วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555
พระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ชี้ขาด ธัมมชโย ปาราชิก
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ-พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกทรงมีพระลิขิตชี้ขาดกรณีวัดพระธรรมกายว่า พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องอาบัติชั้นปาราชิก กรณีไม่ยอมส่งมอบคืนสมบัติที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด
ทั้งนี้ อาบัติชั้นปาราชิกถือว่าเป็นอาบัติชั้นสูงสุดตามพระวินัย สำหรับสงฆ์ที่กระทำความผิดรุนแรงเช่น เสพเมถุน ฆ่าคนตาย ฯลฯ และจะต้องสึกจากพระในทันที
ข่าว
บ่ายวานนี้ (29 เมษายน2542 ) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระลิขิตเกี่ยวกับปัญหาวัดพระธรรมกาย จังหวัดปทุมธานี โดยทรงมอบผ่านทางพระเลขาประจำสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช คือ พระวิปัสสี
ในพระลิขิตดังกล่าว ทรงให้กรมการศาสนารับสนองพระลิขิตมีใจความระบุว่า
"ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที
พระลิขิต ระบุว่า "การไม่ยอมคืนสมบัติให้วัด ในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาเป็นของตน แต่เมื่อถึงอย่างไร ก็ยังไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา "
และแม้ในภายหลังธัมมชโยจะคืนเงินให้แก่วัด ตามคำสั่งของสมเด็จพระสังฆราช จนอัยการสูงสุดถอนคำฟ้องในเดือนสิงหาคม 2549 เป็นยุคที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม
แต่การยักยอกได้เกิดขึ้นแล้ว มีการกระทำผิดไปแล้ว จึงถือว่าธัมมชโยปาราชิกไปแล้ว แม้คดียักยอกจะสามารถยอมความได้ก็ตาม (แต่ความผิดฐานของธัมมชโย ในฐานะเป็นเจ้าอาวาสแต่ยักยอกทรัพย์ เท่ากับเป็นความผิดอาญามาตรา 157 ฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่น่าถอนฟ้องได้)
เพราะกฎหมายทางโลกกับอาบัติปาราชิก เป็นคนละเรื่องกัน เพราะการกระทำความผิดเป็นเหตุให้อาบัติปาราชิกเกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถโมฆะได้ดั่งกฎหมายบ้านเมือง ครับ
อ้อ.. แล้วที่เรื่องมันเงียบ แล้วที่สมเด็จเกี่ยวได้รับแต่งตั้งให้มาปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ในสมัยใครเป็นนายกรัฐมนตรีล่ะครับ ? (จนมีการประท้วงคัดค้านจนวุ่นวาย)
ก็ทักษิณสาวกใหญ่ของธรรมกายไง!!
และปีนั้นหลังจากถอนฟ้องธัมมชโยแล้ว ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2549 พล.อ.อ. คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงาน “ รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี “ โดยระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั่วประเทศ 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี นช. ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานและกล่าวปาฐกถา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมขับไล่ นช.ทักษิณ
----------------------
ดูการสอนให้คนหลงเรื่องจำนวนบุญ ยิ่งมากยิ่งได้บุญ
โดยเปรียบเทียบเรื่องการกราบพระพุทธรูป
ธัมชโย กล่าวทำนองว่า กราบพระพุทธรูป 1 องค์ก็ได้บุญมากมายแล้ว ถ้ากราบทีเดียวล้านองค์ก็ได้บุญล้านเท่า กราบ2ที กราบ3ที บุญมหาศาล ฉะนั้นมากราบธรรมกายเจดีย์ มีพระพุทธรูปข้างนอก3แสน ข้างในอีก7แสน ยิ่งจะไดับุญเยอะๆ นะจ๊ะ ได้ไปสู่สวรรค์เลยนะจ๊ะ ๆ 555
------------------------
ข่าว เดลินิวส์ 29 เม.ย. 2542
สังฆราชชี้ขาด ธัมมชโย ปาราชิกต้องสึก ใน 3 วันหรือลงมติ ธรรมกายวุ่นหนัก เรียกประชุมด่วน
สมเด็จพระสังฆราชฯ ให้จับ "ธัมมชโย"สึก ฐานปาราชิกขาดจากความเป็นสงฆ์ เอาสมบัติวัดเป็นของตัว ต้องถูกจัดการเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระแต่ปลอมเป็นพระ ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียแก่สงฆ์ในศาสนาพุทธ ตรัสชัดพระต้องถือธรรมะเป็นใหญ่ ไม่ยึดติดกับอำนาจ เงินทอง สมณศักดิ์ ยอมสละชีวิตรักษาธรรมะได้ งานนี้อยู่ที่กรมการศาสนา มี 2 ทางเลือก จับสึกทันทีใน 3 วัน หรือโยนเรื่องเข้ามหาเถรฯ ระบุเกือบ 40 ปี มหาเถรฯ ไม่เคยขัดแย้งประมุขสงฆ์ ชาวบ้านโทรศัพท์แสดงความยินดี ระบุถ้ากรมศาสนายึกยักจะไปบุกถล่ม จะดูใจมีพระเถระ หน้าไหน มากล้าอุ้มอีก ข่าวสะพัด "ธัมมชโย" รุดเข้าเฝ้า
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริยายก ฯ ทรงมีพระบัญชา ให้จัดการปัญหาวัดพระธรรมกายขั้นเด็ดขาด โดยมีพระลิขิต ให้กรมการศาสนา จับพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) สึกเพราะปาราชิก ขาดจากความเป็นสงฆ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.30 น.ของวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมาสมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงมีพระบัญชาให้กรมการศาสนามารับ พระลิขิตเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย โดยลิขิตนี้เป็นเรื่องสืบเนื่องจากที่เคยพระประทานไว้ในเรื่องการถือครองที่ดินของพระไชยบูลย์ที่มีนับพันไร่ และมีพระบัญชาให้โอนให้วัด ปรากฎว่าพระไชยบูลย์ และวัดพระธรรมกายแสดงท่าทีชัดเจนไม่ยอมโอนที่ดินให้วัด สมเด็จพระสังฆราชจึงทรงถือว่า เป็นการแสดงชัดเจน มีเจตนาเอาสมบัติของวัด เป็นของตนจริง ๆ ต้องอาบัติปาราชิกต้องพ้นจากการเป็นพระ และ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าว "เดลินิวส์" ได้เดินทางไปวัดบวรนิเวศ และได้พบพระมหาสะท้าน พระวิปัสสี ซึ่งเป็นพระในสำนักงานเลขาฯ และได้เดินทางออกมาก่อน ที่สมเด็จพระสังฆราช จะออกจากวัดบวร และถามผู้สื่อข่าวว่า "จะมารับเอกสารพระบัญชาหรือ"
