วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555
ชัยอนันต์ สมุทรวณิช วิพากษ์ความโง่ของนิติราษฎร์
ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวณิช
ความกลัวก่อให้เกิดความเชย
ในระบบประธานาธิบดีซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ผู้ได้รับเลือกตั้งมักจะมีการปฏิญาณตน หรือสาบานตนก่อนเข้ารับตำแหน่ง ในระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แม้ว่ารัฐสภาจะเป็นผู้ให้ความเห็นชอบการเข้าปฏิบัติหน้าที่ของหลายองค์กรก็ตาม แต่สมาชิกรัฐสภาก็ต้องปฏิญาณตนก่อนเข้าปฏิบัติงาน สำหรับคณะรัฐมนตรีนั้นจะทำงานได้ดีต่อเมื่อได้เข้าเฝ้าฯ และถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว
ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การปฏิญาณตนต่อพระมหากษัตริย์ถือว่าเป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์ด้วย
สำหรับพระมหากษัตริย์นั้นการเข้าสู่ความเป็นพระมหากษัตริย์ คือ การมีพิธีบรมราชาภิเษก และพระมหากษัตริย์ก็จะมีพระราชดำรัสต่ออาณาประชาราษฎร์ เช่น ในกรณีของรัชกาลปัจจุบัน พระราชดำรัสนั้นคือ “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” พิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีการที่เป็นทางการ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐ และทรงรับคำปฏิญาณหรือสาบานตนจากสมาชิกรัฐสภา จากเหล่าทหารทั้งหลาย
การมีความคิดให้พระมหากษัตริย์ต้องปฏิญาณตนก่อนเข้ารับตำแหน่ง จึงเป็นเรื่องที่เชย และแสดงความเขลาอย่างน่าขบขัน แต่ก็เกิดขึ้นแล้วในเมืองไทย
สมัยก่อนไม่เคยมีการแสดงความคิดเห็นเชยๆ แบบนี้ มีอาจารย์จุฬาฯ คนหนึ่งไม่ได้ลงชื่อร่วมขอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 อาจารย์คนนั้นถูกเพื่อนๆ ตำหนิว่า “ไม่ก้าวหน้า”
“ความก้าวหน้า” ในความคิดของนักวิชาการบางคนหมายความว่า จะต้องสามารถวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ได้ หรือไม่ก็สามารถเปลือยอก หรือเขียนว่าเคยนอนกับใครมาแล้วบ้างได้อย่างหน้าตาเฉย
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ความสับสนระหว่างสิ่งที่เลวทรามกับความถูกต้อง การรัฐประหารเป็นสิ่งที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญและไม่ควรเกิดขึ้น แต่การโกงกิน การคอร์รัปชันทางนโยบาย และการแสวงหาผลประโยชน์ของนักการเมืองก็เป็นสิ่งที่เลวและผิดเช่นกัน แม้ว่าการรัฐประหารจะก่อให้เกิดการลงโทษนักการเมือง และเกิดเหตุการณ์อีกหลายอย่าง แต่การที่ประณามว่า การรัฐประหารไม่ถูกต้อง ดังนั้นจึงควรยกเลิกการกระทำทั้งปวงที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการรัฐประหารจึงเป็นตรรกะที่สับสนอย่างยิ่ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า การเคลื่อนไหวให้เลิกทุกสิ่งที่เกิดจากรัฐประหารกับข้อเสนอให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเกิดขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกัน
ในสมัยก่อนบุคคลที่ถูกข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากที่สุดคือ คุณสุลักษณ์ ศิวรักษ์ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าคุณสุลักษณ์ เคยถูกรับโทษจำคุกแต่อย่างใด คุณสุลักษณ์นั้นเป็นบุคคลผู้เขียน และพูดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะที่ “ติเพื่อก่อ” มากที่สุด ต่างกับพวกวิจารณ์สถาบันในยุคนี้ ที่มีแต่ความหยาบคายและก้าวร้าว
นักวิชาการที่วิจารณ์สถาบันมีความเชื่อว่า พระมหากษัตริย์ทรงเกี่ยวข้องกับการเมือง และมีการกล่าวอ้างว่าคณะทหารกล้าทำรัฐประหารเพราะพระมหากษัตริย์ทรงเห็นชอบ ซึ่งเป็นการคาดคะเนเอาเอง โดยที่สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงอยู่ในฐานะที่จะแสดงความรู้สึกออกมาได้ หรือจะพูดในภาษาทั่วไปว่า จะ “ปฏิเสธข่าว” ได้
เพราะไม่มีคำกล่าวหาตรงๆ เป็นเพียงการคาดคิดซุบซิบกันเท่านั้น แม้จะมีการกล่าวอ้างถึง “ผู้ใกล้ชิด” บางคน เราก็ไม่อาจเชื่อถือได้ เพราะไม่มีใครรู้เห็นโดยตรงว่าจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร แต่สามัญสำนึกบอกว่า การที่พระมหากษัตริย์จะทรงแทรกแซงทางการเมืองถึงขั้นนั้น ย่อมเป็นภัยต่อความมั่นคงของสถาบันเอง
