วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555
พระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ชี้ขาด ธัมมชโย ปาราชิก
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ-พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกทรงมีพระลิขิตชี้ขาดกรณีวัดพระธรรมกายว่า พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องอาบัติชั้นปาราชิก กรณีไม่ยอมส่งมอบคืนสมบัติที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด
ทั้งนี้ อาบัติชั้นปาราชิกถือว่าเป็นอาบัติชั้นสูงสุดตามพระวินัย สำหรับสงฆ์ที่กระทำความผิดรุนแรงเช่น เสพเมถุน ฆ่าคนตาย ฯลฯ และจะต้องสึกจากพระในทันที
ข่าว
บ่ายวานนี้ (29 เมษายน2542 ) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระลิขิตเกี่ยวกับปัญหาวัดพระธรรมกาย จังหวัดปทุมธานี โดยทรงมอบผ่านทางพระเลขาประจำสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช คือ พระวิปัสสี
ในพระลิขิตดังกล่าว ทรงให้กรมการศาสนารับสนองพระลิขิตมีใจความระบุว่า
"ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที
พระลิขิต ระบุว่า "การไม่ยอมคืนสมบัติให้วัด ในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาเป็นของตน แต่เมื่อถึงอย่างไร ก็ยังไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา "
และแม้ในภายหลังธัมมชโยจะคืนเงินให้แก่วัด ตามคำสั่งของสมเด็จพระสังฆราช จนอัยการสูงสุดถอนคำฟ้องในเดือนสิงหาคม 2549 เป็นยุคที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม
แต่การยักยอกได้เกิดขึ้นแล้ว มีการกระทำผิดไปแล้ว จึงถือว่าธัมมชโยปาราชิกไปแล้ว แม้คดียักยอกจะสามารถยอมความได้ก็ตาม (แต่ความผิดฐานของธัมมชโย ในฐานะเป็นเจ้าอาวาสแต่ยักยอกทรัพย์ เท่ากับเป็นความผิดอาญามาตรา 157 ฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่น่าถอนฟ้องได้)
เพราะกฎหมายทางโลกกับอาบัติปาราชิก เป็นคนละเรื่องกัน เพราะการกระทำความผิดเป็นเหตุให้อาบัติปาราชิกเกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถโมฆะได้ดั่งกฎหมายบ้านเมือง ครับ
อ้อ.. แล้วที่เรื่องมันเงียบ แล้วที่สมเด็จเกี่ยวได้รับแต่งตั้งให้มาปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ในสมัยใครเป็นนายกรัฐมนตรีล่ะครับ ? (จนมีการประท้วงคัดค้านจนวุ่นวาย)
ก็ทักษิณสาวกใหญ่ของธรรมกายไง!!
และปีนั้นหลังจากถอนฟ้องธัมมชโยแล้ว ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2549 พล.อ.อ. คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงาน “ รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี “ โดยระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั่วประเทศ 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี นช. ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานและกล่าวปาฐกถา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมขับไล่ นช.ทักษิณ
----------------------
ดูการสอนให้คนหลงเรื่องจำนวนบุญ ยิ่งมากยิ่งได้บุญ
โดยเปรียบเทียบเรื่องการกราบพระพุทธรูป
ธัมชโย กล่าวทำนองว่า กราบพระพุทธรูป 1 องค์ก็ได้บุญมากมายแล้ว ถ้ากราบทีเดียวล้านองค์ก็ได้บุญล้านเท่า กราบ2ที กราบ3ที บุญมหาศาล ฉะนั้นมากราบธรรมกายเจดีย์ มีพระพุทธรูปข้างนอก3แสน ข้างในอีก7แสน ยิ่งจะไดับุญเยอะๆ นะจ๊ะ ได้ไปสู่สวรรค์เลยนะจ๊ะ ๆ 555
------------------------
ข่าว เดลินิวส์ 29 เม.ย. 2542
สังฆราชชี้ขาด ธัมมชโย ปาราชิกต้องสึก ใน 3 วันหรือลงมติ ธรรมกายวุ่นหนัก เรียกประชุมด่วน
