4-5 ทุ่มแล้วก็กลับ อาทิตย์หนึ่งมี 7 วัน จะมานั่งโฟร์ซีซั่นส์ 1-2 วัน

เอกยุทธเป็นคนระวังตัวมากๆ บอร์ดี้การ์ดมีหลายคนนะ สังเกตก็พอรู้ ใส่ชุดซาฟารีสีดำ สีน้ำเงินจะนั่งกันอยู่ตรงสวน 3-4 คน เข้าห้องน้ำก็จะเดินตามตลอด ติดตามใกล้ชิดไปจนกระทั่งกลับถึงบ้าน

ยิ่งน่าแปลกใจ กรณีที่เกิดขึ้นกินข้าวที่ร้านกระแตย่าน สะพานควาย...ทั้งที่เป็นวันธรรมดากลับไม่มีบอร์ดี้การ์ดอยู่ข้างตัวสักคนเดียว !?

“โฟร์ซีซั่นส์คือมุมสงบที่เอกยุทธ อัญชันบุตร มีให้กับเพื่อน ที่นี่เขาจะนั่งจิบไวน์อยู่กับเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนที่วันเวลาทำให้แต่ละคนมีสีมีค่าย ทั้งแดง ทั้งเหลือง...คนในแวดวงการเมือง รวมถึงคนในแวดวงนักธุรกิจ การเงินที่รู้ก็จะเข้ามาทักทาย พูดคุย”

ในอดีตถ้าเป็นวันหยุด เสาร์...อาทิตย์ ด้วยความที่ชอบขับรถสปอร์ต

มีคนถามว่าทำไมไม่มีการ์ด ?

เอกยุทธพูดติดตลกทีเล่นทีจริงบอกว่า “ไม่เอาหรอกพี่ อยู่เงียบๆก็แต่งตัวนุ่งยีนส์สบายๆแล้วก็ขับรถสปอร์ต จะไปไหนมาไหนสะดวก มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า จะไปรับสาวที่ไหนก็ได้”

ย้อนอดีตวันวานภาพทรงจำของรุ่นพี่ผู้ใกล้ชิด “เอกยุทธ อัญชันบุตร” ในวัยไม่ถึง 30 ปี เป็นคนหนุ่มไฟแรง รูปร่างผอม ตัวเล็กๆขับรถปอร์เช่ ช่วงเวลานั้นน่าจะมีเงินอยู่ในมือราวๆ 2,000 ล้านบาท

หลังจากทำชาร์เตอร์อินเวสต์เมนท์ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคอมมอดิตี้...ซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า คนใหญ่รุ่นเดียวกันที่ทำธุรกิจนี้ในช่วงเวลาใกล้ๆกันน่าจะเป็นทักษิณ ชินวัตร กับ พินิจ จารุสมบัติ

เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนใจกว้าง ใจถึงมาก ไม่อย่างนั้นคงจะไม่กล้าขนเงินมาทำรัฐประหาร 9 กันยายน 2528

เอกยุทธ เคยเล่าให้ฟังว่า “ขนเงินสดใส่รถ 200 ล้านฯ เอาไปสนามเสือป่า” เพื่อใช้ปฏิวัติรัฐบาล

ความตั้งใจที่คุยกันในหมู่พี่ๆเพื่อนๆ เขายอมรับว่าตั้งใจปฏิวัติเพราะต้องการเอาคืนที่รัฐบาลออกพระราชบัญญัติการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 เข้ามาจัดการแชร์ชาร์เตอร์
โดยที่มาที่ไปของเงินก้อนนี้ เป็นการลงทุนทำร้านอาหารไทยที่เยอรมันอยู่นานทีเดียว

อีกสาเหตุที่พูดถึงด้วยสายตามุ่งมั่น เอกยุทธบอกว่า “บ้านเมืองแช่อยู่อย่างนั้น ไม่ถูก... มันคอนเซอร์เวทีฟมาก อนุรักษนิยมเศรษฐ-กิจก็จะนิ่ง จมอยู่อย่างนั้น”

คนนอกอาจจะสงสัยถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเอกยุทธ อัญชันบุตรกับทหาร ต้องบอกว่า “เอกยุทธเป็นคนที่ชอบสายทหารมาก เขาชอบเดินสายนี้ ไปพบปะใครต่อใคร แม้กระทั่งช่วงหลัง ๆ ที่กลับมาเมืองไทย ถ้าอยากจะรู้ความเคลื่อนไหวของทหาร อุณหภูมิการเมืองร้อนแรงแค่ไหน ไม่พอใจอะไรไหม ก็ถามเอกยุทธนี่แหละ”

เอกยุทธ อัญชันบุตร...เหมือนเครื่องวัด ที่สำคัญก็เช็กได้เลยว่าทหารคนไหนที่มีแนวโน้มที่มีลักษณะใจถึง พึ่งได้ ออกมาลุยได้แบบอดีตทหารที่เคยเจอ

“ใครที่มีแนวการเมืองใกล้เคียงกับความคิดก็จะหนุน ความเคลื่อนไหวของหน้ากากขาวในครั้งนี้หลายคนก็มีความเชื่อว่าเอกยุทธให้การสนับสนุน ฟังๆไปก็กลายเป็นว่าเหมือนเป็นการวางงานเหมือนกัน”

เขาชอบแนวนี้ ทำอะไรก็ได้ เอกยุทธ อัญชันบุตร มักพูดเสมอว่า “เขาเป็นสุขนิยม ไม่ได้อยากมีตำแหน่งทางการเมือง ไม่มีความจำเป็น”

ที่สัมผัสได้คือ เขาชอบพรรคประชาธิปัตย์มาก คาดว่าน่าจะให้การสนับสนุนอยู่เหมือนกันแต่ไม่เปิดเผย รวมถึงมีความตั้งใจที่จะปรับปรุงโครงสร้าง แต่ก็ติดปัญหาไม่เข้าตากรรมการ คนใหญ่ในพรรคไม่ชอบหน้า

“ที่สำคัญเอกยุทธ เป็นคนปากจัด มีทั้งติ ทั้งด่า พูดตรงไปตรงมา...แบบตรงมาก ๆ ก็อาจทำให้หลายคนไม่พอใจ”

