วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
ทำไมทหารต้องฆ่าช่างภาพอิตาลี เมื่อปี 53 ด้วย ?
หลังจากศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งคดีการเสียชีวิตของนายฟาบิโอ โปแลงกี นักข่าวชาวอิตาลีว่า ศาลมีคำสั่งสรุปคือ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ โดยมีวิถีกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าพนักงานที่กำลังเคลื่อนเข้ามาควบคุมพื้นที่จากทางแยกศาลาแดง ไปแล้วนั้น
แต่ทางฝ่ายเสื้อแดงต่างตัดสินทันทีว่าต้องเป็นทหารยิง เพราะใจของพวกเสื้อแดงอยากให้เป็นแบบนั้นมานานแล้ว ซึ่งผมเองไม่แปลกใจอะไรกับท่าทีเสื้อแดง
แต่ผมอยากถามว่า จะมีประโยชน์อะไร ที่ทหารจะต้องฆ่านักข่าวต่างประเทศด้วย ?
ผมขอถามว่า ถ้าการสลายการชุมนุมมีนักข่าวต่างประเทศตาย ฝ่ายไหนที่จะได้ผลประโยชน์จากการตายของนักข่าวต่างประเทศ ?
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์หรือ ? กองทัพหรือ ?
คำตอบคือ ฝ่ายรัฐบาลไม่มีคำว่าได้ประโยชน์ใด ๆ เลย มีแต่เสียกับเสียเท่านั้น
รูปด้านล่างนี้ คือ รูปที่ทหารพยายามปกป้องให้นักข่าวต่างประเทศปลอดภัย
การที่ศาลได้ตัดสินว่า วิถีกระสุนมาจากด้านที่ทหารกำลังเคลื่อนพลนั้น และศาลได้ตัดสินว่า ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ
แน่นอนมันชวนให้คนที่เกลียดทหาร อยากจะเชื่อว่า ทหารยิงนักข่าวอิตาลีแน่ ๆ
และสมมุติว่าเป็นกระสุนของทหารจริง ๆ ก็ตาม แต่คุณเชื่อหรือว่า ทหารจะมีเจตนายิงนักข่าวอิตาลีหรือ ?
ผมว่านะ ทหารดี ๆ คงไม่มีคนไหนอยากจะยิงนักข่าวอิตาลีหรอก เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
โดยความเห็นส่วนตัว ผมเชื่อว่า หากเป็นกระสุนทหารจริง ก็เป็นกระสุนที่ต้องเกิดจากความพลาดพลั้ง เป็นลูกหลง
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ที่ทำตามหน้าที่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ย่อมมีกฎหมายคุ้มครอง และความผิดพลาดที่เกิดจากเจ้าหน้าที่ ก็จะได้รับการเยียวยาจากเงินภาษีที่รัฐบางจ่ายเพื่อเยียวยาผู้เสียหาย
ถามว่า ทหารใช้อาวุธหนักในการสลายการชุมนุมผิดหรือไม่ ?
คำตอบคือ ไม่ผิดแน่นอน เพราะดูจากรูปนี้สิครับ
คุณผู้อ่านเห็นสภาพทหารที่โดนยิงไหมครับ ? และเห็นนักข่าวฝรั่งนอนข้าง ๆ ทหารที่บาดเจ็บไหมครับ ?
ทหารเองก็ไม่ได้ต่อสู้กับคนที่ไม่มีอาวุธ เพราะทหารก็โดนยิงจนบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
แล้วการที่ทหารต้องเผชิญกับฝ่ายที่มีอาวุธสงคราม จะให้ทหารถือหนังสติ๊กไปสู้เหรอครับ ?
ขอให้จงมองด้วยความเป็นกลาง แกนนำเสื้อแดงบอกสลายการชุมนุมไปแล้ว เสื้อแดงจำนวนมากทยอยกลับบ้านไปแล้ว
แต่มีเสื้อแดงอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ยอมสลายการชุมนุม สร้างสถานการณ์ความรุนแรงขึ้น ทั้งเผายางรถยนต์ ยิงระเบิดขวดเพลิง ยิงบั้งไฟ ปาระเบิดเพลิง เผาสถานที่สำคัญ ๆ และมีกองกำลังติดอาวุธมาช่วยสนับสนุนเสื้อแดงด้วย
หากทหารไทยไม่เข้าสลายกลุ่มคนพวกนี้โดยเด็ดขาด เชื่อว่า ไฟคงไหม้กรุงเทพฯ มากกว่าที่เกิดขึ้นแน่นอน
การระงับเหตุความรุนแรง ย่อมมีความรุนแรงตามมาบ้าง ไม่งั้นก็คงระงับเหตุไม่ได้
หรือทหารควรจะปล่อยให้กรุงเทพฯ เป็นทะเลเพลิงทั้งกรุง เหมือนที่แกนนำเสื้อแดง นายอริสมันต์ เคยปราศัย ?
