วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บุญชัย เทียนวัง สถาปนิกหนุ่มเขียนถึงในหลวงอย่างซึ้ง ๆ






หลังจากในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตไปเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559

ก็ได้มีบทความของคนไทยผู้จงรักภักดีและรักในหลวงคนนึง เขาได้เขียนบทความที่อธิบายด้วยภาษาง่าย ๆ แต่สร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ได้อ่าน จนเกิดการแชร์ต่อกันในเฟสบุ้คนับหมื่นครั้ง

รวมทั้งมีคนก๊อปบทความนี้ไปเผยแพร่ต่อทางไลน์อีกมากมาย

เจ้าของข้อเขียนถึงในหลวงนี้มีชื่อว่า คุณบุญชัย เทียนวัง สถาปนิกหนุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังพอควรคนนึงในวงการสถาปนิกสยาม เขาได้เขียนบทความชื่อ สูงสุดสู่สามัญ บนเฟสบุ้คที่ชื่อ Boonchai Tienwang

หากท่านได้อยากรู้จักเขามากขึ้น ก็ติดตามเขาได้ทางเฟสบุ้คตามที่ผมลงไว้แล้วครับ

ทีนี้ลองมาอ่านบทความถึงในหลวงด้วยภาษาเรียบง่ายที่คุณบุญชัย เทียนวัง เขียนกันครับ

-----------------------

สูงสุดสู่สามัญ

สำหรับผู้ชายคนนั้นแล้ว ผมมักจะชอบพิจารณา "เขา" โดยไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง พิจารณาเขาอย่างคนธรรมดาสามัญทั่วไป ผมไม่ได้บอกว่าวิธีนี้มันดีหรอกนะ แต่ผมไม่ต้องการให้มีมายาคติเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้ผมทำความเข้าใจเขาอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น ว่าอะไรทำให้เขาดำรงอยู่ในสถานะอย่างที่เป็นได้อย่างทุกวันนี้

ผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่อายุแค่ 2 ขวบ โตมากับพี่สาว พี่ชาย ถูกเลี้ยงมาอย่างธรรมดาโดยแม่สามัญชนที่เป็นอดีตเด็กกำพร้าด้วยเหมือนกัน ผมเชื่อว่าด้วยเพราะแม่อดีตนางพยาบาลของเขานี่แหละ ที่เป็นหัวใจสำคัญในการหล่อหลอมเขาให้โน้มเอียงมาทางคนธรรมดามากกว่าสถานภาพพิเศษที่มีคนหยิบยื่นมาให้

เขาใช้ชีวิตวัยเด็ก ท่ามกลางการกวาดล้างครั้งใหญ่ทางการเมือง โดยคณะทหารที่พึ่งปฏิวัติเสร็จสิ้นไปไม่นาน มีอำนาจเต็มที่ และต้องการปกครองประเทศแบบเบ็ดเสร็จ วงศ์วานว่านเครือของเขาถูกตีแตกพ่าย กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ทรัพย์สินถูกยึดไปเป็นอันมาก บ้างก็ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ บางคนหนีไม่ทัน โดนส่งไปติดคุกในเกาะกลางทะเลก็มี นั่นน่าจะเป็นเรื่องที่ชวนอกสั่นขวัญแขวนสำหรับครอบครัวเขามากอยู่นะ ครอบครัวซิงเกิลมัม ที่ต้องคอยประคับประคองลูกๆ ทั้ง 3 ให้ก้าวผ่านระหกระเหินแห่งสมรภูมิชีวิต...

พี่ชายที่สนิทสนมรักใคร่ของเขาถูกผลักดันขึ้นมาให้เป็น "ผู้นำในเชิงสัญลักษณ์" ตั้งแต่อายุแค่ 9 ขวบ....เด็ก ป.3 คนหนึ่ง จะทำอะไรได้นักเล่าในตำแหน่งนั้น แต่เมื่อจำเป็นต้องมี พี่ชายของเขาก็จำต้องเป็น