ความเป็นจริงเอกยุทธ อัญชันบุตร เป็นนักการเงินที่เก่ง หลังจากปี 2528 ที่หนีคดีแชร์ชาร์เตอร์ออกนอกประเทศ อยู่เยอรมันพักหนึ่ง แล้วก็ไปสวิตเซอร์แลนด์ และอีกหลายประเทศ เปลี่ยนชื่อเป็น “จอร์จ ตัน” ที่มาเลเซีย สิงคโปร์ ก็ไปตั้งบริษัทเกี่ยวกับการค้า ระหว่างประเทศ

ความสำเร็จในธุรกิจต่างประเทศ นำมาซึ่งเงินทองวันนี้น่าจะมีในระดับหลายพันล้านบาท ยิ่งตอกย้ำผู้ชายชื่อ เอกยุทธ อัญชันบุตร ที่มีความเป็นคนสุขนิยม...นอนตื่นสาย ตามใจตัวเอง นึกจะทำอะไรก็ทำ ถึงแม้ว่าไม่อยากมีตำแหน่งทางการเมือง แต่ก็ชอบเคลื่อนไหวทางการเมือง และเคารพรักสถาบันพระมหากษัตริย์มาก

เพื่อนรุ่นพี่คนนี้เจอเอกยุทธ สองรอบ...สองวัย วัยหนุ่มกับวัยหลังจากคดีแชร์ชาร์เตอร์หมดอายุความกลับมาอยู่เมืองไทยอีกครั้ง ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือความสุขุมที่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังเป็นคนใจร้อนเกือบจะทุกเรื่องเหมือนเดิม

“อะไรไม่ได้ดั่งใจก็จะโกรธเหมือนกัน เช่นที่นั่งที่สวนน้ำตกโฟร์ซีซั่นส์ เสิร์ฟอะไรไม่ค่อยดี ก็จะมีอาการ แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะเอะอะ โวยวาย เหมือนอย่างที่เป็นข่าวในคาราโอเกะ”

วันเวลาผ่านมากว่า 30 ปีแล้ว เบื้องลึกนักการเงินมากประสบการณ์นอกจากใจถึงเขายังไม่ทิ้งความใจกว้างที่มีต่อเพื่อนพ้องน้องพี่.


จาก สกู้ปหน้า 1 ไทยรัฐ



คลิกอ่าน คำเตือนถึงไอ้หน้าเหลี่ยม


วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มองวิกฤติหนี้ยุโรป แล้วย้อนมองไทย







เกริ่น

เมื่อหลายวันก่อน มีข่าวข้าราชการบำนาญของกรีซออกมาประท้วงรัฐบาลกรีซไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว เหตุเพราะรัฐบาลกรีซตัดลดเงินบำนาญจนเหลือแค่ครึ่งเดียวจากที่เคยรับ แถมสวัสดิการด้านการพยาบาลก็ถูกยกเลิกไป รัฐไม่จ่ายเงินค่ารักษาให้ข้าราชการอีกแล้ว

ส่วนนักศึกษาที่จบใหม่ก็ตกงานมากกว่าร้อยละ 50-60 % แถมล่าสุดแม้แต่สถานีโทรทัศน์และวิทยุของรัฐบาลก็เพิ่งถูกสั่งปิด จอดำ และพนักงานในสถานีก็ตกงานกันกว่า 2พันคน

ผมมองดูวิกฤติกรีซแล้ว น่ากลัวมาก เพราะกรีซเคยใช้นโยบายประชานิยมมานาน โดยที่ไม่แสวงหารายได้ให้เพิ่มขึ้น และเพิ่มค่าจ้างแรงงานให้คนในประเทศสูงเกินกว่าประสิทธิภาพของงาน

ซึ่งตอนนี้ไทยเรากำลังเดินตามรอยกรีซหรือไม่ ?

ผมได้อ่านบทความด้านล่างของอาจารย์วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน อดีตรองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว บอกตามตรง ไทยเราน่ากลัวจริง ๆ

ใหม่เมืองเอก

=======================

มองวิกฤติหนี้ยุโรป แล้วย้อนมองไทย


1. วิกฤตหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศ PIIGS

วิกฤตหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปเริ่มก่อตัวขึ้นในปี 2008 หลังจากที่วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกาปะทุขึ้นได้ 2 ปี ประเทศกลุ่มนี้รู้จักกันในนาม PIIGS ได้แก่ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และสเปน เป็นกลุ่มประเทศที่มีปัญหาหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลจากการขาดดุลงบประมาณสะสมต่อเนื่องเป็นเวลานาน

กรีซ เมื่อแรกเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ทุกประเทศรวมทั้งกรีซได้รับสิทธิ์จัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกัน เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนราคาถูกเท่าเทียมกัน และนำเงินทุนไปพัฒนาประเทศ

แต่กรีซใช้นโยบายรัฐสวัสดิการมาก่อน และภายหลังเป็นสมาชิกอียูแล้วก็ยังคงใช้นโยบายนี้ต่อไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นแทนที่จะนำเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำไปใช้สร้างประสิทธิภาพในการผลิต กลับนำไปถมในด้านประชานิยมซึ่งมีมากมาย อาทิ นโยบายเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดสำหรับผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป การจ่ายโบนัสแก่ข้าราชการปีละ 3 ครั้ง ฯลฯ รายได้ภาษีเกือบทั้งหมดถูกใช้จ่ายเป็นค่าจ้างเงินเดือนและสวัสดิการสังคม ไม่มีเงินเหลือสำหรับการลงทุน มีการกู้เงินเกินตัวโดยไม่คำนึงถึงความสามารถในการชำระคืน

ในภาคแรงงานของกรีซได้รับผลกระทบจากการเข้าร่วมอียู ประสิทธิภาพแรงงานต่ำแต่ค่าแรงงานสูง ไม่สามารถแข่งขันกับแรงงานของประเทศสมาชิกอื่นในอียู แรงงานกรีกจึงตกงาน รัฐบาลแก้ปัญหาที่ปลายเหตุโดยจ่ายเงินสวัสดิการแก่ผู้ว่างงาน สร้างภาระการคลังและส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมาก

ซ้ำร้ายยังมีการตกแต่งการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและบัญชีหนี้สาธารณะให้ต่ำกว่าความเป็นจริง สถานะทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอบวกกับการสูญเสียความน่าเชื่อถือกับรายงานหนี้สาธารณะ ทำให้กรีซต้องประสบภาวะวิกฤตการเงินอย่างหนัก ในปี 2007 สัดส่วนหนี้สาธารณะของกรีซอยู่ที่ร้อยละ 115 และต่อมาเพิ่มเป็น 220 ของ GDP คิดเป็นมูลหนี้ 14-15 ล้านล้านบาทจากเจ้าหนี้รายใหญ่ 3 ราย ได้แก่ ทรอยก้า IMF และธนาคารกลางสหภาพยุโรป (อีซีบี)

กรีซต้องหาเงินไปชำระหนี้ด้วยการนำกิจการต่างๆ อันเป็นสมบัติของชาติขายให้ต่างชาติถึงขั้นจะขายโบราณสถานอันเป็นแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งกิจการรถไฟซึ่งสร้างด้วยเงินกู้จำนวนมหาศาลก็อาจจะต้องนำออกขายให้ต่างชาติ

มีข่าวว่าผู้เกษียณรายหนึ่งซึ่งเคยรับบำนาญแบบสบายๆ ครั้นถูกตัดลดเงินบำนาญ ปรับตัวไม่ได้ถึงกับฆ่าตัวตาย

สาธารณรัฐไซปรัส (Cyprus) ภูมิประเทศเป็นเกาะขนาดใหญ่เป็นที่ 3 ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางใต้ของประเทศตุรกี ได้รับเอกราชพ้นจากอาณานิคมอังกฤษในปี ค.ศ. 1960 มีประชากร 1.1 ล้านคน มีนักท่องเที่ยว 2.4 ล้านคนต่อปี เป็นหนึ่งประเทศสองระบบเศรษฐกิจ ซีกใต้ประชากรร้อยละ 77 มีเชื้อสายกรีก ใช้เงินสกุลยูโร อีกส่วนเป็นไซปรัสเหนือ ประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อสายตุรกี ใช้เงินสกุลท้องถิ่น

เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจไซปรัสมีหนี้สาธารณะประมาณร้อยละ 67 ของ GDP สาเหตสำคัญเกิดจากธนาคารพาณิชย์ใหญ่ 3 แห่งของไซปรัสได้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลกรีซจำนวนมากถึง 5,250 ล้านยูโร เมื่อกรีซเกิดวิกฤตเศรษฐกิจและมีการแก้ปัญหาโดยปรับโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ของไซปรัสขาดทุนมหาศาล ระบบการเงินขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง รัฐบาลไซปรัสพยายามแก้ปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ นอกจากกู้เงินจากสหภาพยุโรปแล้ว ยังต้องขายทุนสำรองทองคำ ขายท่าเรือ ขายสายการบินของรัฐ หน่วยงานรัฐต่างๆ ต้องปรับลดการจ้างงาน ข้าราชการและพนักงาน ไม่เว้นแม้แต่ตำรวจ ทำให้มีคนตกงานและแรงงานรุ่นใหม่ว่างงานจำนวนมาก

สเปน เมื่อเข้าร่วมสหภาพยุโรป ธนาคารพาณิชย์กู้เงินจากต่างประเทศมาปล่อยกู้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ เมื่อฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์แตกในปี 2008 ที่อยู่อาศัยถูกทิ้งร้างนับหลายล้านยูนิตอุตสาหกรรมการก่อสร้างและครัวเรือนชาวสเปนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ภายหลังฟองสบู่แตก ธนาคารพาณิชย์ทำการยึดที่อยู่อาศัยจนกลายเป็นวิกฤตทางสังคม

มีคนฆ่าตัวตายหลายรายเมื่อถูกตำรวจบังคับให้ออกจากบ้านของตน ครอบครัวชาวสเปนกอดคอร่ำไห้เมื่อถูกบังคับให้ออกจากบ้านไปใช้ชีวิตเร่ร่อนบนทางเท้าข้างถนน รัฐบาลหัวอนุรักษ์ไม่ยอมแก้กฎหมายจำนองซึ่งระบุว่าลูกหนี้ถูกยึดบ้านแล้วยังต้องชำระหนี้ต่อไปจนครบ

ในปี 2012 อัตราการว่างงานสูงเป็นประวัติการณ์ถึงร้อยละ 27 นั่นคือทุก 4 คนมีผู้ตกงานมากกว่า 1 คน ที่น่าเศร้าคือคนหนุ่มสาวที่อายุต่ำกว่า 25 ปีตกงานเกินครึ่ง อัตราการว่างงานนี้อยู่ในระดับเดียวกับ Great Depression หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ธนาคารกลางสหภาพยุโรปให้ความช่วยเหลือในรูปเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำ แลกกับเงื่อนไขบางอย่างที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เช่น การรักษาดุลงบประมาณภาครัฐ การรักษาสภาวะดุลการค้า เป็นต้น



2. มองกลุ่ม PIIGS แล้วมองไทย

วิกฤตเศรษฐกิจที่มีสาเหตุหลักจากการกู้หนี้ยืมสินของรัฐบาลกรีซและอีกหลายประเทศในสหภาพยุโรป สามารถนำมาเป็นอุทาหรณ์สำหรับประเทศไทย ดังนี้

1. การดำเนินนโยบายประชานิยมของไทยแบบหว่านไปทั่ว อาจเทียบเคียงเป็น “น้องๆ” ของการดำเนินระบบรัฐสวัสดิการของกรีซ ในช่วงรัฐบาลพรรคของทักษิณมีการออกนโยบายประชานิยมต่างๆ มากมายอย่างต่อเนื่อง มาตรการต่างๆ แบ่งได้เป็น 3 แบบ