ผู้ซึ่งวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ไปไกลถึงกับห้ามมิให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชดำรัส บางคนก็ไม่เห็นด้วยกับบทบาทของโครงการพระราชดำริ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ศึกษาในรายละเอียดของที่มาแห่งโครงการเหล่านั้น บางคนก็ไม่ชอบสำนักงานทรัพย์สิน แต่ก็ไม่ได้ดูว่าสำนักงานทรัพย์สินไม่สามารถดำเนินการแบบธุรกิจการค้ากำไรได้อย่างเต็มที่
ผมไม่เข้าใจว่า เหตุใดคนจำนวนหนึ่งรวมถึงนักวิชาการด้วย จึงยังคงสนับสนุนทักษิณอยู่ ที่จริงในระยะแรกๆ คนจำนวนมากต่างพากันสนับสนุนทักษิณ เพราะเห็นว่าเป็นนักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ต่อมาเมื่อไปรู้ข้อมูลมากขึ้น ก็จะพากันถอยห่าง แต่ที่น่ากลัวมากก็คือ ความกล้าแบบไม่กลัวผิด และไม่อายของทักษิณ หากใครได้อ่านคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ก็จะเข้าใจดี
เวลานี้มีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง ต้องการยั่วให้ทหารออกมาปฏิวัติ การเสนอแนะจะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์คือวิธีการยั่วยุทหารวิธีหนึ่ง คำถามก็คือ แล้วเวลานี้ฝ่ายทักษิณไม่ได้มีอำนาจเต็มที่แล้วหรือ คำตอบก็คือยังไม่เต็มที่ เพราะยังมีความคิดอยู่ว่า พระมหากษัตริย์ยังทรงอำนาจอยู่
ดังนั้น จึงเกิดการเคลื่อนไหวหลายๆ ด้านอย่างประสานสอดรับกัน ในต่างประเทศในแวดวงนักการเมือง และนักธุรกิจระดับสูงมีการประชุมปรึกษากัน และมีการสรุปว่าเมืองไทยยังไม่มีการปกครองโดยรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่ มีการให้ทุนเปิดเว็บไซต์วิจารณ์สถาบันทั้งในและต่างประเทศ มีการให้เงินคนกลุ่มหนึ่งมาดำเนินการเคลื่อนไหวให้เกิดการวิจารณ์บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น เพื่อผลในระยะยาว
หลายคนฟังเขาวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว ก็ทนไม่ได้เพราะคำวิจารณ์ไม่ยุติธรรม และพระมหากษัตริย์ไม่ทรงอยู่ในฐานะที่จะโต้ตอบได้ เหมิอนในสมัยก่อน พ.ศ. 2475 เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจอย่างแท้จริง
แต่ในสมัยนี้มีแต่ “บารมี” แต่ก็ยังมีคนกลัว กลัวจนกระทั่งเกิดความคิดเชยๆ อย่างจะให้พระมหากษัตริย์ต้องปฏิญาณตนก่อนเข้ารับตำแหน่งก็ยังมี ไม่รู้เรียนจบกันมาได้อย่างไร
http://astv.mobi/AlgZLRu
ป้ายกำกับ:
ชัยอนันต์ นิติราษฎร์ ทักษิณ ความเชย ปฏิญาณตน
วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555
ตามหาความสุขที่ภูฏาน พอเพียงอย่างพุทธ!!
รายการครอบครัวเดียวกันในตอนนี้ ได้พาไปเทียวภูฏาน ดินแดนที่ไม่ร่ำรวยเงินทอง แต่ประชาชนกลับร่ำรวยความสุขมากที่สุดในโลกชาติหนึ่ง บนแนวคิดเรื่องความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness, GNH)
ผมอยากจะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่น ประเทศไทยอยากให้มีนักท่องเทียวต่างชาติมาเที่ยวกันมากๆ เพื่อหวังมีเงินทองเข้าประเทศมากๆ
นักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาเที่ยวไทย ก็ใช่ว่าจะมีแต่คนดี พวกมาเฟีย พวกผู้ก่อการร้าย พวกกุ๊ย ที่มาเที่ยวเมืองไทยก็มีมากมาย
จนประเทศไทยได้ชื่อว่า ดินแดนสวรรค์ของอาชญกรข้ามชาติ
คนไทยสนับสนุนให้ชาวต่างชาติมาถลุงทรัพยากรธรรมชาติไทย เพื่อหวังเงินตราเข้าประเทศมาก เพราะรัฐบาลหลงใหลตัวเลขผลผลิตมวลรวมของชาติ จึงทำให้สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในไทยทรุดโทรมลงมากกว่าอดีต มีหลายแห่งทรุดโทรมจนไม่สามารถเยียวยาให้เหมือนเดิมได้อีกแล้ว
นั่นก็เพราะ คนไทยยุคคลั่งประชาธิปไตยกินได้เห็นแก่เงินมากกว่าสิ่งอื่นใด
ในขณะที่ภูฏาน เขาจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในประเทศของเขา เพื่อจะได้ไม่ทำให้ประเทศชาติของเขาเสื่อมโทรมจากการท่องเที่ยวเชิงถลุงเมามันส์แบบเมืองไทย
ภูฏาน เขาเก็บเงินค่าเข้าประเทศจากนักท่องเที่ยวในอัตราที่สูงมาก เพื่อเป็นการจำกัดและคัดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพได้ดีขึ้น
ในขณะที่ไทยเราปล่อยให้พวกกุ๊ยต่างชาติเข้ามาเมืองไทยได้เต็มเมือง พวกนักท่องเที่ยวที่กุ๊ยกักขฬะที่เข้ามาเมืองไทย ก็ก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย
นั่นเพราะความคิดของคนไทยเห็นแก่เงิน ฟุ่งเฟ้อ เพราะนักการเมืองไทยมันปลูกฝังให้คนไทยมีความคิดแบบนี้มากขึ้นๆ นั่นเอง
ใหม่เมืองเอก.