แต่แล้วในเช้าวันหนึ่ง ตอนเขาอายุ 18 พี่ชายก็จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ตกหัวค่ำวันเดียวกัน น้ำตายังไม่ทันเหือดแห้ง เขาก็ถูกกดดันให้มารับภาระหนักหน่วงแทน ทุกอย่างคงจะฉุกละหุกทุลักทุเลสิ้นดี เขายอมรับอย่างไม่อายว่า ไม่เคยอยากได้ตำแหน่งนี้...อยากแต่จะเป็นน้องชายเท่านั้น มันยากที่จะจินตนาการได้ว่า ในตอนนั้นเขาต้องเผชิญหน้ากับความขมขื่นเพียงใด เขาคงไม่ได้มีเวลาไตร่ตรองนานนักหรอก สุดท้ายด้วยความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เค้าจำต้องสลัดทิ้งสถานภาพ "น้องชาย" ไว้เบื้องหลัง แล้วก้าวขึ้นไปรับตำแหน่งแทนพี่ โดยตั้งปณิธาณไว้ว่าจะทำหน้าที่ด้วยคุณธรรม เพื่อความสุขของผู้อื่น...

เมื่อเขารู้แน่ว่าตัวเอง ต้องปกครองคนหมู่มากในภายภาคหน้า เขากลับไปดรอปการเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ แล้วเปลี่ยนมาเรียนทางด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์แทน ทั้งๆ ที่ถ้าดูจากอุปนิสัยเขาแล้ว ผมว่าเขาน่าจะชอบวิทยาศาสตร์มากกว่านะ แต่เค้าใช้ความรู้ด้านนิติศาสตร์ได้อย่างคุ้มค่าเชียวหละ ถ้าดูจากที่เค้าใช้อำนาจผ่านตุลาการได้อย่างเชี่ยวชาญในเวลาต่อมา

แต่ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ในตัวของเขาไม่เคยจางหายนะ เมื่อเขากลับมาเริ่มงานในไทยเต็มตัว เขาริเริ่มโครงการทดลองมากมายหลายอย่าง เริ่มต้นจากสวนรอบบ้านนี่แหละ บ้านของเขาเต็มไปด้วยแปลงทดลองทางการเกษตร, บ่อน้ำเพาะพันธุ์ปลา, ฟาร์มและคอกเล้าสัตว์ต่างๆ ราวกับบ้านชาวนาชาวไร่ เขาทดลองงานมากมายทั้งเรื่องดิน, น้ำ ไปจนจรดเมฆบนฟ้า เขารู้เรื่องแก้ดินเค็ม ดินเปรี้ยว ดินเป็นกรด เขา "แกล้งดิน" เป็นนะ

เขาแก้ไขน้ำท่วมในหลายๆพื้นที่ได้ด้วยโครงการ "แก้มลิง" ของเขา แต่ถ้าพื้นที่ไหนแห้งแล้ง เขาก็รู้วิธีสั่งฟ้าให้หลั่งฝนมาให้นาไร่ได้นะ "ฝนหลวง" นี่ก็เป็นผลงานของเขาและคณะ

เรื่องพวกนี้ไม่ใช่อภินิหารนะ มันมีหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เขาทำการทดลองและล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เขาทำมันกับผู้ช่วยของเขาจนช่ำชอง เขาทำมันด้วยหนึ่งสมอง และสองมือของเขา สองมือของเขาที่หยาบด้านอย่างกับชาวนาชาวไร่นี่แหละ อันนี้ผมไม่เคยสัมผัสเองหรอกนะ อดีตเจ้าอาวาสชื่อดัง แถวโคราชที่เคยได้จับมือเขา แอบเอามาเล่าต่อให้ฟังด้วยความประหลาดใจ



แต่ละปีที่ผ่านไป เขาเชี่ยวชาญมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาขยายขอบเขตความสนใจของเขาไปถิ่นที่อยู่ห่างไกล ผมเห็นเขาเดินทางบุกป่าฝ่าดง เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร

บางครั้ง ก็เห็นรถจิ๊ปของเขาฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวกรากอย่างน่ากลัว
บางครั้ง ก็เห็นเขาดั้นด้นขี่ม้าขี่ลา ข้ามเขาแห้งแล้งแสนสาหัส
บางครั้ง ก็เห็นเขาเดินลุยร่องน้ำ นั่งกับพื้นดินพื้นหญ้า
เหงือไคลของเขาไหลย้อย ซึมทะลุสูทสีเทาที่เขาใส่อยู่เป็นประจำ



หลายครั้งผมนึกสงสัย ว่าเขาจะทำอย่างนั้นไปทำไม? ทำแล้วเขาได้อะไร?
คนอย่างเขาไม่ต้องทำงานก็คงพอมีกินมีใช้ไปตลอดอยู่แล้ว.