(ก) มาตรการที่ลดรายได้ของรัฐ เช่น ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล (1.5 แสนล้านต่อปี) ลดภาษีและเพิ่มค่าลดหย่อนบ้านหลังแรก ลดภาษีรถยนต์คันแรก (1 แสนล้านบาท) 
(ข) มาตรการที่รัฐต้องจ่ายเงินชดเชย เช่น การรับจำนำข้าว (ขาดทุน 3 แสนล้านบาท) การชะลอจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน (3 หมื่นบ้านบาทต่อปี)
(ค) มาตรการที่เพิ่มรายจ่ายงบประมาณ เช่น การขึ้นเงินเดือนข้าราชการขั้นต้น 15,000 บาท (1.2 แสนล้านต่อปี) การปรับเพิ่มเบี้ยคนชราคนพิการ กองทุนพัฒนาหมู่บ้าน กองทุนพัฒนาสตรี มาตรการต่างๆ ทั้งหมดเบ็ดเสร็จรวม 7-8 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เฉพาะ 4 โครงการหลักต้องใช้เงินมากกว่า 250,000 ล้านบาทต่อปี ประกอบด้วย
โครงการสินเชื่อบัตรเครดิตเกษตรกร (174,000 ล้านบาท)
โครงการพักหนี้เกษตรกร (ต้องจ่ายชดเชยดอกเบี้ยให้ธนาคารของรัฐราว 45,000 ล้านบาทต่อปี) โครงการบ้านหลังแรก ดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 5 ปี (48,000 บาท)
โครงการรีไฟแนนซ์หนี้ส่วนบุคคล (10,000 ล้านบาท) โครงการเหล่านี้หากขาดทุน สุดท้ายจะต้องเป็นภาระงบประมาณภาครัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ขณะเดียวกัน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่มีวิธีการหารายได้เพิ่มทางอื่นนอกจากพึ่งพาการกู้ยืม โครงการประชานิยมเป็นสิ่งที่เมื่อเริ่มแล้วหยุดก่อนจะสายเกินแก้ทำได้ยาก ผู้รับประโยชน์เสพติด เปรียบเหมือนรถเบรกแตก ต้องปล่อยให้รถวิ่งจนชนเสาไฟฟ้าหรือตกเหวไป ถึงเวลานั้นประชาชนทุกหมู่เหล่าเจอทุกข์หนักเพราะปรับตัวไม่ทัน

2. นโยบายรัฐสวัสดิการที่บิดเบือนกลไกทางเศรษฐกิจของกรีซ คือ การแก้ปัญหาการว่างงานด้วยการให้เงินช่วยเหลือผู้ตกงานและจ่ายเงินอุดหนุนค่าจ้างแรงงาน ทำให้แรงงานขาดแรงจูงใจที่จะพัฒนาฝีมือตนเอง ทำให้แรงงานกรีกแข่งขันสู้แรงงานสมาชิกอื่นในอียูไม่ได้ การว่างงานจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ตกงานจึงเป็นนโยบายที่สร้างความเสียหายในระยะยาว

ปรากฏการณ์นี้อาจนำมาเทียบเคียงกับนโยบายค่าจ้างรายวันขั้นต่ำ 300 บาท และเงินเดือนผู้จบปริญญาตรีขั้นต่ำ 15,000 บาท โดยไม่มีนโยบายยกระดับคุณภาพการศึกษาและคุณภาพแรงงานตามความต้องการของผู้จ้าง ปัจจุบันแรงงานไร้ฝีมือของไทยถูกแรงงานไร้ฝีมือจากพม่าและเขมรแย่งงานไปมาก การเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งเริ่มในปี 2558 แรงงานกึ่งมีฝีมือของไทยจำนวนมากก็จะถูกแย่งงานเช่นกัน

3. ความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายและการทำบัญชี การที่กรีซพยายามรายงานตัวเลขหนี้สาธารณะให้น้อยกว่าความเป็นจริง เป็นการปกปิดสัญญาณเตือนภัยหนี้สาธารณะ และเมื่อตัวเลขที่แท้จริงถูกเปิดเผย รัฐบาลกรีกไม่สามารถลวงโลกต่อไป เจ้าหนี้จึงเกิดความตื่นตระหนก

สำหรับประเทศไทยยังไม่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ารัฐบาลได้พยายามซ่อนตัวเลขอย่างประเทศกรีซ แต่ในสมัยแรกทักษิณใช้วิธีซุกหนี้โดยใช้เงินของสถาบันการเงินต่างๆ ของรัฐมาสนับสนุนโครงการประชานิยม มีทั้งเม็ดเงินจาก ธกส. ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเอสเอ็มอี

ต่อมาก็ใช้วิธีลดตัวเลขหนี้โดยโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน 1.1 ล้านล้านบาทไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทย และการออก พ.ร.ก. 3.5 แสนล้านบาทแก้ปัญหาน้ำท่วม รวมทั้งการออก พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาทเพื่อพัฒนาระบบคมนาคม ก็เพื่อเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลรายละเอียดการก่อหนี้และการใช้จ่ายเงินกู้ อย่างน้อยในช่วง 3-7 ปีที่ใช้จ่ายเงินกู้ แต่หลังจากเบิกจ่ายเงินกู้ไปหมดแล้วและทิ้งปัญหา เมื่อนั้นแหละสังคมไทยจึงจะตื่น แต่ก็สายไปเสียแล้ว

4. ภาวะความผันผวนและเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตหนี้สาธารณะ หนี้สาธารณะจะพุ่งสูงกว่าที่ประมาณการไว้เสมอ จากการที่ต้องกู้เงินใหม่ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งสวนทางกับ GDP ที่ชะงักงัน ดังจะเห็นได้จากตารางที่ 1 การก่อหนี้สาธารณะของไทยในปัจจุบัน ในด้านหนึ่งอาจจะมองได้ว่าเป็นการลงทุนเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสัดส่วนหนี้สาธารณะยังอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ควรจะพิจารณาความเสี่ยงที่อาจจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นได้ทั้งจากในและนอกประเทศ

เมื่อมองผลกระทบวิกฤตหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศ PIIGS แล้ว คนไทยที่เสพติดนโยบายประชานิยม โดยไม่สนใจว่าเงินที่ใช้จ่ายส่วนหนึ่งมาจากหนี้ที่รัฐบาลกู้ยืมมา

อีกทั้งมีการทุจริตโกงกินแทบทุกโครงการ จนวันหนึ่งหมดหนทางจ่ายคืนหนี้ ความเดือดร้อนจะเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า