------------------------------
ต่อไปนี้ เชิญชมรายการครอบครัวเดียวกัน ตอน ตามหาความสุขที่ภูฏาน แล้วคุณจะเข้าใจว่า แนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่ชาวภูฏานเข้าใจ และชื่นชมแนวคิดของในหลวงของเราครับ
ถ้าคุณมีเวลาพอ แนะนำให้ดูทุกคลิป เพราะจะทำให้คุณอิ่มเอมใจครับ
ในตอน3 พิธีกรจะสัมภาษณ์แนวความคิดแบบพอเพียง พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ของชาวภูฏาน ทำไมชาวภูฏานถึงคิดว่า ความสุขสำคัญกว่าเงินทอง?
ป้ายกำกับ:
ภูฏาน ครอบครัวเดียวกัน ไทย นักท่องเที่ยว
วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555
จอห์น วิญญู แฉรัฐบาลไหนบ้างทำไทยล่มจม!!
เจาะข่าวตื้น ของนายจอห์น วิญญู ได้อธิบายถึง ที่มาที่ไปหนี้ของประเทศไทย ว่ามันเริ่มจากจุดไหน?
แล้วมันยิ่งพังพินาศ ชนิดที่คนไทยต้องโดดตึกตายในรัฐบาลไหน?
นายจอห์น อธิบายความได้เข้าใจง่ายๆ ว่าคนไทยเป็นหนี้เพราะความโง่ของนักการเมืองไทยอย่างไร
เป็นคลิปที่น่าจะเอาไปเปิดให้คนไทยดูกันเยอะๆจริงๆ
"ปรองดองกันใช้หนี้"
มันน่าจะมีกฏหมายห้ามนักการเมืองในรัฐบาลปี2540 เล่นการเมืองไปตลอดชีวิตเลยนะ
เพราะถ้ามีกฏหมายห้ามนักการเมืองพาชาติล่มจมรัฐบาลนั้น เล่นการเมืองตลอดชีวิตได้แล้วล่ะก็
วันนี้ประเทศไทยคงไม่มีอดีตนายกรัฐมนตรีที่เลวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร แน่ๆ
จริงมะ?
กรณีสิงคโปร์เฆี่ยนและจำคุกวัยรุ่นมะกัน เปรียบเทียบกับมาตรา112
กฏหมายบ้านเมืองใด ก็ย่อมมีความแตกต่างกัน ไปตามจารีตประเพณีและวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ เป็นพื้นฐาน
หากคุณละเมิดกฏหมายบ้านเมืองอื่น จะมาอ้างว่า เพราะกฏหมายนี้ในบ้านเมืองคุณไม่มี ย่อมไม่ได้!!
จากกรณีกลุ่มนิติราษฎร์ อ้างขอแก้ไขมาตรา112 สมเหตุสมผลในแบบพวกบ้าสิทธิเสรีภาพแบบไม่เคารพประเพณีวัฒนธรรมของชาติ
ซึ่งผมเคยได้เขียนไว้ในบทความ มาตรา112 ที่รัก ไว้ และต่อไปนี้ ลองอ่านความเข้มงวดของสิงคโปร์ดูบ้างครับ
v
v
จากกรณี"สิงคโปร์"เฆี่ยนวัยรุ่นมะกัน ถึง"โจ กอร์ดอน"คดีมาตรา 112
เรื่องที่ นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กรณีศาลไทยมีคำพิพากษาจำคุกนายโจ กอร์ดอนหรือ นายเลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ คนไทยสัญชาติอเมริกัน ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (กฎหมายอาญามาตรา112) โดยกล่าวในทำนองว่ากฎหมายและการลงโทษดังกล่าวไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และว่าจะพยายามช่วยเหลือนายโจอย่างเต็มที่
ทำให้หวนนึกถึงคดีที่ นายไมเคิล เฟย์ วัยรุ่นชาวอเมริกันวัย 18 ปี ถูกศาลสิงคโปร์ สั่งจำคุกและเฆี่ยน เมื่อปี 1994 (2537) หรือเมื่อ 18 ปีก่อน ในข้อหาทำลายทรัพย์สินของรัฐและเอกชน จากการใช้สีสเปรย์พ่นรถยนต์ของชาวบ้านหลายคัน ขีดข่วน-กรีดยางรถยนต์ และขโมยป้ายบอกทาง
ไมเคิล เฟย์ ถูกศาลสิงคโปร์พิพากษาจำคุก 4 เดือน เฆี่ยน 6 ครั้ง และปรับเป็นเงินอีก 3,500 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือเทียบเท่า 2,214 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะนั้น
คดีของนายไมเคิล แน่นอนว่าโด่งดังไปทั่วโลก สื่ออเมริกันรายงานข่าวนี้อย่างเอิกเกริกคล้ายกับโลกจะแตก เพราะเป็นครั้งแรกที่พลเมืองอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่จะถูกลงโทษโดยการเฆี่ยน ซึ่งในสายตาตะวันตกมองว่าเป็นวิธีการลงโทษที่รุนแรงป่าเถื่อน
สถานทูตสหรัฐประจำสิงคโปร์ ได้ออกมาอ้างว่า การพ่นสีสเปรย์ใส่รถยนต์ที่ไมเคิลทำไปนั้น ไม่ใช่ความเสียหายถาวร แต่การเฆี่ยนจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นติดตัวไมเคิลไปอย่างถาวร
ขณะที่รัฐบาลสหรัฐได้ออกแรงกดดันสิงคโปร์อย่างต่อเนื่องให้ละเว้นโทษเฆี่ยน
บิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐ ในขณะนั้น ถึงกับลงทุนขอร้องวิงวอนไปยัง นายออง เต็ง เชง ประธานาธิบดีสิงคโปร์โดยตรง ให้ยกเว้นโทษเฆี่ยน
ส่วนวุฒิสมาชิกสหรัฐจำนวน 2 โหล ก็ได้เข้าชื่อกันเขียนจดหมายไปถึงรัฐบาลสิงคโปร์ในทำนองเดียวกัน
ผลก็คือ ประธานาธิบดีสิงคโปร์ ยอมลดโทษเฆี่ยนลงจาก 6 ครั้งเหลือ 4 ครั้ง โดยระบุว่าเพื่อแสดงความเคารพต่อประธานาธิบดีสหรัฐที่ได้ขอร้องวิงวอนมาด้วยตนเอง
