วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คลิปแผ่นดินวิกฤติจากแนวความคิดทุนนิยมเงินตรา








รายการแผ่นดินไท ตอน แผ่นดินวิกฤต 1
เมื่อทุนนิยมเติบโตอย่างไร้ขอบเขต ความโลภครอบงำโลกไปทุกหัวระแหง มนุษย์ตักตวงเอาความร่ำรวยจากโลกอย่างเกินพอดี จึงเกิดภาวะวิกฤติขึ้นทั่วแผ่นดินโลกรวมถึงแผ่นดินไทย มีหนทางใดที่จะแก้วิกฤติแผ่นดิน







รายการแผ่นดินไท ตอน แผ่นดินวิกฤต 2






รายการแผ่นดินไท ตอน แผ่นดินวิกฤต 3








รายการแผ่นดินไท ตอน แผ่นดินวิกฤต 4






รายการแผ่นดินไท ตอน แผ่นดินวิกฤต 5






รายการแผ่นดินไท ตอน แผ่นดินวิกฤต 6 (จบ)




.
.

แอ๊ด คาราบาว กับ เบิร์ด ธงไชย ใครรวยกว่ากัน?

.
.
(โดย ประชาชาติธุรกิจ)
.
เจาะขุมทรัพย์ 1,000 ล้าน "ป๋าเบิร์ด" VS "แอ๊ดบาว" ซูเปอร์สตาร์ มาร์เก็ตติ้ง ใครรวยกว่าใคร?

ถ้าในวงการเศรษฐีหุ้น ต้องยกให้ เสี่ยตึ๋ง อนันต์ อัศวโภคิน เจ้าพ่อแลนด์แอนด์เฮ้าส์ แต่ถ้าในการศิลปินนักร้อง ระดับแถวหน้า ถามว่า ใครรวยกว่าระหว่าง ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว เจ้าพ่อเพลงเพื่อชีวิต กับ เสี่ยเบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ ซูเปอร์สตาร์ค่ายเพลงดัง ... เราจะพาไปเปิดกระเป๋าของอภิศิลปินระดับเสี่ย

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาแวดวงศิลปินนักร้องในเมืองไทยมีนักร้องระดับตำนานอยู่ 2 คน
หนึ่ง ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว เจ้าพ่อเพลงเพื่อชีวิต
อีกหนึ่ง เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ ซูเปอร์สตาร์ค่ายเพลงดัง

บทเพลงของคนทั้งคู่ติดหูคนฟังมานาน แต่ไม่มีเครื่องวัดความดังว่ากี่เดซิเบล และใครดังกว่ากัน
ทั้ง 2 คนต่างมีแฟนคลับทุกเพศทุกวัยนับล้านคน โดยเฉพาะรายหลังว่ากันว่าไม่สามารถนั่งกินข้าวแกงข้างถนน หรือเดินไปช็อปปิ้งในเมืองไทยได้ เนื่องจากมีแฟนคลับรุมกรี๊ดรุมตอมคับคั่ง
"แอ๊ด" เป็นเจ้าของบทเพลงเกือบ 100 อัลบั้ม

ขณะที่ผลงานของ "เบิร์ด" มียอดขายสูงลิ่วกว่า 20 ล้านชุด ทำให้มีฐานะระดับท็อปในหมู่นักร้องด้วยกัน
หากตั้งคำถามว่า "แอ๊ดบาว" กับ "ป่าเบิร์ด" ใครรวยกว่ากัน?

เชื่อว่าหลายคนอยากรู้คำตอบ

"แอ๊ด" เกิดปี 2497 เป็นคนตำบลท่าพี่เลี้ยง จ.สุพรรณบุรี เป็นลูกแฝดคนเล็ก ครอบครัวมีอาชีพค้าขาย เรียนชั้นประถมศึกษาโรงเรียนวัดสุวรรณภูมิ ระดับมัธยมโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย ระดับอุดมศึกษาที่อุเทนถวาย และบินไปเรียนต่อระดับปริญญาที่ประเทศฟิลิปปินส์

ขณะเรียนร่วมกับ กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร หรือ เขียว คาราบาว เพื่อนสมัยเรียนที่ฟิลิปปินส์ก่อตั้งวงคาราบาว เรียนจบเข้าทำงานเป็นสถาปนิกที่การเคหะแห่งชาติ 5 ปีและเล่นดนตรีตอนกลางคืนไปด้วย จากนั้นเป็นโปรดิวเซอร์ให้วงแฮมเมอร์

จากการตรวจสอบพบว่า "แอ๊ด" เปิดห้องบันทึกเสียงครั้งแรก ปี 2528 ชื่อ บริษัท บัฟฟาโล่เฮด ทุน 4 ล้านบาท อยู่แถวริมคลองวัดพระงาม อ.เมือง จ.นครปฐม4 ปีจากนั้นลุยธุรกิจเพลง 4 แห่งรวด

ปี 2532 ก่อตั้ง บริษัท วินด์ซอง จำกัด ทุน 12 ล้านบาทเศษ อยู่ในจังหวัดนครปฐมเช่นเดียวกัน
ปี 2534 ก่อตั้ง บริษัท ออบาแร็ค จำกัด ทุน 12 ล้านบาทเศษ อยู่ในซอยหลังสนามกอล์ฟ ถนนกรุงเทพกรีฑา แขวงหัวหมาก ถือหุ้นใหญ่ร่วมกับ นายศุภชัย จันท์แสนโรจน์ นางวาสนา ศิลปิกุล เจ้าของบริษัท เทเลซีน, เขียว-กีรติ, เล็ก-ปรีชา ชนะภัย, เทียรีสุทธิยง เมฆวัฒนา, ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี, อนุพงษ์ ประถมปัทมะ และ อำนาจ ลูกจันทร์
ปี 2538 ก่อตั้ง บริษัท กระบือแอนด์โค จำกัด ทุน 1 ล้านบาท อยู่แถวถนนอุดมสุข แขวงหนองบอน เขตประเวศ นางวาสนา ศิลปิกุล ถือหุ้นใหญ่
ปี 2544 ก่อตั้ง บริษัท มองโกล จำกัด ทุน 1 ล้านบาท อยู่ในซอยลาดพร้าว 64 กรุงเทพฯ แอ๊ด ลินจง ภรรยา และเพื่อนวงคาราบาวร่วมถือหุ้น

หลังจากธุรกิจเพลงเริ่มอิ่มตัว "แอ๊ด" แปรวิกฤตเป็นโอกาส แปลง "ซูเปอร์สตาร์" เป็น "ทุน" ร่วมหุ้นกับเสี่ย เสถียร เศรษฐสิทธิ์ ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อคาราบาวแดง ในชื่อ บริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2544 ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท

ตัวแอ๊ดถือหุ้น 516,500 หุ้น หรือ 25.8% มูลค่า 51.6 ล้านบาท, นางสาวณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ 540,000 หุ้น หรือ 27% มูลค่า 54 ล้านบาท, นายเสถียร 380,000 หุ้น คือ 19% มูลค่า 38 ล้านบาท, นางดารารัตน์ เศรษฐสิทธิ์ 300,000 หุ้น หรือ 15% มูลค่า 30 ล้านบาท, นายสุพจน์ ธีระวัฒนชัย 190,000 หุ้น หรือ 9.5% มูลค่า 19 ล้านบาท

"ลิโพ" จับตลาดบน แต่ "คาราบาวแดง" จับตลาดล่าง ขายถูกกว่า นอกจากนี้ "แอ๊ด" ยังแต่งเพลงและเป็นพรีเซ็นเตอร์อีกด้วย ทำให้ยอดขายพุ่งกระฉูด

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ปี 2549 เครื่องดื่มคาราบาวแดง มีรายได้ 1,364.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 10.3 ล้านบาท ปี 2550 รายได้ 1,934.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 61.7 ล้านบาท ปี 2551 รายได้ 2,256.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 145.4 ล้านบาท

เท่ากับสร้างเม็ดเงินให้เจ้าพ่อเพลงเพื่อชีวิตมากสุดในขณะนี้ และเจ้าตัวยังไม่มีทีท่าที่จะขายหุ้นให้กลุ่ม นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อเบียร์ช้างแต่อย่างใด

ขณะที่บริษัท มองโกล มีรายได้ไม่มากนัก ปี 2549-2551 รายได้ 13.8 ล้านบาท, 17.8 ล้านบาท, 21.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1.5 ล้านบาท, 9 แสนบาท, 8 แสนบาท ตามลำดับ

บริษัท กระบือแอนด์โค ปี 2549-2551 รายได้ 10.7 ล้านบาท, 9.6 ล้านบาท, 7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1 แสนบาทเศษ, 4 แสนบาทเศษ, ขาดทุนสุทธิ 4 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนอีก 3 บริษัทเลิกกิจการนานแล้ว

"แอ๊ด" ยังมีรายได้จากแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ ละคร หลายเรื่อง งานโฆษณาหลายชิ้น เช่น เพื่อเมืองไทยด้วยใจและใจของโค้ก เพลงประกอบโฆษณาเบียร์ช้าง รถปิกอัพโตโยต้า แต่งเพลงให้รายการเกมส์แก้จน รวมทั้งเล่นหนัง

"แอ๊ด" ชอบไก่ชนตัวละนับแสนบาท จนได้รับแต่งตั้งเป็นนายกสมาคมส่งเสริมอาชีพไก่ชนไทย มีเครือข่ายนักธุรกิจและนักการเมือง อาทิ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งซีพี สมศักดิ์ เทพสุทิน และมีที่ดินจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือเมืองกาญจน์

ขณะที่ "เบิร์ด" อายุน้อยกว่า เกิดปี 2501 เป็นลูกคนที่ 9 ใน 10 คน เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนนิมมานรดี ระดับมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนปัญญาวรคุณ ระดับอนุปริญญาที่วิทยาลัยพาณิชยการธนบุรี เคยทำงานแบงก์กสิกรไทย สาขาท่าพระ ฝ่ายต่างประเทศ และรับจ๊อบถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา กระทั่ง ไก่-วรายุทธ มิลินทจินดา ชักชวนให้เล่นละคร "น้ำตาลไหม้" ทำให้เป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงหน้าใหม่

กระทั่งเข้าสู่วงการเพลง

"เบิร์ด" เป็นนักร้องไม่กี่คนที่ถือหุ้นและนั่งเป็นกรรมการในเครือแกรมมี่ ได้แก่ บริษัท แกรมมี่ ภาพยนตร์ จำกัด, บริษัท เบิร์ด ไลเซ็นส์ จำกัด, บริษัท เมจิค ฟิล์ม จำกัด และ หจก.พรพิริช (ขายสินค้า)