ผมคิดว่า เขาคงสนุกมาก ๆ กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนจนผู้อยู่ห่างไกลความเจริญ และได้เฝ้าดูผลลัพธ์ของแรงงานของตัวเองออกดอกออกผล
ผมคิดว่าเขาเป็น workaholic คนหนึ่ง เขารักงานของเขามาก เขาดูตั้งใจมากนะ ตั้งใจที่จะสร้างคุณภาพชีวิตดีๆ ให้กับผู้คนมากมาย

แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่บ้างานจนไม่สนใจเรื่องสำคัญอื่น ๆ นะ เขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตได้อย่างมีสีสันมากทีเดียว เขามีพรสวรรค์หลายเรื่อง เขาเขียนหนังสือหลายเล่ม เขาวาดภาพสีน้ำมัน และเขาเล่นดนตรีได้ดี ทั้งกีตาร์คลาสสิค เปียโน และแซกโซโฟน ในระดับแต่งเพลงขึ้นมาเองได้ เพลงjazz ที่ฟังแล้วสร้างบรรยากาศน่ารื่นรมย์นี่คือ สไตล์โปรดของเขาหละ แถมแต่งมา ใครจะเอาไปเปิดก็ไม่เคยเรียกลิขสิทธิ์นะ เปิดฟังกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง...



เรื่องกีฬาก็ใช่ย่อย เขาเล่นแบดมินตันได้ดี และมีก๊วนประจำของตัวเอง ตีอยู่หลายปี ยิ่งแข่งเรือใบนี่เก่งระดับแชมป์ ด้วยเรือใบที่เค้าต่อขึ้นมากับมือเองนี่แหละ จะมีแชมป์คนไหนเขาต่อเรือใบขึ้นมาด้วยมือตัวเองบ้างนะ โคตรน่าทึ่ง

เขาเป็นคนรักสัตว์นะ โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงแบบไทยๆ บ้านๆ นี่แหละ และนั่นทำให้เขาดูเป็นคนอ่อนโยนเป็นพิเศษ เขาเลี้ยงแมวมาตั้งแต่เด็ก พันธุ์ไทยแท้ วิเชียรมาศ ตัวอ้วนใหญ่หน้าตาน่ารักน่าชัง เขาตั้งชื่อมันเป็นชื่อเดียวกับวีรบุรุษระดับโลก ผู้กล้าหาญ และมีความรักชาติอย่างมากคนหนึ่ง ผมเชื่อว่า เขาคงต้องการใช้ชีวิตอย่างมีอุดมการณ์นะ ถึงได้ตั้งชื่อแมวของเขาแบบนั้น



พอช่วงที่เขาอายุมากขึ้น เขาชอบเลี้ยงหมานะ เขาดูมีความสุขที่ถูกรุมล้อมไปด้วยฝูงหมาเยอะ ๆ หมาตัวโปรดที่สุดของเขา ไม่ได้เป็นหมาฝรั่งอย่างที่คนไทยชอบเห่อเลี้ยงหรอกนะ มันเป็นลูกหมาจรจัดพันธุ์ทาง คลอดอยู่ข้างถนนแถวโรงพยาบาล ย่านพระราม 9 นี่เองแหละ แต่เขาชอบปล่อยมุกว่ามันเป็นหมาพันธุ์เทศ (บาล) :D



เรื่องรสนิยมการแต่งตัว เขาก็ไม่ใช่ธรรมดา เขาเป็นผู้ชายที่ดูเท่ห์มากทีเดียว เขามีสไตล์มาตั้งแต่หนุ่ม ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาของหรูหราแบรนด์เนมอะไร เสื้อผ้าก็ตัดร้านข้างถนนนี่แหละ แต่แม้จะมีบุคลิกภาพเท่ห์ ขนาดที่แม้แต่ผู้ชายด้วยกันยังต้องแอบมองด้วยความชื่นชม เค้าก็เป็นคนรักเดียวใจเดียวนะ แฟนคนแรกของเขาก็คือภรรยาคนเดียวของเขานี่แหละ ภรรยาที่เขาบอกกับผู้คนอย่างโรแมนติคว่า เธอเป็นดั่งรอยยิ้มของเขา ตลอดช่วงชีวิต เขาไม่เคยมีข่าวในทางเสียหายเรื่องผู้หญิงเลยแม้แต่นิดเดียว