สำหรับรายละเอียด ของพระลิขิต ที่เกี่ยวข้องกับการให้จับพระไชยบูลย์สึก ก็คือ "ส่วนที่มิใช่การลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที (5เมษายน พ.ศ.2542) ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ว่า ในขั้นต้น อาจมิใช่เจตนา ถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ
แต่เมื่อถึงอย่างไร ก็ไม่ยอมคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะ เป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดเจนว่า ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะ โดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับ ผู้ที่ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำเอาผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้แก่เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา" และได้มีการลงพระนามสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก วัดบวรนิเวศวิหาร กทม. 26 เมษายน พ.ศ. 2542
ขณะเดียวกัน นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่าไม่กล้าออกความเห็นเพราะยังไม่เห็นอะไร แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสมเด็จพระสังฆราชจะไม่ก้าวก่าย งานของมหาเถรสมาคมฯ เพราะท่านเป็นประธาน มหาเถรฯอยู่แล้ว เมื่อมหาเถรฯมีมติให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เป็นผู้ดำเนินการ ท่านคงจะไม่มีพระบัญชาอะไรอีก และเรื่องนี้ อาจจะมาจากห้องกระจก ที่เคยกล่าวถึงพระลิขิตมาแล้ว
นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนากล่าวว่าตนไม่ทราบเรื่อง เพราะไม่เห็นพระลิขิต แต่จะเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ขณะที่นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดี กรมการศาสนากล่าวว่า ถ้ามีพระบัญชา หลักการสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จะต้องมีหนังสือ มาถึงอธิบดีกรมการศาสนา อย่างเป็นทางการ แต่ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ เพราะไม่เห็นหนังสือเช่นกัน
อย่างไรก็ตามพระวิปัสสี เจ้าหน้าที่ประจำสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชกล่าวพระลิขิตดังกล่าวเพิ่งมาถึงอาตมา และได้ตรวจสอบแล้วว่า เป็นพระลิขิตจริง เพื่อให้สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ประสานงานไปยังกรมการศาสนา ดำเนินการเผยแพร่ให้ประาชทรบซงจ้าน้าที่ก็ได้นำพระลิขิตนี้ไปยังกรมการศาสนา แล้ว แต่ไม่ทราบว่า จะถึงมืออธิบดีกรมการศาสนาหรือยัง
อย่างไรก็ตาม พระลิขิตนี้ไม่ได้หมายถึง วัดพระธรรมกายเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงวัดอื่นด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราชนั้น ครั้งแรกพระสังฆราชทรงประทานให้นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อสะสางปัญหาธรรมกายโดยแยกเป็น 2 ประเด็นคือ
1.การบิดเบือนพระศาสนา ซึ่งทรงมีพระลิขิตว่า ความบิดเบือนพระพุทธธรรม คำทรงสอนโดยกล่าวหาว่า พระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาทำสงฆ์ให้แตกแยก เป็นอนัตตริยธรรม มีโทษทั้งปัจจุบัน และอนาคตที่หนัก" และ
2.เรื่องที่ดินที่มีพระลิขิตว่า "ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษแต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบ สมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที"
ปรากฎว่า พระลิขิตนี้กรมการศาสนา ไม่ยอมเสนอเข้าที่ประชุม เพราะมีพระเถระระดับสูงบางรูปไม่ให้เปิดเผย และไม่ให้นำเข้า ที่ประชุมมหาเถรฯ จนในที่สุด "เดลินิวส์" เปิดเผยพระลิขิตดังกล่าว และมีการนำพระลิขิต เข้าที่ประชุมมหาเถรฯ ในวันที่ 5 เม.ย. โดยสมเด็จพระสังฆราชให้จัดทำพระลิขิตขึ้นมาใหม่ ใช้กระดาษ ที่มีพระนามาภิไธยย่อ และที่ประชุมมหาเถรฯ มีมติให้มอบให้พระพรหมโมลีไป
นอกจากนั้นนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี สั่งการให้นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ จัดการเรื่องที่ดิน ซึ่งมีการส่ง นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนาไปพบพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย โดยพระเผด็จกล่าวว่าจะยังไม่มีการโอนที่ดินเพราะวัดไม่มีเงิน รวมถึงผู้บริจาคบางรายอาจไม่ยอม เพราะต้องการบริจาคให้พระไชยบูลย์ ที่ดินบางแปลงก็ใช้ประโยชน์ได้ บางแปลงก็ไม่ได้ ซึ่งจะมีการตั้งกรรมการของวัดพิจารณาว่า แปลงใดจะโอน แปลงใดจะไม่โอน
สุดท้ายเมื่อวันที่ 26 เม.ย.มหาเถรฯประชุม และจะออกมติมหาเถรฯ บังคับให้พระต้องโอนที่ดินให้วัด ซึ่งรอการรับรองมติอีกครั้งในการประชุมครั้งหน้า ในวันนั้นเองสมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงทำพระลิขิตอีกฉบับ เพื่อยุติปัญหาธรรมกายที่ยืดเยื้อยาวนาน รวมถึง สร้างความเสื่อมให้กับพระศาสนา