มีธุรกิจส่วนตัว 2 แห่ง ชื่อ บริษัท ยูนิคซัพพลาย ก่อตั้งปี 2527 ด้วยทุน 1 ล้านบาท อยู่ในหมู่บ้านสุขใจ ถนนรามคำแหง โดยมี นางแคธริน-พันโทยงยุทธ นันทิทรรภ นางสุธา พิจิตรคดีพล ร่วมถือหุ้น และ บริษัท บี.พูล จำกัด ก่อตั้ง ปี 2539 ทุน 1 ล้านบาท เกือบทั้งหมดเลิกกิจการ ยกเว้น "เมจิค ฟิล์ม" ซึ่งมีรายได้ปีละไม่กี่ล้านบาทและขาดทุนหลายปีติดต่อกัน

ในยุคขาขึ้น "เบิร์ด" มีรายได้จากโฆษณาสินค้าหลายชิ้น หนึ่งในนั้นคือมันฝรั่งยี่ห้อหนึ่ง ได้ค่าตัวสูงปรี๊ด ระยะหลังมีงานโฆษณาน้อยชิ้น ที่ยังพอเห็นคือพรีเซ็นเตอร์ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แต่ค่าตัวยังแพงลิ่วกว่า 7 หลัก

"เบิร์ด" มีบ้านหรูและที่ดินกว่า 100 ไร่อยู่ใน ต.เวียงกาหลง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เครือญาติเปิดบริษัทออแกไนซ์อยู่ย่านถนนปิ่นเกล้า สินทรัพย์รวมนับร้อยล้าน

เบิร์ดอาจมีขุมข่าย สายป่าน และความเป็นธุรกิจ อาจไม่ลึกเท่า "แอ๊ด"
แต่งานเพลงของคนทั้งคู่ สร้างความสุขให้คนฟังเหมือนกัน
.
.
ขอบคุณบทความจาก ประชาชาติธุรกิจ
.
.
.
.

.
.

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อดีคฑูตไทยชี้เขมรละเมิดเรื่องการดักฟัง


นายสุรพงษ์ ชัยนาม

'สุรพงษ์ ชัยนาม'จวกเขมรไม่ให้เกียรติไทย ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของนักการทูต แสดงเจตนาให้เห็นว่า ไม่เคารพและให้เกียรติในอธิปไตยของไทย....

นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตไทยกล่าวถึงข้อกล่าวหาว่ากัมพูชาดักฟังโทรศัพท์นักการทูตของไทยว่า แม้ว่าอนุสัญญากรุงเวียนนาว่า ด้วยความสัมพันธ์ทางการทูตจะไม่กำหนดชัดเจนว่า ห้ามมิให้ประเทศผู้รับทูตดักฟังโทรศัพท์

แต่อนุสัญญาฯดังกล่าว ก็วางหลักเอาไว้ว่า ประเทศผู้รับทูตต้องส่งเสริมอำนวยความสะดวกให้ทูตได้ทำหน้าที่ โดยปราศจากอุปสรรค ไม่ทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดความบาดหมาง หรือหวาดระหว่างซึ่งกันและกัน

อดีตเอกอัครราชทูตไทย กล่าวว่ การที่กัมพูชาอ้างว่า รู้ข้อมูลการสนทนาของนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกสถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงพนมเปญ กับนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ซึ่งอาจจะมาจากการดักฟังทางโทรศัพท์

ก็เป็นการกระทำที่ไม่ให้เกียรติกัน ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของนักการทูต แม้จะไม่ใช่นักการทูตก็ไม่ควรทำ เป็นสิ่งที่กัมพูชาไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง

อดีตเอกอัครราชทูตไทย กล่าวอีกว่า ถ้ามีหลักฐานว่า มีการดักฟังโทรศัพท์ของนักการทูตจริง ก็แสดงเจตนาให้เห็นว่า กัมพูชาไม่เคารพและให้เกียรติในอธิปไตยของไทย เพราะไม่รู้ว่าที่ผ่านมาดักฟังกันตลอดหรือไม่

ซึ่งถือว่า ฝ่าฝืนหลักความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างร้ายแรง ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมที่ประเทศที่มีอารยะพึงปฎิบัติ แสดงให้เห็นว่ากัมพูชายังเป็นประเทศอนารยะคือไม่มีความเป็นอารยะ

ผู้สื่อข่ามถามถึงกรณีที่ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศไม่ยอมรับรัฐบาลชุดปัจจุบัน อดีตเอกอัครราชทูตไทย กล่าวว่า ถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเปิดพื้นที่ให้นักโทษหนีคดีเคลื่อนไหวปลุกระดมโค่นล้มรัฐบาลไทย ถือว่าทำผิดกฎบัตรสหประชาชนอย่างร้ายแรง

แต่ฮุน เซนไม่แคร์เพราะสมเด็จฮุน เซน คือ ทุกสิ่งทุกอย่างของกัมพูชา ไม่มีระบบถ่วงดุลใดๆ ทั้งสิ้นเขาจึงเล่นการเมืองโดยไม่สนใจมารยาททางการทูต

อดีตเอกอัครราชทูตไทย กล่าวว่า การที่เขาออกมาแสดงท่าทีแทรกแซงข่มขู่ เหยียดหยามประเทศไทย ก็เพราะต้องการให้นายอภิสิทธิ์ ตบะแตกหมดความอดทนแล้วลงไปคลุกโคลนกับเขาด้วย

ดังนั้นนายอภิสิทธิ์ต้องแสดงให้โลกเห็นถึงความอดทนอดกลั้นอย่างถึงที่สุดไม่ กลายเป็นอันธพาลทางการเมืองเหมือนฮุนเซน แต่ก็ต้องใช้วิธีการทางทูตในทางลับตอบโต้กลับไปซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลได้เตรียมแผนไว้แล้ว.

“รัฐบาลต้องยืนยันเงื่อนไข 3 ข้อ ที่เป็นสาเหตุของปัญหาทั้งหมดคือการที่กัมพูชาแทรกแซงกิจการภายในของไทย ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมและแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายศิวรักษ์ ถึงแม้กัมพูชาจะปล่อยตัวมาแต่ถ้าเงื่อนไข 3ข้อยังอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องปรับระดับความสัมพันธ์”อดีตเอกอัครราชทูตไทย
.
.
ข่าวจาก ไทยรัฐ

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รวมคลิปแฉ แดงล้มเจ้า

.
.


คลิป1 ขบวนการปล่อยข่าวอัปมงคลทุบหุ้นไทย






คลิป2 แดงสาธารณรัฐ






คลิป3 จักรภพจะปฏิวัติ ทักษิณจะเอามั้ย






คลิป4 ขบวนการล้มเจ้าแฝงตัวในนปช.






คลิป5 แดงล้มเจ้าวงแตก ช่วงชิงการนำ






คลิป6 ชำแหล่ะคำสัมภาษณ์ทักษิณ คุกคามจาบจ้วง






คลิป7 ชำแหล่ะคำสัมภาษณ์ทักษิณ คุกคามจาบจ้วง2


.
.

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ศักดิ์ศรี (ส่วนตัว) ของ"ฮุน เซน" ที่ชาวเขมรเป็นผู้รับเคราะห์

โดย นงนุช สิงหเดชะ



หากใครคิดว่าฮุน เซน เป็นฝ่ายเป็นต่อ กรณีพิพาทกับไทยเรื่องทักษิณ ชินวัตรแล้ว อาจจะต้องประเมินใหม่

เพราะนับวันพฤติกรรมของ "ฮุน เซน" ยิ่งฟ้องประจานตัวเองออกมาสู่สายตาชาวโลกและอาเซียนทุกขณะ นับจากการจับวิศวกรชาวไทยโดยหาว่าจารกรรมข้อมูลเรื่องเที่ยวบินของทักษิณ ที่ต่อมาหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเขมรกำลังจับมือกับทักษิณเล่นละครเพื่อสร้างภาพให้ทักษิณเป็นฮีโร่ โดยที่เหยื่อรายนี้ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยหรือไม่

นอกจากนี้การที่ฮุน เซน ออกมาประกาศยกเลิกเงินกู้จากไทยเพื่อนำไปสร้างถนนเพื่อความอยู่ดีของชาวกัมพูชา

พร้อมกับโจมตีรัฐบาลไทย บอกว่าไม่มีความสุขตราบเท่าที่รัฐบาลไทยมีนายกฯชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แล้ว ก็ยิ่งทำให้อาเซียนและประชาคมโลกได้เห็นชัดเจนขึ้นว่า

นับวันฮุน เซน ยิ่งทำตัวเป็นคนพาล และไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ของชาวเขมร แต่ชอบอ้างศักดิ์ศรีของตัวเองแทน ทั้งที่ศักดิ์ศรีนั้นอาจไม่ได้หมายถึงศักดิ์ศรีของชาวกัมพูชาที่อยากอยู่ดีกินดีก็เป็นได้

การประกาศยกเลิกกู้เงินจากไทย เกิดขึ้นหลังจากฝ่ายไทยยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ปี 2544 ว่าด้วยการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างสองประเทศ ซึ่งทำขึ้นสมัยทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากเห็นว่าขณะนี้เขมรแต่งตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ เกรงจะทำให้ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการเจรจาเพราะทักษิณซึ่งรู้ข้อมูลดี ได้ไปอยู่กับฝ่ายของเขมรแล้ว

การยกเลิกเอ็มโอยูกับเขมรเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้กรณีที่เขมรไม่ส่งตัวทักษิณให้ไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนและยังตั้งเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าเป็นการตอบโต้ที่สมเหตุผล เพราะหากนายอภิสิทธิ์ไม่ทำอะไรเลย นายอภิสิทธิ์ก็จะอยู่ไม่ได้เช่นกันเพราะจะถูกคนในประเทศตำหนิเอาว่าอ่อนแอไม่ปกป้องศักดิ์ศรีของประเทศ เนื่องจากนายฮุน เซน ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรมของไทยซึ่งผิดมารยาทอย่างร้ายแรง