พวกที่รับประโยชน์จากมาตรการประชานิยมไม่อาจปฏิเสธว่ารัฐบาลที่สร้างความหายนะแก่ประเทศมาจากแรงหนุนของพวกตน เพราะหากไม่ลงคะแนนเสียงให้ พวกนี้ก็เข้าสู่อำนาจรัฐไม่ได้


http://astv.mobi/AbCfJsn

บทความโดย วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาตร์ ม.ธรรมศาสตร์




วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คลิปรมว.พาณิชย์แถลงตัวเลขขาดทุนจำนำข้าวแบบเห่ย ๆ







ผมถือว่าเป็นการแถลงข่าวที่ห่วยที่สุด สำหรับคณะผู้บริหารประเทศชาติเท่าที่เคยเห็นมา

เพราะเป็นการแถลงข่าวเสมือนดูถูกคนดูคนฟังว่า โง่เหมือนพวกฟายแดงที่นั่งฟังปราศัยหน้าเวทีเสื้อแดง อย่างไงอย่างงั้น





นักข่าวที่มาฟังแถลงข่าวจากระทรวงพาณิชย์ ก็ล้วนแต่ฉลาด ๆ และเป็นสายข่าวเศรษฐกิจทั้งสิ้น

แต่พวกรัฐมนตรีกลับตอบคำถามแบบแถ ๆ ปัดกันไปมา ไร้ข้อมูลตัวเลขหลักฐานที่ชัดเจนในการหักล้างข้อกล่าวเรื่องการขาดทุน 2.6 แสนล้านได้เลย

ในระบบการทำบัญชี ต้องถือว่า รมว.บุญทรง และ รมช.ณัฐวุฒิ ต่างสอบตกโดยสิ้นเชิง ไม่เหมาะสมที่จะมาบริหารประเทศโดยเฉพาะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ และการค้า เลยแม้แต่นิดเดียว

ทั้งสองคนต่างทำหน้าที่ได้อย่างหน้าด้าน ๆ สมกับเป็นขี้ข้าทักษิณโดยแท้

การสรุปรอบบัญชี การสรุปยอดขาย ยอดคงเหลือ ในแต่ละปีย่อมกระทำได้ แต่เจตนาพวกชั่วมันต้องการปกปิดมากกว่าเปิดเผยความเหลวแหลกของโครงการเห่ย ๆ นี้

เฮ่อ.. จำนำข้าว จะมาอ้างแค่ว่าว่าชาวนาได้ผลประโยชน์ไม่ได้หรอก เพราะมีชาวนาไม่ถึง 40% ที่ได้เข้าโครงการนี้ แต่ชาวนาเกิน 80 % ต้องซื้อุพันธุ์ข้าว ซื้อปุ๋ย ซื้อยา ที่แพงขึ้นจากบริษัทนายทุนรายใหญ่ ใครกันแน่ได้ประโยชน์เต็ม ๆ จากโครงการจำนำข้าว ?

เพราะปกติแล้ว ชาวนาที่มีข้าวมากพอจะเข้าโครงการจำนำมีไม่ถึง 40 % แต่จำนวนข้าวที่ พาณิชย์อ้างว่ารับเข้ามาในโครงการจำนำ มันกลับเต็มโควต้าจำนวนข้าวที่ชาวนาไทยผลิตได้ทั้งประเทศในแต่ละปี

เพียงแค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ข้าวที่เข้าโครงการจำนำกว่า 60 % มาจากการโกง การสวมสิทธิ แน่นอนครับ



คลิกอ่าน โครงการจำนำข้าวขาดทุน 2.6แสนล้านจริงหรือไม่ ?


วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โครงการจำนำข้าวขาดทุน2.6แสนล้านบาท จริงหรือ ?








ขณะที่ผมเขียนบทความนี้ ยังไม่มีการแถลงข่าวของกระทรวงพาณิชย์ถึงตัวเลขการขาดทุนของโครงการจำนำข้าวออกมา

แต่กระทรวงพาณิชย์วางแผนว่า ในวันนี้คือ 7 มิ.ย. 56 จะออกมาแถลงข่าวเรื่องนี้ให้ชัดเจน

แต่ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์เคยออกมาให้ข่าวว่า เชื่อว่าโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะขาดทุนไม่เกินโครงการประกันราคาข้าวที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เคยทำไว้แน่นอน

ก็คงต้องรอดูว่าจะเป็นจริงอย่างที่กระทรวงพาณิยชย์พยายามออกมาแหลหรือไม่ ?

แต่ที่แน่ ๆ ข่าววานนี้ 6 มิ.ย. 56 มีข่าวดังคือ

"อคส.ปูดเอง สต๊อกข้าวรัฐเหลือบานเบอะ 17 ล้านตันทั้งๆ ที่รัฐบาลคุยโตโอ้อวดว่าขายหมดแล้ว"

นายสมศักดิ์ วงศ์วัฒนศานต์ รองผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ปริมาณสต๊อกข้าวสารของรัฐบาลในส่วนที่ อคส.ดูแลมีประมาณ 17-18 ล้านตันข้าวสาร โดยเป็นข้าวจากโครงการรับจำนำนาปี 54/55 ประมาณ 2.3 ล้านตัน จากโครงการรับจำนำนาปรังปี 55 ประมาณ 7.2 ล้านตัน และจากโครงการรับจำนำนาปีปี 55/56 ประมาณ 8 ล้านตัน

แค่สมัยรัฐบาลนี้เพียง 3 โครงการมีสต๊อกถึง 17-18 ล้านตัน เป็นเพราะมีการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ผิดกับรัฐบาลก่อนๆ ที่กำหนดปริมาณรับจำนำไว้ที่ 4-5 ล้านตันเท่านั้น ทำให้ตัวเลขสต๊อกมีสูง

คลิกที่นี่เพื่ออ่านข่าวโดยละเอียด

---------------------

ลองคำนวณการขาดทุนโครงการจำนำข้าว อย่างคร่าว ๆ

เมื่อมีข้าวเหลือ 17 ล้านตัน รัฐบาลรับซื้อในราคาตันละ 15,000บาทต่อตัน (ที่จริงถ้าข้าวหอมมะลิจะแพงกว่านี้)

แต่เอาเป็นว่า ผมขอถัวเฉลี่ยว่า 17 ล้านตัน ซื้อมาในราคาตันละ 1.5หมื่นบาทแล้วกัน

17,000,000 ตัน x 15,000 บาท = 255,000,000,000 บาท (สองแสนห้าหมื่นห้าพันล้านบาท)

