วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

เมื่อไพบูลย์ นิติตะวัน สอนกฎหมายทนายความสมเด็จช่วง






ไพบูลย์" ย้ำ แม้สมเด็จช่วงอ้างไม่เจตนารับของไม่เสียภาษี ก็ยังถือว่าผิด 


อดีต สปช. "ไพบูลย์ นิติตะวัน" แนะทีมทนายวัดปากน้ำไปเช็คกฏหมายดี ๆ ยัน พ.ร.บ.กรมศุลกากร เขียนไว้ชัด รับของไม่ได้เสียภาษีไม่ต้องมีเจตนาก็ถือเป็นความผิด

แถม "สมเด็จช่วง" มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รถเบนซ์ ยิ่งชัดว่าเป็นเจ้าของ ชี้มีโทษสูงใช้แค่เปรียบเทียบปรับไม่ได้

คุณไพบูลย์ ยังเตือนอีกว่า ทนายความอย่าทำสมภารเข้าใจผิด ยัน พ.ร.บ.สอบสวนคดีพิเศษ ไม่ได้ให้สิทธิ์ผู้ให้ถ้อยคำยื่นหนังสือแจง แต่เป็นอำนาจของ ดีเอสไอ เชื่อฟ้องอู่รถหวังให้สัญญาซื้อเป็นโมฆะแต่เป็นไปไม่ได้ ติงใช้วิธีพลิกแพลงแบบนักการเมืองทำภาพพระเสีย


วันนี้ (23 มี.ค.) ที่สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนิวส์วัน นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์พระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์กับผู้จัดการออนไลน์ ถึงกรณีที่ทีมทนายความของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กล่าวพาดพิงที่นายไพบูลย์ ยก พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ทวิ เป็นการพูดแบบไม่รู้กฏหมาย และยืนยันถ้าไม่รู้เรื่องของการซื้อขายก็ไม่มีเจตนากระทำผิดว่า ตนอยากแนะนำให้ทีมทนายความไปดูกฏหมายใหม่ ในเว็บไซต์ของกรมศุลการกรตั้งแต่หน้าแรก ที่ระบุว่า ความผิดตามมาตรา 27 แม้ไม่มีเจตนาก็ถือเป็นความผิด

โดยมาตรา 27 ทวิ ระบุไว้ว่า ผู้ใดรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่ยังมิได้เสียภาษี มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ


นายไพบูลย์ อธิบายต่อว่า "ซึ่งก็เป็นไปตาม พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2482 ในมาตรา 16 ที่ระบุว่า การกระทำที่บัญญัติไว้ในมาตรา 27 และ 99 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 นั้น ให้ถือว่าเป็นความผิดโดยมิต้องคำนึงว่า ผู้กระทำมีเจตนา หรือกระทำโดยประมาทเลินเล่อหรือหาไม่

ขณะที่ความผิดเกี่ยวกับภาษีอากรนั้น จะสามารถเปรียบเทียบปรับได้ในกรณีที่มีโทษปรับอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 37 อนุ 3 แต่ในกรณีรถเบนซ์ันดังกล่าวน่าจะมีมูลค่าสูงเกินที่จะเปรียบเทียบปรับได้"

"ดังนั้นการที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ไปมีชื่ออยู่ในใบคู่มือจดทะเบียน ลงลายมือชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ของรถเบนซ์ ทะเบียน ขม 99 มาตั้งแต่ปี 2554 โดยไม่ว่าท่านจะไปรับบริจาคจากใครก็เข้าข่าย ม.27 ทวิ ตรงที่บอกว่ารับไว้โดยประการใด ก็คือรับบริจาค หรือรับด้วยอะไรมาก็ไม่รู้ เข้าข่ายแน่

เมื่อท่านไปรับมาแล้วก็ใส่ชื่อท่านอยู่มันก็ชัดเจนว่าท่านเป็นเจ้าของ และเมื่อมีการเปรียบปรับไม่ได้ มันก็เป็นคดีความทางอาญา ก็ต้องมีหนังสือเรียกให้ถ้อยคำ ถ้าเห็นว่าผิดกฎก็ต้องแจ้งข้อกล่าวหา แล้วก็ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ตนอยากให้คณะทนายกลับไปดูข้อกฏหมายให้ดี อย่าทำให้สมเด็จช่วงเข้าใจผิด ที่นึกว่าจะไม่มีปัญหาทางกฏหมาย มันไม่ถูก " นายไพบูลย์ กล่าว


