วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
"สายล่อฟ้า" ไทยรัฐแฉนโยบายปรนเปรอนักการเมืองของพรรคเพื่อไทย
คอลัมภ์ กล้าได้กล้าเสีย โดย สายล่อฟ้า ไทยรัฐ ประจำวันที่ 3 ก.ค. 2557 ได้นำเสนอนโยบายตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวเอง ที่ออกโดยรัฐบาลเพื่อไทย!!
เพื่อชี้ให้เห็นว่า นักการเมืองไทยก็ดีแต่กอบโกยตักตวงผลประโยชน์จากประเทศชาติเข้าสู่พวกพ้องและตัวเองแบบทั้งทางตรงทางอ้อม แบบอิ่มพุงกางกันเลยทีเดียว
--------------
ลาภที่ไม่ควรได้ ของนักการเมือง
โดยสายล่อฟ้า ไทยรัฐ
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการกระทำของนักการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเองอย่างไม่ยี่หระต่อความรู้สึกของประชาชน ด้วยการละเลงเงินงบประมาณแผ่นดินอันเป็นภาษีของประชาชนไปใช้อย่างไม่มีเหตุมีผล
นั่นคือการที่รัฐบาลเพื่อไทยได้ออก พ.ร.บ.กองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา พ.ศ.2556 ซึ่งมีผลบังคับใช้มาแล้วตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2556
กองทุนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อตอบแทน ส.ส.-ส.ว.เมื่อสมาชิกภาพได้สิ้นสุดลง จึงกำหนดให้ดึงงบประมาณมาจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาเอาไว้ 6 รูปแบบ
1. การจ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพ
2. การจ่ายเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล
3. การจ่ายเงินช่วยเหลือกรณีทุพพลภาพ
4. การจ่ายเงินช่วยเหลือกรณีถึงแก่กรรม
5. การจ่ายเงินช่วยเหลือกรณีการศึกษาบุตร
6. สวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด
หากจะเรียกง่ายๆก็คือ กองทุนบำเหน็จบำนาญของ “นักการเมือง” ว่างั้นเถอะและยังแถมด้วยสวัสดิการอื่นๆอีกเพียบ
เหตุผลก็คือการตอบแทนคุณความดีของ ส.ส.และ ส.ว.ที่เสียสละทำงานเพื่อประเทศชาติ
กฎหมายฉบับนี้จึงผ่านฉลุยเพราะได้ประโยชน์กันถ้วนทั่ว เป็นความสามัคคีของนักการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านและวุฒิสภาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ไม่ต้องถามว่าประชาชนผู้เสียภาษีจะรู้สึกอย่างไร
เพราะพวกเขาอ้างว่ามาจากประชาชน มาจากการเลือกตั้งจะทำอะไรก็ได้ ยิ่งได้เสียงข้างมากก็ยิ่งมีความชอบธรรมมากกว่าปกติ
ว่าที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็มีเสียงคัดค้านว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเพราะทั้ง ส.ส.-ส.ว.น่าจะสำคัญตัวผิดคิดว่าการทำงานของพวกเขาไม่ต่างไปจากข้าราชการประจำ จึงต้องการค่าตอบแทนเพื่อดูแลความเป็นอยู่ของพวกเขาแม้จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว
ทั้งๆที่การเข้ามาทำงานการเมืองของพวกเขานั้นเป็นเรื่องการขันอาสา ไม่มีใครไปบังคับว่าจะต้องเสียสละเข้ามาทำงานการเมือง จึงไม่ควรได้รับผลประโยชน์ในลักษณะนี้
คือแกล้งลืมหรือแกล้งโง่กันแน่
การเข้ามาเล่นการเมืองนั้นนักการเมืองส่วนน้อยที่อาสาเข้ามาก็เพื่อต้องการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศและประชาชนอันนี้ควรจะต้องสรรเสริญ แต่ก็ต้องคิดอีกแง่หนึ่งว่าเมื่อคุณอาสาก็ต้องเสียสละ
แต่นักการเมืองส่วนใหญ่นั้นต้องการอำนาจและผลประโยชน์มากกว่า เป็นนักการเมืองไม่กี่ปีจากฐานะต่ำต้อยกลับกลายเป็น “เทวดา” ร่ำรวยกันอย่างถ้วนหน้า...นี่คืออาชีพที่สร้างเนื้อสร้างตัวได้ภายในพริบตาไม่ได้มีอุดมการณ์แต่อย่างใด
บางคนเข้ามาเป็น ส.ส.-ส.ว.เพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยามแล้วก็ต้องตกงานไป ทำไมจึงได้สิทธิอย่างที่ไม่ควรได้อย่างนี้
สำคัญยิ่งก็คือการสร้างปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ใช้อำนาจไม่ชอบธรรม ทำลายระบบราชการแหลกคามือ ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
การที่ คสช.ได้สั่งให้มีการตรวจสอบและทบทวนในส่วนของกองทุนนี้เสียใหม่ เพราะเห็นว่าเงื่อนไขการจ่ายง่ายเกินไปและเป็นการไม่สมควรที่ควรจะมีกองทุนนี้
ทางที่ดี คสช.ควรจะยกเลิกกองทุนนี้ไปเลยดีกว่าเพราะนักการเมืองเป็นตัวปัญหาที่ทำให้บ้านเมืองแย่ลงไปทุกวัน แต่ทำไมจะต้องมาได้รับผลตอบแทนอันไม่ควรได้
เป็นการใช้อำนาจเพื่อปรนเปรอพวกเดียวกันอย่างไร้ยางอาย.