เขาเป็นคนสมถะมากนะ ผมประหลาดใจตอนที่รู้ว่า หลังแต่งงานเสร็จ เขาพาภรรยานั่งรถไฟไปฮันนีมูนที่หัวหิน 3 วัน มันช่างดูธรรมดาสามัญเสียจริง ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของเขามักจะดูธรรมดาอย่างน่าฉงน ผมเคยเห็นห้องทำงานของเขา สงสัยว่าห้องคับแคบห้องนี้หน่ะนะ ที่ใช้ดูแลแก้ไขปัญหาต่างๆ ในพื้นที่กว่า 500,000 ตารางกิโลเมตรของไทย มันดูเล็กเสียยิ่งกว่าห้องทำงานของชนชั้นกลางทั่วไปเสียอีก กล้องที่ห้อยคอเขาบ่อยๆ ก็รุ่นทั่วๆ ไปนี่แหละ มีไว้เพื่อถ่ายรูปมาทำงาน เขาไม่ใช่พวก "สายอุปกรณ์" เลย

บางวันถ้าไม่ได้ออกงานเป็นทางการอะไร เค้าทิ้งรถประจำตำแหน่งไว้ในโรงรถ แล้วมาขับโตโยต้าโซลูน่า รถรุ่นเล็กที่ถูกที่สุดที่โตโยต้าเคยผลิตซะอย่างนั้น


(คลิกอ่าน ที่มารถโตโยต้าโซลูน่าของในหลวง)

เขาดูจะไม่เคยปิดบังเลยนะ ว่าเขาเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์มาก ๆ เหมือนกับที่เค้าไม่เคยปิดบังเลย ว่าเค้าเป็นคนรักแม่มาก ๆ สมัยหนุ่ม ๆ เมื่อเขาเห็นแม่ไม่ค่อยร่าเริง ความตรอมตรมของหญิงหม้ายที่สามีและลูกชายคนโตจากไปตั้งแต่ยังหนุ่ม คงยากจะคลี่คลาย เขาเลยตั้งใจจะบวชให้แม่ มันได้ผลนะ เขาเล่าว่า เขาดีใจมากที่ได้เห็นแม่กลับมาร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสอีกครั้ง แม่เขาต้องภูมิใจในตัวเขามากแน่ๆ ในช่วงที่แม่เขาอายุมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ภาระหน้าที่ของเขาหนักหนาสาหัส แต่เขาแบ่งเวลาไปทานข้าวกับแม่อาทิตย์ละ 5 วัน ได้อยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกละอายแก่ใจ เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้...



เขาเป็นห่วงบ้านเมืองมากนะ เขานึกถึงส่วนรวมเสมอๆ และไม่นิยมความรุนแรง ผมยังจำได้ดีตอน ตอนปี 2535 ที่พลเอก กับพลตรี แย่งกันจะเป็นนายก อย่างเอาเป็นเอาตาย ทะเลาะกันไม่ยอมเลิกหลายสัปดาห์ มีความสูญเสียมากมายในกรุงเทพ สุดท้ายก็เขานี่แหละ ที่เรียกทั้งคู่ไปเตือนสติ จนสถานการณ์สงบลงได้อย่างเฉียบพลัน

เวลาผ่านพ้นหลายทศวรรษ ถ้านับจากจุดเริ่มต้นที่เขาเข้ามารับตำแหน่งใหญ่โต ในวัยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ เขาทำได้ดีเกินความคาดหมายมากมายมหาศาลนะ เขาดำรงตนตามทำนองคลองธรรมได้อย่างเคร่งครัด เขาพัฒนาโครงการเพื่อคนยากไร้ ได้มากมายหลายพันโครงการ นี่ไม่ใช่เรื่องโฆษณาชวนเชื่อนะ องค์กรระดับโลกหลายแห่ง แม้กระทั่งสหประชาชาติ และเลขาธิการผิวคล้ำชื่อดังคนนั้น ยังเดินทางมามอบรางวัลให้เขากับมือ



เขาเติบใหญ่เป็นผู้นำทางด้านวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของสังคมอย่างเป็นธรรมชาติ บารมีของเขายิ่งใหญ่แผ่ไพศาล รัฐบาลผลัดเปลี่ยนเวียนไปหลายต่อหลายคณะ สถานการณ์การเมืองระดับโลกไหลบ่าเข้ามาคุกคามภูมิภาคนี้อย่างเชี่ยวกราก ประเทศเพื่อนบ้านของเราหลายแห่งเกิดสงครามกลางเมือง มีคนเสียชีวิตนับแสนนับล้านคน อันเกิดมาจากความเชื่อทางลัทธิการปกครองที่แตกต่างกัน ประเทศไทยก็เกิดความเสียหายอยู่บ้างนะ แต่เขาก็ประคับประคองสถานการณ์บ้านเมืองให้ยืนหยัดผ่านพ้นมาได้อย่างสง่างาม