แต่รัฐบาลไทยได้ย้ำชัดว่าปัญหาพิพาทที่เกิดขึ้นจะไม่ให้กระทบต่อความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจหรือต่อปากท้องของประชาชนทั้งสองประเทศ จะไม่มีการปิดชายแดน ปิดการทำมาค้าขายหรืออะไรทั้งนั้น ขณะที่เรื่องเอ็มโอยูยังไม่เป็นรูปธรรม เป็นเพียงเรื่องบนกระดาษที่ยังไม่มีการลงมือปฏิบัติหรือดำเนินโครงการอยู่ ดังนั้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจจึงยังไม่เกิดขึ้น

แต่สำหรับฮุน เซน แล้ว หลังจากไทยประกาศเลิกเอ็มโอยู ก็พาลด้วยการยกเลิกกู้เงินจากไทยเพื่อสร้างถนน และในวันต่อมา ฮุน เซน ให้สัมภาษณ์ว่าไม่มีความสุขตราบใดที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีและนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยหาว่าทั้งสองคนดูหมิ่นกัมพูชา

เท่านั้นยังไม่พอฮุน เซน ยังจะเรียกนักศึกษาเขมรที่ได้รับทุนจากฝ่ายไทยให้มาศึกษาในมหาวิทยาลัยของไทยกลับประเทศอีกด้วย โดยอ้างเรื่องเดิมคือศักดิ์ศรี

ฮุน เซน ประกาศเลิกกู้เงินจากไท ทั้งที่ก่อนหน้านั้น 1 วัน นายอภิสิทธิ์ได้โทรศัพท์ไปถึงฮุน เซน ด้วยตัวเองว่าไทยไม่มีนโยบายจะยกเลิกการให้เงินกู้ดังกล่าวแก่กัมพูชา ซึ่งนายอภิสิทธิ์โทร.ไปตามการประสานงานของผู้ใหญ่คนหนึ่งหลังจากกัมพูชาต้องการให้ฝ่ายไทยยืนยันว่าจะไม่มีการยกเลิกเงินกู้ แต่สุดท้ายแล้วฮุน เซน ก็ออกมาประกาศยกเลิกการกู้

จะเห็นว่านายอภิสิทธิ์ได้แสดงความเป็นผู้ใหญ่ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยแคร์ความเป็นอยู่และปากท้องของชาวเขมร

แต่เมื่อฮุน เซน เป็นฝ่ายบอกยกเลิก ชาวเขมรจึงไม่สามารถตำหนิรัฐบาลไทยได้ อย่างที่นายอภิสิทธิ์ได้ย้ำว่า ให้ชาวเขมรโปรดรับทราบว่าการยกเลิกกู้เงินครั้งนี้เป็นการตัดสินใจของรัฐบาลกัมพูชา ไม่ใช่การตัดสินใจของไทย แรงกดดันและภาพลบจึงตกอยู่กับฮุน เซน

ฮุน เซน ไม่เคยสำนึกว่าสิ่งที่ตนเองทำกับรัฐบาลไทยคือการไม่ส่งตัวทักษิณให้ไทยและยังก้าวล่วงศาลของไทย คือการดูถูกศักดิ์ศรีของประเทศอื่น แต่เมื่อถูกตอบโต้บ้างก็หาว่าอีกฝ่ายดูหมิ่น ราวกับว่าศักดิ์ศรีของตัวเองสำคัญกว่าศักดิ์ศรีของประเทศอื่น

ถามว่าทำไมตลอด 10 เดือนที่นายอภิสิทธิ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ความสัมพันธ์ของทั้งไทยและกัมพูชาเป็นไปอย่างไม่มีปัญหามากนักแม้จะไม่จัดว่าชื่นมื่นก็ตาม ฮุน เซน พบปะหารือกับนายอภิสิทธิ์หลายครั้ง นายกษิตก็พบปะกับรัฐมนตรีต่างประเทศเขมรนับครั้งไม่ถ้วน เคยไปเยี่ยมคารวะฮุน เซน ก็เห็นว่าฮุน เซน ต้อนรับขับสู้ดี

แต่ทำไมปัญหาเริ่มปะทุขึ้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2552 ที่ฮุน เซน ประกาศว่ายินดีจะต้อนรับทักษิณไปอยู่เขมร พร้อมกับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาล ถามว่าทำไมตลอด 10 เดือนนั้น ฮุน เซน ทำอะไรอยู่ จึงไม่แสดงท่าทีออกมา ทำไมเพิ่งมาจงใจเปิดศึกกับไทยช่วง 1-2 เดือนมานี้ในลักษณะสอดรับกับการเคลื่อนไหวของฝ่ายสนับสนุนทักษิณในไทย

ฮุน เซน ไม่มีความสุขเพราะว่ารัฐบาลไทยในปัจจุบันทำตามครรลองของประชาธิปไตยระบบรัฐสภาในการเจรจาผลประโยชน์กับต่างชาติใช่หรือไม่ จึงทำให้ฮุน เซน หงุดหงิดไม่ทันอกทันใจ ต่างจากยุคทักษิณที่มักใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวไปเจรจากับฮุน เซน หรือเปล่า

การอ้างเรื่องศักดิ์ศรีของฮุน เซน ในการยกเลิกกู้เงินจากไทยแถมยังจะเรียกนักศึกษาเขมรในไทยกลับนั้น

ฮุน เซน อาจไม่เดือดร้อนเรื่องปากท้องและความเป็นอยู่ เพราะฮุน เซน และชนชั้นปกครองร่ำรวยอยู่แล้ว มีหนทางแสวงประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องได้ง่าย แต่คนที่เดือดร้อนและรับเคราะห์จากศักดิ์ศรี (ส่วนตัว) ของฮุน เซน ก็คือชาวบ้านตาดำๆ ที่ยากจน

เขมรเป็นหนึ่งในชาติยากจนที่สุดในโลก และมีปัญหาคอร์รัปชั่นสูงติดอันดับของโลก ปัญหาคอร์รัปชั่นทำให้ในปี 2549 ธนาคารโลกยกเลิกการให้เงินกู้ช่วยเหลือแก่กัมพูชา 64 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2,112 ล้านบาท) เนื่องจากพบว่ามีการคอร์รัปชั่น ผลประโยชน์ไม่ตกไปถึงชาวกัมพูชาอย่างแท้จริง ขณะที่บรรดาประเทศผู้บริจาคเงินแก่กัมพูชา (ผู้บริจาครายใหญ่คือญี่ปุ่น) ได้บ่นเรื่องคอร์รัปชั่นอยู่เสมอ

ที่ผ่านมาฮุน เซน มักทำอวดเก่งปากดี ไม่รับเงินช่วยเหลือจากประเทศอื่นที่กำหนดเงื่อนไขการใช้เงินอย่างเข้มงวดและโปร่งใส โดยไม่สนใจว่าประชาชนของตัวเองจะยากจนเพียงใด การไม่อยากยอมรับเงื่อนไขเรื่องความโปร่งใสก็คงเป็นเพราะฮุน เซน ปฏบัติไม่ได้นั่นเอง

หนทางเดียวที่ฮุน เซน จะนำมาอ้างในการไม่รับความช่วยเหลือจากต่างชาติก็คือการอ้างเรื่องศักดิ์ศรี (ของตัวเอง)
"
"
บทความจาก มติชนออนไลน์

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข่าวสส.เพื่อไทยโวยเสื้อแดง! เปลือง!!


ส.ส.พท.โวย เสื้อแดงจัดชุมนุมบ่อยทำกระเป๋าแฟบ

ส.ส.พท. โวย กลุ่มเสื้อแดงจัดกิจกรรมบ่อย ชาวบ้านไม่ว่างและต้องใช้จ่ายเยอะ“ศิริวัฒน์”ย้ำแดงเคลื่อนต้องยึดอุดมการณ์ห่วง ส.ส.รับภาระจ่ายไม่ไหวหากถูกขอบ่อย ...

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงกรณีการจัดกิจกรรมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ(นปช.) หรือคนเสื้อแดง ว่า ตนสังเกตว่ากลุ่มเสื้อแดงมีการจัดกิจกรรมกันบ่อยครั้ง โดยที่เป็นลักษณะกิจกรรมระดมทุน ไม่ใช่การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เหมือนที่ผ่านมา เพราะสังเกตเห็นว่าหลายพื้นที่มีการจัดกิจกรรมระดมทุนในลักษณะต่าง ๆ อย่างมากมาย
.
ขณะเดียวกันประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งมีทั้งสมาชิกคนเสื้อแดงและไม่ใช่เสื้อแดง ต่างกำลังขะมักเขม้นกับการทำมาหากิน โดยเฉพาะในช่วงนี้ประชาชนกำลังเก็บเกี่ยวข้าว ข้าวโพด บางแห่งประสบภัยหนาว นอกจากนี้ยังมีกลุ่มประชาชนอีกหลายกลุ่มที่ต้องการได้รับการส่งเสริมอาชีพ ดังนั้นโดยส่วนตัวคิดว่าหากเสื้อแดงจะจัดกิจกรรมควรคำนึงช่วงเวลาและความคล่องตัวของเม็ดเงินในมือของผู้ร่วมกิจกรรมด้วย

ส.ส.พท. กล่าวต่อว่า หลายครั้งที่ตัวแทนกลุ่มเสื้อแดงได้มีการมาติดต่อประสานงานกับ ส.ส.ในพื้นที่หลายคนเพื่อขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่ารถ ค่าร่วมกิจกรรม ตรงนี้อยากสร้างความเข้าใจกับกลุ่มเสื้อแดงว่า กิจกรรมของเสื้อแดงหากมีความเหมาะสมและจำเป็นเพื่อบ้านเมืองแล้ว ย่อมควรได้รับการสนับสนุนตามอัตภาพ

แต่หากบ่อยครั้ง เกรงว่าผู้ที่ให้การสนับสนุนและผู้ร่วมกิจกรรมอาจจะไม่สะดวก โดยเฉพาะสถานภาพด้านการเงิน ซึ่งทุกคนต้องมีภาระรับผิดชอบ ถึงแม้นเงินจะไม่มากแต่ก็มีความหมายสำหรับทุกชีวิตด้าน

นายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ผู้ประสานงานกลุ่มแดงพะเยา กล่าวว่า การเคลื่อนไหวใด ๆ ก็ตาม นักเคลื่อนไหวจะต้องมีอุดมการณ์และจุดยืนที่ชัดเจน ไม่ควรเรียกร้องผลประโยชน์จากผู้ใด เพราะเมื่อทุกคนที่เต็มใจร่วมกิจกรรมทางการเมืองก็ต้องพร้อมเสียสละ
.
สำหรับตนคิดว่าหากกลุ่มเสื้อแดงไปขอรับการสนับสนุนหรือหวังพึ่งนักการเมืองจนบ่อยครั้ง อาจจะทำให้นักการเมืองต้องรับภาระหนักเรื่องค่าใช้จ่าย โดยส่วนตัวคิดว่าผู้ที่เป็น ส.ส. มีภาระหน้าที่หนักอยู่แล้ว คือการทำหน้าที่ในสภา ฯ หากต้องมารับหน้าที่เป็นแม่บ้านให้กับเสื้อแดงในแต่ละพื้นที่อีก ตนเกรงว่า ส.ส.จะแบกรับภาระไม่ไหว “เพราะภารกิจ ส.ส. ต้องดูแลประชาชนทุกกลุ่ม ไม่เฉพาะกลุ่มเสื้อแดงเท่านั้น

ดังนั้นน้ำหนักการให้ความสำคัญกับกลุ่มประชาชนต้องเท่าเทียมกัน หากเสื้อแดงที่จริงใจร่วมกิจกรรมจริงจะต้องไม่รบกวนนักการเมืองให้เขาลำบากใจนายศิริวัฒน์ กล่าว


จากไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/content/pol/49211
.
.