ซึ่งการยืนหยัดลงโทษเฆี่ยน เพียงแต่ลดจำนวนครั้งลงนั้น สะท้อนให้เห็นว่าสิงคโปร์ไม่ยอมอ่อนข้อ ไม่ยอมเสียหลักการในการที่จะรักษากฎหมายบ้านเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ทำให้สิงคโปร์มีระเบียบวินัย และแทบจะไม่มีอาชญากรรม
ส่วนโทษจำคุกและปรับนั้นยังคงไว้เท่าเดิมคือ จำคุก 4 เดือน ปรับ 3,500 ดอลลาร์สิงคโปร์
ขณะเดียวกันรัฐบาลสิงคโปร์ ได้ออกมาแสดงจุดยืนว่า "สิงคโปร์ไม่เหมือนสังคมอื่นที่ยอมอดทนต่อการทำลายสมบัติสาธารณะ เรามีมาตรฐานและกติกาของการอยู่ร่วมกัน และด้วยกฎหมายที่เข้มงวดกับการทำร้ายสังคมเช่นนี้ จึงจะสามารถรักษาสิงคโปร์ให้อยู่ในระเบียบและปลอดภัยจากอาชญากรรม"
ในที่สุด ไมเคิล เฟย์ ถูกเฆี่ยน 4 ครั้ง ทำให้ผู้แทนการค้าสหรัฐ ได้ออกมาขู่ว่าจะพยายามขัดขวางไม่ให้สิงคโปร์ได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1996 หลังจากมีการก่อตั้ง WTO ในปี 1995
อย่างไรก็ตาม ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น เพราะในปี 1996 สิงคโปร์ ก็ยังคงได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมดังกล่าวของ WTO
รัฐบาลสิงคโปร์ ได้ออกมาชี้แจงว่า ชาวสิงคโปร์ทุกคนที่ทำผิดแบบเดียวกับไมเคิล ก็ถูกเฆี่ยนเหมือนกัน ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมาสอนมวยว่า กฎหมายสิงคโปร์ช่วยให้ประเทศสิงคโปร์ปลอดจากการทำลายทรัพย์สินและความรุนแรงอย่างที่มักจะเห็นในนิวยอร์ก
ส่วนสื่ออเมริกัน แน่นอนว่าก็ต้องรายงานตำหนิสิงคโปร์ไปตามระเบียบว่ารุนแรงป่าเถื่อน
แต่อย่านึกว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่จะเห็นคล้อยตามสื่ออเมริกัน เพราะผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน (โพล) ที่สื่อหลายสำนักจัดทำขึ้นเกี่ยวกับการเฆี่ยนครั้งนี้ ผลออกมาในทางที่นึกไม่ถึง
เพราะมีคนอเมริกันจำนวนมากเห็นด้วยกับการลงโทษดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าสิงคโปร์มีสิทธิที่จะลงโทษด้วยการเฆี่ยนหากนั่นเป็นวิธีที่สิงคโปร์เลือกแล้ว
บางคนก็ว่า สหรัฐอเมริกาเองไม่ได้ลงโทษเยาวชนเพียงพอ จึงทำให้สมบัติสาธารณะและของเอกชนจำนวนมากในสหรัฐถูกเยาวชนทำลายเสียหาย และปัญหาอาชญากรรมก็มากขึ้นทุกวัน ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเขาเบื่อหน่าย
อเมริกันอีกหลายคนชี้ว่า เมื่อชาวอเมริกันเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน พวกเขามีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและยอมรับบทลงโทษของประเทศนั้นๆ
ส่วนสถานทูตสิงคโปร์ประจำสหรัฐอเมริกา ก็บอกว่า ได้รับจดหมายจำนวนมากจากชาวอเมริกันที่แสดงการสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อการเฆี่ยน ไมเคิล เฟย์
หลายคนอาจนึกว่า การถูกสื่อตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์กรณีเฆี่ยน ไมเคิล เฟย์ จะทำให้รัฐบาลสิงคโปร์แหยง ไม่กล้าเฆี่ยนต่างชาติโดยเฉพาะพวกฝรั่งอีกต่อไปเพราะเกรงจะถูกมองว่าป่าเถื่อน
แต่ผิดคาด เพราะเดือนมิถุนายนปีก่อน (2010) ศาลสิงคโปร์ มีคำพิพากษาลงโทษ โอลิเวอร์ ฟริกเกอร์ วัย 32 ปี ที่ปรึกษาด้านไอทีชาวสวิส ในข้อหาพ่นสีสเปรย์โบกี้รถไฟฟ้าใต้ดินและบุกรุกเข้าไปในที่หวงห้าม โดยสั่งให้จำคุก 5 เดือน เฆี่ยน 3 ครั้ง
ทางด้านท่าทีของสถานทูตสวิสฯ ประจำสิงคโปร์นั้น ต่างจากสถานทูตสหรัฐ โดยเจ้าหน้าที่สถานทูตสวิสฯ กล่าวว่ารัฐบาลสวิสจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ เพียงแต่ตั้งข้อสังเกตว่าการลงโทษโดยการเฆี่ยนอาจจะดูแปลกสำหรับคนสวิส
ตามกฎหมายว่าด้วยการทำลายทรัพย์สินของรัฐและเอกชนของสิงคโปร์ ผู้ทำผิดมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือปรับ 2,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ พร้อมด้วยการเฆี่ยนระหว่าง 3-8 ครั้ง ซึ่งการลงโทษจำคุกมักจะพ่วงด้วยโทษเฆี่ยนเสมอ ซึ่งโทษเฆี่ยนนี้ใช้มาตั้งแต่สมัยที่สิงคโปร์ถูกปกครองโดยอังกฤษ
อุปกรณ์การเฆี่ยน เป็นหวายยาว 1.2 เมตร และหนาประมาณครึ่งนิ้ว ซึ่งหนากว่าหวายที่ใช้ตามโรงเรียนหรือค่ายทหาร หวายจะถูกแช่น้ำก่อนเพื่อให้หนักและยืดหยุ่น และมีการแช่น้ำยาฆ่าเชื้อก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ถูกเฆี่ยนติดเชื้อ เนื่องจากขั้นตอนการเฆี่ยนนั้นผู้ถูกเฆี่ยนจะต้องเปลือยก้น
ซึ่งแน่นอนว่าน้ำหนักในการเฆี่ยนจะทำให้เนื้อแตก เลือดไหล
ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงกลัวการเฆี่ยนมากกว่าการถูกจำคุกเสียอีก
โดย นงนุช สิงหเดชะ มติชนออนไลน์
-------------------------
กฏหมายที่สมควรแก้ไขในประเทศมีมากมาย แล้วทำไมพวกนิติราษฎร์จ้องจะแก้เฉพาะมาตรา112??
อยากรู้ ไปอ่านได้ที่ แฉผังล้มเจ้าของนิติทรราช!!
ป้ายกำกับ:
สิงคโปร์ เฆี่ยน วัยรุ่น สหรัฐ บิลคลินตัน
วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555
3เหตุผลคัดค้านแก้ม.112ของสยามประชาภิวัฒน์
กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ แถลงการณ์เหตุผลคัดค้านการแก้ไขมาตรา112 ตามนี้
1. “สถาบันพระมหากษัตริย์” เป็น “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” ของระบอบการปกครองแห่งราชอาณาจักรไทย
ทุกประเทศมีสถาบันประมุขแห่งรัฐในรูปแบบต่างๆ และให้ความคุ้มครองสถาบันประมุขแห่งรัฐเป็นพิเศษอันแตกต่างจากปัจเจกชนทั่วไป เพื่อให้ “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี สำหรับประเทศไทยได้ยึดถือ“สถาบันพระมหากษัตริย์” เป็น “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” เป็นศูนย์รวมแห่ง “จิตวิญญาณประชาชาติ” มีความสำคัญที่อยู่คู่สังคมและระบบการเมืองไทยมาเป็นเวลาช้านาน มีคุณูปการอันมากมายต่อสังคมไทย มีสถานะที่สำคัญในการคุ้มครองคุณค่าของสังคมไทย และสามารถแก้ไขปัญหาและข้อขัดแย้งของสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆได้
“สถาบันพระมหากษัตริย์” จึงเป็นสถาบันหลักอันทรงคุณค่าทางจิตใจของประชาชนชาวไทยและระบอบการปกครองแห่งราชอาณาจักรไทย อันควรได้รับการคุ้มครองป้องกันเป็นพิเศษ หลักการดังกล่าวจึงสอดคล้องกับหลักการคุ้มครอง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 2 และมาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งตก็เป็นบทบัญญัติที่สะท้อนถึงการรักษาไว้ซึ่ง “จิตวิญญาณประชาชาติ” เช่นเดียวกับมาตรา 112 ดังกล่าว
การให้ความคุ้มครอง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ในฐานะ “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” ตามมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา จึงเป็นการคุ้มครอง “สถาบัน” มิใช่การคุ้มครององค์พระมหากษัตริย์ องค์ราชินี องค์รัชทายาท เป็นรายพระองค์ หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในฐานะของ “ปัจเจกบุคคล” เพราะทุกพระองค์เป็นส่วนหนึ่งของ “สถาบันพระมหากษัตริย์” สามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามที่องค์พระประมุขทรงมอบหมาย ดังนั้น การคุ้มครองทุกพระองค์จึงเป็นการคุ้มครอง “สถาบันพระมหากษัตริย์” และเป็นคุ้มครองจากการกระทำอันเป็นละเมิดต่อ “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” ในฐานะที่เป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณประชาชาติ
โดยนัยดังกล่าว กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” จึงเห็นว่า การยกเลิกบทบัญญัติมาตรา 112 และแยกบทบัญญัติในเรื่องนี้ออกจากความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งการแยกการคุ้มครองทุกพระองค์ออกจากการคุ้มครอง “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” และลดการคุ้มครองลงในระดับเดียวกับบุคคลทั่วไป มีการกำหนดบทลงโทษให้ต่ำกว่าประมุขของรัฐต่างประเทศและผู้แทนรัฐต่างประเทศ ตามมาตรา 133 และมาตรา 134 และเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 136 และผู้พิพากษาหรือตุลาการมาตรา 198 จึงเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งและไม่เคารพต่อคุณค่าทางจิตใจของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ
2. มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญามิใช่ตัวปัญหา หากแต่เป็นปัญหามาจากผลของการบังคับใช้กฎหมายในกระบวนการยุติธรรมปัญหาหลักที่สำคัญในสภาพการณ์ปัจจุบันของกระบวนการยุติธรรม คือ การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพและไม่ก่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม โดยมีเหตุมาจากการไม่คำนึงถึงหลักการสำคัญในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน (หลัก Due process of Law) และกระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซงโดยผู้มีอำนาจทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นในการบังคับใช้กฎหมายในกรณีอื่นๆด้วย ไม่เว้นแม้แต่การบังคับใช้บทบัญญัติมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