จากตัวเลขที่ผมคำนวณก็เห็นแล้วว่า มีข้าวเหลือขายไม่ออกเป็นจำนวนเงินถึง 2.55แสนล้านบาท (ขายไม่ออกก็คือขาดทุน)

ข้าวยิ่งเก็บนาน คุณภาพยิ่งเสื่อมลง แถมยังมีค่าจ้างโรงสีจัดเก็บอีก 100 บาทต่อตัน/เดือน

17,000,000 ล้านตัน x 100 บาท x 12 เดือน = 20,400,000,000 (สองหมื่นสี่ร้อยล้านบาท/ปี)

ยังมีค่าอื่น ๆ จิปาถะอีก เช่นดอกเบี้ยที่กู้ ธกส. มาใช้ในโครงการจำนำ ค่าดำเนินการ และค่าเสื่อมสภาพอีก (ยังไม่รวมสวมสิทธิข้าวต่างชาติอีกเพียบ)

สรุปเลยครับว่า การที่ลือกันว่าขาดทุนอยู่ 2.6 แสนล้านบาทนั้น จึงเป็นเรื่องที่มีมูลความจริงอย่างมาก

ยิ่งถ้าเก็บข้าวไว้นานเท่าไหร่ ตัวเลขก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดเวลา

ซึ่งเมื่อข้าวเสื่อมคุณภาพขายไม่ออก ตัวเลขขาดทุนก็ย่อมมากกว่า 2.6 แสนล้านบาทแน่ ๆ

----------------------

ดังนั้น เราลองมาจับตาดูว่า กระทรวงพาณิชย์จะออกมาแถลงตัวเลขเท่าไหร่ในวันนี้

ดูซิ มันจะปกปิดความจริงได้แค่ไหนครับ

รัฐบาลยิ่งชั่ว ยิ่งโกง ยิ่งเจ๊ง คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์


----------------------

อัพเดทข่าวหลังแถลงโครงการจำนำข้าว

และหลังจากได้ดูกระทรวงพาณิชย์ ทั้งรมว.ว่าการ และรมช. พาณิชย์ ดาหน้าออกมาแถลงเรื่องโครงการจำนำข้าวแล้ว

บอกตามตรง เสื่อมทั้งคนทั้งข้าว รัฐมนตรีควาย ๆ ที่คิดว่าคนไทยโง่เหมือนพวกฟายแดงทั้งประเทศ

พวกมันคงคิดว่า แค่โกหกตอแหลเหมือนปราศัยบนเวทีเสื้อแดงอย่างไรก็ต้องมีคนเชื่อพวกมัน

แต่ในความเป็นจริง ทั้งคนดูคนฟัง รวมทั้งนักข่าวที่มาในงานแถลงข่าวแต่ละคนกลับฉลาดรู้ทันพวกชั่วในกระทรวงพาณิชย์อย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋

ว่าพวกชั่วในกระทรวงพาณิชย์มันแถ มันตอบแบบปัดไปปัดมา ไม่สามารถหาหลักฐานอะไรที่น่าเชื่อถือมาหักล้างเรื่องขาดทุน 2.6 แสนล้านบาทได้เลย

นี่แหละครับ รัฐบาลชั่วที่มาจากคนเลือก 15 ล้านเสียงที่เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ชาติ


---------

จับพิรุธ



อากัปกริยาของ 2 รัฐมนตรีที่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆขณะแถลงข่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุญทรงบอกว่า รับข้าวมาทั้งหมด 40 ล้านตันข้าวเปลือก

เมื่อ 40 ล้านตัน คูณ 1.5 หมื่นล้านบาท = 6 แสนล้านบาท ซึ่งตรงกับที่บุญทรงพูดว่า ใช้เงินไปในโครงการนี้ทั้งสิ้น 6 แสนล้านบาท

แต่บุญทรง แถลงว่า คืนให้ ธกส. ไปแล้ว 1.2 แสนล้านบาทเท่านั้น ??

ดูคลิปแถลงข่าวทั้งหมดด้านล่างได้ที่นี่ คลิก !!




คลิกอ่าน โครงการรับจำนำข้าว 2 ปี ขาดทุนถึง 4 แสนล้านบาท


วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

นิทาน พระเจ้า กับ นายไปรษณีย์ใจบุญ !!







เรื่องสั้น “คลาสสิก” เรื่องหนึ่งจากอเมริกาใต้ชื่อ “จดหมายถึงพระเจ้า” แปลเป็นภาษาไทยเมื่อราวสามสิบปีมาแล้ว โดย “หมอแอ็คติวิสต์” คนหนึ่งคือนายแพทย์เหวง โตจิราการ

นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน บอกว่า เรื่องสั้นเรื่องนี้นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งอยู่นอกแวดวงแอ็คติวิสต์ คงไม่เคยอ่าน จึงขอนำมาเล่าให้ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง โดยจะเล่าจากความทรงจำเพราะไม่มีเวลาไปค้นหนังสือมาอ่านทบทวน

-----------------------

“จดหมายถึงพระเจ้า” 

เป็นเรื่องราวของชาวนายากจน ซึ่งเป็นตัวอย่างของชาวนายากจนทั่วๆไป คือ นอกจากยากจนแล้วยังมีลูกมาก ชีวิตต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ฝนแล้ง น้ำท่วม ศัตรูพืช ราคาผลผลิตถูกกดราคาให้ตกต่ำ...ชาวนาคนนี้ชื่อ “เมอโซ”

ปีหนึ่งแล้งจัด เมอโซและลูกๆ อยู่ในภาวะอดอยากหิวโหย จนผ่ายผอมเพราะอดโซ แต่เมอโซยังมีความหวัง เพราะเขายังศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า ทุกวันอาทิตย์เมอโซจะไปโบสถ์เป็นประจำ

เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง เมอโซไปโบสถ์ตามปกติ หลังกลับจากโบสถ์ด้วยความสุข เพราะมีความรู้สึกเสมือนหนึ่งได้ไปพบพระผู้เป็นเจ้า เมื่อกลับถึงบ้านเมอโซจึงหาทางติดต่อขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า

แม้เมอโซจะอดอยากยากจนมาตั้งแต่ครั้งปู่ยาตายาย แต่เขายังพออ่านออกเขียนได้ เขาจึงเขียนจดหมายถึงพระเจ้า รำพันถึงชะตากรรมอันโหดร้ายของตัวเองและลูกๆ บอกว่า ทุกคนกำลังจะอดตายอยู่แล้ว จึงขอให้พระเจ้าส่งเงินมาให้สัก 100 เปโซ เพื่อให้สามารถใช้ประทังชีวิตต่อไปได้...