สมเด็จพระสังฆราชฯ ให้จับ "ธัมมชโย"สึก ฐานปาราชิกขาดจากความเป็นสงฆ์ เอาสมบัติวัดเป็นของตัว ต้องถูกจัดการเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระแต่ปลอมเป็นพระ ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียแก่สงฆ์ในศาสนาพุทธ ตรัสชัดพระต้องถือธรรมะเป็นใหญ่ ไม่ยึดติดกับอำนาจ เงินทอง สมณศักดิ์ ยอมสละชีวิตรักษาธรรมะได้ งานนี้อยู่ที่กรมการศาสนา มี 2 ทางเลือก จับสึกทันทีใน 3 วัน หรือโยนเรื่องเข้ามหาเถรฯ ระบุเกือบ 40 ปี มหาเถรฯ ไม่เคยขัดแย้งประมุขสงฆ์ ชาวบ้านโทรศัพท์แสดงความยินดี ระบุถ้ากรมศาสนายึกยักจะไปบุกถล่ม จะดูใจมีพระเถระ หน้าไหน มากล้าอุ้มอีก ข่าวสะพัด "ธัมมชโย" รุดเข้าเฝ้า
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริยายก ฯ ทรงมีพระบัญชา ให้จัดการปัญหาวัดพระธรรมกายขั้นเด็ดขาด โดยมีพระลิขิต ให้กรมการศาสนา จับพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) สึกเพราะปาราชิก ขาดจากความเป็นสงฆ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.30 น.ของวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมาสมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงมีพระบัญชาให้กรมการศาสนามารับ พระลิขิตเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย โดยลิขิตนี้เป็นเรื่องสืบเนื่องจากที่เคยพระประทานไว้ในเรื่องการถือครองที่ดินของพระไชยบูลย์ที่มีนับพันไร่ และมีพระบัญชาให้โอนให้วัด ปรากฎว่าพระไชยบูลย์ และวัดพระธรรมกายแสดงท่าทีชัดเจนไม่ยอมโอนที่ดินให้วัด สมเด็จพระสังฆราชจึงทรงถือว่า เป็นการแสดงชัดเจน มีเจตนาเอาสมบัติของวัด เป็นของตนจริง ๆ ต้องอาบัติปาราชิกต้องพ้นจากการเป็นพระ และ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าว "เดลินิวส์" ได้เดินทางไปวัดบวรนิเวศ และได้พบพระมหาสะท้าน พระวิปัสสี ซึ่งเป็นพระในสำนักงานเลขาฯ และได้เดินทางออกมาก่อน ที่สมเด็จพระสังฆราช จะออกจากวัดบวร และถามผู้สื่อข่าวว่า "จะมารับเอกสารพระบัญชาหรือ"
สำหรับรายละเอียด ของพระลิขิต ที่เกี่ยวข้องกับการให้จับพระไชยบูลย์สึก ก็คือ "ส่วนที่มิใช่การลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที (5เมษายน พ.ศ.2542) ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ว่า ในขั้นต้น อาจมิใช่เจตนา ถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ
แต่เมื่อถึงอย่างไร ก็ไม่ยอมคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะ เป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดเจนว่า ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะ โดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับ ผู้ที่ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำเอาผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้แก่เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา" และได้มีการลงพระนามสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก วัดบวรนิเวศวิหาร กทม. 26 เมษายน พ.ศ. 2542
ขณะเดียวกัน นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่าไม่กล้าออกความเห็นเพราะยังไม่เห็นอะไร แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสมเด็จพระสังฆราชจะไม่ก้าวก่าย งานของมหาเถรสมาคมฯ เพราะท่านเป็นประธาน มหาเถรฯอยู่แล้ว เมื่อมหาเถรฯมีมติให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เป็นผู้ดำเนินการ ท่านคงจะไม่มีพระบัญชาอะไรอีก และเรื่องนี้ อาจจะมาจากห้องกระจก ที่เคยกล่าวถึงพระลิขิตมาแล้ว
นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนากล่าวว่าตนไม่ทราบเรื่อง เพราะไม่เห็นพระลิขิต แต่จะเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ขณะที่นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดี กรมการศาสนากล่าวว่า ถ้ามีพระบัญชา หลักการสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จะต้องมีหนังสือ มาถึงอธิบดีกรมการศาสนา อย่างเป็นทางการ แต่ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ เพราะไม่เห็นหนังสือเช่นกัน
