กฏหมายบ้านเมืองใด ก็ย่อมมีความแตกต่างกัน ไปตามจารีตประเพณีและวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ เป็นพื้นฐาน
หากคุณละเมิดกฏหมายบ้านเมืองอื่น จะมาอ้างว่า เพราะกฏหมายนี้ในบ้านเมืองคุณไม่มี ย่อมไม่ได้!!
จากกรณีกลุ่มนิติราษฎร์ อ้างขอแก้ไขมาตรา112 สมเหตุสมผลในแบบพวกบ้าสิทธิเสรีภาพแบบไม่เคารพประเพณีวัฒนธรรมของชาติ
ซึ่งผมเคยได้เขียนไว้ในบทความ มาตรา112 ที่รัก ไว้ และต่อไปนี้ ลองอ่านความเข้มงวดของสิงคโปร์ดูบ้างครับ
v
v
จากกรณี"สิงคโปร์"เฆี่ยนวัยรุ่นมะกัน ถึง"โจ กอร์ดอน"คดีมาตรา 112
เรื่องที่ นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กรณีศาลไทยมีคำพิพากษาจำคุกนายโจ กอร์ดอนหรือ นายเลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ คนไทยสัญชาติอเมริกัน ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (กฎหมายอาญามาตรา112) โดยกล่าวในทำนองว่ากฎหมายและการลงโทษดังกล่าวไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และว่าจะพยายามช่วยเหลือนายโจอย่างเต็มที่
ทำให้หวนนึกถึงคดีที่ นายไมเคิล เฟย์ วัยรุ่นชาวอเมริกันวัย 18 ปี ถูกศาลสิงคโปร์ สั่งจำคุกและเฆี่ยน เมื่อปี 1994 (2537) หรือเมื่อ 18 ปีก่อน ในข้อหาทำลายทรัพย์สินของรัฐและเอกชน จากการใช้สีสเปรย์พ่นรถยนต์ของชาวบ้านหลายคัน ขีดข่วน-กรีดยางรถยนต์ และขโมยป้ายบอกทาง
ไมเคิล เฟย์ ถูกศาลสิงคโปร์พิพากษาจำคุก 4 เดือน เฆี่ยน 6 ครั้ง และปรับเป็นเงินอีก 3,500 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือเทียบเท่า 2,214 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะนั้น
คดีของนายไมเคิล แน่นอนว่าโด่งดังไปทั่วโลก สื่ออเมริกันรายงานข่าวนี้อย่างเอิกเกริกคล้ายกับโลกจะแตก เพราะเป็นครั้งแรกที่พลเมืองอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่จะถูกลงโทษโดยการเฆี่ยน ซึ่งในสายตาตะวันตกมองว่าเป็นวิธีการลงโทษที่รุนแรงป่าเถื่อน
สถานทูตสหรัฐประจำสิงคโปร์ ได้ออกมาอ้างว่า การพ่นสีสเปรย์ใส่รถยนต์ที่ไมเคิลทำไปนั้น ไม่ใช่ความเสียหายถาวร แต่การเฆี่ยนจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นติดตัวไมเคิลไปอย่างถาวร
ขณะที่รัฐบาลสหรัฐได้ออกแรงกดดันสิงคโปร์อย่างต่อเนื่องให้ละเว้นโทษเฆี่ยน
บิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐ ในขณะนั้น ถึงกับลงทุนขอร้องวิงวอนไปยัง นายออง เต็ง เชง ประธานาธิบดีสิงคโปร์โดยตรง ให้ยกเว้นโทษเฆี่ยน
ส่วนวุฒิสมาชิกสหรัฐจำนวน 2 โหล ก็ได้เข้าชื่อกันเขียนจดหมายไปถึงรัฐบาลสิงคโปร์ในทำนองเดียวกัน
ผลก็คือ ประธานาธิบดีสิงคโปร์ ยอมลดโทษเฆี่ยนลงจาก 6 ครั้งเหลือ 4 ครั้ง โดยระบุว่าเพื่อแสดงความเคารพต่อประธานาธิบดีสหรัฐที่ได้ขอร้องวิงวอนมาด้วยตนเอง
ซึ่งการยืนหยัดลงโทษเฆี่ยน เพียงแต่ลดจำนวนครั้งลงนั้น สะท้อนให้เห็นว่าสิงคโปร์ไม่ยอมอ่อนข้อ ไม่ยอมเสียหลักการในการที่จะรักษากฎหมายบ้านเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ทำให้สิงคโปร์มีระเบียบวินัย และแทบจะไม่มีอาชญากรรม
ส่วนโทษจำคุกและปรับนั้นยังคงไว้เท่าเดิมคือ จำคุก 4 เดือน ปรับ 3,500 ดอลลาร์สิงคโปร์
ขณะเดียวกันรัฐบาลสิงคโปร์ ได้ออกมาแสดงจุดยืนว่า "สิงคโปร์ไม่เหมือนสังคมอื่นที่ยอมอดทนต่อการทำลายสมบัติสาธารณะ เรามีมาตรฐานและกติกาของการอยู่ร่วมกัน และด้วยกฎหมายที่เข้มงวดกับการทำร้ายสังคมเช่นนี้ จึงจะสามารถรักษาสิงคโปร์ให้อยู่ในระเบียบและปลอดภัยจากอาชญากรรม"
ในที่สุด ไมเคิล เฟย์ ถูกเฆี่ยน 4 ครั้ง ทำให้ผู้แทนการค้าสหรัฐ ได้ออกมาขู่ว่าจะพยายามขัดขวางไม่ให้สิงคโปร์ได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1996 หลังจากมีการก่อตั้ง WTO ในปี 1995
อย่างไรก็ตาม ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น เพราะในปี 1996 สิงคโปร์ ก็ยังคงได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมดังกล่าวของ WTO