หลังเขียนจดหมายเสร็จ เมอโซจ่าหน้าซอง “ถึงพระเจ้า” แล้วนำไปส่งที่ไปรษณีย์

เมื่อพนักงานไปรษณีย์พบจดหมายนี้ ก็ไม่รู้จะส่งไปที่ไหนตามกฎของไปรษณีย์เมื่อจดหมายจ่าหน้าไม่ชัดเจนส่งให้ผู้รับไม่ได้ จะต้องมีการประชุมพิจารณาว่าจะทำอย่างไร วิธีการหนึ่งที่ใช้กันเสมอคือเปิดจดหมายออกอ่าน เผื่อจะมีข้อมูลให้สามารถส่งถึงผู้รับได้...

จดหมายของเมอโซก็ได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน คือให้เปิดออกอ่าน

นายไปรษณีย์อ่านจดหมายแล้ว นอกจากเวทนาสงสารในชะตากรรมของเมอโซแล้วยังรู้สึกได้ถึงความศรัทธาอันเปี่ยมล้นของเมอโซที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า นายไปรษณีย์ไม่ต้องการให้เมอโซสูญเสียความศรัทธานี้ จึงชักชวนให้พนักงานไปรษณีย์ร่วมกันบริจาค

ในท้องที่ยากจนเช่นนั้น ไม่ใช่แต่เมอโซเท่านั้นที่ยากจน บรรดาพนักงานไปรษณีย์ก็มีฐานะพออยู่พอกินเท่านั้น จึงรวบรวมเงินบริจาคได้ทั้งสิ้นเพียง 70 เปโซ นำใส่ซองปิดผนึก แล้วจ่าหน้าซองถึงเมอโซ

วันอาทิตย์ถัดมา เมอโซไปโบสถ์ตามปกติ ขากลับเขาแวะที่สำนักงานไปรษณีย์ ถามหาว่ามีจดหมายถึงเขาบ้างไหม นายไปรษณีย์ยื่นซองจดหมายจ่าหน้าถึงเมอโซให้ด้วยความปลาบปลื้ม และภาคภูมิใจในกุศลกรรมที่ตนเองและพนักงานร่วมกันสร้างขึ้นครั้งนั้น

ทันทีที่กลับถึงบ้าน เมอโซเปิดซองจดหมายเห็นธนบัตรเก่าๆ ในซองนั้น ก็รู้สึกดีใจอย่างมาก รีบนับเงินได้ 70 เปโซพอดี โทสะของเมอโซพลุ่งพล่านขึ้น!!

เขารีบเขียนจดหมายถึงพระเจ้าอีกฉบับ ข้อความว่า ถึงพระเจ้า ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาการุญของพระองค์ที่ส่งเงินไปให้ ด้วยเงินจำนวนนั้น เขาและลูกๆ คงจะรอดพ้นความอดตายไปได้ แต่เขานับเงินที่พระเจ้าส่งไปให้แล้ว มีเพียง 70 เปโซ ขาดไป 30 เปโซ

“ฉะนั้นโปรดส่งเงินที่เหลืออีก 30 เปโซ ไปให้ผม แต่คราวนี้ขอให้ส่งถึงผมโดยตรง อย่าส่งผ่านทางไปรษณีย์ เพราะไปรษณีย์พวกนี้มันขี้ฉ้อคดโกงทั้งนั้น”

---------------------

คุณหมอวิชัยบอกว่า กรณีที่กำลังเกิดกับองค์การเภสัชกรรม ทั้งกรณีปัญหาตัวยาพาราเซตามอล กรณีการก่อสร้างโรงงานยาต้านไวรัสเอดส์ และโรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่ กำลังถูกกระทำให้ตกอยู่ในสภาพคล้ายคลึงกับกรณีของพนักงานไปรษณีย์กับเมอโซ

กรณียาพาราเซตามอล เป็นความพยายามในการพัฒนาการผลิตอย่างรับผิดชอบ ทั้งการปรับปรุงโรงงานเพื่อผลิตเอง และการสำรองยาไว้เพื่อมิให้ขาดแคลน โดยเฉพาะในยามฉุกเฉิน แต่ต่อมามีปัญหาว่าตัวยาอาจไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งน่าจะเกิดจากการปนเปื้อน (Contamination) แต่ก็ถูกบิดเบือนว่าเป็นการปลอมปน (Counterfeit) และแท้จริงแล้วยังไม่รู้ว่าปัญหาจริงๆ คืออะไร

รวมทั้งยังมิได้มีการนำไปผลิตจำหน่ายแต่อย่างใด ก็กลับทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือที่สั่งสมกันมายาวนานขององค์การเภสัชกรรม

กรณีโรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ปัญหาใหญ่เกิดจากความไม่รู้ และความไม่เข้มแข็งทางวิชาการของประเทศ และเหตุปัจจัยอันอยู่ “นอกการควบคุม” ขององค์การเภสัชกรรมแทบทั้งสิ้น

โรงงานยาเอดส์ ก็เช่นกัน แม้จะล่าช้าเพราะปัญหาอุปสรรคมากมาย แต่จุดที่ควรแก่การชื่นชม คือ สามารถปรับปรุงแบบและเทคโนโลยี จนสามารถเพิ่มการผลิตจากปีละ 80 ล้านเม็ด เป็น 3,500 ล้านเม็ด โดยไม่ต้องเพิ่มงบประมาณ กลับเจอแต่การ “จับผิด”...“หาเรื่อง”

ในเรื่องจดหมายถึงพระเจ้า ไม่พูดถึงว่าบรรดาพนักงานไปรษณีย์ได้เปิดจดหมายฉบับที่สองของเมอโซออกอ่านหรือไม่ ก็ได้แต่หวังว่าพวกเขายังคงมั่นคงในความมีใจการุญต่อไป

นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ย้ำว่า ผู้บริหารและพนักงานองค์การเภสัชกรรม ขออย่าได้ “หวั่นไหวในโลกธรรม” และขอให้เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม คือ ทำดีดี...ทำชั่วชั่ว

สิ่งที่พวกท่านได้กระทำเป็นกุศลกรรม คือ ความดีแน่นอน ส่วนที่พวกท่านถูกกระทำจาก “โทสจริต” และ “โมหจริต” นั้น เป็นอกุศลกรรมอย่างชัดแจ้ง


องค์การเภสัชกรรมเป็นรัฐวิสาหกิจที่ดูแลเรื่องยาซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นของประชาชน เป็นสินค้าที่มีความละเอียดอ่อนและอ่อนไหวง่าย

เมื่อองค์การเภสัชกรรมอ่อนแอลง ก็ไม่สามารถทำหน้าที่สำคัญของรัฐวิสาหกิจที่ดีได้ ทั้งในเรื่อง

1) การป้องกันแก้ไขปัญหาขาดแคลนยา โดยเฉพาะในภาวะฉุกเฉิน ภัยพิบัติ
2) การตรึงราคายาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็น และโดยเฉพาะที่ต้องใช้จำนวนมาก เพื่อประหยัดเงินของ ประเทศชาติและประชาชน
 3) การจัดหายากำพร้าที่บริษัทยาไม่สนใจจำหน่ายเพราะทำกำไรไม่ได้ และเสี่ยงสูงต่อการขาดทุน 4) การทำซีแอลยา ในกรณีจำเป็นเพื่อช่วยชีวิตของผู้ป่วยจำนวนมาก และเพื่อแก้ปัญหาสาธารณสุขของประเทศ

ถ้าองค์การเภสัชกรรมอ่อนแอลง ก็ย่อมเป็นที่ยินดีของบริษัทยาเอกชน โดยเฉพาะบริษัทยาข้ามชาติ ที่มีข่าวว่ามีการ “ลงขัน” กันเพื่อทำลายองค์การเภสัชกรรม

ประเด็นน่าสนใจไปกว่านั้นมีข่าวค่อนข้างชัดเจนว่า คนใหญ่ฝ่ายการเมืองที่จ้องทุบ ทำลายองค์การเภสัชฯ กำลังจะหาทางแปรรูปรัฐวิสาหกิจ คือ...องค์การเภสัชกรรมเพื่อให้เป็นบริษัทมหาชน น่าสงสัยว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อ “ทุบหุ้น” แล้วฉวยโอกาสเข้า “ดักซื้อ” หรือไม่

พฤติกรรมอันน่าจะ “มิชอบ”...ถือเป็นโชคร้ายของประเทศไทย.


เขียนโดย นพ.วิชัย โชควิวัฒน อดีตประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม อดีต ปธ.บอร์ดองค์การเภสัชฯ และผู้เขียนหนังสือ กระชากหน้ากากธุรกิจยาข้ามชาติ

ที่มา http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/348233


----------------------

นิทานจดหมายถึงพระเจ้า ฉบับภาษาอังกฤษ

Letter to God

Lencho's little house is near a small hill. Nearby you can see a river and fields of healthy corn and flowering beans. Everything promises to be a great harvest, but everyone thinks a few good rains or at least one good shower will help bring in a good harvest.

Starting early in the morning, Lencho looks to the sky toward the northeast, hoping for rain.

"Now, if only it would rain," he says aloud.

Nearby, his wife is preparing dinner, and remarks, "It will rain if God wishes!"

Their older chidren are out in the fields weeding, while the younger ones play near the house.

The wife calls out "Time to eat!"

While eating dinner, huge drops of rain begin to fall. Enormous dark clouds advance from the northeast. The air becomes cool and scented, and Lencho watches the fields with pleasure. Suddenly though, a strong wind begins blowing and hail begins to fall.

Lencho exclaims, "This is getting ugly!"

It does get ugly; within an hour hail falls upon the house, upon the corn, upon the beans, upon the whole valley. The fields are white, like they were covered with salt. The trees, without a single leaf. The beans, without any flowers.

Lencho becomes more and more anguished, and when the storm is finished, with a sad voice, he says to his sons, "This is worse than the locusts! The hail has left us with nothing! We won't have any corn or beans this year."

It's a night of very sad complaints.

"All our work is lost!"

"No one will be able to help us!"

"This year we will go hungry!"

In their hearts though was the hope that God would help the people of the valley in some way.

Lencho tells everyone, "Although the damage is very bad, no one could die of hunger: God would help! God is good! No one will die of hunger!"

Lencho thinks hard about their future. Although he is a rough man who works like a beast in the fields, he knows how to write. So, he decides to write a letter and deliver it himself to the post office.

It is a letter to God:

"God, if you do not help, we will go hungry during the next year. I need a hundred pesos to plant some more beans and corn and to live while we wait for the next harvest, because of the hailstorm...."

He writes "To God" on the paper and puts it in an envelope. He goes to the village post office and buys a stamp to mail the letter. He drops it in the mail box.
An employee notices it later, opens it and reads it, and laughing, he shows it to the postmaster.

The postmaster, big and kindhearted, also laughs after reading it, but very quickly becomes serious and exclaims, "The faith! What incredibly pure faith! This man really believes, and for that belief he's writing to God!"

Not wanting to disillusion such a man of strong faith, the postmaster decides to answer the letter. But first, he rounds up some money from the employees and from some of his friends.

He's not able to raise enough of what Lencho wants, but at least gets a little more than half of what Lencho was asking for. He puts the money in an envelope addressed to Lencho and with it a letter consisting of one word: GOD.

A week goes by and Lencho returns and asks if he's gotten any mail. Yes, he has, but he shows no surprise whatsoever. Nor is he surprised to see the money, since he has faith in God and hope. But upon counting the money, he becomes furious. Immediately he goes up to a window, gets some paper and ink, then goes to a table to write:

"God: about the money I asked you for. Only a little less than sixty pesos arrived. Send the rest, because I need it very much, but don't send it to me through the post office because all the employees at the post office are a bunch of theives.

Yours,LENCHO."



คลิกอ่าน ทำไมทหารต้องฆ่าช่างภาพอิตาลีเมื่อปี 53