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

รายการกฤษณะล้วงลูก อาลัยสมัคร!



ชมภาพความประทับใจเก่าๆของท่านสมัคร สุนทรเวช ในบรรยากาศสบายๆที่บ้านพัก




คลิปต่อไป มาดูกันว่า ทำไมท่านสมัครไม่ได้เป็นนายกฯรอบ2 ใครหักหลังสมัคร??



.
.
.
.

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทักษิณไม่เคยโทร.หาสมัครหลังป่วยมะเร็ง





เกริ่น

วันนี้ผมขอนำบทความจากมติชนเมื่อไม่กี่เดือนก่อนมาให้อ่านอีกครั้ง บทความเผยถึงคนหน้าเหลี่ยมที่อยู่ไกล แต่ไม่เคยโทร.เยี่ยมเยียนหาสมัครในยามป่วยเลยสักครั้ง

ความเจ็บปวดจากการที่ถูกทักษิณหลอกว่าจะให้กลับมาเป็นนายกฯอีกสมัย แต่กลับถูกหักหลัง โดยเปลี่ยนใจหันไปสนับสนุนน้องเขยของตัวเองขึ้นเป็นนายกฯแทน ในวันจะลงมติเลือกนายก

(กฎหมายไม่ได้ห้ามในการกลับมาเป็นนายกฯ รอบ 2ของนายสมัคร)

ภาพข้างบนคือวันที่นายสมัคร ออกจากรัฐสภาอย่างผิดหวังไม่ได้เป็นนายกฯ รอบ2 เพราะพรรคพลังประชาชนมีปัญหาแตกแยกกันเองระหว่างกลุ่มเพื่อนเนวิน กลับกลุ่มนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

เพราะทางกลุ่มเพื่อนเนวิน ต้องการเลือกนายสมัครกลับมาเป็นนายกฯในรอบที่ 2 ตามคำสั่งทักษิณในตอนแรก

แต่ทักษิณกลับเปลี่ยนใจกะทันหันโดยไม่บอกกล่าวกลุ่มเพื่อนเนวิน ว่าไม่ต้องการนายสมัครอีกแล้ว เพราะสั่งการไม่ค่อยได้

ทักษิณต้องการให้นายสมชาย น้องเขยมาเป็นนายก ฯ แทนนายสมัคร จึงทำให้วันนั้นสส.พลังประชาชน กลุ่มนายสมชายไม่มาสภา จนสส.ไม่ครบองค์ประชุม

หลังจากนั้นนายสมัครก็ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคพลังประชาชนเพราะความเจ็บปวด!!

สุดท้ายพรรคพลังประชาชนได้เสนอชื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน

ดังนั้น การที่นายสมัครผิดหวัง เพราะโดนหักหลังจากทักษิณและขี้ข้าทักษิณนั่นเอง

หลังจากนั้นไม่นานกลุ่มนายเนวิน จึงแยกทางออกจากพรรคพลังประชาชนภายหลังพรรคถูกยุบในอีกไม่กี่เดือนต่อมา



คุณสมัคร ขึ้นรถกลับบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก


------------------------------------

ต่อไปนี้เป็นบทความในมติชน ที่ตีแผ่เบื้องหลังความเสียใจของนายสมัคร เพราะโดนไอ้เหลี่ยมหักหลัง


วันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11506 มติชนรายวัน


"เสียใจ"

(คอลัมน์ ปิดไม่ลับ)


ชะตากรรมของ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดอาญากรณีสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ถือเป็นเคราะห์กรรมที่มาจากการกระทำของตนเองในช่วงดำรงตำแหน่งบริหารสูงสุด ที่ต้องไปต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม

แต่สำหรับอดีตผู้นำอีกคนหนึ่งที่ละวางจากการเมือง เก็บตัวเงียบไม่ออกสังคม แต่คนในวงการเมืองไม่เคยลืมคือ "สมัคร สุนทรเวช" อดีตนายกฯอีกคนหนึ่ง ที่ประสบชะตากรรมหลุดจากตำแหน่งเพราะการกระทำของคนกันเองที่อยู่ต่างแดน จากคนที่สนิทคุ้นเคยที่ก่อนหน้านั้นโทรศัพท์หาเช้าสายบ่ายเย็น ปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด ซึ่ง "ป๋าหมัก" ก็รับใช้จนหัวชนฝา

เมื่อหมดความสำคัญก็เข้าตำรา "เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล"

และการหักหลังทางการเมืองหนนั้นทำให้ "สมัคร" รู้สึกเจ็บปวดที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ทำใจเพราะอาการเจ็บป่วยทางกาย จึงต้องละจากการเมืองโดยเด็ดขาด

ทุกวันนี้เจ้าตัวอยู่บ้าน มีเฉพาะบรรดามิตรสหายที่รู้ใจพากันไปเยี่ยมเยียนถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ พูดคุยเรื่องการเมืองบ้างในบางโอกาส แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจถือเป็นสาระสำคัญ

แต่สิ่งหนึ่งที่คนสนิทที่เข้าไปเยี่ยมเยียนเปรยให้หลายๆ คนฟังว่า "สมัคร"เคยพูดให้ฟังว่า "ทุกวันนี้ยังมีสิ่งที่เสียใจมากที่สุดอีกอย่างหนึ่ง"

คือตั้งแต่หลุดออกจากเก้าอี้นายกฯและมีโรคภัยเข้ารุมเร้าเป็นข่าวใหญ่โตมานานกว่า 1 ปี "สมัคร" ยังไม่เคยได้รับโทรศัพท์จากคนที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเลยสักครั้งเดียว!!

เพราะอย่างน้อยก็น่าจะโทร.เข้ามาทักทายถามไถ่ให้กำลังใจในฐานะคนที่รู้จักและทำงานร่วมกันมา แต่ไม่เคยสักครั้งเดียวที่จะได้เสียงกริ๊งจากแดนไกล

จึงพากันสงสัยว่า ทำไม "ทักษิณ" ที่สามารถโฟนอินคุยกับใครๆ โฟนอินคุยกับคนเสื้อแดง โฟนอินคุยกับแท็กซี่

แต่ทำไมแค่น้ำใจ "โฟนอิน" หาคนชื่อ "สมัคร สุนทรเวช" คนที่อยู่แดนไกลอย่าง "ทักษิณ" จึงทำไม่ได้...



----------------

ถ้าสนใจรายละเอียดคคีชิมไปบ่นไป แนะนำอ่านเพิ่มในบทความ ตรองวาทกรรมเท็จเสื้อแดง คลิก !!


วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ครอบครัวนายศิวรักษ์




(แม่วิศวกรหน้าึคล้ายเจ๊หน่อยเหมือนกันนะ)
.
.
.
ผมเริ่มสงสัียเรื่องครอบครัววิศวกรไทยที่ถูกเขมรจับ

ผมสงสัยมาหลายวันแล้วว่า แผนการลวงโลกของฮุนเซ็น ทักษิณครั้งนี้ มีการรู้เห็นกับครอบครับวิศวกรมาก่อน

เพราะแม่วิศวกรส่อพิรุธหลายอย่าง อันนี้ขอตั้งข้อสังเกตไว้ ฟังหูไว้หูนะครับเพราะข้อมูลยังน้อย

-------------------------

จาก http://www.esanclick.com/newstour.php?No=16681

นางสิมารักษ์ ณ นครพนม อายุ 57 ปี ข้าราชการครูชำนาญการพิเศษ หัวหน้าแผนกวิชาพณิชยการ วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา มารดา นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์

กล่าวเปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงลูกชายมาก เพราะครอบครัวมีกัน 3 คนแม่ลูก โดยมีลูกชาย 2 คน คือ นายศิวรักษ์ หรือ “เต๋า” ลูกชายคนโต และ นายพงษ์สุรีย์ อายุ 25 ปี น้องชายกำลังศึกษาอยู่ระดับมหาวิทยาลัย ส่วนสามีคือ นายสุวิทย์ ชุติพงษ์ มีอาชีพเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ เสียชีวิตไปนานกว่า 10 ปีแล้ว



q*033และพ่อวิศวกรคนนี้ เป็นอดีตผู้อำนวยการภาพยนตร์ ซึ่งเคยทำมาหากินกับแม้วสมัยเร่ขายหนังมาก่อน

-----------------------

ต่อมาเป็นข่าวจากคมชัดลึก วันนี้ คลิกที่นี่

ข่าวรัฐบาลไทยยันดูแลวิศวกรเต็มที่ แม้ทางครอบครัวศิวรักษ์จะสนิทกับแม้ว!!
.
.
--------------------------
.
.
ข่าวจากสายวงในพรรคเพื่อไทย เล่าว่า ตอนที่วิศวกรโดนจับที่เขมรแล้ว ส.ส.ในพรรคหลายคนยิ้มและถามกลับว่า เอ้า!จับแล้วเหรอ ? เหมือนรู้อยู่แล้วมาก่อน เหมือนกับเขมรได้แจ้งให้พรรคเพื่อไทยรู้ หรืออาจเป็นทักษิณรู้ก่อนอยู่แล้ว จึงบอกลูกพรรค?

แม่ของวิศวกรคนนี้ ในเว็บชั่วฟดก. ก็มีคนบอกว่าเป็นญาติกับตัวเองและบอกอีกว่า แม่วิศวกรคนนี้เป็นเสื้อแดง!กลุ่มแดงโคราช!