ส่วนกรณีที่ทางทีมทนายความยกมาตรา 24 ของ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ระบุ สมเด็จช่วงมีสิทธิ์ที่จะให้กรมสอบสวนคดีพิเศษตั้งคำถาม และมีสิทธิ์ที่จะตอบคำถามเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น

นายไพบูลย์ กล่าวว่า "อยากให้เป็นอ่านกฏหมายดู ซึ่งมาตรา 47 ระบุไว้ชัดเจนว่า ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจ ไม่ใช่เป็นสิทธิ์ของผู้ให้ถ้อยคำ โดยในอนุ 4 ระบุอำนาจไว้ว่า มีหนังสือสอบถาม หรือเรียกบุคคลใดๆ มาเพื่อให้ถ้อยคำ ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือส่งบัญชีเอกสาร หรือหลักฐานใดๆ มาเพื่อตรวจสอบ หรือเพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่งก็เป็นไปตามดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน

การที่มีหนังสือสอบถามนั้นเขาใช้เกี่ยวกับหน่วยงาน หรือองค์กร ตัวบุคคลเขาเรียกมาทั้งนั้น ถ้ามาไม่ได้ก็ไปสอบถามถึงสถานที่ก็เป็นการช่วยอำนวยความสะดวก เมื่อสอบถามให้ถ้อยคำต่าง ๆ แล้ว ถ้าไม่ยอมให้ถ้อยคำก็สามารถออกหมายเรียกได้ เป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่

แต่ถ้าสมเด็จช่วง บอกว่าอาพาธ ไม่สามารถมาให้ถ้อยคำ เจ้าหน้าที่ก็สามารถไปสอบปากคำได้ เรื่องนี้เป็นคดีอาญา กรมสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจเต็มในการสอบสวน"

"การที่คณะทนายความ พยายามดำเนินการฟ้องร้องกับนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่ซ่อมรถ เป็นความพยายามกลบเกลื่อน หวังว่าให้สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ เพื่อให้ถือว่าสมเด็จช่วงไม่ได้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นเป็นไปไม่ได้

ยังไงตามกฎหมายตอนนี้ท่านยังเป็นผู้ถือครอง ไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ก็ให้ไปดูกฏหมายกันให้ดี แต่ดูท่าทีของทนายใช้เทคนิคการดูแลคดีเหมือนของนักการเมืองใช้วิธีพลิกแพลงต่าง ๆ แต่พอมาใช้กับสมเด็จช่วง มันเลยทำให้ภาพของท่านเสีย" นายไพบูลย์ กล่าว

http://astv.mobi/A9UVSYs




ตอนแรก ทางวัดปากน้ำ บอกญาติโยมเอารถมาถวาย

ต่อมา ทางวัดปากน้ำบอกหลวงพี่แป๊ะคนถวายรถ โดยหลวงพี่แป๊ะได้ไปว่าจ้างอู่วิชาญประกอบรถในราคาเหมาจ่าย จำนวนเงิน 4 ล้านบาท

ล่าสุด หลวงพี่แป๊ะบอก DSI ว่า ถูกหลอกซื้อเบนซ์หรู 4 ล้าน แต่ไม่รู้เป็น รถจดประกอบ

เฮ่อ พูดกลับกลอกไปมา จนประชาชี งง กันหมดแล้ว

อ้อ! ลืมไป อาจารย์ช่วงคงสอนลูกศิษย์แป๊ะไว้ว่า "พระผิดศีลก็ปลงอาบัติได้ เหมือนสารภาพบาปของศาสนาคริสต์ ทำแล้วก็สบายใจ"

คลิกอ่าน สมเด็จช่วง ผู้เป็นเลิศด้านการสะสมของโบราณหรู

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงอยู่อย่างจน






พระเณรไม่ควรอยู่อย่างหรูหราเป็นพระต้องจน



ความตอนหนึ่งในหนังสือพระของประชาชน ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย จัดพิมพ์น้อมถวายสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในงานฉลองพระชันษา ๙๖ ปี วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๒ หน้า ๑๙๑ ได้กล่าวถึง วัตรปฏิบัติประการหนึ่งของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ที่สมควรนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติให้พระภิกษุสามเณร ตลอดจนพุทธศาสนิกชนในการดำรงตนอย่างเรียบง่าย นั่นคือ “ความเป็นผู้สันโดษ”