รัฐบาลสิงคโปร์ ได้ออกมาชี้แจงว่า ชาวสิงคโปร์ทุกคนที่ทำผิดแบบเดียวกับไมเคิล ก็ถูกเฆี่ยนเหมือนกัน ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมาสอนมวยว่า กฎหมายสิงคโปร์ช่วยให้ประเทศสิงคโปร์ปลอดจากการทำลายทรัพย์สินและความรุนแรงอย่างที่มักจะเห็นในนิวยอร์ก
ส่วนสื่ออเมริกัน แน่นอนว่าก็ต้องรายงานตำหนิสิงคโปร์ไปตามระเบียบว่ารุนแรงป่าเถื่อน
แต่อย่านึกว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่จะเห็นคล้อยตามสื่ออเมริกัน เพราะผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน (โพล) ที่สื่อหลายสำนักจัดทำขึ้นเกี่ยวกับการเฆี่ยนครั้งนี้ ผลออกมาในทางที่นึกไม่ถึง
เพราะมีคนอเมริกันจำนวนมากเห็นด้วยกับการลงโทษดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าสิงคโปร์มีสิทธิที่จะลงโทษด้วยการเฆี่ยนหากนั่นเป็นวิธีที่สิงคโปร์เลือกแล้ว
บางคนก็ว่า สหรัฐอเมริกาเองไม่ได้ลงโทษเยาวชนเพียงพอ จึงทำให้สมบัติสาธารณะและของเอกชนจำนวนมากในสหรัฐถูกเยาวชนทำลายเสียหาย และปัญหาอาชญากรรมก็มากขึ้นทุกวัน ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเขาเบื่อหน่าย
อเมริกันอีกหลายคนชี้ว่า เมื่อชาวอเมริกันเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน พวกเขามีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและยอมรับบทลงโทษของประเทศนั้นๆ
ส่วนสถานทูตสิงคโปร์ประจำสหรัฐอเมริกา ก็บอกว่า ได้รับจดหมายจำนวนมากจากชาวอเมริกันที่แสดงการสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อการเฆี่ยน ไมเคิล เฟย์
หลายคนอาจนึกว่า การถูกสื่อตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์กรณีเฆี่ยน ไมเคิล เฟย์ จะทำให้รัฐบาลสิงคโปร์แหยง ไม่กล้าเฆี่ยนต่างชาติโดยเฉพาะพวกฝรั่งอีกต่อไปเพราะเกรงจะถูกมองว่าป่าเถื่อน
แต่ผิดคาด เพราะเดือนมิถุนายนปีก่อน (2010) ศาลสิงคโปร์ มีคำพิพากษาลงโทษ โอลิเวอร์ ฟริกเกอร์ วัย 32 ปี ที่ปรึกษาด้านไอทีชาวสวิส ในข้อหาพ่นสีสเปรย์โบกี้รถไฟฟ้าใต้ดินและบุกรุกเข้าไปในที่หวงห้าม โดยสั่งให้จำคุก 5 เดือน เฆี่ยน 3 ครั้ง
ทางด้านท่าทีของสถานทูตสวิสฯ ประจำสิงคโปร์นั้น ต่างจากสถานทูตสหรัฐ โดยเจ้าหน้าที่สถานทูตสวิสฯ กล่าวว่ารัฐบาลสวิสจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ เพียงแต่ตั้งข้อสังเกตว่าการลงโทษโดยการเฆี่ยนอาจจะดูแปลกสำหรับคนสวิส
ตามกฎหมายว่าด้วยการทำลายทรัพย์สินของรัฐและเอกชนของสิงคโปร์ ผู้ทำผิดมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือปรับ 2,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ พร้อมด้วยการเฆี่ยนระหว่าง 3-8 ครั้ง ซึ่งการลงโทษจำคุกมักจะพ่วงด้วยโทษเฆี่ยนเสมอ ซึ่งโทษเฆี่ยนนี้ใช้มาตั้งแต่สมัยที่สิงคโปร์ถูกปกครองโดยอังกฤษ
อุปกรณ์การเฆี่ยน เป็นหวายยาว 1.2 เมตร และหนาประมาณครึ่งนิ้ว ซึ่งหนากว่าหวายที่ใช้ตามโรงเรียนหรือค่ายทหาร หวายจะถูกแช่น้ำก่อนเพื่อให้หนักและยืดหยุ่น และมีการแช่น้ำยาฆ่าเชื้อก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ถูกเฆี่ยนติดเชื้อ เนื่องจากขั้นตอนการเฆี่ยนนั้นผู้ถูกเฆี่ยนจะต้องเปลือยก้น
ซึ่งแน่นอนว่าน้ำหนักในการเฆี่ยนจะทำให้เนื้อแตก เลือดไหล
ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงกลัวการเฆี่ยนมากกว่าการถูกจำคุกเสียอีก
โดย นงนุช สิงหเดชะ มติชนออนไลน์
-------------------------
กฏหมายที่สมควรแก้ไขในประเทศมีมากมาย แล้วทำไมพวกนิติราษฎร์จ้องจะแก้เฉพาะมาตรา112??
อยากรู้ ไปอ่านได้ที่ แฉผังล้มเจ้าของนิติทรราช!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพิ่งเปิดรับการแสดงความคิดเห็นครับ ทุกความเห็นคือกำลังใจ
แล้วอย่าลืมแวะไปที่บล้อคมุมมอง-ใหม่เมืองเอกนะครับ ขอบคุณ/ใหม่ เมืองเอก