โดยนัยดังกล่าว กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” จึงเห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 112 นั้นเป็นไปตามหลักการข้อ 1 ที่ได้เสนอแล้วข้างต้น มิได้มีปัญหาทางกฎหมายในตัวของบทบัญญัติเองแต่อย่างใด การแก้ไขปัญหาการบังคับใช้บทบัญญัติมาตรา 112 ให้ถูกต้องเหมาะสม จึงมิใช่โดยวิถีทางที่เป็นไปข้อเสนอของการยกเลิกหรือแยกบทบัญญัติดังกล่าวออกมาจากความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หากแต่ต้องแก้ไขปัญหาในส่วนของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
3. “สิทธิและเสรีภาพ” มีข้อจำกัดตามขอบเขตของการใช้สิทธิและเสรีภาพ ไม่ได้เกิดจากการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์
การใช้สิทธิและเสรีภาพโดยหลักแล้วย่อมมีข้อจำกัดที่สำคัญ คือ การใช้สิทธิและเสรีภาพต้องไม่กระทบแดนแห่งสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ และขัดต่อศีลธรรมอันดีของสังคม แม้แต่ปัจเจกบุคคลยังได้รับการคุ้มครองจากการใช้สิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นไม่ให้เกิดการล่วงละเมิด ดังนั้น ในกรณีของ “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” ย่อมต้องได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษยิ่งกว่าปัจเจกบุคคลทั่วไปเพราะเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ
กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” จึงเห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ที่ให้การคุ้มครอง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ในฐานะของ “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” จึงมิได้เป็นการทำลายสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นตามที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด
หากสาธารณชนได้พิจารณาข้อมูลทางวิชาการดังกล่าวอย่างครบถ้วนแล้ว ก็จะพบว่าปัญหาต่างๆ หาได้เกิดจากบทบัญญัติมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญาไม่ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติดังกล่าว ตามที่มีการกล่าวอ้างนั้น แต่ประการใด
http://astv.mobi/AzmQlEA
วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555
ยิ่งลักษณ์รับประกันปี55น้ำท่วมน้อยกว่าปี54!!
นายกยิ่งลักษณ์ประกาศเอาตำแหน่งนายกนกแก้ว เป็นเดิมพัน รับประกันว่าปี2555 น้ำท่วมน้อยกว่า2554แน่นอน
เอ่อ.. ท่านนายกครับ ที่ว่าท่วมน้อยกว่าปีที่แล้ว มันกำกวมไปหน่อยนะครับ
เช่นหมู่บ้านการ์เด้นโฮมเคยท่วม 2เมตรครึ่ง ปี55จะลดเหลือท่วมแค่1เมตรครึ่ง แบบนี้อ๊ะเป่า??
ไปอ่านข่าวนี้ดีกว่าครับ
นกแก้วสีชมพู!!
ฟ้องหมื่นรายรุกฟลัดเวย์ "ปู"เอาจริงแผน"โกร่ง" ไฟเขียวกรมชลฯลุย
"ยิ่งลักษณ์" เอาจริงแก้ปัญหาน้ำท่วมรอบสอง ลั่นเอาตำแหน่งนายกฯการันตี ท่วมน้อยกว่าปีที่แล้ว สั่งกางโรดแมปเตรียมรับมือน้ำท่วมรอบใหม่ เร่งสร้าง-เสริมแนวคันดินทุกจุด งัดไม้แข็งลงดาบสั่งฟ้องพวกก่อสร้างอาคาร-ทำการเกษตรกีดขวางทางน้ำ
ด้านกรมชลประทานไล่ฟ้องผู้บุกรุกแนวฟลัดเวย์-พื้นที่แก้มลิง 10,000 ราย "ชัชวาล" รองอธิบดีกรมชลฯ ชี้แก้ยากเพราะส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงนักการเมืองตั้งแต่ระดับชาติถึงท้องถิ่น เตรียมชงรัฐบาลทำเป็นวาระแห่งชาติ
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า
รัฐบาลได้จัดเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ภัยพิบัติน้ำในปี 2555 ไว้อย่างรัดกุมและการันตีจะเร่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนและภาคประชาชนช่วยกันจัดการน้ำทุกช่องทาง โดยมอบหมายให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์วางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เป็นศูนย์กลางวางแผนจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ซึ่งรัฐเห็นปัญหา มีบทเรียน จึงขอย้ำให้ความมั่นใจจะทำปีนี้ให้ดีกว่าปีที่ผ่านมา
อ่านต่อที่ ประชาชาติธุรกิจ
v
v
คลิกอ่าน แฉ ใครคิดแก้ฟลัดเวย์จนน้ำท่วมหนัก?
วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555
ปัญหารถหรูของประธานาธิบดีฟิลิปปินส์?