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตีแผ่ เส้นทางซุกเงินของทักษิณ






.
.
เส้นทาง "ทักษิณ" ซุกเงินนอกประเทศผ่านกองทุนลับ "ซิเนตรา ทรัสต์" ถึงบ.คู่แฝด "วินมาร์ค-แอมเพิลริชฯ"?



หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โอนหุ้นบริษัทต่างๆ ให้แก่บุตรและพี่น้องเมื่อกลางปี 2543


รายการบัญชีทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ (ทั้งในและนอกประเทศ) ยื่นแสดงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในชื่อของตนเองมีอยู่ในราว 500-600 ล้านบาท เช่น กรณีเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2548 ระบุว่า มีทรัพย์สิน 506,493,972 บาท


หลังจากที่ต้องตกจากเก้าอี้หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 รายการบัญชีทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยื่นต่อ ป.ป.ช.กรณีพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ระบุว่า มีทรัพย์สิน 557,363,123 บาท และหลังจากพ้นตำแหน่งครบ 1 ปี(เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2550) ระบุว่า มีทรัพย์สิน 614,393,259 บาท


อย่างไรก็ตาม เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ซื้อทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ในปี 2550 มูลค่า 108 ล้านปอนด์ (ประมาณ 7,560 ล้านบาท อัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณเอาเงินมากจากไหน แต่พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยมีคำตอบเรื่องนี้อย่างชัดเจน

กระทั่งเดือนกันยายน 2551 พ.ต.ท.ทักษิณได้ขายทีมฟุตบอลดังกล่าวออกไปในราคา 200 ล้านปอนด์หรือราว 12,000 ล้านบาท คาดกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีกำไรราว 50 ล้านบาทหรือประมาณ 3,000 ล้านบาท

ล่าสุด ในการให้สัมภาษณ์ "ไทม์ส ออนไลน์" เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน2552 พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับ (หลังจากถูกถามย้ำหลายครั้ง)ว่า มีเงินอยู่ประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ (ประมาณหมื่นล้านบาท) แต่ใช้ไปแล้ว 200 ล้านดอลลาร์ในเรื่องต่างๆ เช่น การซื้อบ้าน

ขณะเดียวกันพ.ต.ท.ทักษิณคุยว่า ได้ไปลงทุนไปมากมาย อาทิ เหมืองทอง 10 แห่งและการออกล็อตเตอรี่ในประเทศอูกันดา ทวีปแอฟฟริกา

คำถามคือ พ.ต.ท.ทักษิณเอาเงินและทรัพย์สินเหล่านี้มาจากไหน? เพราะรายการบัญชีทรัพย์สินที่แสดงต่อ ป.ป.ช.มีเพียง 500-600 ล้านบาท 


ส่วนทรัพย์สินของครอบครัวเกือบ 70,000 ล้านบาทซึ่งได้จากการขายหุ้นบริษัทชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ปให้แก่ บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้ง สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ถูกอายัดไว้ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (คดี พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกล่าวหาว่า ร่ำรวยผิดปกติและได้ทรัพย์ดังกล่าวมาจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี)

มีข้อสงสัยมานานแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะมีทรัพย์สินซุกอยู่ในต่างประเทศจำนวนมากผ่านบริษัท วินมาร์ค ลิมิเต็ดและบริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เมนต์ จำกัดซึ่งตั้งอยู่บนเกาะบริติชเวอร์จิ้น เพราะการทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นผ่านทั้ง 2 บริษัท มีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก

สำหรับบริษัท แอมเพิลริชฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับว่า เป็นผู้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2542 และโอนหุ้นชินคอร์ปให้จำนวน 32.92 ล้านหุ้น (ต่อมาแตกพาร์เป็น 329.2 ล้านหุ้น)

ส่วนบริษัท วินมาร์ค ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร โอนหุ้น กลุ่มบริษัทเอสซี แอสเสท 6 บริษัท มูลค่า 1,527 ล้านบาทให้ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2543 นั้น พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับว่า เป็นของตนเอง

"ข้าพเจ้าและคู่สมรส ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นหรือกรรมการบริษัท วินมาร์คและข้าพเจ้ามิได้เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินอคร์ป นอกเหนือไปจากที่โอนให้แก่บริษัท แอมเพิลริช ฯและญาติพี่น้องคนอื่น..และกรณีบริษัท วินมาร์คฯมีหุ้นบริษัทชินคอร์ปอยู่จริงก็เป็นเรื่องของบริษัท วินมาร์ค เพราะหุ้นบริษัทชินคอร์ป(54ล้านหุ้น) เป็นบริษัทมหาชนที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์" (คำให้ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ยื่นต่อคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)

สำหรับหุ้น 6 บริษัทที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่า ขายให้แก่บริษัท วินมาร์คได้แก่ บริษัท โอเอไอ พร็อพเพอร์ตี้ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2546 และแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน ในวันที่ 23 สิงหาคม 2546 และนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เดือนกันยายน 2546) บริษัท เอสซี ออฟฟิซ ปาร์ค,บริษัท เวิร์ธ ซัพพลายส์ บริษัท พีที คอร์ปอเรชั่น บริษัท เอสซีเค เอสเตท และบริษัท บี.พี.พร็อพเพอร์ตี้

แต่แล้วจู่ๆ บริษัท วินมาร์คซึ่งถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสทฯ จำนวน 61,165,144 หุ้น (เกือบ 20% ของทุนจดทะเบียน) มานานกว่า 3 ปี ก็โอนหุ้นจำนวนดังกล่าวให้แก่ แวลู แอสเสทส์ ฟันด์ (VAF) ตั้งอยู่บนเกาะลาบวน ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2546 ก่อนนำบริษัทเอสซี แอสเสทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพียง 2 สัปดาห์ ทั้งๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณเคยให้สัมภาษณ์ว่า บริษัท วินมาร์ค มาซื้อหุ้นบริษัทเอสซี แอสเสท เพื่อผลประโยชน์จากการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น

ต่อมาในวันที่ 1 กันยายน 2546 (จดทะเบียนในตลาดหุ้นวันที่ 5 กันยายน) VAF โอนหุ้นเอสซี แอสเสทต่อให้แก่ กองทุนโอเวอร์ซี โกรว์ธ ฟันด์ อินซ์ (OGF) และกองทุน ออฟชอร์ ไดนามิค ฟันด์ อินซ์ (ODF) ซึ่งตั้งบนเกาะลาบวนเช่นเดียวกัน

ขณะเดียวกัน VAF ได้สละสิทธิ์การซื้อหุ้นเพิ่มทุนบริษัท เอสซี แอสเสทฯ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2546 ให้แก่ น.ส.พิณทองทาและ แพทองธาร บุตรสาว 2 คนของพ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ VAF เสียประโยชน์ถึง71 ล้านบาท

นอกจากนั้น มีการตรวจสอบพบว่า ที่อยู่ของบริษัทวินมาร์ค และแอมเพิลริชมีสถานที่ตั้งอยู่ที่เดียวกัน คือ ตู้ ป.ณ.3151 โรด ทาวน์ ทอร์โตลา เกาะบริติช เวอร์จิ้น (P.O.BOX 3151, Road Town, Tortola, British Virgin Island )

โดยนายสุวรรณ วลัยเสถียร ที่ปรึกษาด้านภาษีของครอบครัวชินวัตร ขณะนั้น ยอมรับว่า บริษัท แมธีสัน ทรัสต์ (Matheson Trust Company (BVI) ได้รับการว่าจ้างให้จัดตั้งบริษัท แอมเพิลริชฯ

ข้อพิรุธเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดข้อสงสัยว่า บริษัทวินมาร์ค ตลอคจนทั้ง 3 กองทุนในมาเลซียมีความเกี่ยวพันกับครอบครัวชินวัตร

คำให้การของนางวรัชญา ศรีมาจันทร์ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552(คดีกล่าวหา พ.ต.ท.ทักาณ ร่ำรวยผิดปกติและขอให้ศาลยึดทรัพย์สิน 76,621 ล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน) ได้ไขปริศนาที่ค้างคาใจอยู่ทั้งหมดให้กระจ่าง

เพราะจากการตรวจสอบข้อมูล (คดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสทฯ) จากสำนักงาน ก.ล.ต.ในต่างประเทศพบหลักฐานดังนี้

หนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานจัดตั้งกองทุนลับ "ซิเนตรา ทรัสต์" ขึ้น จากนั้นให้กองทุนดังกล่าวเข้าไปถือหุ้นบริษัท บลูไดมอนด์ จำกัด 100% และบริษัท บลูไดมอนด์ ถือหุ้นในบริษัท วินมาร์ค 100% โดย พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานได้ว่าจ้าง บริษัท แมธีสัน ทรัสต์ บนเกาะฮ่องกง ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่ว่าจ้างให้จัดตั้งบริษัท แอมเพิลริชฯ ดำเนินการจัดตั้งบริษัททั้งสามและในการทำธุรกรรมแต่ละครั้งต้องฟังคำสั่งจากผู้ว่าจ้าง

สอง เอกสารการจัดตั้ง "ซิเนตรา ทรัสต์" ระบุชัดว่า ผู้รับประโยชน์จากกองทุนดังกล่าวคือพ.ต.ท.ทักษิณ คุณหญิงพจมานและลูกๆ

สาม เอกสารในการเปิดบัญชีหุ้นของบริษัท วินมาร์ค ที่ธนาคารยูบีเอสที่สิงคโปร์ระบุผู้รับประโยชน์คือ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน

สี่ เงินที่บริษัทวินมาร์คอ้างว่า ใช้ในการซื้อหุ้นกลุ่มบริษัทเอสซี แอสเสทฯ 6 บริษัท มูลค่า 1,527 ล้านบาทฯและโอนเข้าบัญชีคุณหญิงพจมานนั้น ปรากฏว่าเมื่อตรวจย้อนกลับไปพบว่า ในจำนวนเงิน 1,527 ล้านบาท เงิน 300 ล้านบาทโอนมาจากบัญชีของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานจากธนาคาร 3 แห่งในสิงคโปร์ ที่เหลือ 1,200 ล้านบาทเป็นเงินจากบริษัท วินมาร์ค ในสิงคโปร์

ห้า กองทุน VAF ที่รับโอนหุ้นเอสซี แอสเสทฯ ต่อจากบริษัท วินมาร์ค ถือหุ้นโดยบริษัท วินมาร์ค 100 % เช่นเดียวกับ OGF และ ODF ถือหุ้นโดย VAF

หก บริษัทวินมาร์ค ถือหุ้นชินคอร์ปตั้งแต่ปี 2544 อยู่ 54 ล้านหุ้น (1.8%) โดยเปิดบัญชีที่ธนาคารยูบีเอส สิงคโปร์ซึ่งมีเลขบัญชีเดียวกับบริษัท แอมเพิลริชฯที่มีหุ้นชินคอร์ปอยู่ 329.2 ล้านหุ้น (เป็นหลักฐานจาก คตส.)

