.
.
เมื่อผมไปเจอบทความดีๆ ที่เขียนดี และมีความน่าสนใจ ก็อยากจะช่วยเผยแพร่ และพอดีได้เจอบทความดีๆจากมติชน เขียนโดยคุณนงนุช สิงหเดชะ เรื่อง หรือว่า"ทักษิณ"Bipolar
ซึ่งเขียนได้ดีและมีเหตุผลน่าอ่าน จึงขออนุญาตร่วมเผยแพร่อีกทางครับ
*********************************
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของคุณทักษิณ ชินวัตร ที่ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ เดอะ เจแปน ไทม์ส ที่ว่า ได้ถวายฎีกาเพื่อขอให้พระราชทานอภัยโทษในคดีที่ถูกกล่าวหา และยังอ้างอีกว่าตัวเองสามารถอดทนรอได้ เพราะบางครั้งคนเราต้องยอมกัดลิ้นตัวเอง ยอมกลืนเลือดเงียบๆ
อาจสะท้อนให้เห็นว่าคุณทักษิณกำลังมีความสับสนทางอารมณ์ เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานคุณทักษิณโฟนอินมายังแฟนๆ ว่าจะขอต่อสู้ทั้งในนรกและสวรรค์เพื่อให้ได้รับความยุติธรรม เรียกว่าเล่นบทบู๊เต็มรูปแบบ
อาการกลับไปกลับมาทางคำพูดและจุดยืนของคุณทักษิณ น่าจะเข้าข่ายของคนเป็นโรคไบโพลาร์ (Bipolar-อยู่ในกลุ่มโรคซึมเศร้า) ซึ่งเป็นอาการของคนที่มีอารมณ์รื่นเริงสลับกับซึมเศร้าหรือไม่ เพราะอารมณ์หนึ่งก็ออดอ้อนขอความเมตตา อีกอารมณ์หนึ่งก็เล่นบทบู๊แตกหัก
นี่ยังไม่รวมการโฟนอินเรื่องเศรษฐกิจที่บอกกับคนเสื้อแดงว่าอย่าใช้จ่ายเงินในช่วงนี้เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ทั้งที่ในช่วงคุณทักษิณเป็นรัฐบาลบอกว่าให้ใช้จ่ายเงินเพื่อเศรษฐกิจจะได้ดีขึ้น แถมย้ำกับชาวบ้านบ่อยๆ ว่าถ้าอยากรวยต้องกู้เงิน ต้องยอมเป็นหนี้ แต่ตอนนี้กลับต่อว่ารัฐบาลว่ากู้เงินมาแก้เศรษฐกิจ
การบอกว่าตัวเอง "อดทนรอได้ จะยอมกลืนเลือดเงียบๆ" ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับการเคลื่อนไหวอย่างถี่ยิบของคุณทักษิณเพื่อชิงอำนาจคืนและเพื่อหลุดรอดจากคดีความ เพราะถ้าจะกลืนเลือดอย่างแท้จริงก็ต้องเอาอย่าง พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่หลังจากถูกยึดอำนาจก็ไม่ได้สร้างความปั่นป่วนใดๆ อีก
เหนือกว่านั้น ผู้ที่ทรงกลืนเลือดและเห็นแก่บ้านเมืองอย่างแท้จริง ก็คือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่เมื่อทรงถูกคณะราษฎรปฏิวัติยึดอำนาจเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 ก็ทรงกลืนเลือด เพื่อเห็นแก่บ้านเมือง ทั้งที่คณะราษฎรจับกุมคุมขังพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมไว้เป็นตัวประกันเพื่อบีบพระองค์ให้จำนน
ในคราวนั้น มีทหารจำนวนไม่น้อยที่ยังจงรักภักดีพร้อมจะถวายชีวิตต่อสู้เพื่อรักษาราชบัลลังก์ หากจะต่อสู้จริงกำลังก็คงจะสูสีกับฝ่ายคณะราษฎร แต่ท้ายที่สุดพระองค์มีพระราชวินิจฉัยว่าไม่ต่อสู้ เพราะขืนต่อสู้ไปก็มีแต่คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกัน ไม่เกิดผลดีต่อบ้านเมือง
การที่คุณทักษิณนำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษในคดีทุจริตคอร์รัปชั่น มาเปิดเผยกับสื่อต่างประเทศ คุณทักษิณย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่าเป็นการไม่บังควร เพราะตามมารยาทแล้วเรื่องแบบนี้ไม่ควรเอามาป่าวประกาศ แต่การที่คุณทักษิณจงใจทำเช่นนี้วิญญูชนเขาคิดได้เองว่าคุณทักษิณมีวัตถุประสงค์ใด ยิ่งนานวันยิ่งทำให้เห็นธาตุแท้และจุดยืนของคุณทักษิณต่อสถาบันกษัตริย์