------------------
แถม !! อีกสักบทความ
ลองทายซิ บทบรรณาธิการไทยรัฐ ของวันที่ 1 ก.ค. 2557 เขาด่าพรรคการเมืองพรรคไหน ?
มนุษย์พันธุ์รุนแรงนิยม?
โดย บรรณาธิการไทยรัฐ
ในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนและผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ เมื่อวันอาทิตย์ ที่ผ่านมา พ.อ.วินธัย สุวารี ทีมงานโฆษกคสช.เปิดเผยว่า กองทัพภาคทั้งสี่ภาคจับกุมอาวุธสงครามได้เป็นอันมาก มีทั้งปืน เครื่องยิงลูกระเบิด เครื่องยิงจรวด และวัตถุระเบิดนานาชนิด เป็นสิ่งยืนยันว่าสังคมไทยอยู่ในสภาวะไม่ปกติ คนไทยคิดที่จะทำร้ายคนในชาติด้วยกัน
การจับกุมอาวุธสงครามต่างๆ กลายเป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง หลังการยึดอำนาจ ของคสช. และเป็นเหตุผลสำคัญของการยึดอำนาจ เพื่อป้องกันการก่อเหตุรุนแรงถึงขั้นสงครามกลางเมือง อาวุธที่จับได้เป็นหลักฐานยืนยันว่า มีการตระเตรียมอาวุธพร้อมที่จะก่อความรุนแรง และผู้นำบางพรรคปลุกระดมประชาชน ให้พร้อมทำสงครามกลางเมือง
การจับกุมอาวุธคราวนี้ บางส่วน โยงไปถึงเหตุการณ์รุนแรงในปี 2553 ที่มีการประกาศบนเวทีการชุมนุมของบางพรรค การเมือง ระบุว่ายึดหลัก “แก้วสามประการ” ในการต่อสู้ อันได้แก่ พรรค มวลชน และกองกำลังติดอาวุธ คล้ายกับแนวทางการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์ในบางประเทศที่ยึดหลัก “อำนาจการเมืองมาจากปลายกระบอกปืน”
ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะวัฒนธรรมไทยไม่นิยมการใช้ความรุนแรง คนไทยรักสงบและชอบอยู่ร่วมกันโดยสันติ ประเทศไทยจึงอยู่ด้วยความสงบ ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ในขณะที่เกิดสงครามกลางเมืองในเพื่อนบ้านหลายประเทศ แต่เมื่อนักการเมืองกลับนิยมความรุนแรง นักการเมืองเป็นมนุษย์พันธุ์อะไร?
น่าสังเกตว่า การนิยมความรุนแรง มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักการเมืองประเภทหนึ่ง คือนักปลุกระดมสร้างความเกลียดชัง พร้อมที่จะใช้ความรุนแรงกับฝ่ายตรงข้าม นักการเมืองประเภทนี้พร้อมที่จะกระทำ “วจีทุจริต” ทุกอย่าง ทั้งพูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดสำรากเพ้อเจ้อ เพื่อสร้างความโกรธแค้นชิงชัง และได้รับสนับสนุนจากผู้นำพรรคให้เป็น ส.ส.หรือรัฐมนตรี ???
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพิ่งเปิดรับการแสดงความคิดเห็นครับ ทุกความเห็นคือกำลังใจ
แล้วอย่าลืมแวะไปที่บล้อคมุมมอง-ใหม่เมืองเอกนะครับ ขอบคุณ/ใหม่ เมืองเอก