หลักฐานดังกล่าวทั้งหมด บ่งชี้ว่า

1.พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวชินวัตร มีเงินซุกซ่อนอยู่ต่างประเทศที่เป็นจำนวนมหาศาลตั้งแต่ก่อนและระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมิได้ยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ?
นอกจากจะขัดต่อรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นการโกหกต่อประชาชนมาตลอด?

เงินที่ใช้ซื้อหุ้น 6 บริษัทมูลค่า 1,527 ล้านบาท เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง? แต่เงินส่วนใหญ่ที่ยังซุกซ่อนอยู่และได้จากธุรกรรมใดยังคงเป็นปริศนาอยู่

2. เป็นการบ่งชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงมีอำนาจในการจัดการหุ้นและทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมด ดังนั้น หุ้นชินคอร์ปที่ถือโดยบริษัทต่างๆ และลูกๆ จึงเป็นเพียงการถือหุ้นแทนหรือ"นอมินี" ซึ่งหากศาลฎีกาฯเชื่อในหลักฐานดังกล่าวหรือพยานฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่อาจโต้แย้งได้

ทั้งหมดนี้จึงอาจเป็น "จุดตาย" ของพ.ต.ท.ทักษิณในคดียึดทรัพย์ 76,600 ล้านบาท




วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แฟนบอลสิงคโปร์ร่วมถวายพระพร

.
.
เมื่อวานทีมบอลไทยแ้พ้สิงคโปร์ในบ้าน 1:0 จากการแข่งขันรอบคัดเลือกฟุตบอลเอเชียนคัพ

แม้จะผิดหวังเพราะบอลแพ้ เพราะเล่นแบบเดิมๆไม่พัฒนา ชนะสิงคโปร์ไมได้ หวังไปบอลโลกผมคงต้องรอชาติหน้าๆๆ

แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็มีข่าวน่าชื่นใจบ้างก็คือ
.
ไทยรัฐ

วันนี้ แฟนบอลสิงคโปร์ร่วมถวายพระพรในหลวง ที่รพ.ศิริราช

นายอับรา ฮาซิ หัวหน้ากลุ่มดาย ฮาร์ทแฟนคลับ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทราบข่าวว่ากษัตริย์ของเมืองไทยเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ไม่เหมือนที่ไหนของโลก เพราะพระองค์ทรงงานอย่างหนักเพื่อพสกนิกรของพระองค์ให้มีความกินดีอยู่ดี เช่น โครงการฝนหลวง ที่ไม่มีผู้นำประเทศไหนทำได้ แม้ว่าจะอยู่คนละศาสนา ก็รู้สึกรักพระองค์ โดยไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้

พวกเราได้สวดดูอาร์ ขอถวายพระพรให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เข้าถึงและเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประชาชน ที่สำคัญเป็นพระมหากษัตริย์ที่ประชาชนสามารถสัมผ้สได้

.
.

.
.

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

มติชน-เจาะแผนฮุนเซ็นจับวิศวกรไทย

.
.
มติชนวิเคราะห์
.
.

ทักษิณ"ร่วมมือ"ฮุนเซน"จับ"สปายไทย"กลบข่าว"ปากไว"สร้าง"จิ๋ว"เป็น "ฮีโร่"หักหน้า"อภิสิทธิ์"

ไปไหนมาไหนเจอแต่คำถามว่า สถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นว่าระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาโดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นชนวนเหตุ จะจบลงอย่างไร โดยเฉพาะความขัดแย้งมีทีท่าจะลุกลามเพิ่มมากขึ้น

เมื่อรัฐบาลฮุนเซนจับวิศวกรชาวไทย ตั้งข้อกล่าวหาว่า เป็น"สปาย"หรือ"จารชน"ขโมยข้อมูลตารางการบินของพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อแจ้งให้สถานทูตไทยในกรุงพพนมเปญทราบ จนเป็นข้ออ้างในการขับเจ้าหน้าที่ทูตไทยกลับประเทศภายใน 48 ชั่วโมง

ข่าวดังกล่าวได้ถูกกระพือให้เป็นจริงเป็นจังมากขึ้นโดย ส.ส.เพื่อไทย เช่น อ้างว่า เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่บินกลับไปนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไม่กล้าบินผ่านน่านฟ้าไทย เพราะกลัวถูกสอย เลยต้องบินอ้อมทางอ่าวไทย

นักข่าวอาวุโสรายหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ในต่างประเทศและติดตามข่าวต่างประเทศมานานวิเคราะห์ว่า สถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นเกมที่พ.ต.ท.ทักษิณร่วมกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาสร้างขึ้นเพื่อต้องการกลบข่าว"ปากไว"ของ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งให้สัมภาษณ์ไทม์สออนไลน์พาดพิงถึงสถาบัน ทำให้เกิดกระแสไม่พอใจอย่างกว้างขวาง

ขณะเดียวกันทั้งพ.ต.ท.ทักษิณและสมเด็จฮุนเซนนั้นมีเป้าหมายเดียวกันต้องการโค่นล้มนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีพ้นจากเก้าอี้ แต่ด้วยเหตุผลต่างกันคือ สมเด็จฮุนเซนเห็นว่า ถ้าปล่อยให้นายอภิสิทธิ์เติบโตขึ้นและสามารถอยู่ในตำแหน่งได้นาน อาจเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในอาเซียน

ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณต้องการกลับเข้ามามีอำนาจในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่ง ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณสามารถกลับมาครองอำนาจได้ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆด้วยคือสมเด็จฮุนเซน
เท่ากับกัมพูชายิงกระสุนนัดเดียวได้ นกถึง 2 ตัว

การจับวิศวกรไทยโดยยัดข้อหาจารกรรม นอกจากเป็นกลบข่าว"ปากไว"แล้ว ยังทำให้กระแสข่าวพุ่งเป้าไปที่นายอภิสิทธิ์ว่า จะแก้ไขปัญหาอย่างไร

แน่นอนว่า สมเด็จฮุนเซนต้องเล่นเกมแรงเพื่อทำให้ดูว่า นายอภิสิทธิ์ไร้น้ำยาที่จะช่วยเหลือวิศวกรไทยได้

อย่าลืมว่า กลุ่มบริษัทสามารถของตระกูลวิไลลักษณ์ลงทุนอยู่กัมพูชานานนับสิบปี จึงมีสายสัมพันธ์อันดักับรัฐบาลฮุนเซนอย่างมาก แต่กลับไม่สามารถช่วยเหลือพนักงานบริษัทที่ตกเป็นจำเลยในครั้งนี้ได้

เมื่อวิกฤตการจับวิศวกรไทยถูกปลุกจนถึงขีดสุด(มีการตัดสินจำคุกเพื่อให้เห็นว่าผิดจริง)และเห็นว่า รัฐบาลไทยไม่สามารถช่วยเหลือวิศวกรไทยได้

ก็จะมีบุรุษร่างอ้วน ใสแว่นปราดเข้ามาทำทีเป็นเจรจากับรัฐบาลฮุนเซน พาวิศวกรไทยกลับบ้านเยี่ยง"วีรบุรุษ"ในรูปของการอภัยโทษตามการขอร้องของมหามิตรอย่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยหรือของพ.ต.ท.ทักษิณ โดยลอกซีนมาจากนายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐที่นำนักข่าวอเมริกันที่ถูกเกาหลีเหนือจับตัวไปกลับบ้านได้สำเร็จ

นอกจาก พล.อ.ชวลิต จะได้คะแนนนิยมไปเต็มๆแล้ว ยังเป็นการตบหน้ารัฐบาลอภิสิทธิ์ฉาดใหญ่

ขณะเดียวกันก็เป็นการปูทางให้พล.อ.ชวลิตกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งเพื่อแก้ไขวิกฤตความขัดแย้งรหว่างไทย-กัมพูชาอีกด้วย

แต่เมื่อพล.อ.ชวลิตเป็นนายกฯแล้วภารกิจที่สำคัญกว่า คือการทำทุกวิถีทางเพื่อให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้ามามีอำนาจในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง!!
.
.
บทความจาก มติชนวิเคราะห์
.
.

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทักษิณ-ฮุนเซนจากศัตรูสู่มิตร กัมพูชาประเทศที่มีไว้ขาย

.
.
คมชัดลึก


ก่อนจะมาเป็นเพื่อนรักของ ทักษิณ ชินวัตร นั้นใครต่อใครคงจะสงสัยว่า เส้นทางเดินของ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา

ประเทศที่เพิ่งรู้จักคำว่า "การเลือกตั้ง" ไปเมื่อไม่ถึง 20 ปีนี้ มีเส้นทางมาอย่างไร และจู่ๆ ไปรู้จักมักจี่กับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปัจจุบัน เป็นนักโทษหนีอาญา 2 ปี ของไทยได้อย่างไร

เมื่อปี 2540 เป็นที่รู้กันว่า ทักษิณ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนความพยายามปฏิวัติโค่นพรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี) ของฮุน เซน และหันไปสนับสนุน สม รังสี และพรรคสมรังสี รวมทั้งพรรคฟุนซินเปก ของสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์

จากที่ก่อนหน้านั้น เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2539 มีการใช้ระเบิดมือโจมตีในกัมพูชา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 16 คน บาดเจ็บกว่า 100 คน

ไม่ต้องถามว่าในยามนั้น ฮุน เซน รู้สึกอย่างไรกับ ทักษิณ ซึ่งทำธุรกิจด้านการสื่อสารในกัมพูชา

แต่ด้วยความที่เป็นนักธุรกิจที่ใจถึง ทำให้เกิดข่าวลือว่า ของขวัญที่เป็นกระดาษมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ถูกส่งไปยังผู้ครองอำนาจในกัมพูชา เรื่องราวจึงค่อยๆ ซาลง ขณะที่มิตรภาพก็ค่อยพอกพูน

แต่จะเพิ่มขึ้นเพราะผลประโยชน์อย่างที่เล่าลือกันหรือไม่ ยังคงต้องรอการพิสูจน์

แต่ที่แน่ๆ ในเวลาต่อมา ฮุน เซน ยึดอำนาจจาก เจ้ารณฤทธิ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 1 ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวของประเทศ (http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/138761.stm )

มิตรภาพของทั้งสองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่ง ทักษิณ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำของประเทศไทย การเจรจาตกลงทางการค้า และความช่วยเหลือในลักษณะก้าวไปด้วยกันทางเศรษฐกิจ ก็ยิ่งทำให้ฮุน เซน วางใจมากขึ้น


อ่านรายละเอียดต่อ คลิกที่นี่
.
.