ข้อความในหนังสือได้กล่าวไว้ว่า

“เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ที่ดำรงชีวิตด้วยการกินอยู่ง่าย ทรงมักน้อย อดทน เป็นพระผู้สันโดษ และไม่ยึดติดพิธีรีตอง การดำเนินชีวิตของพระองค์เป็นไปอย่างพอเหมาะแก่ความเป็นสมณะ ที่เรียกว่า สมณสารูป

แม้จะทรงดำรงสมณศักดิ์อยู่ในฐานะประมุขของสงฆ์ก็ตาม ที่อยู่อาศัยก็ไม่โปรดให้ตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดาร มีดำรัสแก่ภิกษุสามเณรในวัดอยู่เสมอว่า ‘พระเณรไม่ควรอยู่อย่างหรูหรา เป็นพระต้องจน’

กระทั่งจีวรนุ่งห่มก็ทรงใช้สอยอย่างธรรมดาเรียบง่าย โปรดใช้จีวรที่ซักย้อมเป็นประจำมากกว่าของใหม่ ทั้งยังโปรดที่จะซักและเย็บชุนด้วยพระองค์เองด้วย

ทรงรับสั่งในหมู่พระเณรและศิษย์ใกล้ชิดเสมอๆ ว่า ให้ใช้สอยข้าวของอย่างประหยัด โดยทรงปฏิบัติพระองค์ให้เห็นเป็นแบบอย่าง ไม่ทรงนิยมสะสมข้าวของ และมักแจกจ่ายออกไปตามโอกาสอันควร

เช่น ในวันมหาปวารณาออกพรรษา คราวหนึ่งมีผู้ประสงค์จะถวายรถยนต์สำหรับทรงใช้สอยเวลาเสด็จไปปฏิบัติภารกิจต่างๆ ทรงมีรับสั่งตอบว่า ‘ไม่รู้จะไปเก็บไว้ที่ไหน’ หมายความว่าไม่ทรงรับถวาย

และทุกครั้งเวลาเสด็จไปร่วมงานบุญงานกุศลที่วัดไหน เมื่อมีผู้ถวายปัจจัย พระองค์จะไม่ทรงรับไว้เอง จะประทานคืนโดยรับสั่งว่า ‘ขอร่วมทำบุญด้วย’

พระคุณธรรมเหล่านี้นำชีวิตของพระองค์ให้ดำเนินสู่เส้นทางของความสำเร็จ แม้จะมีอุปสรรคหรือทรงพบกับความผิดหวังต่าง ๆ

แต่ด้วยพระคุณธรรมที่มีมีอยู่ประจำพระองค์ก็ทรงฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายมาได้โดยตลอด ชีวิตของพระองค์จึงเป็นตัวอย่างอันดีงามสมควรที่จะยึดถือเป็นแบบอย่างเพื่อประพฤติปฏิบัติตาม

นอกจากนี้ ความตอนหนึ่งในหนังสือพระผู้สำรวมพร้อม ซึ่งจัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในงานบำเพ็ญพระกุศลคล้ายวันประสูติ เจริญพระชันษา ๙๙ ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ หน้า ๑๒๐-๑๒๑ ได้กล่าวไว้ว่า

“พระภิกษุในวัดบวรนิเวศวิหารที่ถวายการปรนนิบัติดูแลเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เล่าว่า แม้จนเมื่อทรงดำรงตำแหน่งประมุขแห่งศาสนจักรแล้ว ที่บรรทมในตำหนักที่ประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ก็ยังคงเป็นเพียงเก้าอี้สปริงตัวเก่า ซึ่งสั้นเกินกว่าที่จะใช้นอนได้ จึงต้องใช้ตั่งต่อทางปลายเพื่อวางพระบาท ถัดจากด้านปลายพระบาทไปก็เป็นโต๊ะเล็ก ๆ อีกตัว ตั้งพัดลมเก่า ๆ ซึ่ง ‘เปิดทีก็หมุนแก็กๆ ๆ’

