เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา วันที่ 28 ม.ค. 59 ได้มีข่าวเผยแพร่ในสื่อออกมาบ้างเกี่ยวกับคดีรถหรูของสมเด็จช่วง
ว่า มีพระหนุ่มซื้อรถเบนซ์ถวายให้่สมเด็จช่วง แถมยังซื้อทะเบียนรถ ขม.99 จากเศรษฐีนีมาในราคา 1 ล้านบาทอีกด้วย
แล้วพอถวายรถให้สมเด็จช่วงแล้ว ก็ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อย
ตามข่าวนี้
ส่วนผมขอตั้งข้อสงสัยไว้นิดนึงว่า ถ้าซื้อรถไว้เพียงแค่เป็นรถจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น มันจำเป็นด้วยหรือ ที่จะต้องไปสรรหาเลขทะเบียนรถสวย ขม.99 จนต้องซื้อหามาในราคามากถึง 1 ล้านบาท ??
ผมฝากไว้ให้คิด
---------------
ทีนี้กลับมาประเด็นที่ว่า พระหนุ่มได้ถวายรถหรูให้สมเด็จช่วง แล้วก็ได้เลื่อนสมณศักดิ์รวดเร็ว ตั้งแต่อายุยังน้อย
ในวันนี้ก็ DSI ก็ได้ออกมาเฉลยแล้วว่า พระหนุ่มที่ว่านั้นก็คือ พระมหาศาสนมุนี (ธนกิจ สุภาโว) หรือเจ้าคุณแป๊ะ เป็นพระผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ นั่นเอง
ต่อจากนี้ผมขอยกเนื้อหาบางส่วนจากคอลัมภ์ เปลวสีเงิน เกี่ยวกับคดีรถเบนซ์สมเด็จช่วง มาให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันครับ
"... ต่อจากนี้ เริ่มนับ ๑ โดย DSI รับเรื่องนี้เข้าทำเนียบ "คดีพิเศษ" เพื่อพิสูจน์ความผิดและหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีต่อไป!
ดังนั้น ตอนนี้ ยัง.....
สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ และอีกหลายคนในวงจรเบนซ์ขม ๙๙ รวมทั้ง "หลวงพี่แป๊ะ" กุญแจดอกโต ยังไม่มีใครตกเป็น "ผู้ต้องหา"
รอซักกระเดี๋ยว รอให้ DSI จัดหมวดหมู่ แยกธาตุ ไหนแพ่ง-ไม่มีโทษคุก, ไหนอาญา-มีโทษคุก, และใคร-คนไหน อยู่ในข่ายไหนบ้าง
DSI จะเรียก "แต่ละคน" มาให้ปากคำ รวมทั้ง "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" ผู้แจ้งจดทะเบียน เป็นเจ้าของเบนซ์เถื่อนคันนี้
"หลวงพี่แป๊ะ" ดูตามการประมวลเรื่องราว จะเป็น "ตัวเอก" เลยทีเดียว
DSI แถลงไว้ตอนหนึ่งว่า........
"พบหลักฐานว่า หจก. อ๊อด ๘๙ เอ็นเตอร์ไพรส์ ได้ร่วมกับอู่วิชาญ เป็นผู้ประกอบรถยนต์จากเครื่องยนต์ ตัวถังที่ได้จากขั้นตอนที่ ๑ โดยอุปกรณ์ส่วนควบอื่นๆ ไม่ปรากฏหลักฐานการนำเข้า
การประกอบรถนี้ เป็นไปตามการสั่งซื้อของพระรูปหนึ่ง ในราคา ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ในการนี้ หจก. อ๊อด ๘๙ เอ็นเตอร์ไพรส์ ได้รับเงินไป ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนอู่วิชาญได้รับเงินค่าประกอบ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท"
"พระรูปหนึ่ง" คือ "พระเสี่ย" รูปไหน ควัก ๔ ล้าน ซื้อเบนซ์ประกอบเถื่อน ถวายสมเด็จฯ เพื่อตั้งโชว์ในพระมหาเจดีย์นั่นน่ะ?