อย่างไรก็ตามพระวิปัสสี เจ้าหน้าที่ประจำสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชกล่าวพระลิขิตดังกล่าวเพิ่งมาถึงอาตมา และได้ตรวจสอบแล้วว่า เป็นพระลิขิตจริง เพื่อให้สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ประสานงานไปยังกรมการศาสนา ดำเนินการเผยแพร่ให้ประาชทรบซงจ้าน้าที่ก็ได้นำพระลิขิตนี้ไปยังกรมการศาสนา แล้ว แต่ไม่ทราบว่า จะถึงมืออธิบดีกรมการศาสนาหรือยัง
อย่างไรก็ตาม พระลิขิตนี้ไม่ได้หมายถึง วัดพระธรรมกายเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงวัดอื่นด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราชนั้น ครั้งแรกพระสังฆราชทรงประทานให้นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อสะสางปัญหาธรรมกายโดยแยกเป็น 2 ประเด็นคือ
1.การบิดเบือนพระศาสนา ซึ่งทรงมีพระลิขิตว่า ความบิดเบือนพระพุทธธรรม คำทรงสอนโดยกล่าวหาว่า พระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาทำสงฆ์ให้แตกแยก เป็นอนัตตริยธรรม มีโทษทั้งปัจจุบัน และอนาคตที่หนัก" และ
2.เรื่องที่ดินที่มีพระลิขิตว่า "ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษแต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบ สมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที"
ปรากฎว่า พระลิขิตนี้กรมการศาสนา ไม่ยอมเสนอเข้าที่ประชุม เพราะมีพระเถระระดับสูงบางรูปไม่ให้เปิดเผย และไม่ให้นำเข้า ที่ประชุมมหาเถรฯ จนในที่สุด "เดลินิวส์" เปิดเผยพระลิขิตดังกล่าว และมีการนำพระลิขิต เข้าที่ประชุมมหาเถรฯ ในวันที่ 5 เม.ย. โดยสมเด็จพระสังฆราชให้จัดทำพระลิขิตขึ้นมาใหม่ ใช้กระดาษ ที่มีพระนามาภิไธยย่อ และที่ประชุมมหาเถรฯ มีมติให้มอบให้พระพรหมโมลีไป
นอกจากนั้นนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี สั่งการให้นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ จัดการเรื่องที่ดิน ซึ่งมีการส่ง นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนาไปพบพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย โดยพระเผด็จกล่าวว่าจะยังไม่มีการโอนที่ดินเพราะวัดไม่มีเงิน รวมถึงผู้บริจาคบางรายอาจไม่ยอม เพราะต้องการบริจาคให้พระไชยบูลย์ ที่ดินบางแปลงก็ใช้ประโยชน์ได้ บางแปลงก็ไม่ได้ ซึ่งจะมีการตั้งกรรมการของวัดพิจารณาว่า แปลงใดจะโอน แปลงใดจะไม่โอน
สุดท้ายเมื่อวันที่ 26 เม.ย.มหาเถรฯประชุม และจะออกมติมหาเถรฯ บังคับให้พระต้องโอนที่ดินให้วัด ซึ่งรอการรับรองมติอีกครั้งในการประชุมครั้งหน้า ในวันนั้นเองสมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงทำพระลิขิตอีกฉบับ เพื่อยุติปัญหาธรรมกายที่ยืดเยื้อยาวนาน รวมถึง สร้างความเสื่อมให้กับพระศาสนา
พระพิศาลธรรมพาที (พยอม กัลยาโน) ประธานมูลนิธิสวนแก้ว กล่าวว่า "สมเด็จพระสังฆราชเคยสั่งให้พระยันตระสึกมาแล้ว ทำไมจะสั่งพระไชยบูลย์สึกอีกไม่ได้ และอยากดูว่าศิษย์วัดธรรมกาย จะคลั่งหรือไม่W
นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญ กรมการศาสนา ให้สัมภาษณ์กรณีดังกล่าวว่า "พระลิขิตยังไม่ใช่พระบัญชา เป็นเพียงความคิดเห็นของพระสังฆราช ในฐานะที่เป็นประธานมหาเถรสมาคม ซึ่งถ้าเป็นพระบัญชาจะต้องมีตราสัญลักษณ์ และมีการออกหมายเลขหนังสือ อย่างไรก็ตามขั้นตอนยังไม่สิ้นสุด การปฏิบัติตามความเห็นของพระสังฆราช เป็นหน้าที่ของอธิบดีกรมการศาสนา ในฐานะเลขานุการ นำความเห็นดังกล่าว เสนอต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคมโดยสิ้นสุด ด้วยการออกเป็นคำสั่งหรือเป็นมติของมหาเถรฯ