พระพิศาลธรรมพาที (พยอม กัลยาโน) ประธานมูลนิธิสวนแก้ว กล่าวว่า "สมเด็จพระสังฆราชเคยสั่งให้พระยันตระสึกมาแล้ว ทำไมจะสั่งพระไชยบูลย์สึกอีกไม่ได้ และอยากดูว่าศิษย์วัดธรรมกาย จะคลั่งหรือไม่W
นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญ กรมการศาสนา ให้สัมภาษณ์กรณีดังกล่าวว่า "พระลิขิตยังไม่ใช่พระบัญชา เป็นเพียงความคิดเห็นของพระสังฆราช ในฐานะที่เป็นประธานมหาเถรสมาคม ซึ่งถ้าเป็นพระบัญชาจะต้องมีตราสัญลักษณ์ และมีการออกหมายเลขหนังสือ อย่างไรก็ตามขั้นตอนยังไม่สิ้นสุด การปฏิบัติตามความเห็นของพระสังฆราช เป็นหน้าที่ของอธิบดีกรมการศาสนา ในฐานะเลขานุการ นำความเห็นดังกล่าว เสนอต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคมโดยสิ้นสุด ด้วยการออกเป็นคำสั่งหรือเป็นมติของมหาเถรฯ
แต่ที่ผ่านมายังไม่เคย มีเหตุการณ์ที่มติของมหาเถรสมาคมจะออกมา ไม่เหมือนกับพระลิขิต หรือพระประสงค์ของสมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่มี พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 เป็นต้นมาไม่เคยพบเห็นเลย ส่วนระยะเวลานานเท่าใด ในการสึกเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องดูด้วยว่า การมีความเห็นให้สึกนั้น ด้วยข้อกล่าวหาอะไร ซึ่งหากให้สึกด้วยข้อหาปาราชิก ถ้าเป็นพระบัญชา ต้องให้สึกภายใน 3 วัน โดยเจ้าหน้าที่ บ้านเมืองต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฏหมาย"
นายจรวย หนูคง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และนักวิชาการประจำกรรมาธิการการศาสนาฯ เปิดเผยว่า "ตนเห็นพระลิขิตแล้ว ดูจากลายลักษณ์อักษรการลงพระนามแล้ว เป็นของสมเด็จพระสังฆราชจริง ถือเป็นพระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราช ในนามประธานมหาเถรสมาคม ซึ่งการดำเนินงานโดยทางที่ถูกต้องแล้วมี 2 ทาง ไม่ใช่แนวทางเดียว โดยกรมการศาสนาจะสนองพระบัญชาเลยก็ได้หรือว่านำเข้าที่ประชุมมหาเถรฯเพื่อลงมติ เพราะถือว่า สมเด็จฯ เป็นพระประมุขสูงสุด แต่เพื่อความรอบคอบก็ควรเสนอที่ประชุมมหาเถรฯ"
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ประชุมมหาเถรฯจะขัดแย้งพระวินิจฉัยหรือไม่ นายจรวยกล่าวว่า "การประชุมมหาเถรฯ ครั้งที่ผ่านมา ที่ประชุมมีความเห็นขัดแย้งกัน อย่างไรก็ตามคิดว่าทางออก คือพระไชยบูลย์จะต้องรีบโอนที่ดินให้วัดทันที เพื่อไม่ต้องสึก ถ้าไม่ยอมโอนก็ตีความได้ว่าจะเบียดบังยักยอก เอาของศาสนา หรือเรียกว่าโกง เพราะที่ดินที่ได้มานั้น เพราะคนทำบุญให้ศาสนา ตนเชื่อว่าพระไชยบูลย์น่าจะยอมโอน และไม่ยอมสึกง่าย ๆ"
พระศรีปริยัติโมลี กล่าวว่า "วันนี้ได้นำพระธรรมทูต พร้อมครูบาอาจารย์ กรรมการโครงการ ธรรมทูตเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชฯ 70 คน เมื่อเวลา 14.30 น. ซึ่งพระสังฆราชทรงตรัสเป็นนัย ๆ ว่าให้คิดถึงประเด็นธรรมกายว่า พวกเราเหล่าพระสงฆ์ต้องถือธรรมะเป็นใหญ่ ไม่ยึดติดกับอำนาจลาภ ยศ เงินทอง สมณะศักดิ์ ต้องยอมเสียสละทุกอย่าง เพื่อให้ธรรมะเป็นใหญ่ แม้กระทั่งชีวิตก็ยอมเสียสละได้เพื่อธรรมะ
สำหรับกรณีพระลิขิตนี้แสดงออกชัดว่าครั้งแรกท่านออกพระลิขิตมาแล้ว แต่ไม่ยอมทำตามต้องออกมาอีกฉบับ เป็นนัยให้เห็นว่า ท่านอึดอัดพระทัย ไม่สบายใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกรรมการมหาเถรฯ และกรมการศาสนา ไม่จัดการเด็ดขาด และไม่คลี่คลายความสงสัยให้ประชาชน เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ควรเร่งให้จัดการให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นประชาชนสับสนแตกแยก พระสงฆ์แตกแยกเป็น 2 ฝ่าย บานปลายหนัก จริง ๆ แล้วกรรมการมหาเถรฯ น่าแสดงอะไรชัดเจน โดยพูดเอง จัดการเอง อย่างชัดเชน เช่นพระพรหมโมลี น่าจะมีการติดตามบังคับดูแลวัด แต่กลับ ไม่มีการดำเนินการเลยไม่มีผลอะไร ลอย ๆ ทั้งเรื่องการฝ่าฝืนพระธรรมคำสอน เรื่องที่ดินร้ายแรงทั้งนั้น ตั้งแต่ เจ้าคณะผู้ปกครอง เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัดมองเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก จริง ๆ ไม่ใช่ ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย ให้คาราคาซังอย่างนี้"
รายงานข่าวจากมหาเถรฯ สมาคม เปิดเผยว่าในการประชุมหาเถรฯ ครั้งที่ผ่านมาสมเด็จพระสังฆราชฯไม่พอพระทัย เกี่ยวกับการยืดเยื้อ ในการแก้ปัญหาธรรมกาย โดยเฉพาะเรื่องที่ดิน ที่มีการดึงเรื่องและพยายาม จะให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวพันกับวัดอื่นด้วย เพื่อให้เกิดปัญหา และหลังการประชุม สมเด็จพระสังฆราชฯ จึงทรงทำ พระลิขิตต่อท้ายพระลิขิตเดิม
"เดลินิวส์"ยังได้รับโทรศัพท์ จากชาวพุทธจำนวนมาก ที่แสดงความยินดี ที่สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระลิขิตแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาด และกล่าวว่าหากกรมการศาสนา ไม่เร่งจัดการจะไปถล่มที่กรม และอยากรู้ว่ จะมีพระมหาเถระรูปใดจะอุ้มต่อไป
ในวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะทำงานของกระทรวงศึกษาธิการทำรายงานเสนอแล้วว่า คำสอนของวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะในหนังสือพระแท้ ที่ใช้ในการตอบปัญหาธรรมะ ในงานวันเกิดพระไชยบูลย์ ขัดกับหลักศาสนาอย่างชัดเจน และจะเสนอให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาคที่ 1 เพื่อให้พิจารณาให้เป็นไปตาม พระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงห่วงใยความมั่นคงของพระพุทธศาสนา ที่วัดพระธรรมกายมีการบิดเบือน ผิดเพี้ยน ไปจากพระไตรปิฎก ทำให้สงฆ์หลงเชื่อ เกิดความแตกแยก เป็นการทำลายพระศาสนา