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประเทศเล็กๆอย่างกัมพูชาเอาตัวรอดมาได้อย่างไร?

.
.
บทความโดยนิธิ เอียวศรีวงศ์


ในฐานะประเทศเล็กๆ ซึ่งต้องถูกขนาบข้างด้วยอำนาจที่เหนือกว่าทั้งสองฝั่ง กัมพูชาจะเอาตัวรอดได้อย่างไร?

ผมคิดว่านี่คือปัญหาใหญ่ของชนชั้นนำกัมพูชามาหลายศตวรรษแล้ว ความวิตกกังวลนี้ไม่ได้คิดขึ้นเอง แต่มาจากประสบการณ์จริงที่ผ่านมาในอดีตหลายร้อยปี แม้จนเมื่อไม่นานเกินความทรงจำนี้เอง ฝรั่งเศสบอกและคงจะสอดคล้องกับความคิดของเขมรด้วยว่า หากไม่มีฝรั่งเศส กัมพูชาคงถูกทั้งไทยและเวียดนามกลืนหายไปจากแผนที่โลกแล้ว

ฉะนั้น ประเด็นทางการเมืองที่สำคัญในกัมพูชา ไม่ว่าผู้นำจะเป็นใคร ก็ต้องรวมเอาการรักษากัมพูชาที่เหลืออยู่นิดเดียวนี้ให้รอดในฐานะประเทศเอกราชตลอดไป

หนทางหนึ่งที่ผู้นำกัมพูชาใช้ตลอดมา (ตั้งแต่ก่อนตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส) ก็คืออาศัยเงื่อนไขในสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในวงแคบๆ เฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือในวงกว้างระดับโลกก็ตาม แต่สถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชาสามารถเอาตัวรอดจากไทยและเวียดนามได้

ในระหว่างสงครามเย็น เจ้าสีหนุ (เมื่อทรงออกจากพระราชอิสริยยศกษัตริย์เพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี) ทรงเลือกที่จะสังกัดฝ่ายที่ "เป็นกลาง" เพราะรู้ว่ากัมพูชาไร้ความสำคัญทางเศรษฐกิจหรือยุทธศาสตร์เสียจนกระทั่งสหรัฐคงปล่อยให้กัมพูชาเป็นกลางได้ต่อไป

ในขณะเดียวกัน ก็ใช้ความเป็นกลางนี้เป็นอำนาจต่อรองกับไทย รวมทั้งนำเรื่องปราสาทพระวิหารขึ้นศาลโลก สิ่งที่กัมพูชาได้มาจากชัยชนะในครั้งนั้น ไม่ใช่แค่ตัวปราสาทพระวิหาร

แต่คือการรับรองเส้นเขตแดนที่ไทยทำไว้กับฝรั่งเศส อันเป็นสิ่งที่กัมพูชาสามารถใช้เป็นกุญแจสำหรับไขล็อคอันเป็นข้อพิพาททางพรมแดนกับไทยได้อีกหลายจุดในอนาคต... (มีต่อ)


กรุณาอ่านรายละเอียดที่เหลือต่อที่ มติชนออนไลน์
.

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แนะวิธีแก้ปัญหาการฮุบที่ดินไทยจากต่างชาติ

.
เห็นช่วงที่ผ่านมาพูดกันเอยะเรื่องต่างชาตกว้านซื้อที่ พอดีไปเจอบทความในประชาชาติซึ่งก็มีบางแง่ที่น่าสนใจเลยเอามาฝากไว้ให้อ่าน แต่ย้ำว่าไม่ใช่ต้องเห็นตามทั้งหมด แต่คิดว่ามันเป็นเพียงแนวคิดหนึ่งที่ดีครับ
.
--------------------------

.
วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 18:32:00 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

วิเคราะห์ ปัญหาต่างชาติซื้อที่นาแก้ไม่ยาก ..แต่ไม่มีใครกล้าแตะพ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าวฯ

ประชาชาติออนไลน์ วิเคราะห์ ปัญหาต่างชาติซื้อที่ดินในประเทศไทย อย่างถึงรากถึงโคน มองปัญหาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เลิกตื่นตูมและโวยวายแบบไร้สติได้แล้ว วิพากษ์จุดบอด พ.ร.บ.การประกอบกิจคนต่างด้าว และ ประมวลกฎหมายที่ดิน ฟันธง ไม่มีรัฐบาลหน้าไหน แก้แตะต้อง เพราะกลัวต่างชาติ ถอนการลงทุน บทวิเคราะห์เสนอแนวทางแก้ปัญหา อย่างชัดเจนเป็นระบบที่สุด

สังคมไทย ตื่นตูมกันอีกครั้ง เมื่อมีข่าวว่า ต่างชาติ จะเข้ามาซื้อที่นาปลูกข้าว สื่อบางฉบับ เล่นข่าวแบบหวือหวา น่าวิตก ว่า ต่างชาติจะเข้ามากวาดซื้อที่ดินแปลงใหญ่

เมื่อ นักข่าวไปถามนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยืนยันว่า ตามกฎหมายได้กำหนดชัดเจนว่าชาวต่างชาติไม่สามารถมาซื้อที่ดินในประเทศไทยได้

กฎหมายฉบับที่ท่านผู้นำ พูดถึงก็คือ ประมวลกฎหมายที่ดิน กับ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 นั่นเองเอาเข้าจริง ปัญหาต่างชาติ เข้ามาซื้อที่ดิน ในประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นข่าวขึ้นมา ครั้งใดก็ ตื่นตูม กันพักใหญ่แล้วก็เงียบไป 2 ปีที่แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีชวน นายวาลิด อาเหม็ด จัฟฟาลี รองประธานบริษัทซาอุดีซีเมนต์ (SCC) ซึ่งเป็นบริษัทซีเมนต์รายใหญ่สุดของประเทศซาอุดิอาระเบียและเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ

กลุ่มบริษัท EA Juffali&Brother กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมและพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดของซาอุฯและภูมิภาคตะวันออกกลาง ลงดูพื้นที่ปลูกข้าว ที่บ้านนายประภัตร โพธสุธน จ.สุพรรณบุรี เพื่อเตรียมลงทุนทำนาปลูกข้าวส่งขายต่างประเทศ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม2551
ปรากฏว่า ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และนายประภัตร โพธสุธน ถูกด่ายับ อย่างรุนแรง ด้วยข้อหา ขายชาติ !!!จริงๆ แล้ว คนไทยกลัวต่างชาติ ยึดครองที่ดิน มาโดยตลอด

ในสมัยรัฐกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีความกังวล ปัญหาการโอนที่ดิน ไปตกอยู่ในมือ นักลงทุนชาวญี่ปุ่น นักเก็งกำไรชาวจีน และบริษัทอีสต์-เอเซียติก

รัชกาลที่ 7 ทรงยืนกรานที่จะไม่ยอมให้ที่ดินผืนใหญ่ผ่านมือไปเป็นของชาวต่างชาติ ครั้งหนึ่ง ชาวญี่ปุ่นได้ถามมาในปี 1929 ว่าจะมาเพาะปลูกอ้อยในสยามได้ไหม?

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปรารภว่า สำหรับตัวข้าพเจ้าเองรู้สึกไม่เต็มใจจะให้ที่ดินของเราตกไปอยู่ในมือคนต่างชาติ หากรัฐบาลยอมให้ที่ดินตกไปอยู่ในมือคนต่างชาติมากเกินไป ถ้าประชาชนปฏิวัติเขาก็มีเหตุผลสมควรที่จะทำเช่นนั้น

กล่าวกันว่า ตลอดรัชสมัยของพระองค์มีการต่อต้านการโอนที่ดินแปลงใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นาหรือที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมให้กับชาวต่างชาติ แม้เจ้าของจะเป็นคนเชื้อสยาม-จีนก็ตาม

มาในยุคปัจจุบัน 2 ปีที่แล้ว เกิดปัญหา บริษัท ไทยเทียม หรือ การเชิดนอมินี เข้ามาทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (ค้าที่ดิน) บนเกาะสมุย จ. สุราษฎร์ธานี เอาเข้าจริง ปัญหาไทยเทียม กระจายไปทั่วประเทศทั้ง จ.ภูเก็ต จังหวัดชายทะเลอันดามัน เรื่อยมาถึง อำเภอหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตลอดจนชายทะเลฝั่งตะวันออก

ล่าสุด เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2552 อัยการฝ่ายคดีพิเศษสั่งไม่ฟ้องที่ปรึกษากฎหมายที่อยู่เบื้องหลังการกว้านซื้อที่ดินของต่างชาติบนเกาะสมุย จนถึงวันนี้ จึงไม่เคยมีคดีนอมินีขึ้นสู่ชั้นศาล สักคดี

ปัญหา นอมีนี ที่ท้าทาย อำนาจรัฐมากที่สุด แต่รัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้ ก็คือ กรณี บริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด นอมินีที่ถูกเชิดมาเพื่อดีล ขาย ชินคอร์ป ให้แก่ เทมาเส็ก มูลค่า 73,000 ล้านบาท

เพราะกรณี กุหลาบแก้ว ขนาดว่า พฤติกรรมชัดเจนมากที่สุดแล้ว ยังลอยนวล แล้วจะไปจัดการกับ นอมินี อีก 5 แสนราย ได้อย่างไร ?

ในขณะที่ กรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ บริษัท ไทยเทียม แค่ 6 คน ?