แม้แต่อาสนะผืนเก่าที่พระมารดา คือ ‘นางน้อย’ เคยเย็บถวายแต่เมื่อครั้งยังเป็นมหาเปรียญหนุ่ม ๆ พระองค์ก็ใช้เรื่อยมา จนเมื่อขาดเปื่อยไป ก็ยังนำไปรองไว้ใต้อาสนะผืนใหม่ และเมื่อทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว อาสนะผืนเก่าที่พระมารดาเย็บให้ก็ยังโปรดให้วางไว้ใต้อาสนะที่ประทับเป็นการแสดงกตัญญุตาสนองคุณเช่นที่เคยทรงถือปฏิบัติมา ได้ยินมาว่าครั้งหนึ่งเคยมีเด็กจะหยิบไปทิ้งเพราะเห็นเป็นผ้าเก่าๆ ขาดๆ แต่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีรับสั่งว่า ‘นั่นของโยมแม่ เอาไว้ที่เดิม’

...ครั้งหนึ่งหลังจากทรงได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ไม่นานนักศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งมากราบทูลว่า ‘ขณะนี้วัด (ชื่อวัด) ที่เมืองกาญจน์ฯ กำลังสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเกือบจะเสร็จแล้วยังขาดเงินอีกราว ๗-๘ แสนบาท อยากจะกราบทูลใต้ฝ่าพระบาทเสด็จไปโปรดสักครั้ง สะพานจะได้เสร็จเร็วๆ ไม่ทราบว่าใต้ฝ่าพระบาทจะพอมีเวลาเสด็จได้หรือไม่ กระหม่อม’

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ตรัสตอบว่า ‘เวลาน่ะพอมี แต่เงินตั้งแสนจะเอาที่ไหน เพราะพระไม่มีอาชีพการงาน ไม่มีรายได้เหมือนชาวบ้าน แล้วแต่เขาจะให้’…”

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงทรงเป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ที่เราท่านทั้งหลายควรยึดถือเป็นแบบอย่างอย่างในการดำรงตน


ทศพนธ์ นรทัศน์ ประธานชมรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความเท่าเทียมกันรายงาน

ที่มา คมชัดลึกออนไลน์

คลิกอ่าน ญาณสังวร มีความหมายอย่างไร






วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิปัสสนึกของหลวงพ่อสด , กองกำลังออนไลน์รับจ้างของธรรมกาย







ผมเจอพวกสาวกธรรมกายออกมาโพสแสดงความเห็นในเว็บข่าวหลายเว็บ โดยเฉพาะในข่าวหรือบทความที่เกี่ยวกับสมเด็จช่วง และธัมมชโย มีจำนวนมากขึ้นจนเริ่มผิดปกติ

มีหลายคนที่โพสปกป้องสมเด็จช่วงและธรรมกายทุกรูปแบบ แต่ทั้งหมดก็เน้นไปทางด่าและใช้เหตุผลไปในทางแถซะมากกว่า

ใช้หลัก อาศัยคนเยอะกว่า แห่กันเข้าไปถล่มฝ่ายที่ต่อต้านธรรมกาย ตัวอย่างเช่น ถ้านายดำ โพสวิจารณ์สมเด็จช่วงและธัมมชโย แค่ความเห็นเดียว ก็จะมีนักรบโซเชียลโง่ ๆ จากธรรมกายเข้ามารุมด่าความเห็นของนายดำทีเดียวหลายคนเลย

อย่าให้ผมเอารูปการแสดงความเห็นของพวกนี้มาให้ดูเลยนะ ถ้าอ่านแล้วคุณอาจอารมณ์เสีย

ทีนี้ผมเลยเอะใจ แวะไปหาข้อมูลในเว็บวัดพระธรรมกายสักหน่อย เผื่อเจออะไรแปลก ๆ

แล้วผมก็เจอจริง ๆ

เว็บธรรมกายมีการรับสมัครพวกคนรุ่นใหม่ มาทำงานด้านภาพลักษณ์ให้ธรรมกายออนไลน์ ตามโฆษณานี้





สังเกตตรงคำว่า กองภาพลักษณ์ออนไลน์ 




นั่นแสดงว่า การรับสมัครคนรุ่นใหม่ของธรรมกายก็เพื่อไปช่วยงานออนไลน์ด้านภาพลักษณ์เป็นการเฉพาะกิจ

ซึ่งถ้าแปลอีกอย่างก็คือ พวกนักรบออนไลน์รับจ้างพวกนี้นี่แหละ ที่จะไปลุยแก้ต่างให้ธรรมกายในทุกเว็บที่มีช่องให้แสดงความเห็น ซึ่งไม่ค่อยได้แก้ต่างแบบฉลาด ๆ เท่าไหร่หรอก