นี่เป็น "ด่านแรก" ที่ DSI ต้องไขให้แจ้งตามกระบวนการ ก่อนที่เราจะสรุปนั่น-สรุปนี่กันเองได้
พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง ท่านว่างี้ครับ....
"ชุดพนักงานสอบสวน DSI จะลงไปสอบถามรายละเอียดอีกที ว่าซื้อมาจากไหน ราคาเท่าไร เอกสารการซื้อมีไหม และมีการชำระเงินอย่างไร กระบวนการสอบสวน จะลงรายละเอียด"
แต่เบื้องต้น "หลวงพี่แป๊ะ" ท่านรับเอง ว่าท่านเป็นคนจัดซื้อรถยนต์คันนี้ถวายสมเด็จช่วง!
อ้าว...หยั่งงี้ก็ "เจริญทั้งพวง" ซีขอครับ พระคุณเจ้า!
ดี-ไม่ดี เหมือนลากสมเด็จฯ ท่านจมดอกดาวรวยไปด้วย ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ๒๔๖๘ มาตรา ๒๗ ทวิ มีว่า....
"ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจําหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจํานําหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่ยังมิได้เสียค่าภาษีหรือของต้องจํากัด หรือของต้องห้าม
หรือที่เข้ามาในราชอาณาจักร โดยยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องก็ดี หรือเป็นของที่นําเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อจํากัด หรือข้อห้ามอันเกี่ยวแก่ของนั้นก็ดี
มีความผิดต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจําทั้งปรับ........."
แต่ยังหรอก ยังไม่ถึงขั้นนั้น!
ว่าไปตามหลัก ส่วนในข้อเท็จจริง สมเด็จฯ จะพลอยแปดเปื้อนคดี ตามที่หลวงพี่แป๊ะ" รับสารภาพ" กับ DSI หรือไม่-อย่างไรนั้น พ.ต.อ.ไพสิฐบอก
"ต้องให้พนักงานสอบสวนดำเนินการให้ครบกระบวนการก่อน หลังจากนั้นจึงจะบอกได้ว่า ผู้ครอบครองมีความผิดหรือไม่
ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และเมื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวน เราจะกล่าวหาผู้ใด เขาก็มีสิทธิ์แสดงเอกสารหลักฐานมา
ดังนั้น พนักงานสอบสวนก็ต้องรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด ประมาณ ๒-๓ เดือน น่าจะเรียบร้อย"
อดใจรอไปอีก ๒-๓ เดือน รอให้ DSI ไล่สอบปากคำผู้อยู่ในข่ายคดีทั้งหมดเสียก่อน โดยเฉพาะหลวงพี่แป๊ะกับสมเด็จช่วง จึงจะบอกได้ว่า
คดีนี้ "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" ตกเป็นผู้ต้องหา หรือไม่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีเบนซ์ขม ๙๙?
ด้วยไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เจตนา ไม่ได้สั่ง เราเป็นพระ เขาถวายก็รับ เป็นการฉลองศรัทธา เมื่อรู้เป็นของเถื่อน ก็เอาคืนไป
สมเด็จฯ อาจมีช่อง "พ้นอาญา".........
และพ้น "อาบัติปาราชิก" ข้อที่ ๒ ตรงนี้ได้ ด้วยเหตุว่า "ไม่มีเจตนา" ไม่มีเถยจิตคิดจะเอา
แต่จะพ้น-ไม่พ้น ก็อีตรง "หลวงพี่แป๊ะ" นี่แหละ ถ้าหลวงพี่แป๊ะ เป็นใคร-ที่ไหน ไกลตัวสมเด็จ ก็อีกเรื่อง
แต่ปรากฏว่า "หลวงพี่แป๊ะ" คือ........