สำหรับคำสอนผิดเพี้ยนของธรรมกายมี 4 ประเด็นหลัก คือ
1. การสอนเรื่องธรรมกายตั้งแต่หน้า 64 หน้า 68 และ 69 โดยอ้างว่า พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ แล้วมีการอ้างว่าหายไปจนมีการค้นพบใหม่ ซึ่งปรากฎว่าเป็นการสอนผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก ที่ในพุทธเถรวาท ไม่ถือธรรมกายเป็นเรื่องสำคัญ และมีการกล่าวถึงธรรมกายครั้งแรก และครั้งเดียวในพระสูตรอย่างเป็นหลักการเท่านั้น โดยเป็นคำเรียกแทนพระนาม พระพุทธเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นแหล่งรวม และเป็นที่ไหลออกมาแห่งธรรม ไม่ใช่ในฐานะวิชชาทางพุทธ
2. เรื่องปฐมมรรค ในหน้า 69-70 ที่วัดพระธรรมกายบัญญัติศัพท์ขึ้นมาเอง และอธิบายให้สับสน โดยอ้างว่า เป็นดวงใสอยู่กลางกาย และจะเป็นทางเข้าสู่การบรรลุธรรม ขั้นพระอรหันต์
3.เรื่องอายตนนิพพานในหน้า 70 ที่ว่าเป็นที่อยู่ ของพระนิพพาน เป็นสถานที่ โดยจะดูดธรรมกายเข้าไปสู่ในนั้น โดยเมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพาน ก็ถูกอายตนนิพพาน ดูดเข้าไป ซึ่งโดยแท้ที่จริงคำว่า อายตนนิพพาน ไม่มีในภาษาบาลีอยู่เลย และมีแต่คำว่าอายตน ที่อธิบายภาวะดับทุกข์ ที่เรียกว่า "นิพพาน" และในการแปลความหมายคำว่า "อายตน" ก็ไม่ให้แปลความหมายว่า เป็นแดนทางรูปธรรม คือเป็นสถานที่ ซึ่งไม่มีในพระพุทธศาสนา
และคณะทำงานยังเสนอความเห็น ด้วยว่าถ้าเห็นแก่พระธรรมวินัย ไม่ประสงค์จะทำให้กระทบกระเทือนต่อหลักของพระพุทธศาสนา และเป็นความตรงไปตรงมา ก็น่าจะบอกว่าคำนี้ คิดค้นขึ้นมาเอง จากพระอาจารย์ที่สอนวิชชาธรรมกาย และถ้าจะให้ถูกต้องแท้จริง เมื่อเป็นพระก็ต้องสอน ให้ตรงตามพระธรรมวินัย
4. เรื่องบาปย่อมชำระล้างได้ด้วยบุญ ในหน้า 208-210 ว่าบุญหมายถึงความผ่องแผ้ว ความบริสุทธิ์ ความดีงาม ธรรมชาติเครื่องล้างกาย วาจา ใจ ให้ปราศจากมลทิน เหมือน้ำใสสะอดา ยอ่มีอานุภาพ ล้างสิ่งที่แปดเปื้อน เมื่อผู้ได้ก่อกรรมทำบาป หากสำนึกผิดก็จะต้องรีบล้างบาป โดยการหยุดทำบาป และสร้างบุญแทน เมื่อสั่งสมบุญมากขึ้น ๆ วิบากแห่งกรรมชั่วย่อมตามมาไม่ทัน
การพูดเช่นนี้ คณะทำงานของกระทรวงศึกษาธิการเห็นว่า จะไปเหมือนกับศาสนาอื่นที่ล้างบาปได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ทำบาป ไม่เกรงกลัวความชั่ว ไม่มีในศาสนาพุทธ
ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดปทุมธานี รายงานบรรยายกาศ จากวัดพระธรรมกายว่า ทางวัดพระธรรมกาย ได้มีการประชุมเตรียม จัดงานฉลองธรรมกายเจดีย์ ซึ่งขณะที่ประชุมกันอยู่นั้นได้มีพระลูกวัด เข้ามารายงาน ที่ประชุมให้ทราบว่า ทางสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ได้นำเสนอข่าวพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช โดยได้ทรงแสดงความเห็นถึงความผิดของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องปาราชิก
ซึ่งคณะกรรมการ ในที่ประชุม ได้มีการแสดงความคิดเห็นตรงกันว่า พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆ์ราช ก็คือพระลิขิต ไม่มีอำนาจชี้ขาด และยังต้องมีขั้นตอน ต่างๆอีกมาก ดังนั้นวัดพระธรรมกาย ยังต้องคงอยู่ต่อไปอีกนาน ที่สำคัญวัดธรรมกาย ยังมีเจ้าคณะตำบล อำเภอ และกรรมการในเถรสมาคม อย่างไรเสียก็ต้องออก เป็นมติ จากมหาเถรสมาคมออกมาก่อน
ขณะเดียวกัน ประดา ศิษยานุศิษย์ของวัดพระธรรมกาย เมื่อได้ทราบข่าว ของเจ้าอาวาสที่ตนเองศรัทธา ต่างโทรศัพท์เข้ามาสอบถาม ไม่ขาดระยะ โดยเฉพาะนักข่าวจากสำนักต่างๆ ได้เดินทาง ไปรอทำข่าว อยู่บริเวณหน้าวัดพระธรรมกาย แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายในบริเวณวัด คงปักหลักรอทำข่าว ทามกลางสายฝน อยู่บริเวณ หน้าวัดพระธรรมกาย
http://b2b2.tripod.com/dailynews/dnews19990430.htm
คลิกอ่าน ย้อนรอยคดี ธัมมชโยยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555
สื่ออิหร่านจวกกฎหมายสหรัฐไร้มาตรฐาน ยอมให้ทักษิณทัวร์อเมริกา
คลิกที่รูปเพื่อขยาย
สื่อออนไลน์อิหร่านจวกยับ รบ.“โอบามา” 2 มาตรฐาน ยอมให้ “แม้ว” เข้าประเทศทั้งที่เป็น “ฆาตกร” สังหารหมู่คนไทย 2,800 ศพ
เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - เว็บไซต์ข่าวอิสระชื่อดังของอิหร่าน “ฮัมซาเยห์” เผยแพร่บทความชิ้นล่าสุด ที่มีเนื้อหาประณามรัฐบาลสหรัฐฯในยุคของประธานาธิบดี บารัค โอบามา ที่ “เปิดไฟเขียว” ให้กับบุคคลที่เป็น “จอมเผด็จการที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมหมู่” อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ที่ถูกกองทัพโค่นอำนาจ และอยู่ระหว่างหลบหนีคดีทุจริตในต่างแดน ให้สามารถเดินทางเข้าสู่แผ่นดินเมืองลุงแซมได้อย่างสะดวกโยธิน