"คณิสสร นาวานุเคราะห์" อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า ได้ตรวจสอบการข้อมูลบริษัทที่จดทะเบียนไว้กับกรมฯ ซึ่งมีทั้งหมด 5 แสนราย โดย 3 หมื่นราย มีต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในบริษัทสัดส่วน 49% ซึ่งกรมฯได้ตรวจสอบลงลึกต่อไปว่าใน 3 หมื่นรายนั้น มีบริษัทไหนที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจที่ดิน พบว่ามีทั้งหมด 1,500 บริษัท จากนั้นตรวจสอบลึกลงไปอีกว่ามีบริษัทไหนที่มีการถือครองที่ดิน

ขณะนี้เหลือบริษัทที่มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นนอมินี 300 บริษัท กรมฯจึงได้ทำการตรวจสอบเชิงลึก โดยลงไปตรวจสอบในพื้นที่การถือครองที่ดินของ 300 บริษัท เพื่อหาข้อมูล ได้ตรวจไปแล้ว 200 กว่าบริษัท ยังไม่พบความผิดปกติ เหลืออีก 40-50 บริษัทที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ แต่ท้ายที่สุด คำตอบคาดเดาได้ไม่ยากว่า ไม่พบสิ่งผิดปกติ เช่นเดียวกับ "อนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ" อธิบดีกรมที่ดิน ที่ได้สั่งการให้สำนักงานที่ดินทั่วประเทศเร่งติดตามตรวจสอบการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของชาวต่างชาติ

ตามที่มีกระแสข่าวกลุ่มนายทุนต่างชาติได้เข้ามากว้านซื้อที่ดินเพื่อการเกษตร (ทำนา) ไว้ในครอบครอง แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้รับรายงานการตรวจสอบพบความผิดปกติในการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติแต่อย่างใด จริงๆ แล้ว รูปแบบในการทำธุรกิจค้าที่ดินของคนต่างด้าว มักใช้บริการของสำนักงานที่ปรึกษากฎหมายให้คำแนะนำ โดยใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงคำว่า "คนต่างด้าว" และหลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้กับรัฐในทุกรูปแบบ

ประเด็นสำคัญคือ การใช้รูปแบบของการถือครองที่ดินโดยนิติบุคคลที่มีคนต่างด้าวถือหุ้นอยู่ในอัตราร้อยละ 49 และร้อยละ 51 สำหรับคนไทย เพื่อให้มองดูว่าเป็นนิติบุคคลไทยนั้น ขณะที่กรมที่ดินพิจารณาแต่เพียงการถือหุ้นและจำนวนคนต่างด้าวที่ถือหุ้นเท่านั้น

การให้บริการของ สำนักงานที่ปรึกษากฎหมายคือ การสร้าง "นอมินี" (nominee)
โดยใช้ลูกจ้างของสำนักงานที่ปรึกษากฎหมาย หรือคนงานก่อสร้าง ซึ่งไม่มีบทบาทต่อการบริหารธุรกิจ และไม่ได้มีการลงทุนในทุนเรือนหุ้นถือหุ้นแทน

นอกจากนี้ยังมีความแยบยลที่จะกำหนดสภาพของหุ้นที่คนต่างด้าวถือให้เป็น "หุ้นบุริมสิทธิ" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1108 (4) และ 1142 โดยกำหนดสถานภาพของหุ้นบุริมสิทธิให้สามารถออกเสียง (voting right) ดีกว่าหุ้นธรรมดา เช่น 1 หุ้น มีสิทธิออกเสียงได้ 10 เสียง ในขณะที่คนไทยที่ถือหุ้นสามัญก็มีสิทธิออกเสียงเท่ากับจำนวนหุ้นสามัญนั้น ทำให้คนต่างด้าวมีสิทธิออกเสียงอย่างเบ็ดเสร็จในการดำเนินธุรกิจถึงร้อยละ 90

ทั้งๆ ที่ บริษัทเหล่านี้อยู่ในข่ายเป็น "คนต่างด้าว" และที่สำคัญบริษัทประเภทนี้ ซึงมีจำนวนหลายร้อยหลายพันบริษัท สามารถเข้ามาทำธุรกิจค้าที่ดิน ในประเทศไทย ได้อย่างเปิดเผย ทั้งๆ ที่เป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ซึ่งห้ามคนต่าวด้าวเข้ามาทำธุรกิจค้าที่ดินอย่างชัดเจน และเมื่อวิเคราะห์ ประกอบ ประมวลกฎหมายที่ดิน ฯ ยิ่งเห็นได้ชัดว่าประมวลกฎหมายที่ดินไม่เปิดช่องให้คนต่างด้าวเข้ามาครอบครองที่ดินเพื่อการพาณิชย์

ปัญหานี้ ดำรงอยู่อย่างยาวนานในสังคมไทย ขณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐก็รู้ปัญหาดีว่า บริษัทไทยเทียม เข้ามาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่ดำเนินการใด ๆ เช่นเดียวกับรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมาก็ทราบปัญหาดังกล่าวดี แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการใดๆ คล้ายกับว่า รัฐบาลปิดตาเสียข้างหนึ่ง

ทั้งๆ ที่ตามหลักกฎหมายการแก้ปัญหาอาจทำได้โดยการแก้ไขกฎหมายเพื่อควบคุมสิทธิการออกเสียงของบริษัท เพิ่มเติมจากการควบคุมด้านทุน (49/51) อาจเป็นแนวทางที่แก้ปัญหาที่ถูกทางตามหลักนิติรัฐ และเอาเข้าจริง หลักการดังกล่าว ต่างประเทศ ต่างให้การยอมรับและบัญญัติเป็นกฎหมาย แต่ก็ปรากฎว่า ไม่มีรัฐบาลใดสนใจปัญหาไทยเทียม อย่างจริงจัง

ครั้งหลังสุดที่มีการหยิบปัญหานี้ขึ้นมาพิจารณา เกิดขึ้นในปี 2550- 2551 ช่วงรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ เมื่อมีการหยิบยกกรณีการขายหุ้น ชินคอร์ป ให้กับ กองทุนเทมาเส็ก 73,000 ล้าน โดยการเชิดบริษัทกุหลาบแก้ว ซึ่งเมื่อตรวจสอบโครงสร้างบริษัทแล้ว พบว่าสิทธิการออกเสียงของคนต่างด้าวสูงกว่าคนไทย แม้ว่า สัดส่วนการถือหุ้นของคนไทยจะมากกว่าคนต่างด้าวก็ตาม

จากปัญหาดังกล่าวมีความพยายามแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และในบรรดาร่างแก้ไขพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ของ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่างกฎหมายฉบับหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ ร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว (ฉบับที่ ..) พ.ศ... ของนายสมชาย สกุลสุรรัตน์ และคณะ ( 1 มีนาคม 2550)

เจตนารมณ์ที่ปรากฏตามร่างกฎหมายฉบับนายสมชาย ระบุว่า ปัจจุบันมีคนต่างด้าวและผู้มีสัญชาติไทย หรือ นิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าวเข้าร่วมลงทุนกับคนต่างด้าวเพื่อประกอบธุรกิจที่สงวนไว้ตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าวฯ เป็นจำนวนมากโดยผู้มีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าวตามพ.ร.บ.นี้ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนหรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่าวด้าว อันเป็นธุรกิจที่กำหนดไว้บัญชีท้ายพ.ร.บ. โดยคนต่างด้าวนั้น มิได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจดังกล่าว

ดังนั้นจึงสมควรที่จะได้มีการตรวจสอบที่มาของทุนและคุณสมบัติของบุคคลดังกล่าวโดยเคร่งครัด ก่อนที่จะมีการออกใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ อีกทั้งสมควรเพิ่มบทกำหนดโทษสำหรับความผิดของผู้สัญชาติไทย หรือ นิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าวที่กระทำการให้คำปรึกษาแก่คนต่างด้าวเพื่อประกอบธุรกิจโดยจงใจหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย แต่ที่สุดร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว (ฉบับที่ ..) พ.ศ... ของนายสมชาย สกุลสุรรัตน์ และคณะ
ก็ไม่ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

หลังจากรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ จนมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ แทบไม่มีการหยิบยกเรื่องการแก้ไขพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าวฯ ขึ้นมาพิจารณาอีกเลย รวมถึงปัญหาการที่คนต่างด้าวเข้ามาทำธุรกิจค้าที่ดิน ทุกวันนี้ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ในขณะที่ปัญหาในพื้นที่ก็ยังดำรงอยู่
เพราะรัฐบาลไทยทุกยุคทุกสมัย ไม่มีรัฐบาลใดมีความชัดเจนและเด็ดขาด เพราะด้านหนึ่งรัฐบาลต้องการเงินลงทุนจากต่างชาติ อีกด้านหนึ่งรัฐบาลก็อยากปรับปรุงกฎหมายให้เกิดความชัดเจน แต่ที่สุดแล้วก็ไม่ได้ทำอะไร นอกจาก เก็บเรื่องใส่ลิ้นชัก

จริงๆ แล้ว หากจะแก้ปัญหาให้ตรงประเด็น จะต้องแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ฯ และประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนี้

1. แก้ไข เพิ่มเติมมาตรา 4 พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ฯว่า ..ในกรณีเป็นนิติบุคคลซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย ให้รวมถึงกรณีที่คนต่างด้าวมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนตั้งแต่ กึ่งหนึ่ง ของจำนวนคะแนนเสียงทั้งหมด ตามที่ปรากฏในรายการจำนวนหุ้นอันเป็นหุ้นชำระแล้วทั้งหมด ในหนังสือบริคณห์สนธิ ของนิติบุคคลนั้นด้วย ( แก้ไข เพิ่มเติมมาตรา 4 )

2 แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายที่ดิน โดยแก้นิยาม บริษัทต่างด้าว ให้รวมถึง กรณีที่คนต่างด้าวมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนตั้งแต่ กึ่งหนึ่ง ของจำนวนคะแนนเสียงทั้งหมด ตามที่ปรากฏในรายการจำนวนหุ้นอันเป็นหุ้นชำระแล้วทั้งหมด ในหนังสือบริคณห์สนธิ ของนิติบุคคลนั้นด้วย

3. รัฐบาลควรทบทวนบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลกและเศรษฐกิจ

4. กรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ ควรเร่งตรวจสอบบริษัทที่เข้าข่ายไทยเทียม เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรม ถ้ารัฐบาล ดำเนินการทั้ง 4 ประการ ทุกอย่างจะเกิดความชัดเจน

แต่เชื่อว่าที่สุดแล้ว รัฐบาล โอบามาร์ค จะนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไร!!!

-----------------------

ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


.
.