แต่ที่ผ่านมายังไม่เคย มีเหตุการณ์ที่มติของมหาเถรสมาคมจะออกมา ไม่เหมือนกับพระลิขิต หรือพระประสงค์ของสมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่มี พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 เป็นต้นมาไม่เคยพบเห็นเลย ส่วนระยะเวลานานเท่าใด ในการสึกเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องดูด้วยว่า การมีความเห็นให้สึกนั้น ด้วยข้อกล่าวหาอะไร ซึ่งหากให้สึกด้วยข้อหาปาราชิก ถ้าเป็นพระบัญชา ต้องให้สึกภายใน 3 วัน โดยเจ้าหน้าที่ บ้านเมืองต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฏหมาย"
นายจรวย หนูคง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และนักวิชาการประจำกรรมาธิการการศาสนาฯ เปิดเผยว่า "ตนเห็นพระลิขิตแล้ว ดูจากลายลักษณ์อักษรการลงพระนามแล้ว เป็นของสมเด็จพระสังฆราชจริง ถือเป็นพระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราช ในนามประธานมหาเถรสมาคม ซึ่งการดำเนินงานโดยทางที่ถูกต้องแล้วมี 2 ทาง ไม่ใช่แนวทางเดียว โดยกรมการศาสนาจะสนองพระบัญชาเลยก็ได้หรือว่านำเข้าที่ประชุมมหาเถรฯเพื่อลงมติ เพราะถือว่า สมเด็จฯ เป็นพระประมุขสูงสุด แต่เพื่อความรอบคอบก็ควรเสนอที่ประชุมมหาเถรฯ"
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ประชุมมหาเถรฯจะขัดแย้งพระวินิจฉัยหรือไม่ นายจรวยกล่าวว่า "การประชุมมหาเถรฯ ครั้งที่ผ่านมา ที่ประชุมมีความเห็นขัดแย้งกัน อย่างไรก็ตามคิดว่าทางออก คือพระไชยบูลย์จะต้องรีบโอนที่ดินให้วัดทันที เพื่อไม่ต้องสึก ถ้าไม่ยอมโอนก็ตีความได้ว่าจะเบียดบังยักยอก เอาของศาสนา หรือเรียกว่าโกง เพราะที่ดินที่ได้มานั้น เพราะคนทำบุญให้ศาสนา ตนเชื่อว่าพระไชยบูลย์น่าจะยอมโอน และไม่ยอมสึกง่าย ๆ"
พระศรีปริยัติโมลี กล่าวว่า "วันนี้ได้นำพระธรรมทูต พร้อมครูบาอาจารย์ กรรมการโครงการ ธรรมทูตเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชฯ 70 คน เมื่อเวลา 14.30 น. ซึ่งพระสังฆราชทรงตรัสเป็นนัย ๆ ว่าให้คิดถึงประเด็นธรรมกายว่า พวกเราเหล่าพระสงฆ์ต้องถือธรรมะเป็นใหญ่ ไม่ยึดติดกับอำนาจลาภ ยศ เงินทอง สมณะศักดิ์ ต้องยอมเสียสละทุกอย่าง เพื่อให้ธรรมะเป็นใหญ่ แม้กระทั่งชีวิตก็ยอมเสียสละได้เพื่อธรรมะ
สำหรับกรณีพระลิขิตนี้แสดงออกชัดว่าครั้งแรกท่านออกพระลิขิตมาแล้ว แต่ไม่ยอมทำตามต้องออกมาอีกฉบับ เป็นนัยให้เห็นว่า ท่านอึดอัดพระทัย ไม่สบายใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกรรมการมหาเถรฯ และกรมการศาสนา ไม่จัดการเด็ดขาด และไม่คลี่คลายความสงสัยให้ประชาชน เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ควรเร่งให้จัดการให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นประชาชนสับสนแตกแยก พระสงฆ์แตกแยกเป็น 2 ฝ่าย บานปลายหนัก จริง ๆ แล้วกรรมการมหาเถรฯ น่าแสดงอะไรชัดเจน โดยพูดเอง จัดการเอง อย่างชัดเชน เช่นพระพรหมโมลี น่าจะมีการติดตามบังคับดูแลวัด แต่กลับ ไม่มีการดำเนินการเลยไม่มีผลอะไร ลอย ๆ ทั้งเรื่องการฝ่าฝืนพระธรรมคำสอน เรื่องที่ดินร้ายแรงทั้งนั้น ตั้งแต่ เจ้าคณะผู้ปกครอง เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัดมองเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก จริง ๆ ไม่ใช่ ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย ให้คาราคาซังอย่างนี้"
รายงานข่าวจากมหาเถรฯ สมาคม เปิดเผยว่าในการประชุมหาเถรฯ ครั้งที่ผ่านมาสมเด็จพระสังฆราชฯไม่พอพระทัย เกี่ยวกับการยืดเยื้อ ในการแก้ปัญหาธรรมกาย โดยเฉพาะเรื่องที่ดิน ที่มีการดึงเรื่องและพยายาม จะให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวพันกับวัดอื่นด้วย เพื่อให้เกิดปัญหา และหลังการประชุม สมเด็จพระสังฆราชฯ จึงทรงทำ พระลิขิตต่อท้ายพระลิขิตเดิม