บทความของเว็บไซต์ “ฮัมซาเยห์” ระบุ รัฐบาลสหรัฐฯแสดงท่าที “พะเน้าพะนอ” พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างออกนอกหน้า ทั้งที่อดีตผู้นำรัฐบาลไทยรายนี้ มีสถานะเป็น “ผู้ร้ายหนีคดี” และเป็นจอมเผด็จการที่อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่พี่น้องร่วมชาติชาวไทยของตัวเองหลายพันศพ โดยระบุตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2003 การประกาศสงครามกวาดล้างยาเสพติดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งใช้ระยะเวลานาน 3 เดือน เป็นเหตุให้มีพี่น้องชาวไทยต้องถูกสังหารไปราว 2,800 คน (หรือเฉลี่ย 30 ศพต่อวัน) ตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย ด้วยวิธีการป่าเถื่อนที่ละเมิดกฎหมาย ทั้งยังมีการยัดเยียดตราบาปให้กับเหยื่อที่ถูกฆาตกรรมเหล่านั้น ว่า เป็นพวกพ่อค้ายาเสพติด ที่มีชื่อติดอยู่ใน “Hit Lists” ของตำรวจไทย ซึ่งได้รับมอบอำนาจอย่างล้นเหลือให้สามารถ “ชี้เป็นชี้ตาย” กับคนไทย ภายใต้การสั่งการของทักษิณ ซึ่งก็เป็นอดีตตำรวจเช่นเดียวกัน
บทความชิ้นนี้ระบุว่า ผลการสอบสวนในเวลาต่อมาก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า “มากกว่าครึ่งหนึ่ง” ของคนไทยที่ถูกฆ่าตายตามคำสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนั้น มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดแต่อย่างใด สอดคล้องกับรายงานขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนชื่อก้องโลกอย่าง “ฮิวแมน ไรต์ส วอตช์” 2 ฉบับ เมื่อปี 2004 และ ปี 2008 ที่ตีแผ่ความโหดเหี้ยมของสงครามยาเสพติดของไทย ภายใต้การบงการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อย่างน่าสยดสยอง ขณะที่ตัวผู้ออกคำสั่งฆ่าประชาชนอย่างอดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้ กลับไม่เคยถูกตั้งข้อกล่าวหา หรือถูกดำเนินคดีใดๆ ทั้งจากหน่วยงานของไทยและหน่วยงานระหว่างประเทศ
โทนี คาร์ตาลุชชี ผู้อยู่เบื้องหลังบทความในเว็บไซต์ของ “ฮัมซาเยห์” ชิ้นนี้ ระบุว่า เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งที่ “ฆาตกรมือเปื้อนเลือด” อย่างทักษิณ ที่ถูกกองทัพไทยโค่นอำนาจ จนต้องลี้ภัยออกนอกประเทศตั้งแต่ปี 2006 กลับยังคงสามารถโบยบินเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ ทั่วโลกได้อย่างอิสระ เช่น การเดินทางเหยียบแผ่นดินสหราชอาณาจักร รวมถึงการเข้าซื้อกิจการของสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตีทีมดังแห่งศึกพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ทั้งที่ในขณะนั้น สื่อดังของอังกฤษ อย่าง “บีบีซี” ก็ได้รายงานข่าวที่มีเนื้อหาแสดงถึงความเป็นกังวลถึงที่มาของเงินที่ทักษิณนำมาใช้ซื้อทีมฟุตบอลดังกล่าวว่าอาจเป็น “เงินสกปรกนอกกฎหมาย”
บทความของคาร์ตาลุชชี ระบุพฤติกรรมของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการ “ปูพรมแดง” ต้อนรับทักษิณเข้าประเทศในขณะนี้ ช่างเป็นบทบาทที่ “ตอแหลลวงโลกอย่างน่าชิงชัง” สวนทางกับบทบาทของสหรัฐฯในช่วงก่อนหน้านี้ที่ทำการแทรกแซงทางทหารต่อลิเบีย เพื่อล้มรัฐบาลของพันเอก มูอัมมาร์ กัดดาฟี โดยสหรัฐฯอ้างเหตุผลว่า ตนเองมีความรับผิดชอบที่จะ “ต้องปกป้องประชาชนลิเบีย” รวมถึงล่าสุดที่สหรัฐฯ ประกาศสนับสนุนฝ่ายต่อต้านให้ล้มรัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล อัสซาด ของซีเรีย โดยระบุสหรัฐฯต้องแทรกแซง เพราะทนเห็นชาวซีเรียผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าหมู่ไม่ไหว
ข้อเขียนในเว็บไซต์ของสื่อดังอิหร่านครั้งนี้ แสดงความกังขาว่า เพราะเหตุใดรัฐบาลโอบามา ที่อ้างมาตลอดว่า ตนต้องช่วยปกป้องประชาชนทั้งในลิเบีย และซีเรีย จากการถูกเข่นฆ่า ถึงยินยอมอ้าแขนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เป็นอาชญากรที่สั่งฆ่าหมู่คนไทยผู้บริสุทธิ์ 2,800 ศพ ให้เข้าประเทศได้อย่างปลอดโปร่ง
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ดินแดนที่ได้ชื่อว่ายึดมั่นในกฎหมาย และเคารพในหลักสิทธิมนุษยชนอย่างออกนอกหน้า เช่น สหรัฐอเมริกา ควรจะเป็น “แผ่นดินแห่งสุดท้ายบนโลก” เสียด้วยซ้ำ ที่จะอนุญาตให้ทักษิณเดินทางไปเหยียบ หรือจะเป็นการสะท้อนว่าชีวิตคนไทย มีคุณค่าต่ำต้อยกว่าคนลิเบีย และคนซีเรีย
นอกจากจะยอมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯยังปล่อยให้อาชญากรอย่างทักษิณเดินทางไปทั่วประเทศอย่างเสรี โดยไม่คิดจะจัดการกับความผิดที่อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้นี้ก่อเอาไว้ ปล่อยให้หน้าที่ดังกล่าวตกเป็นของพี่น้องชาวไทยในสหรัฐฯจำนวนกว่า 2,000 คน ที่ต้องออกมาประท้วงขับไล่ทักษิณเสียเอง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วหน้าที่ในการจัดการกับทักษิณ ควรเป็นของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่มี นางฮิลลารี คลินตัน กุมบังเหียนอยู่เสียมากกว่า
บทความที่ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ข่าวอิสระของอิหร่าน ยังชี้ว่า การกระทำของรัฐบาลสหรัฐฯในขณะนี้ สะท้อนความเป็น “2 มาตรฐาน” อย่างชัดเจน และมีความเป็นไปได้ว่าเบื้องหลังฉาก อาจมีผลประโยชน์บางอย่างแอบแฝงอยู่ระหว่างรัฐบาลโอบามา, พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันที่อยู่ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาวของทักษิณ
นอกจากนั้น ยังมีตั้งคำถามว่า “ผลประโยชน์” ที่สหรัฐฯต้องการจากทักษิณ และน้องสาวนี้ มันมีค่ามากพอที่จะทำให้สหรัฐฯต้องยอมละทิ้งจุดยืนในการปกป้องสิทธิมนุษยชน และหลักสิทธิเสรีภาพเชียวหรือ?
http://astv.mobi/A4pH6zc