สังเกตคุณสมบัติผู้สมัครข้อที่ 4 คือ ต้องศรัทธาในวิชชาธรรมกายด้วย

ทั้ง ๆ ที่ วิชชาธรรมกายนั้น ภายหลัง หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ก็เคยยอมรับเองว่า มันคือ วิชาสมาธิที่สอนให้ติดในนิมิต หาใช่ทางหลุดพ้นไม่

เพราะในช่วงบั้นปลายชีวิตของหลวงพ่อสดก็ยังต้องไปเรียนวิปัสสนากรรมฐานใหม่ที่วัดมหาธาตุในภายหลังแทน กับท่านเจ้าคุณโชดก เพราะวิชชาธรรมกายเป็นแค่การฝึกสมาธิที่สอนให้หลงติดในนิมิตเท่านั้น

เรื่องนี้หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ได้เล่าไว้ เพราะหลวงพ่อจรัล ทันได้เจอหลวงพ่อสด ที่วัดมหาธาตุ

มาฟังเจ้าคุณโชดก หรือพระธรรมธีรราชมหามุนี พระอาจารย์วิปัสสนาของพลวงพ่อสด วัดปากน้ำ กล่าวถึงการติดในนิมิตของหลวงพ่อสด




ถ้าถามผมว่า วิชชาธรรมกายของหลวงพ่อสด ดีไหม ?

ตอบว่า ดี เพราะคือการฝึกสมาธิที่ดีวิธีหนึ่ง ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพื่อจะต่อยอดนำไปสู่การเรียนรู้วิปัสสนาชั้นสูงต่อไป

แต่วิชชาธรรมกายยังไปไม่ถึงความหลุดพ้นจากทุกข์ หรือแปลง่าย ๆ ว่า ยังไม่ใช่วิธีดับทุกข์ เพราะยังติดอยู่แค่ในระดับสมาธิเท่านั้น

หากจะหลุดพ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริง ก็ต้องทิ้งวิชชาธรรมกาย ทิ้งกองนิมิต เพื่อเข้าถึงวิปัสสนา

คำว่า ทิ้งวิชชาธรรมกาย ไม่ได้แปลว่า ทิ้ง แบบที่คนทั่วไปเข้าใจความหมาย แต่ "ทิ้ง" คำนี้เป็นปริศนาธรรม ที่หมายถึง การจะเข้าถึงวิปัสสนาได้ ก็ต้องละทิ้งสมาธิที่หลงติดนิมิต ก่อนนั่นเอง

ใครไม่เชื่อลองหาข้อมูลในเน็ตดูได้

แต่ธัมมชโย ได้นำวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อสด มาใช้หากินใหม่ในรูปแบบการตลาดที่เรียกว่า ลยุทธ์ขายบุญ  แล้วปรุงแต่งวิชชาธรรมกายใหม่ซะเว่อร์ ไว้หลอกผู้คนให้หลงใหล

ก่อนจบบทความ

ผมขอนำคลิปหลอกสาวกเรื่อง ค้อนสวรรค์ ทุบแล้วรวย ของธัมมชโย มาให้ชมกันครับ



ทุบแล้วรวย !! รวยพ่องงงสิ !!

ถ้าไม่โง่งมงายจนเข้าขั้นหลงใหล คงไม่มีใครบ้าเชื่อเรื่องค้อนสวรรค์ห่วยแตกของธัมมชโยหรอกครับ

ต้องถูกปลูกฝังซึมลึกเข้าไปถึงแก่นของแกนสมองแล้วแหง ๆ พวกสาวกธรรมกายเนี่ย

ก่อนจบบทความนี้ ผมขอสรุปสั้น ๆ ว่า

ระบอบทักษิณ ที่ใช้ยุทธการล้มปืน ลุ้มทุน ล้มเจ้า ตามแนวทางที่จ้างพวกคอมมิวนิสต์ตกยุคช่วยวางกลยุทธ์ให้ ตอนนี้มันได้ผนึกกำลังกับระบอบธัมมชโยแล้ว เพื่อทำลายสถาบันศาสนา

ขอให้คนไทยผู้รู้ทัน จงร่วมกันต่อต้านความชั่วของทั้งสองระบอบนี้ อย่ายอมแพ้

คลิกอ่าน อย่าบำรุงพระจนเกินความพอดีของการเป็นภิกษุ