วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
ทำไมหลวงจีนวัดเส้าหลิน อมิตตาพุทธ ด้วยมือข้างเดียว
จากกระแสลูกศิษยฺคิดล้างครู ในวงการเทควันโดไทย ทำให้ผมนึกถึง ความกตัญญูของศิษย์คนหนึ่งของท่านปรมาจารย์ตั๊กม๊อ ว่าในยุคอดีตนั้น ลูกศิษย์สามารถสละชีพเพื่อตอบแทนอาจารย์ได้
แล้วเหตุไฉนแค่โดนอาจารย์ตบสั่งสอนเพียงแค่นี้ ลูกศิษย์ยุคสมัยนี้กลับทนไม่ได้
ผมจึงขอนำเรื่องราวนี้มานำเสนอครับ
พระโพธิธรรม ปรมาจารย์ตี๊กม๊อ เจ้าอาวาสคนแรกผู้ก่อตั้งสำนักวัดเส้าหลิน
ท่านเสินกวง เฝ้าคอยปรนนิบัติพระอาจารย์ตั๊กม๊อ อยู่ไม่ยอมไปไหน ตลอดระยะเวลา ๙ ปีที่พระอาจารย์นั่งสมาธิหันหน้าเข้าผนัง
หลังการปรนนิบัติท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อเรียบร้อยแล้ว ท่านเสินกวงก็จะกลับมาคุกเข่ารออยู่ที่หน้าถ้ำตลอดเวลา ด้วยความหวังว่าจะได้รับการถ่ายทอดธรรมอันสูงสุดเพื่อความหลุดพ้น
บริเวณที่ท่านเสินกวงคุกเข่า ต่อมาได้ถูกสร้างเป็นศาลาขึ้น มีชื่อว่า “ศาลากลางหิมะ” ซึ่งยังปรากฎเป็นหลักฐานให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้
เวลาผ่านไปถึง ๙ ปี ในวันที่ ๒๙ ค่ำ ปีไท่เหอที่สิบ วันนั้นหิมะตกหนักมาก ท่านเสินกวงยังคงคุกเข่าอยู่หน้าถ้ำตลอดทั้งคืน จนหิมะท่วมสูงถึงเอว
ครั้นรุ่งเช้าพระอาจารย์ตั๊กม๊อก็ได้เดินออกมาจากถ้ำ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า
"เธอมาคุกเข่าตากหิมะอยู่ที่นี่ เพื่อประสงค์อะไร"
๙ ปีแห่งการรอคอย ท่านเสินกวง ตื้นตันจนน้ำตาไหลซึมออกมาแล้วตอบว่า
“ข้าผู้น้อย…มาขอรับการถ่ายทอดวิถีธรรมขอรับ ขอท่านอาจารย์เปิด “ประตูมรรคผล” ชี้ทางแห่ง “พุทธะ” แก่ศิษย์ด้วยเถิด”
พระอาจารย์ตั๊กม๊อ จึงตอบว่า “พระพุทธองค์สละเวลามากมายทุ่มเทชีวิตในการปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผล แล้วตัวเธออาศัยความตั้งใจเพียงเล็กน้อยมาขอรับธรรมอันยิ่งใหญ่ คงยากที่จะสมหวัง!”
ขณะนั้น ท่านเสินกวงได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร
พระอาจารย์ตั๊กม๊อก็ย้อนถามอีกว่า “หิมะสีอะไร?”
ท่านเสินกวง “ขาวขอรับ”
พระอาจารย์ตั๊กม๊อ “ถ้าเช่นนั้น เธอจงรอไปจนถึงเวลาที่หิมะเป็นสีแดงเมื่อใด เมื่อนั้นแหละฉันจึงจะถ่ายทอดวิถีธรรมเพื่อความหลุดพ้นแก่เธอ!”
คำพูดอันเป็นปริศนา เพื่อทดสอบภูมิธรรมปัญญาจากพระอาจารย์ตั๊กม๊อ ทำให้ท่านเสินกวงทั้งเสียใจ ทั้งสิ้นหวังหมดอาลัย
ตลอด ๙ ปีที่เฝ้ารอคอยมา.. ความสมหวังดูช่างเลือนราง มิหนำซ้ำความรันทดอัดอั้นตันใจ เมื่อระลึกถึงความผิดบาป ที่ตนได้ประทุษร้ายพระอริยเจ้าผู้บริสุทธิ์ด้วยโทสะจิต ความผิดฉกรรจ์ครั้งนั้น หากจะชดใช้ด้วยชีวิตก็มิอาจจะไถ่โทษ ถึงตัวจะตายแต่จิตวิญญาณก็ใช่ว่าจะหลุดพ้นเป็นอิสระไปได้
ความสับสนคับอกคับใจ ความหมดอาลัยสิ้นหวัง ทับโถมประดังเข้ามามิอาจจะสรรหาคำพูดใดๆมาพรรณาได้
ทันใดนั้นเอง ท่านเสินกวงก็หันไปคว้ามีดตัดฟืนข้างกายยกขึ้นมาฟันแขนซ้ายตนเองจนขาดตกลงบนพื้น!
จากนั้นท่านเสินกวงก็ใช้มือขวาหยิบแขนที่ขาด ยกขึ้นถวายบูชาแด่ พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ประหนึ่งแทนความในใจทั้งหมด
พระอาจารย์ตั๊กม๊อ จึงกล่าวขึ้นว่า “เพื่อแสวงหาโมกขธรรม พระโพธิสัตว์ไม่ติดในสังขารและชีวิต เธอสละแขนขอธรรมนับว่าควรสรรเสริญ..นับว่าควรสรรเสริญ”
ขณะเดียวกัน ท่านเสินกวงซึ่งก้มหน้าของตนเอง เห็นเลือดจากแขนไหลนองพื้น หิมะที่ขาวสะอาดซึมซับไว้ได้กลับกลายเป็นสีแดงฉาน! ท่านจึงเงยหน้ารีบบอกไปว่า
“ได้โปรดเถิดท่านอาจารย์ บัดนี้หิมะสีแดงปรากฏต่อสายตาท่านแล้วขอรับ!”
พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ยิ้มด้วยความยินดี พร้อมกับกล่าวว่า “นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น..การมาถึงแดนบูรพาในครั้งนี้..ไม่สูญเปล่า เพราะยังมีบุญวาสนนามาพบผู้ศรัทธาแรงกล้าที่จะสามารถรับรู้และปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมอันเที่ยงแท้ได้”
เมื่อพระอาจารย์ตั๊กม๊อกล่าวจบ ท่านได้สกัดจุดห้ามเลือดแล้วรักษาบาดแผล ท่านเสินกวงรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างจับใจจึงเอ่ยขอให้พระอาจารย์ชี้แนะว่า
“จิตของศิษย์ว้าวุ่น…ขอท่านอาจารย์ เมตตาช่วยทำให้มันสงบด้วยเถิดขอรับ”
พระอาจารย์ตั๊กม๊อ “จงเอาจิตเธอออกมาสิ! แล้วฉันจะทำให้มันสงบ”
ท่านเสินกวงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า “ศิษย์หาจิตของตัวเองไม่พบขอรับ”
พระโพธิธรรมได้สั่งสอนธรรมจนท่านเสินกวงด้วยวิถีแห่ง “จิตสู่จิต” เมื่อนั้นท่านเสินกวงก็ได้บรรลุธรรมโดยฉับพลัน
หลังจากที่พระอาจารย์ตั๊กม๊อ มีผู้รับช่วงภารกิจงานธรรมแล้ว ได้ออกจากวัดเส้าหลิน เดินธุดงค์ไปที่วัดเซียนเซิ่ง ตำบลหลง เหมน กล่าวกันว่าท่านได้ถูกพิษที่ริมฝั่งแม่น้ำลัวะสุ่ย กระทั่งใกล้วันที่จะมรณภาพ ท่านได้เรียกประชุมบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายและให้ปัจฉิมโอวาทว่า
“บัดนี้…ฉันอายุครบ ๑๕๐ พรรษาแล้ว และได้เสร็จสิ้นภารกิจหน้าที่ของพระโพธิสัตว์แห่งการมาเยือนถึงแผ่นดินนี้ ฉันได้แผ้วถางบุกเบิกเส้นทางสู่อริยภูมิไว้ให้แล้ว ต่อแต่นี้เป็นต้นไป เป็นหน้าที่ของพวกเธอทั้งหลายที่จะต้องพากเพียรปฏิบัติบำเพ็ญให้ได้บรรลุถึงธรรมที่ฉันได้สอนไว้…..
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ่อเกิดหรือที่มาของพระอริยเจ้าพระอรหันต์พระโพธิสัตว์ พระพุทธจ้าทุกๆพระองค์ที่จะอุบัติขึ้นในอนาคตกาลก็ล้วนจะออกมาจากประตูแห่งอาณาจักรธรรมนี้ ฉะนั้น จึงเท่ากับว่าพวกเธอทั้งหลายได้ทำหน้าที่อันสูงสุดของ “พระโพธิสัตว์” ได้แก่การช่วยแบกหาม เทิดทูนบูชา “พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ” ไว้มีให้วิถีธรรมนี้ด่วนดับสูญจากโลกไปเร็วนัก จะเป็นมหาบุญมหากุศลบารมีอย่างมหาศาลแก่พวกเธอ ตลอดจนสรรพสัตว์ทุกชาติภพไม่มีวันจบสิ้นทีเดียว
บัดนี้ฉันขอเตือนพวกเธอเป็นครั้งสุดท้ายอีกสักหน่อยว่าจงอย่าประมาทเลย วันเวลาร่อยหรอหมดไปไม่คอยใคร อายุวัย ความชราภาพแห่งสังขารก็กัดกินให้สิ้นไป โดยไม่ยอมคอยใครและวิถีธรรมนี้ ก็ไม่คอยใครเช่นกัน
จิตตนคิด กายตนทำ ใครทำใครได้เอง สิ่งเหล่านี้ต้องต่างคนต่างทำ จะทำแทนกันนั้นมิได้เลย บุญกุศล มรรคผลนิพพานต้องไปปฏิบัติเอง ลงมือทำด้วยตนเองให้ได้ทันตาเห็น จึงจะเป็นของเธอเองไปได้”
น้อมกราบรำลึกถึงพระคุณของพระโพธิธรรมในมหาเมตตาอันประมาณมิได้
อัจฉราวดี วงศ์สกล
30 เมษายน 2557
(akecity ขอบคุณข้อมูลจากบล็อค เตโชวิปัสสนากรรมฐาน)
-------------
การที่หลวงจีนวัดเส้าหลินรวมไปถึงหลวงจีนในสายพระโพธิธรรมแห่งพระอาจารย์ตั๊กม้อ จึงได้ใช้แขนข้างเดียวในการทำความเคารพ และกล่าวว่า "อมิตาพุทธ" ซึ่งคำ ๆ นี้เป็นพระนามของพระอมิตาภพุทธเจ้า
ก็เพื่อระลึกถึงความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของศิษย์เอกของท่านตั๊กม๊อ คือท่านเสินกวง นั่นเอง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพิ่งเปิดรับการแสดงความคิดเห็นครับ ทุกความเห็นคือกำลังใจ
แล้วอย่าลืมแวะไปที่บล้อคมุมมอง-ใหม่เมืองเอกนะครับ ขอบคุณ/ใหม่ เมืองเอก