คนที่อ้างว่ารักและบูชาประชาธิปไตยอย่างคุณทักษิณ ทำไมจึงต้องการจะใช้ช่องทางพิเศษเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกดำเนินคดีเมื่อทำผิด คนที่รักประชาธิปไตยต้องกล้าเป็นแบบอย่างที่ดี นั่นก็คือเคารพในกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เคารพเฉพาะเมื่อเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และไม่เคารพเมื่อตัวเองเสียประโยชน์ การที่คุณทักษิณทำเช่นนี้ คือไม่อยากถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม ก็เท่ากับคุณทักษิณทำตัวเป็นพวกอภิสิทธิ์ชน เหมือนที่ฝ่ายสนับสนุนคุณทักษิณชอบกล่าวหาคนอื่น
ฝ่ายสนับสนุนคุณทักษิณอ้างว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรม และอ้างเสมอว่าถ้าไม่มีความยุติธรรม ความสามัคคีก็ไม่เกิด แต่คนเหล่านี้เห็นทีต้องกลับไปตรึกตรองพิจารณาให้ครบถ้วนว่า สิ่งที่กำลังพูดถึงนั้นเป็นเรื่องความยุติธรรมหรือ "ความรู้สึก"
แต่ดูท่าทีแล้วน่าจะเป็นกรณีหลังมากกว่า ซึ่งการตัดสินคดีความย่อมเป็นไปตามหลักกฎหมาย อันอาจจะไม่เป็นที่ถูกใจของคนภายนอกที่ไม่มีความรู้ทางด้านการพิจารณาคดีและใช้ความรู้สึกตัดสิน ดังนั้น เมื่อใดที่เราเอาความรู้สึกเข้าวัดเราจะถูกปลุกระดมได้ง่ายว่าการตัดสินนั้นไม่ยุติธรรม
เมื่อคดีใดที่ตัวเองแพ้คนเหล่านี้จะปลุกเร้าให้สาวกรู้สึกว่า องค์กรอิสระ หรือศาลไม่มีความยุติธรรม ถูกแทรกแซงจากมือที่มองไม่เห็นบ้าง หรือคนชั้นสูงบ้าง แต่คดีใดที่ตนเป็นฝ่ายชนะก็ออกมาเยินยอว่าการตัดสินนั้นมีความยุติธรรม
กรณีล่าสุดที่เห็นได้ชัดก็คือเมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจกใบแดงให้กับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เขต 1 สมุทรปราการ ในการเลือกตั้งเมื่อ 11 มกราคม ปรากฏว่าคนพวกนี้ที่ปกติจะด่า กกต.มาตลอดว่าแต่งตั้งโดย คมช. ก็ออกมาสรรเสริญว่า กกต.มีความยุติธรรมและเป็นกลาง
คนที่ปลุกเร้ามวลชนให้เกลียดชังองค์กรอิสระ ทำลายความน่าเชื่อถือของศาล ที่เป็นองคาพยพสำคัญในการถ่วงดุลตรวจสอบการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ไม่มีสิทธิมากล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นผู้รักประชาธิปไตย ตรงกันข้ามกลับเป็นผู้ทำลายเสาหลักประชาธิปไตยและทำให้บ้านเมืองไร้ขื่อแปมากกว่า
ในช่วงที่เสื้อเหลืองประท้วงเมื่อปีที่แล้ว ฝ่ายเสื้อแดงมักจะพูดว่าเสื้อเหลืองถูกล้างสมองโดยแกนนำ และยังพูดว่าเหตุที่เสื้อเหลืองประท้วงต่อเนื่องยาวนานเพราะต้องการเงินบริจาคไปดำเนินกิจการธุรกิจสื่อของแกนนำคนหนึ่ง แต่เมื่อเสื้อแดงคิดว่าเสื้อเหลืองถูกชักจูง ก็จงพึงตระหนักและหันกลับมาพิจารณาตัวเองด้วยว่าเข้าข่ายอย่างเดียวกันกับเสื้อเหลืองหรือไม่
เป็นการดีที่คนรากหญ้าเสื้อแดงคิดว่าตัวเองฉลาด ไม่ถูกหลอก เป็นการดีที่คิดว่าตัวเองเป็นมหาประชาชนยุคใหม่ที่ไม่มีใครชักจูงได้ แต่จะเป็นการดียิ่งขึ้นหากเสื้อแดงจะได้ทบทวนอีกครั้งให้ลึกๆ ด้วยการใช้หลักกาลามสูตร นั่นคือหาความจริงด้วยตัวเอง การจะหาความจริงด้วยตัวเองก็ต้องเปิดรับข้อมูลให้รอบด้าน ไม่เชื่อใครแบบสุดขั้ว เพื่อให้แน่ใจอย่างแท้จริงว่าไม่ได้ตกเป็นเครื่องมือของคนอื่น เพราะเมื่อใดที่เราคิดว่าเราฉลาด แสดงว่าเราเริ่มต้นจะโง่ เพราะเราจะหยุดเรียนรู้เมื่อคิดว่าฉลาดแล้ว
การชุมนุมของเสื้อแดงอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ สาวกก็ควรพิจารณาลึกๆ ด้วยว่า เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือว่ามันแค่ทำให้ "ดัชนีความสุข" ของแกนนำที่จัดชุมนุมสูงขึ้น (เพราะไม่ต้องทอนตังค์) เลยต้องมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เหมือนที่เคยกล่าวหาเสื้อเหลือง
.