พอดีผมเพิ่งไปตั้งกระทู้ชื่อ "เชิญชมรถหรูในบ้าน"อยู่บำรุง"กับครม.มอเตอร์โชว์ ที่เว็บสนุก (ลองคลิกไปอ่านกันดูนะครับ)
พอตั้งกระทู้นี้เสร็จ ผมเลยนึกถึงข่าวนึงที่ตัดเก็บเอาไว้นานแล้ว ก็คือข่าวรถปอร์เช่ของประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ น่ะครับ
ตามนี้
อ่านข่าวนี้ ทำให้เราคนไทยได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเลยนะครับว่า
นักการเมืองไทย จิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคม เทียบกับนักการเมืองต่างชาติ อยู่ในระดับไหน
นี่แค่เทียบกับประเทศในอาเซียนด้วยกันนะครับ
ซึ่งไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับสปิริตของนักการเมืองญี่ปุ่นได้เลยจริงๆ เพราะในขณะที่ญี่ปุ่นเกิดภัยพิบัติสึนามิ รัฐบาลญี่ปุ่นกลับประกาศลดเงินเดือนข้าราชการและคณะรัฐมนตรีลง
แต่!! รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการไทย!!
คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นชุดนายกรัฐมนตรีโยชิฮิโกะ โนดะได้อนุมัติให้ปรับลดเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีลง 30% และเงินเดือนคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยลง 20% เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป เพื่อใช้เป็นทุนในการฟื้นฟูประเทศในพื้นที่ประสบภัยพิบัติเมื่อเดือนมีนาคม
การปรับลดเงินเดือนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของร่างกฎหมายปรับลดเงินเดือนข้าราชการโดยเฉลี่ยลง 7.8% ไปจนถึงเดือนมีนาคม 2557 ซึ่งคณะรัฐมนตรีจะจ่ายเงินเดือนที่ต่ำลงล่วงหน้าเพื่อแสดงจุดยืนในการลดค่าใช้จ่ายเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูประเทศ
คลิกอ่านรายละเอียดข่าวที่นี่
v
v
คลิกอ่านรัฐบาลยิ่งลักษณ์มือเติบ เพราะไม่ใช่เงินตระกูลชินวัตร!! (รู้จักกลุ่มคนที่นายกปูละเลยดูแล? และคนไทยโดนหลอกเรื่องNGV??)
---------------------------
คลิกอ่าน อึ้ง!! มีคนญี่ปุ่นคิดแบบนี้เยอะมากๆ
วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555
อึ้ง!! มีคนญี่ปุ่นคิดแบบนี้เยอะมากๆ
ผมใหม่เมืองเอก มีความชื่นชมและนับถือสปิริตของคนญี่ปุ่นในหลายๆเรื่อง ซึ่งผมได้นำมาเขียนในบทความหลายๆ บทความ
และวันนี้ได้อ่านข่าวการประมูลปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ของเจ้าของร้านซูชิชาวญี่ปุ่นแล้ว ทำให้ผมอยากนำมาช่วยเผยแพร่ว่า
คนญี่ปุ่นเขามีคนแบบนี้มากจริงๆ และนี่ไม่ใช่กรณีเดียวที่เป็นแบบนี้
คนญี่ปุ่นเคยคิดทำอะไรคล้ายๆกรณีนี้ บ่อยมาก เช่นเศรษฐีเอาเงินโปรยลงมาจากตึกแจกคน หรือเอาเงินไปช่วยสถานเด็กกำพร้าแบบไม่เปิดเผยตัว เลียนแบบการ์ตูนหน้ากากเสือ ที่ชกมวยปล้ำเพื่อเอาเงินไปให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นต้น
v
v
ญี่ปุ่นสร้างสถิติใหม่ประมูลทูน่า ตัวเดียวกว่า 20 ล้านบาท
โตเกียว 5 ม.ค.-ผู้จัดการภัตตาคารกระเป๋าหนัก ใช้เงินกว่า 50 ล้านเยน หรือกว่า 20 ล้านบาทประมูลซื้อทูน่าครีบน้ำเงิน น้ำหนัก 269 กิโลกรัม ที่ตลาดปลาสึคิจิในวันนี้ ทำลายสถิติการประมูลเดิมลงได้อย่างราบคาบ
ทูน่าครีบน้ำเงินดังกล่าวถูกจับได้ที่นอกชายฝั่งจังหวัดอาโอโมริทางเหนือของญี่ปุ่น เคาะราคาประมูลที่ 56.49 ล้านเยน (ประมาณ 22.8 ล้านบาท) ในงานประมูลปลาครั้งแรกของปีนี้ ราคาดังกล่าวทำลายสถิติเดิมที่ทำไว้ 32.49 ล้านเยน (13.11 ล้านบาท) ที่ตลาดเดียวกันนี้ในปีที่แล้ว
ผู้ชนะประมูลและทำสถิติใหม่คือนายคิโยชิ คิมูระ ประธานเครือข่ายซูชิ-ซันไม ภัตตาคารที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ทูน่าครีบน้ำเงินที่เขาประมูลได้ตัวนี้มีราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 210,000 เยน (87,675 บาท) และเมื่อนำมาแร่เป็นชิ้นสามารถมีราคาสูงถึงชิ้นละ 5,000 เยน (2,087 บาท)
แต่เจ้าของภัตตาคารบอกว่าจะแบ่งขายในราคาปกติในราคาไม่เกิน 418 เยน (174.50 บาท)
นายคิมูระ กล่าวว่า เขาต้องการชนะประมูลทูน่าที่ดีที่สุดเพื่อให้ลูกค้าชาวญี่ปุ่นได้รับประทาน ไม่ใช่ตกไปอยู่ในมือของร้านอาหารที่ต่างประเทศ ซึ่งเขาหมายถึงร้านซูชิที่ฮ่องกง เจ้าของสถิติประมูลทูน่าเมื่อปีที่แล้ว
คลิก หัวใจของการมีระเบียบวินัยของคนญี่ปุ่น!!
วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555
เจ้าหย่าจือ ดาราฮ่องกงที่สวยอันดับ1ของผม
ผมรู้จักเจ้าหย่าจือครั้งแรก จากซีรีย์เรื่อง ฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์
ผมเห็นเธอตอนนั้น ผมน่าจะช่วงประมาณอายุ 7 ขวบอยู่ ป.2 แล้วผมก็หลงรักเธอทันทีที่เห็น
ฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์ นำแสดงโดย หลิวสงเหยิน กับ เจ้าหย่าจือ สุดสวย
ลองดูคลิปเพลงฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์ สิครับ เจ้าหย่าจือ เธอสวยน่ารักสุดๆจริงๆ ซึ่งเธอก็กลายเป็นต้นแบบนางในฝันของผมไปเลย
ซึ่งเพลงฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์ ขับร้องโดย เจินหนี นักร้องสาวลูกครึ่งครับ
---------------------
และหลังจากผมหลงรักเจ้าหย่าจือ จากเรื่องฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์แล้ว ผมก็ต้องมาคลั่งไคล้เธออย่างมากอีก จากซีรีย์เรื่อง
เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ภาค1 ตอนนั้นผมอยู่ป.3 แล้ว ฉายที่ช่อง3ตอน4ทุ่มซึ่งค่อนข้างดึกสำหรับเด็ก เพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ นับว่าเป็นเพลงดังหนังจีนที่ดังที่สุดนับตั้งแต่มีซีรีย์จีนฉายในเมืองไทยเลยครับ
ลองดูเพลงไตเติ้ลเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้สิครับ เจ้าหย่าจือสวยหยาดเยิ้มขนาดไหน (โดยเฉพาะตอนที่เจ้าหย่าจือไว้ผมเปียสองข้าง สวยสุดๆ) ซึ่งผมหาคลิปที่ชัดที่สุดมาให้ชมแล้ว
นำแสดงโดย โจวเหวินฟะ เจ้าหย่าจือ หลี่เหลี่ยงเหว่ย
เพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ขับร้องโดยฟรานซิสยิป
เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ พระเอกตายตอนจบ โดนยิงพรุนตามที่เห็นในคลิป ซึ่งผมว่ามันเป็นอะไรที่ถือว่า หาได้ยากในละครไทยเลยนะครับ การที่พระเอกตายเนี่ย..
-------------------
ช่วงที่เจ้าหย่าจือสวยสุดๆ ก็มีผลงานที่มาฉายในไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอีกเรื่องหนึ่งที่ดังมากๆ ก็คือ จอมโจรจอมใจ หรือชอลิ้วเฮียง
นำแสดงโดย เจิ้งเส้าชิว วังหมิงฉวน เจ้าหย่าจือ และอู๋ม่งต๊ะ เรื่องนี้ดังมากๆ ฉายทางช่อง 7 ตอนเย็นๆ
เพลงจอมโจรจอมใจ ร้องโดยเจิ้งเส้าชิว
ยังมีเรื่องประกาศิตเหยี่ยวพญายม ที่เจ้าหย่าจือ แสดงคู่กับ เจิ้งเส้าชิว ฉายทางช่อง 7 ตอนช่วง 4-5 โมงเย็น จันทร์-ศุกร์ ผมไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่ เพราะกลับจากโรงเรียนไม่ค่อยทัน แต่ชอบความเท่ของพระเอกมากๆ
พระเอกเป็นจอมยุทธนักล่าเงินรางวัลที่หนีการแต่งงานแบบคลุมถุงชน โดยที่พระเอกไม่เคยรู้ว่า แท้จริงแล้วเจ้าสาวของเขาคือ....
ต่อมาพระเอกดันไปหลงรักนางเอก เพราะไปเจอนางเอกที่หอคณิกา นางเอกพอไม่ได้แต่งงานกับพระเอกก็เลยโกรธ แล้วหนีมาอยู่ที่นี่ แถมเป็นนางคณิกาอันดับ 1 เล่นแต่เพลงไม่รับอ๊อฟ ซึ่งพระเอกไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วนางคณิกาอันดับ 1 คนนี้ ที่แท้คือคู่หมั้นที่ตัวเองปฏิเสธ แล้วหนีมา
เจ้าหย่าจือก็ยังสวยสุด ๆ เหมือนเดิม
ความจริงยังมีอีกหลายเรื่อง ที่เจ้าหย่าจือแสดง แล้วมีฉายในเมืองไทย เช่น ดาบมังกรหยก , เหยี่ยวสาวเจ้าพยัคฆ์ (เจอคลิปแล้วแต่ไม่ค่อยชัด) , หรือเรื่องที่ดังมากๆ คือกำเนิดเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งเป็นช่วงปลายวัยสาวของเจ้าหย่าจือ แต่ยังสวยมากๆ
หรือที่ไปเล่นกับไต้หวันเรื่อง นางพญางูขาวเป็นต้น
เพลงดาบมังกรหยก นำแสดงโดยเจิ้งเส้าชิว วังหมิงฉวน เจ้าหย่าจือ (ขับร้องโดยเจิ้นเส้าชิว)
เจ้าหย่าจือ เป็นจิวจี้เยียกที่สวยที่สุดอันดับ1 เท่าที่เคยมีการสร้างดาบมังกรหยกมา (รองลงมาก็เป็นโจวไห่เม่ย ที่เป็นจิวจี้เยียกได้สวยเป็นอันดับ2)
---------------------
เจ้าหย่าจือ ในวัย 58 ปีร้องเพลง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
คลิกอ่าน ชอลิ้วเฮียง ในความทรงจำของใหม่เมืองเอก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)