เขาผ่านร้อนผ่านหนาวมามากนะ และเขาใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ได้คุ้มค่าอย่างที่น้อยคนนักบนโลกใบนี้จะทำได้ เขาปกครองบ้านเมืองได้ตามอุดมคติ อย่างที่เขาเคยได้ลั่นสัจจะวาจาไว้เมื่อแรกเข้ามารับตำแหน่ง

ผมเชื่อว่า เวลาคนเราจะเคารพใครคนใดคนหนึ่งได้นั้น โดยพื้นฐานแล้ว มันต้องมาจากการกระทำของเขาที่น่าเคารพเป็นหลัก ไม่ใช่เพราะยศถาบรรดาศักดิ์ ผมไม่เคยเชื่อในระบบอะไรก็ตาม ที่คัดเลือกคนที่เข้ามาดำรงตำแหน่งโดยไม่ได้ประเมินความรู้ความสามารถ

แต่สิ่งที่เขาทำตลอด 7 ทศวรรษที่ผ่านมา พิสูจน์ว่าเขาอยู่เหนือพ้นมาตรฐาน และแบบประเมินใด ๆ โดยแท้

วันนี้เขาไม่อยู่แล้ว แม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่านี่คือสัจธรรมของโลก แต่ผมก็อดที่จะสะเทือนใจกับการจากไปของเขาไม่ได้...แม่น้ำราวกับจะหยุดไหล....แผ่นดินดูเหมือนจะสะอื้นไห้...เมฆบนฟ้าลอยอ้อยอิ่งหม่นหมอง....จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อเราก็รู้สึกกับเขาราวกับญาติผู้ใหญ่คนสนิทคนหนึ่ง...

ผมเชื่อว่าเรื่องราวของเขา จะถูกจดจำเล่าขานเป็นตำนานไปอีกหลายชั่วอายุคน ในอนาคต มันคงยากที่จะเชื่อได้ว่า บ้านเมืองของเราเคยถูกปกครองโดยผู้ชายคนหนึ่ง ที่เริ่มต้นมารับตำแหน่งใหญ่โตนี้ โดยไม่ได้ตั้งตัว แต่ก็อดทนสู้ ก่อร่างสร้างชาติมา ด้วยการอุทิศชีวิตเพื่อผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ตลอดระยะเวลายาวนาน 70 ปี จนกลายมาเป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทย

ขอน้อมส่งเสด็จ สู่สวรรคาลัย
บุญชัย เทียนวัง
๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙

ที่มา https://www.facebook.com/indeo.boonchai/posts/1244067538968721

คลิกอ่าน ไม่ธรรมดา กว่าพระองค์เจ้าอานันทมหิดลจะได้ขึ้นเป็นรัชกาลที่ 8


4 ความคิดเห็น:

  1. ขออนุญาตแชร์นะครับ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณมากค่ะ ขออนุญาตนำไปแบ่งปันต่อนะคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ระบุชื่อ25 ตุลาคม 2559 เวลา 00:40

      ผมอ่านแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ว่าคนเขียน ไม่ถวายพระเกียรติ์ ด้วยการเขียนภาษาที่ใช้กับสามัญชน ให้อ่านดูผิวเผินเหมือนเทิดทูล ซึ่งพระราชกรณีย์กิจและพระเกียรติยศทุกคนทราบซึ้งดีอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้อง ดึงฟ้าต่ำ ด้วยการใช้ภาษาเช่นนี้ ผมว่าไม่บังควร และก็ไม่รู้ว่าคนเขียนมีตัวตนหรือปล่าว ไม่ขอแชร์ครับ

      ลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ24 ตุลาคม 2559 เวลา 14:17

    ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้สรรพนามแทนพระองค์ท่าน คุณบุญชัย เทียนวังเขียนได้ยังไงโดยใช้คำว่า"เขา"กับพระองค์ท่าน คุณบุญชัยไม่ทำตัวเสมอในหลวงมากไปหน่อยหรือ

    ตอบลบ

เพิ่งเปิดรับการแสดงความคิดเห็นครับ ทุกความเห็นคือกำลังใจ
แล้วอย่าลืมแวะไปที่บล้อคมุมมอง-ใหม่เมืองเอกนะครับ ขอบคุณ/ใหม่ เมืองเอก