"เดลินิวส์"ยังได้รับโทรศัพท์ จากชาวพุทธจำนวนมาก ที่แสดงความยินดี ที่สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระลิขิตแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาด และกล่าวว่าหากกรมการศาสนา ไม่เร่งจัดการจะไปถล่มที่กรม และอยากรู้ว่ จะมีพระมหาเถระรูปใดจะอุ้มต่อไป
ในวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะทำงานของกระทรวงศึกษาธิการทำรายงานเสนอแล้วว่า คำสอนของวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะในหนังสือพระแท้ ที่ใช้ในการตอบปัญหาธรรมะ ในงานวันเกิดพระไชยบูลย์ ขัดกับหลักศาสนาอย่างชัดเจน และจะเสนอให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาคที่ 1 เพื่อให้พิจารณาให้เป็นไปตาม พระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงห่วงใยความมั่นคงของพระพุทธศาสนา ที่วัดพระธรรมกายมีการบิดเบือน ผิดเพี้ยน ไปจากพระไตรปิฎก ทำให้สงฆ์หลงเชื่อ เกิดความแตกแยก เป็นการทำลายพระศาสนา
สำหรับคำสอนผิดเพี้ยนของธรรมกายมี 4 ประเด็นหลัก คือ
1. การสอนเรื่องธรรมกายตั้งแต่หน้า 64 หน้า 68 และ 69 โดยอ้างว่า พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ แล้วมีการอ้างว่าหายไปจนมีการค้นพบใหม่ ซึ่งปรากฎว่าเป็นการสอนผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก ที่ในพุทธเถรวาท ไม่ถือธรรมกายเป็นเรื่องสำคัญ และมีการกล่าวถึงธรรมกายครั้งแรก และครั้งเดียวในพระสูตรอย่างเป็นหลักการเท่านั้น โดยเป็นคำเรียกแทนพระนาม พระพุทธเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นแหล่งรวม และเป็นที่ไหลออกมาแห่งธรรม ไม่ใช่ในฐานะวิชชาทางพุทธ
2. เรื่องปฐมมรรค ในหน้า 69-70 ที่วัดพระธรรมกายบัญญัติศัพท์ขึ้นมาเอง และอธิบายให้สับสน โดยอ้างว่า เป็นดวงใสอยู่กลางกาย และจะเป็นทางเข้าสู่การบรรลุธรรม ขั้นพระอรหันต์
3.เรื่องอายตนนิพพานในหน้า 70 ที่ว่าเป็นที่อยู่ ของพระนิพพาน เป็นสถานที่ โดยจะดูดธรรมกายเข้าไปสู่ในนั้น โดยเมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพาน ก็ถูกอายตนนิพพาน ดูดเข้าไป ซึ่งโดยแท้ที่จริงคำว่า อายตนนิพพาน ไม่มีในภาษาบาลีอยู่เลย และมีแต่คำว่าอายตน ที่อธิบายภาวะดับทุกข์ ที่เรียกว่า "นิพพาน" และในการแปลความหมายคำว่า "อายตน" ก็ไม่ให้แปลความหมายว่า เป็นแดนทางรูปธรรม คือเป็นสถานที่ ซึ่งไม่มีในพระพุทธศาสนา
และคณะทำงานยังเสนอความเห็น ด้วยว่าถ้าเห็นแก่พระธรรมวินัย ไม่ประสงค์จะทำให้กระทบกระเทือนต่อหลักของพระพุทธศาสนา และเป็นความตรงไปตรงมา ก็น่าจะบอกว่าคำนี้ คิดค้นขึ้นมาเอง จากพระอาจารย์ที่สอนวิชชาธรรมกาย และถ้าจะให้ถูกต้องแท้จริง เมื่อเป็นพระก็ต้องสอน ให้ตรงตามพระธรรมวินัย
4. เรื่องบาปย่อมชำระล้างได้ด้วยบุญ ในหน้า 208-210 ว่าบุญหมายถึงความผ่องแผ้ว ความบริสุทธิ์ ความดีงาม ธรรมชาติเครื่องล้างกาย วาจา ใจ ให้ปราศจากมลทิน เหมือน้ำใสสะอดา ยอ่มีอานุภาพ ล้างสิ่งที่แปดเปื้อน เมื่อผู้ได้ก่อกรรมทำบาป หากสำนึกผิดก็จะต้องรีบล้างบาป โดยการหยุดทำบาป และสร้างบุญแทน เมื่อสั่งสมบุญมากขึ้น ๆ วิบากแห่งกรรมชั่วย่อมตามมาไม่ทัน
การพูดเช่นนี้ คณะทำงานของกระทรวงศึกษาธิการเห็นว่า จะไปเหมือนกับศาสนาอื่นที่ล้างบาปได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ทำบาป ไม่เกรงกลัวความชั่ว ไม่มีในศาสนาพุทธ
ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดปทุมธานี รายงานบรรยายกาศ จากวัดพระธรรมกายว่า ทางวัดพระธรรมกาย ได้มีการประชุมเตรียม จัดงานฉลองธรรมกายเจดีย์ ซึ่งขณะที่ประชุมกันอยู่นั้นได้มีพระลูกวัด เข้ามารายงาน ที่ประชุมให้ทราบว่า ทางสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ได้นำเสนอข่าวพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช โดยได้ทรงแสดงความเห็นถึงความผิดของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องปาราชิก
ซึ่งคณะกรรมการ ในที่ประชุม ได้มีการแสดงความคิดเห็นตรงกันว่า พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆ์ราช ก็คือพระลิขิต ไม่มีอำนาจชี้ขาด และยังต้องมีขั้นตอน ต่างๆอีกมาก ดังนั้นวัดพระธรรมกาย ยังต้องคงอยู่ต่อไปอีกนาน ที่สำคัญวัดธรรมกาย ยังมีเจ้าคณะตำบล อำเภอ และกรรมการในเถรสมาคม อย่างไรเสียก็ต้องออก เป็นมติ จากมหาเถรสมาคมออกมาก่อน
ขณะเดียวกัน ประดา ศิษยานุศิษย์ของวัดพระธรรมกาย เมื่อได้ทราบข่าว ของเจ้าอาวาสที่ตนเองศรัทธา ต่างโทรศัพท์เข้ามาสอบถาม ไม่ขาดระยะ โดยเฉพาะนักข่าวจากสำนักต่างๆ ได้เดินทาง ไปรอทำข่าว อยู่บริเวณหน้าวัดพระธรรมกาย แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายในบริเวณวัด คงปักหลักรอทำข่าว ทามกลางสายฝน อยู่บริเวณ หน้าวัดพระธรรมกาย
http://b2b2.tripod.com/dailynews/dnews19990430.htm
คลิกอ่าน ย้อนรอยคดี ธัมมชโยยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ถึงจะปาราชิกชัยบูลย์ไม่สน นะจ๊ะ เพราะมีมีแมลงเม่าโง่ๆ บินเข้าหาจานบิน อยู่ทุกวี่วัน
ตอบลบอืมๆ นึกอยู่แล้วว่ามันทะเเม่ง อ่อมันเป็นอย่างนี้เองเเมร่ง ไม่ยอมรับความจริงกันทำอย่างไรให้ได้ผลตามนั้นในเร็วพลัน เถิด
ตอบลบคนที่เขาทำบุญด้วยจิตบริสุทธิ์เขาก็ได้บุญอยู่แล้วครับ แต่ไอ้พวกที่มาหลอกชาวบ้านเขาให้ใช้เงินมากๆในการทำบุญนั้น นรกชัดๆ
ตอบลบถามจริง เคยไปวัดใหม
ตอบลบเคยครับ นั่งรถ มายังต้องมี การ์ดเกาะประตูมาด้วย และพระลูกวัดก็ใช้วาจา ไม่เหมาะสมหลายอย่างครับ
ลบคนเข้าวัดทำบุญ หน้าตาแจ่มใส ครอบครัวอบอุ่น
ตอบลบมีความสุข ดีออก แล้วจะเดือดร้อนแทนทำไม
หากไม่ดีคงไม่มีคนเพิ่มขึ้นทุกวันหรอก
ลองสัมผัสด้วยตน ดีกว่าฟังจากคนอคติแล้วเชื่อตาม
ดีไม่ดี ถูกไม่ถูก ค่อยว่ากัน
ลองไปเช็คดูเอกสาร ด้วยนะของจริงหรือปลอม
ตอบลบที่มาที่ไป ว่ามายังไง ใครออกหนังสือ
จริงหรือเท็จ ออกช่วงใหน
ขอร้องเถิดครับ การกล่าวหาโดยไม่พิจารณา
ฟังแล้วเล่าต่อไม่นึกถึงมูลความจริง เอาสนุกว่า
อย่างนี้ไม่ยุติธรรมเท่าไรนัก
เอกสารจริงแน่นอน คุณลองไปอ่านที่เขาถกกันในพันทิพได้เลยว่า จริงหรือไม่ ตามนี้
ลบhttp://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2012/04/Y11985062/Y11985062.html
และไปอ่านข่าว พระลิขิตของสังฆราช จากเดลินิวส์ได้ที่
ลบhttp://b2b2.tripod.com/dailynews/dnews19990430.htm
เอาขอมูล จากไหนมาพูดของสันติอโสกแน่เลยพวกมารศาสนา หัดเข้าวัดบ้างนะครับจะได้คิดใหม่่
ตอบลบคุณอย่ามาควายครับ สันติอโศก ผมก็ไม่นับถือ แต่ก็ดูแล้ว ยังดีกว่าวัดจานบินเยอะ
ลบพวกสาวกจานบินหัด เปิดหูเปิดตาให้กว้างบ้าง
ผมนี่แหละ อดีตสาวกวัดจานบิน เคยทำบุญมามากมายตั้งแต่เจดีย์จานบินยังไม่สร้างด้วยซ้ำ ร่วมๆ 20ปี แต่ตอนนี้หายโง่แล้วครับ
คุณวัฒนา อลงพิมพ์คำว่า "สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเกิดขึ้นที่คลองหลวง" ที่กูเกิ้ล
ลบแล้วไปทัศนาให้หายโง่ ถึงความชั่วของสำนักนี้ซะนะ 555
สันติอโศก สอนให้อยู่ด้วยตนเอง พึ่งตนเอง ไม่เบียดคนอื่น สัตว์อื่น ผมว่าน่าจะดีกว่าวัดจานบินที่ว่านี่นะครับ (ผมไม่เคยไปสันติอโศก )
ลบสันติอโศก ตัดตัวเอง ออกจากเถรวาทไปแล้วครับ จบครับ เป็นนิกาย ที่ไม่ใช่เถรวาทแล้ว
ลบส่วนธรรมกาย นั่นล่ะครับ ยังอยู่ได้ไงครับ ในเถรวาท สอนก็ไม่เหมือนเถรวาท
คนที่หลงเชื่อวัดนี้ คือคนที่รู้ซึ้งพระธรรมเพียงกระพี้ไม้เท่านั้นไม่ใช่แก่นของมัน