คลิกที่รูปเพื่อไปอ่านต้นฉบับของอิหร่าน
คลิกอ่าน รู้มั้ย? ทักษิณได้วีซ่าเข้าสหรัฐเพราะอะไร?
วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เรียนรู้ และรู้จักราชวงศ์อังกฤษ
รายการสยามวาระ ทางทีวีไทย ตอนนี้เป็นตอนที่ดีมากๆ ผมเองยังดูไม่จบ แต่ขอเก็บคลิปไว้ก่อน หากว่างจะกลับมาวิจารณ์แต่ละคลิปให้ดูอีกทีครับ
ตอน2 นี้เจ้าฟ้าชายแอนดูรว์ ทรงตอบคำถามได้อย่างแหลมคม
.
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เหตุผลที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์คนหนึ่งลาออกจากพรรค
ที่ผม ใหม่เมืองเอก ตัดสินใจนำบทความของมติชน ที่ลงเกี่ยวกับจดหมายลาออกของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชือ พรรษิษิฐ์ ต่อสุวรรณ มาลงนั้น เพราะผมใหม่เมืองเอก เห็นด้วยกับเหตุผลของเขาเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งเหตุผลที่เขาเขียนนั้น ก็ตรงกับที่ผมเคยเขียนในบทความหลายๆ บทความในบล็อคมุมมองใหม่เมืองเอก ทั้งสิ้น
เช่น บทความ กฎแห่งกรรมลงโทษให้ประชาธิปัตย์แพ้ , บทความรัฐบาลอภิสิทธิ์แจก2พันบาทดีมั้ย? , บทความญี่ปุ่นแจกเงินฉลาดกว่า
------------------------------
ใบลาออก และเหตุผล 5 ประการ ผมหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์
วันที่ 29 มีนาคม 2554 พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ ได้เผยแพร่ "หนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์" ผ่านสื่อต่างๆ เนื้อความของหนังสือลาออก มีใจความ ดังนี้
....กราบเรียนท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
กระผมนายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ประเภทสามัญเลขที่ 43414075 โดยผมได้สมัครเป็นสมาชิกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541 ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะต้องตกเป็นฝ่ายค้านเพราะความนิยมกำลังถาโถมไปที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไป และพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท. ทักษิณก็ได้เป็นรัฐบาลสมัยแรก
ตอนนั้นตัวกระผมเองได้หอบหิ้วปริญญาตรีและโทกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจไม่นานนัก พร้อมกับความเชื่อที่ว่าคนเราทุกคนควรมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อสร้างสังคมที่ดี และการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้
ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น ผมเฝ้าติดตามความเป็นไปของการเมืองไทยในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมุ่งหวังที่จะเดินเข้าไปสู่สนามการเมืองแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้กำลังกาย สมอง เวลา และโอกาสเท่าที่มีในการตอบแทนสังคมบ้างทั้งในฐานะอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือนักเขียนมือสมัครเล่นในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี
สาเหตุที่ตอนนั้นกระผมตัดสินใจส่งใบสมัครมาที่พรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะเป็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งสมัยนั้นจะมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยกว่า และกำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท ก็เพราะว่า ตัวผมเองไม่เคยเชื่อเลยว่าเจ้าของกลุ่มทุนผูกขาดอย่าง พ.ต.ท. ทักษิณจะมีความจริงใจที่จะเสียสละในการเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติได้อย่างแท้จริง
แต่มีความเชื่อว่าเนื้อแท้ของกลุ่มทุนผูกขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสัมปทานของรัฐมักจะต้องเอารัดเอาเปรียบประชาชนอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นพรรดการเมืองที่เก่าแก่ยาวนาน มีความเป็นสถาบันการเมืองมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ในสังคมการเมืองไทย
แต่วันและเวลาสอนให้ผมได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของการเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าภาพที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นอยู่บนเวทีการเมืองที่เป็นทางการอยู่มากนัก แต่สำหรับผมแล้ว ช่วงเวลาสิบกว่าปีนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นเนื้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง และทำให้ผมได้คำตอบมาระยะหนึ่งแล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิด ซึ่งผมขอประมวลเหตุผลมาประกอบดังต่อไปนี้
1. พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีวันชนะใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ เพราะขาดความจริงใจมุ่งแต่สร้างภาพจอมปลอม ประโยคนี้เป็นสัจธรรมเสมอ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์และน่าจะเป็นจริงตลอดไปด้วย ตราบใดที่จะยังคงมีพรรคนี้อยู่ในเวทีการเมืองไทย เพราะประวัติศาสตร์บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มักจะได้อำนาจรัฐหรือได้เป็นรัฐบาลโดยการเพลี่ยงพล้ำของพรรคขั้วตรงข้าม และมีพลังอำนาจพิเศษที่มาหนุนอยู่ตลอด