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ และเลขานุการของ "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์"
"มือ-เท้า" ของสมเด็จช่วงโดยตรงนั่นเอง!
ในบันทึกปากคำ "นายวิชาญ รัษฐปานะ" เจ้าของอู่รถโบราณ ที่ทำเบนซ์ขม ๙๙ ให้สมเด็จช่วง ให้การ DSI ว่า
"รับงานซ่อมเบนซ์ โดยมีหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เป็นผู้ว่าจ้าง นำรถและจัดหาอะไหล่ทุกชิ้นมาให้อู่ซ่อมตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ ซ่อมและทำสีเสร็จสมบูรณ์ปี ๒๕๕๔
และส่งรถเข้าจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์วัดปากน้ำตั้งแต่นั้น โดยมีค่าจ้างบูรณะรถ ประมาณกว่า ๑ ล้าน.....ฯลฯ..."
ตอนสั่งซื้อและจ่าย ๔ ล้าน ปี ๕๓-๕๔ "หลวงพี่แป๊ะ" เป็นแค่ "พระครูพิทักษ์วรานุรักษ์"
แต่เมื่อถวายสมเด็จฯ ราวๆ กรกฎา-สิงหา ๕๔........
เดือนธันวา ๕๔ ได้เลื่อนพรวดเดียวเป็นสิบขั้นก็ว่าได้ จากพระครู เป็นเจ้าคุณ คือเป็นระดับ "พระราชาคณะ" ชั้นสามัญ ที่ "พระมหาศาสนมุนี"!
เป็นรุ่นเดียวกับใครรู้มั้ย....?
รุ่นเดียวกับ "พระครูปลัดสุวัฒนจริยคุณ" วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ที่ขึ้นชั้นเป็น "ท่านเจ้าคุณ" เหมือนกัน
บอกแค่นี้คงงง แต่ถ้าบอกว่า พระครูปลัดสุวัฒนฯ นั้นก็คือ "พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ "อลัชชีประสาร" นั่นแหละ!
อ๋อ...กันใหญ่เลย!
ลองใคร่ครวญกันดู สมมุติเราเป็นเจ้าอาวาส วันดี-คืนดี รองเจ้าอาวาส แถมเป็นเลขาฯ ไม่รู้เอาเงินที่ไหนตั้ง ๔ ล้าน ไปสั่งซื้อ-สั่งประกอบรถเบนซ์มาถวาย
แล้วเราจะถามมั้ย ในฐานะเจ้านาย ที่ "รู้ไส้" ลูกศิษย์.....
"เอามาจากไหน ใครสั่ง เอามาถวายเพื่ออะไร รถราคาเท่าไหร่ แล้วท่านไปเอาเงินที่ไหนไปซื้อตั้งมากมาย?"
เจ้านาย ลองเลขาฯ ที่อยู่ด้วยกันทุกวัน โกหก-มดเท็จ แล้วเราไม่รู้-จับไม่ได้ พูดไงเชื่อหมด
นั่นเจ้านายในป่า-ในดง....
แต่ระดับสมเด็จฯ เจนจบคัมภีร์เปรียญธรรม คนต่ำต้อยปัญญา ต่อให้ ๕๐๐ ชาติ เอาซักแค่ ๑ เปรียญก็ยังไม่ได้ แต่สมเด็จถึงขั้น ๙ ประโยค สอนคนทั้งประเทศ
ถ้ายังตามลูกศิษย์ไม่ทัน ก็ไม่รู้จะว่าไง?
แบบถวายปุ๊บ-รับปั๊บ ไม่ถามไถ่ ทั้งที่สิ่งที่ถวาย เป็นสิ่งภิกษุไม่พึงรับ ก็เห็นมีแต่ "ธัมมชโยกับนายศุภชัย" เท่านั้น
หรืออุปัชฌาย์กับลูกศิษย์สไตล์เดียวกัน?