ตอบลบผิดปกติหรือพิเรนมาตั้งแต่ปี 2530 แล้ว กล่าวคือ ผ้าขาวก่อนบวชเป็นพระวัดธรรมกายต้องถูกทดสอบความอึด ปีดังกล่าวให้เข้าค่ายทหารกำแพงแสน เช่น สั่งให้เกลือกกลิ้ง ไถตัวไปตามพื้นดิน ร้ายสุดให้โดดน้ำจับปลามาฆ่ากินกันก่อนบวช ถามว่า พระวัดนี้ต้องทำอาหารกินกันเอง ต้องเกลือกกลิ้งตัวแทนการเดินด้วยหรือ และเห็นว่าสมาธิจะเกิดโดยนั่งนานๆ วิธีเดียวหรือ กรณีเป็นโอ้อวดให้ประชุมชนเห็นว่าเคร่งหรือไม่ ท่านเลี่ยงบาลีทำผิดกรรมเล็กน้อยแต่ทำบ่อยครั้งหลายกรรมรวมเป็นกรรมหนักอาจลงสู่อเวจีมหานรก นะจะ
ตอบลบอยากได้ พระลิขิต จริงทุกฉบับ จะหาได้ไหมครับ
ตอบลบถึงใครจะมองว่าอย่างไรผมไม่สนแต่ผมมองว่าที่นี่ดีที่สุด งดงามที่สุด ไม่ได้โง่ ไม่ได้ถูกหรอก ทำบุญทีก็ร้อยครึ่งร้อย พันครึ่งพัน ไม่เห็นจะเดือดร้อนใคร สบายมากกับวัดนี้ ใสใส ของเขาดีจริงๆ คนที่โง่ก็คือคนที่คึดอยากจะได้หวังผลผมจะอธิบายว่า ไห้อ่านและคึดตามดูดิว่าผมพูดถูกมั้ย"ไอ้คนที่บอกหนักบอกหนาว่าเข้าวัดนี้แล้วถูกหรอกว่าโง่งมงาย ก็เพราะมัน จิตแรกมันคึดว่าทำบุญกับวัดนี้ แล้วคงจะรวยเพราะผลบุญที่ได้ทำแต่ระหว่างทำไปแล้วจิตยังสกปรกง่ายๆว่าอยากลองของว่าจะรวยจริงมั้ยพอทำหนักเข้าหนักเข้าไม่มีผลอะไรเหมือนเอาเงินมาละลายน้ำก็โวยวายว่าบุญไม่ส่งผล หรอกไห้ทำบุญเชื่อเรื่องโน้นเรื่องนี้ คึดไม่ซื่อทำอะไรมันก็ไม่ดูดีขึ้นมาหรอก ความคึดสกปรก สมดั่งคำว่า มารไม่มีบารมีไม่เกิด หยุดว่าวัดซักทีเถอะ สงสารตัวเองบ้าง เข้ามาสัมผัสไห้ถูกต้องก่อนค่อยวิจาร ผมก็ชั่วเหมือนกันก่อนจะเข้าวัด พอมาถูกวัดนี้สอนเอาสิ่งดีๆยื่นไห้ ผมน้อมรับ ทำไห้ผมเปลี่ยนเป็นคนละคน พ่อแม่ผมก็มีความสุขมากขึ้นทำบุญกับวัดนี้แค่ร้อยเดียวเองเพียงแค่เปิดใจอะไรอะไรก็ดีขึ้นมาเอง ญาติทุกคนของผมก็ทึ่งในการเปลี่ยนไปของผมแต่มันอยู่ที่สันดารคนด้วยคัฟ หยุดเถอะไห้วัดนี้เป็นต้นบุญต้นแบบ ต่อไป อย่าวิจารณ์ในทางที่ไม่ดีเรยคัฟ
ตอบลบผมนี่แหละครับ สาวกเก่าลัทธินี้ เคยไปตั้งแต่อายุ 7 ขวบ จนกระทั่งอายุ 20 ปี
ลบก็ต้องละทิ้งลัทธินี้
เพราะรู้และหน่ายมามากครับ
ไม่เอาพระไตรปิฎกไปอ่านที่บ้านแล้วก็ทำความเข้าใจใน ศลี สมาธิ ปัญญา คำสอนของพระพุทธองค์จะบอกเราเองว่าเรามีปัญญาแค่ไหน ไม่จำเป็นต้องไปวัดธรรมกายหรอก ศึกษาและปฏิบัติพึ่งเห็นได้รู้ได้ด้วยตนเอง จิตถ้าถูกฝึกไปในทางที่ผิด ชาตินี้ผิด ชาติหน้าก็ต้องผิด กลายเป็นหลงผิด หลายภพหลายชาติกว่าจะข้ามฝั่งได้....พระองค์ไหนที่ในหลวงไปกราบพยายามหาข้อมูลและปฏิบัติตามเลยครับ ส่วนใหญ่พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งนั้น....การามสูตร 10 คำสอนของพระพุทธองค์ใช้ได้ทุกกาลสมัย.......
ตอบลบพุทธพาณิชย์สามานต์ อาชีพที่ พวก 18 มงกุฏ ชอบมากมันสร้างความร่ำรวยมั่งคั่งอย่างสูงสุด ได้เงินง่ายจากพวกจิตอ่อนผู้น่าสังเวช หลอกทางใจทางจิตแมร่งโคตรบาปเลย
ตอบลบไม่ได้ต่างอะไรกับเณรคำเลย 555 คนเอี้ยเอาผ้าเหลืองมาหากิน ง่ายๆ กับพวกที่จิตใจอ่อนไหว หาที่พึ่งทางใจ พระพุทธเจ้าสอนให้มนุษย์รู้จักพึ่งตนเอง รู้คิด ผิดชอบด้วยตัวเอง สอนตัวเองเป็น แต่คนก็ไม่เข้าใจ ท่านไม่เคยบอกว่าต้องสร้างวัตถุมงคล เพราะชีวิตมันว่างกว่านั้น เลือนกันไปหมดกับคำสั่งสอน อีกเยอะค่ะพี่เอก โลกมันถึงเป็นอย่างนี้
ตอบลบคนที่เชื่อและชื่นชอบธรรมกายแปลก มะใช้สมองคิด โง่กับจิตวิทยาหมู่ ดูง่ายๆ แหกตาชาวโลกเดินธุดงกลางเมือง นั่งรถบัสแล้วไปเดินหลอกคนเป็นทอดๆ ควายมากที่สกวกมะเหน การเดินธุดงต้องเดินจริงๆตลอดเส้นทาง ไม่ใช้เดินแหกตาควายยังงี้
ตอบลบเคยเจอมา สอนว่านิพพานเป็นอัตตา ( ตัวกู ) หมดศรัทธาเลย เพราะสอนสิ่งผิด