ดังนั้นลักษณะของพรรคประชาธิปัตย์จะมักจะเชิดคนที่มีภาพลักษณ์ดี(สำหรับสังคมไทย) กล่าวคือมักจะเป็นคนที่มีลักษณะความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน หรือมีชาติตระกูลสูง หรือแม้กระทั่งคนมีหน้าตาดี นอกจากนี้อาจจะมีการเชิดชูภาพของความซื่อสัตย์เป็นจุดขาย แต่จะสังเกตได้ว่านั่นมักจะเป็นเพียงหน้าฉากของผู้นำพรรคเท่านั้น
แต่เบื้องหลังของผู้นำพรรคหรือแม้กระทั่งเบื้องหลังหน้ากากอันสวยหรูของผู้นำพรรค ก็มักจะมีบรรดานักการเมืองสกปรกที่หิวโหยอยู่ข้างหลังอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เคยนำเสนอแนวทางในการบริหารพัฒนาบ้านเมืองอันใดได้เลย ที่ทำอยู่ก็จะมีเพียงนโยบายเฉพาะกิจ หรือเพื่อการประชาสัมพันธ์หาเสียงเท่านั้น มุ่งจะเล่นแต่การเมืองแต่ไม่เคยพัฒนาบ้านเมือง
2. การมุ่งเล่นแต่การเมือง ทำให้บรรดานโยบายของพรรคที่ออกมาขาดพื้นฐานด้านข้อมูลที่เป็นจริง ขาดการศึกษาและวิเคาระห์ถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่แก่ที่สุด แต่ก็ไม่เคยมีนโยบายเป็นของตัวเองมาก่อน บรรดานโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคัดลอกและดัดแปลงมาจากนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในอดีตทั้งสิ้น
แต่น่าเสียใจว่าการคัดลอกดัดแปลงนั้นกลับทำได้ย่ำแย่กว่าสมัยที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลเสียอีก พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจว่าการที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเป็นเพราะประชาชนหิวโหยในผลประโยชน์ ดังนั้นการเข้ามาของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเริ่มต้นด้วยการหว่านโปรยผลประโยชน์
ตั้งแต่นโยบายแจกเงินกินเปล่าให้ประชาชนหัวละสองพันบาท แต่จะเห็นได้ว่าการแจกเงินกินเปล่าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมของพรรคสูงขึ้น กลับลดลงเสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะเหตุใด?
ก็เพราะว่าวิธีการแจกเงินสองพันบาทโดยใช้ฐานข้อมมูลประกันสังคมนั้น ไม่สามารถจะนำเงินไปสู่คนยากคนจนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง ไปได้แค่เพียงคนชั้นกลางซึ่งมีข้อมูลอยู่ในทะเบียนฯเท่านั้น นโยบายนี้เหยียบย่ำหัวใจคนยากคนจนที่ส่วนใหญ่ที่ยากไร้ไม่มีที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย จะมีประกันสังคมได้อย่างไร
ในขณะที่นโยบายที่ลอกและสานต่อจากนโยบายไทยรักไทย อย่างโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือที่เรียกกันว่าโอท๊อป ซึ่งภาครัฐเคยจัดงานที่อิมแพคเมืองทองธานีเป็นประจำทุก ๆ ปี เป็นงานกึ่งตลาดนัดกึ่งแสดงสินค้า ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม จากผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ตลอดจนจากผู้บริโภคทั่ว ๆ ไป
พอรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารก็ได้ย้ายสถานที่จัดงานมาตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทั้งตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ทั้งในลานเอนกประสงค์หน้าห้างฯ บริเวณรอบสนามกีฬาแห่งชาติ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมางานโอท็อปก็ต้องพับฐานลงอย่างน่าเสียดาย
ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งสถานที่จัดงานกระจัดกระจาย สภาพอากาศที่ไม่อำนวย ทำให้จำนวนคนเข้าชมงานลดน้อยลงอย่างมาก ผู้ค้าซึ่งมาจากต่างจังหวัดนอกจากจะขายสินค้าไม่ได้ ยังต้องแบกภาระค่ากินนอนเข้าไปอีกเพราะอดีตที่เคยอาศัยบริเวณจัดงานในอิมแพคฯก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร หัวอกคนยากคนจนและคนทำมาหากินซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่เคยเข้าใจและคงไม่มีวันจะเข้าใจได้
สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำได้อย่างเชี่ยงชาญก็คือการใส่ไคล้ทำลายและช่วงชิงโอกาส ซึ่งล้วนเป็นเกมการเมืองทั้งสิ้น
3. บริหารไร้ประสิทธิภาพแต่โกงเป็นมาตรฐาน ด้วยนโยบายหว่านผลประโยชน์กับการสร้างภาพของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้รัฐต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นมากมาย จะเห็นได้ว่ามีการกู้เงินมหาศาลกว่ารัฐบาลใดในอดีตเสียอีก แต่ลำพังการกู้นั้นมิสามารถทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายไร้ประสิทธิภาพเหล่านั้นต่อไปได้มากนัก
รัฐบาลชุดนี้จึงมีกระบวนการสร้างภาระโดยการรีดภาษีจากคนชั้นกลางในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศมีความฝืดเคืองมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะรัฐบาลนอกจากไม่ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศแล้ว กลับบั่นทอนกำลังการบริโภคของประชาชนไปเสียอีกด้วย
ในขณะที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ เราก็มักจะได้ยินข่าวการทุจริตมากขึ้นเป็นลำดับ บรรดาข่าวการทุจริตซึ่งส่วนใหญ่มาจากนโยบายจัดซื้อจัดจ้างการรับเหมาก่อสร้างมากมาย ซึ่งมีรูปแบบคลาสสิคโบราณ และน่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถพัฒนาก้าวข้ามไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับโครงการนมโรงเรียน โครงการรถเมล์ โครงการต้นกล้าอาชีพของรัฐบาล ไปจนถึงโครงการรถเมล์BRT อภิมหาโครงการโมโนเรล โครงการซุปเปอร์สกายวอล์กของกรุงเทพมหานคร และอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกอภิสิทธิ์ประกาศไว้เมื่อครั้งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลับไม่เคยถูกกล่าวถึงอีกเลย