สรุป...ตอนนี้ "ใครผิด-ใครถูก" เก็บไว้ในใจ รอจนกว่า DSI สอบปากคำ "สมเด็จช่วง-เลขาฯแป๊ะ" ก่อน
ถึงตอนนั้น "ค่อยกรวดน้ำ"!
เปลวสีเงิน 20 ก.พ. 59
----------------
ใหม่เมืองเอก สรุปท้ายบทความ
คุณผู้อ่านพอมองภาพรวมออกรึยังครับ ?
ทั้งเจ้าคุณแป๊ะ และ เจ้าคุณประสาร เมธีธรรมจารย์ ได้เลื่อนสมณศักดิ์รวดเร็วเหมือน ๆ กัน ในปีเดียวกัน
คนนึงรับใช้ใกล้ชิดสมเด็จช่วง
ส่วนอีกคนรับใช้ระบอบทักษิณใกล้ชิด
พระทั้งสองคน (ไม่อยากเรียกรูป) ได้เป็นใหญ่ได้เลื่อนสมณศักดิ์เร็วและข้ามขั้น ในช่วงยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี (ประกาศเลื่อนสมณศักดิ์ปี 2554)
ที่จริง ๆ ยังมีอีก 1 คน (ไม่อยากเรียก 1 รูป) ที่ได้เลื่อนสมณศักดิ์ในปี 2554 เช่นเดียวกับเจ้าคุณแป๊ะ และเจ้าคุณประสาร
นั่นคือ การเลื่อนสมณศักดิ์ระดับ พระราชาคณะชั้นเทพ ลำดับที่ 1 คือ
1. พระราชภาวนาวิสุทธิ์ วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี เป็น พระเทพญาณมหามุนี ซึ่งก็คือ ธัมมชโย ลูกศิษย์คนดังสมเด็จช่วง เช่นกัน
สมเด็จช่วงไปมอบพัดยศให้ธัมมชโย ถึงที่วัดพระธรรมกาย แทนที่ธัมมชโยจะไปรับในพระบรมมหาราชวัง ตามโบราณราชประเพณี เพราะอ้างป่วยหนักไปไม่ไหว แต่หลังจากนั้น 2 วัน ธัมมี่ได้จัดงานมอบและฉลองพัดยศที่วัดตัวเองแทน
ส่วนการเลื่อนสมณศักดิ์ระดับ พระราชคณะชั้นสามัญ ในอันดับที่ 19 และ 20 ในปี 2554 ก็คือ
19.พระครูพิทักษ์วรานุรักษ์ วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นพระมหาศาสนมุนี (หลวงพี่แป๊ะ เลขาสมเด็จช่วง)
20.พระ ครูปลัดสุวัฒนจริยคุณ (ประสาร) วัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็น พระเมธีธรรมาจารย์
เห็นรึยังว่า ลาภยศสรรเสริญ มันทำให้คนเสื่อมลงได้ขนาดไหน แม้แต่พระก็เช่นกัน ถ้ายึดติดมาก ก็ยิ่งเสื่อมมากเท่านั้น
กรณีเจ้าคุณแป๊ะ ถวายรถเบนซ์ ขม.99 ให้สมเด็จช่วง จึงกลายเป็นรสขมที่จะทำให้เส้นทางถึงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชของสมเด๊จช่วงคงไม่หวานซะแล้ว
-----------------
ล่าสุดในปี 2561 ได้มีการเผยแพร่รูป อดีตเจ้าคุณแป๊ะ ในเพศฆราวาสถ่ายรูปกับสีกาคนนึง
รายงานข่าวบอกว่า เจ้าคุณแป๊ะได้ลาสิกขาแบบเงียบ ๆ ไปแล้ว
รวยแล้วเลิก !!
คลิกอ่าน คดีรถเถื่อนตาช่วง แค่อาตมารู้เท่าไม่ถึงการณ์นะจ๊ะ