ตอบลบผมมีเรื่องอยากมาเล่าตัวผมเองก็เป็นคนที่เคยเข้าวัดมาก่อนและก็เคยศึกษาอ่านหนังสือมาก็หลายเล่มของวัด และก็เคยอ่านหนังสือที่ไม่ใช่ของวัดหลายเล่มเหมือนกันไปวัดป่าเคยศึกษาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาเหมือนกันและก็หลวงพ่ออื่นๆอีกหลายๆรูป เคยบวชมาแล้วเดินธุดงค์มาแล้วทั้งของจริงและที่บอกว่าของปลอมก็เดินมาแล้ว ทุกวันนี้ผมถือแต่ศีล5 กับศีล 8 นั่งสมาธิก็นั่งมาค่อนข้างมากผมบอกเลยว่าทั้งสองทางนั้นดีหมดไม่ผิดเพื้อนต่อพระพุทธศาสนาแต่คนเรานั้นเองที่ถูกทำให้ยึดติดกับของเดิมๆที่ห้ามเปลี่ยนแปลง วัดควรเป็นที่สงบก็ถูก แต่ว่าวัดสงบก็คงเป็นวัดเล็กๆ ไม่มีกำลังอะไรจะทำอะไรบางที่ก็เกือบร้างที่ผมเคยไปจำวัดตอนเดินธุดงค์จริง แต่ถ้าเป็นวัดใหญ่ๆ อย่างวัดที่เราบอกว่าเป็นจานบินอะเขาส่งพระไปเข้าวัดร้าง เพื่อเพิ่มพระให้วัดนั้นไม่ร้างอะผมอยู่ตรงจุดนั้นบอกเลยว่าประทับใจมากๆ อีกทั้งสเบียงข้าวของก็ส่งมาจากวัดจานบินอีก เอ๋ วัดนี้มันไม่ดีไม่ใช่หรอผมก็นึก พอลองเข้าวัดมาบวชผมบวชพระช่วงนั้นถามเลยกล้าไหมล้างส้วม เออะไม่อะให้พรญาติโยมก็พอแต่พอมาบวชที่นี้เป็น พระเมดอะ ล้างส้วมได้เฉยเลยล้วงลงไปแบบ อะนะ คิดเอาเองทั้งสอนให้มีการเคารพพระ แบบภันเตและอาวุโส ซึ่งวัดที่ผมเคยอยู่ก่อนหน้านี้ไม่มีกำลังจะบอกว่ากำลังและประสิทธิภาพการสอนอบรมพระมันต่างกันอะครับน่าจะตามทัน เดี๋ยวมาเล่าต่อละกัน (อย่าลืมถือศีล5 เป็นขั้นต่ำนะครับ)
ตอบลบพอดีนอนไม่หลับอะเล่าต่อละกันผมเคยถามพี่อยู่ที่วัดที่เป็นพระพี่เลี้ยงกลุ่ม วัดนี้จะมีพระพี่เลี้ยงกลุ่มครับทำไมต้องสร้าง ที่เคารพคล้ายๆจานบินด้วย ท่านก็บอกว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่จานบิน มันคือเจดีย์ แบบที่ลอกแบบมาจากของอินเดีย ก็มีเจดีย์แบบนี้เหมือนกันในลักษณะรูปทรงข้างในก็จะมี พระไตรปิฎก มีพระพุทธรูป พระคำภียร์โบราณ และก็พระบรมสารีริกธาตุ อยู่ในนั้น ซึ่งพี่เลี้ยงผมก็บอกว่านี้ก็ถือว่าถูกต้องตามหลักเกณฑ์การสร้างเจดีย์นะ (ถ้าเราลองไปเข้าเว็บไซค์ศึกษาดู) แต่เจดีย์นี้จะแตกต่างตรงมีพระพุทธรูปองค์เล็กๆอยู่เป็นแสน เรียงรายอยู่นับพัน ผมก็ฟังแล้วก็คิดว่าหลวงพี่ต้องโม้แน่ๆเพราะผมเห็นเป็นสีทองที่คิดว่าฉาบไว้แต่พอเข้าไปดูใกล้ๆก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นผมละกลัวทุกๆท่านบาปเหลือเกินจึงอยากให้หยุดว่าเถิดครับถึงท่านจะผิดหรือไม่ผิดจริง ก็ให้กฏแห่งกรรมเป็นตัวตัดสิน อย่าให้เอาคำพูดของพวกท่านต้องมาเพิ่มบาปให้ตัวเองเลย เพราะเราก็ไม่รู้จริงว่าท่านพ้นสภาพพระจริงหรือเปล่าถ้ายังไม่พ้นมันก็เหมือนเราชี้หน้าด่าว่าพระรูปหนึ่งเลยอะครับซึ่งมันบาปหนักมากๆที่ติดตัวพวกท่านไป อย่างเณรคำ ผมยังไม่กล้าว่าเลยครับ(พูดให้เข้าใจง่ายๆเหมือนนรกกับสวรรค์ มีจริงไหมก็เทียบกลับกันอะครับ)มันก็เหมือนการลงทุนธุรกิจไม่คุ้มเสี่ยงอะครับ นอกจากไม่ได้กำไรแต่ไม่ขาดทุนนะตอนเริ่มลงทุน แต่ผลลัพธ์ของการลงทุนเนี้ยสิ อาจจะไม่เสียอารายหรือว่า บาปเต็มๆก็ไม่รู้(ด้วยความหวังดี)
ตอบลบผมว่าคนที่มาวิจารณ์จริงๆแล้วก็ไม่มีใครรู้จริงหรอกครับ แต่อย่างว่าสังคมไทยมีเสรีในการวิพากษ์วิจารณ์ ตามความเชื่อของตน และคนที่ฟังก็มักฟังตามความคิดดั้งเดิมที่เชื่อเป็นทุนหลัก มันก็เลยไม่เคยจบสักที แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือถ้าจริงอย่างที่วิจารณ์ ผมว่ามันก็แค่เสมอตัว แต่ถ้าวิจารณ์ผิดจากความเป็นจริง แม้ตัวอักษรเดียว บาปท่วมตัวเลยนะครับ วิจารณ์คนหรือพระที่ไม่เคยทำร้ายเราแต่ดันไปคิดร้ายต่อพระและพระรัตนตรัย เพียงแค่เอามาตรฐานความเชื่อของตัวเองไปจับ นรก เปรต อสูรกาย และบาปกรรมข้ามภพข้ามชาติ ตระหนักไว้บ้างว่าเราคุ้มหรือไม่คุ้มกับการเอา ความคิดมาตรฐานส่วนตัวไปจับ และว่าก็ว่าเถิดเขามีหน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบอยู่แล้ว เราเป็นใครข้อมูลมีแค่ไหน ไปด่วนสรุปครับ ด้วยความห่วงใยนะครับ
ตอบลบ