4. ไม่สร้างความปรองดองกลับสร้างความแตกแยก ก็ต้องยอมรับว่าในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารประเทศนั้น สังคมไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างหนัก รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาพร้อมกับการต่อต้านของขั้วตรงข้ามในนามกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเริ่มก่อรูปมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลทักษิณ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงนั้นต้องการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปัตย์และคืนอำนาจแก่อีกขั้วการเมืองเป็นหลัก
ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านหลายครั้ง และบ่อยครั้งก็ได้พัฒนาไปถึงการจลาจล ซึ่งครั้งที่รุนแรงมากที่สุดก็คือการเผาเมืองพฤษภาคม2553 ถึงแม้ว่าแก่นแกนของการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ที่พ.ต.ท. ทักษิณ โดยมีแนวร่วมหลายส่วนที่เกี่ยวกับขบวนการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ความเท่าเทียมทางสังคม ฯลฯ
ดังนั้นขบวนการคนเสื้อแดงจึงกลายเป็นขบวนการที่ใหญ่และใหญ่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็เกิดอาการฝ่อ และเลือกที่จะสร้างความปรองดองกับขบวนการเสื้อแดง โดยการย่ำยีหลักการของกฎหมาย ตั้งแต่การที่รัฐบาลไปเป็นแกนเคลื่อนไหวในการประกันตัวบรรดาแกนนำ
ตลอดจนการละเว้นการติดตามทางคดีของผู้ก่อการเผาสถานที่ราชการ เอกชน ทำลายและปล้นทรัพย์สินในช่วงเหตุการณ์จลาจล การย่ำยีกฎหมายคือการสร้างความแตกแยกอันบาดลึก แต่เป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทั้งนี้เป็นไปก็เพื่อจะลอยตัว รักษาอำนาจ และสามารถเป็นรัฐบาลต่อไปได้เรื่อย ๆ หรือเปล่า
5. สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์เขาพระวิหารแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ได้เคยอภิปรายโจมตีในการยื่นยัตติไม่ไว้วางใจนายนพดล ปัทมะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชเกี่ยวกับบูรณภาพเหนือดินแดนรอบตัวปราสาทเขาพระวิหาร กลับกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำเนินการเหมือนกับรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในสภาอย่างสิ้นเชิง
หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถที่จะพูดอะไรก็ได้เพื่อให้เกิดโอกาสในการที่ตัวเองจะสามารถพลิกผันขึ้นมาถือครองอำนาจรัฐอย่างนั้นหรือ และผลของการบริหารประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังได้ทำให้ประเทศไทยดูเหมือนไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี ตกเป็นเบี้ยล่างของบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน
จนในที่สุดประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไปด้วยเหตุผลของความโง่เขลาหรือการมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนก็สุดแล้วแต่ที่จะคาดเดาได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วถ้าศึกษากันดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการเยี่ยงนี้ทำให้ประเทศชาติและสังคมไทยสูญเสียมาหลายครั้ง
ล่าสุดก็ครั้งที่ประเทศมีวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับกรณี ป.ร.ส. ขายหนี้ของบรรดาไฟแนนซ์ที่รัฐบาลสั่งปิดลงไปให้กับบรรดากองทุนต่างชาติ จนทำให้ต่างชาติสามารถกอบโกยผลกำไรอันมหาศาลไปจากสังคมไทย ทิ้งไว้กับกองศพของคนล้มละลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม ผลจากการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลครั้งนั้น ทำให้ธนาคารเกือบทุกธนาคารในประเทศไทยต้องตกเป็นของต่างชาติในที่สุด หรือที่คนทั่ว ๆ ไปเค้าเรียกว่าเสียเอกราชทางการเงินนั่นเอง
ด้วยเหตุผลเบื้องต้นเพียง 5 ประการนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีอุดมการณ์อะไรเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสังคมไทย พรรคจึงเป็นเพียงมายาภาพหลอกลวงคนที่สิ้นหวังกับการเมืองไทยในชั่วขณะหนึ่ง ๆ เท่านั้น
ทุกวันนี้เราจะได้เห็นทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแข่งกันขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์ผลงานกันอย่างบ้าคลั่ง สมกับเป็นการเชิดปี่กลองสู้ศึกในเทศกาลเลือกตั้ง แต่กลับไม่เห็นรู้สึกถึงผลงานที่ออกมาอย่างกับในป้ายโฆษณาแต่อย่างใด
ป้ายโฆษณาเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ผู้คนซึ่งได้รับความลำบากทั้งชาวไร่ชาวนาที่ถูกกดราคาสินค้าเกษตร
ทั้งคนชั้นกลางที่ถูกขูดรีดภาษีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งกับผู้บริโภคทั่วไปที่ถูกตีหัวจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม ได้รู้สึกเจ็บแค้นอย่างเหนือคำบรรยาย
ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งซึ่งหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์ และประสงค์ที่จะลาออกจากสมาชิกพรรคนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ
ptorsuwan@yahoo.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)