ส่วนรูปข้างล่างนี้คือ นายฟาบิโอ โปเลงกี นักข่าวอิตาลีที่เสียชีวิต
ยังมีรูปอีกมากมาย ให้ไปดูรูปทั้งหมดได้ที่ http://tnews.teenee.com/politic/50814.html
คุณจะเห็นว่า ไม่ใช่แค่ประชาชนเท่านั้นที่บาดเจ็บสูญเสีย ฝ่ายทหารเองก็โดนหนักไม่น้อยเช่นกัน
เพราะมีคำยืนยันจากนักข่าวต่างประเทศเช่นเดียวกันว่า มีกองกำลังติดอาวุธมาช่วยฝ่ายเสื้อแดง
-----------------------------
Soichiro Koriyama นักข่าวชาวญี่ปุ่นก็ได้ถ่ายรูปชายชุดดำในกลุ่มเสื้อแดงใช้อาวุธหนักต่อสู้กับทหารไว้ได้
คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!
จำคุก ตำรวจมะเขือเทศ ตำรวจแดง ขน M79
แน่นอน การตายของนักข่าวอิตาลี ผมเชื่อว่า กองทัพและรัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว ผมก็เห็นสมควรว่า นายอภิสิทธิ์ ควรกล่าวคำขอโทษต่อญาติผู้เสียชีวิต
รายละเอียดเรื่องเหตุผลที่นายอภิสิทธิ์ควรขอโทษ ผมเคยเขียนไว้ในบทความเก่าแล้ว ลองไปอ่านดูครับ ผมเชื่อว่า ถ้าคุณผู้อ่านได้อ่าน ต้องเห็นด้วยกับผมแน่นอน
คลิกอ่าน กรณี98 ศพ นายอภิสิทธิ์ต้องขอโทษประชาชน
--------------------
ความเห็นส่วนหนึ่งของน้องสาว ช่างภาพอิตาลีที่เสียชีวิต
วันที่ 29 พฤษภาคม 2556 น.ส.อลิซาเบตต้า โปเลงกี หรือ ไอซ่า น้องสาวของนายฟาบิโอ โปเลงกี ช่างภาพชาวอิตาเลียน ที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย
กรณีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น
อลิซาเบตต้า กล่าวว่า "เธอเสียใจที่ตั้งแต่ต้น นายอภิสิทธิ์ ไม่เคยติดต่อ ให้ความช่วยเหลือ มาตั้งแต่ต้น แต่ตอนนี้กลับมาติดต่อต้องการพบเธอ เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ระหว่างที่เธออยู่อิตาลี"
ซึ่งเธอกล่าวตอบไปตอนนั้นว่า "เธอไม่ต้องการพบกับนายอภิสิทธิ์เป็นการส่วนตัว แต่ให้มาพบในงานแถลงข่าวนี้ แต่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่มา ซึ่งอาจเป็นเพราะไม่ว่างหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่การแลกเปลี่ยนกับนายอภิสิทธิ์เป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งน่าเสียดายที่เขาไม่มาร่วมงานในวันนี้"
อลิซาเบตต้า ได้ฝากข้อเรียกร้องไปถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภา ถึงการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติของ ฉบับที่เสนอโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีเนื้อหานิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง
“ขอให้รัฐบาลอย่าสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับของ ร.ต.อ.เฉลิม เพราะเป็นสิงที่เลวร้ายและไม่ถูกต้อง สำหรับสมาชิกรัฐสภา ก่อนจะยกมือโหวต เพื่อพิจาณราร่างฯ ก็ขอให้เอามือวางบนหัวใจตัวเองและคิดถึงลูกหลาน และญาติพี่น้องของคนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ก่อนที่จะโหวตอะไร เพราที่ผ่านมา 3 ปีที่แล้วคนเสื้อแดงเสียสละมากมาย และก่อนหน้านั้นคนไทยก็เสียสละชีวิตมากมายเพื่อจะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมที่ปล่อยให้คนผิดลอยนวล”
เราก็คอยจับตาดูกันต่อไปว่า ว่า ท้ายที่สุดแล้ว พ.ร.บ.ปรองดองแบบสุดซอยเหมาเข่ง mujช่วยทั้งอภิสิทธิ์ สุเทพ และทักษิณ จะผ่านสภาจนได้ประกาศใช้จริงหรือไม่ ?
ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของพรรคเพื่อไทยนั่นแหละครับ ว่าจะให้ฉบับไหนผ่าน !!
แต่ที่แน่ ๆ คนที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นคนสั่งฆ่าประชาชนอย่างนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือก ต่างไม่เคยต้องการให้นิรโทษกรรมให้กับพวกเขา
ว่าแต่ คนที่อยู่ดูไบ ล่ะ กล้าหรือไม่ ?
---------------------
ทบ.แจงคดี "ฟาบิโอ" ยก 3 เหตุผล ย้ำทหารไม่ได้ลงมือสังหาร
พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก(ทบ.) ให้สัมภาษณ์กรณีศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งคดีการเสียชีวิตของนายฟาบิโอ โปแลงกี นักข่าวชาวอิตาลีว่า ศาลมีคำสั่งสรุปคือ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ โดยมีวิถีกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าพนักงานที่กำลังเคลื่อนเข้ามาควบคุมพื้นที่จากทางแยกศาลาแดง เกรงสังคมอาจไปคาดเดากันผิดเพราะถึงแม้ศาลระบุไม่ทราบผู้กระทำ แต่ศาลได้ระบุทิศวิถีกระสุนไว้ว่ามาจากด้านที่ เจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังเคลื่อนที่ จึงขอชี้แจงว่า
1.ขณะเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถหรือมีการควบคุมอาคารสูงในพื้นที่บริเวณนั้นซึ่งกระจายอยู่โดยรอบ โดยเฉพาะที่สำคัญอาคารเหล่านั้นล้วนมีผลสามารถทำให้เกิดความหลากหลายในแนววิถีกระสุนที่จะมากระทำต่อทหารและประชาชน อีกทั้งยังปรากฏข่าวสารหลักฐานว่า มีกลุ่มบุคคลซึ่งมีอาวุธบุกเข้าไปก่อเหตุในอาคารต่างๆ อาทิ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และอาคารของเอกชน
2.ช่วงที่นายฟาอิโอ ที่เสียชีวิต เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่ได้มีการใช้อาวุธใดๆ เลยในช่วงนั้น เพราะอยู่ในระหว่างการเคลื่อนขบวนจากแยกศาลาแดงไปทางแยกราชดำริ
3.เวลาที่นายฟาบิโอถูกยิงประมาณ 10.58 น. ซึ่งขณะนั้น เจ้าหน้าที่ยังอยู่ในจุดที่ห่างไกลกันมากกับจุดนายฟาบิโอถูกยิง และสำหรับภาพที่เห็นว่ามี เจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้อาวุธบนถนนราชดำริบางภาพที่อาจถูกเผยแพร่ตามสื่อนั้น อาจเกิดจากมีผู้ไม่หวังดีหยิบไปนำเสนอเพื่ออ้างอิงเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตของนายฟาบิโอเพื่อให้เห็นว่ามี เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธอยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งในข้อเท็จจริงเป็นภาพเหตุการณ์ยิงขู่ขับไล่กลุ่มติดอาวุธที่คอยขัดขวางอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น แต่ก็เกิดขึ้นหลังจากที่นายฟาบิโอถูกยิงเสียชีวิตไปนานแล้ว
มติชนออนไลน์
-----------------
วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
คำให้การพ.ต.ท.ชุมพล ที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยเซ็นทรัล
เกริ่น
บทความนี้ผมขอยกคำให้การของพยานสำคัญคือ พ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร เกี่ยวกับกรณีเผาห้างเซ็นทรับเวิร์ล ที่เสื้อแดงพยายามนำมาบิดเบือนซะเกินจริงว่า ทหารเผาห้างเพื่อใส่ร้ายเสื้อแดง ทั้ง ๆ ที่เมื่อเราได้อ่านคำให้การของพ.ต.ท.ชุมพล ดี ๆ จะเห็นว่า จะมีต่อว่าทหารนิดหน่อยตรง ไม่ช่วยเคลียร์เส้นทางให้ทีมดับเพลิงของพ.ต.ท.ชุมพล กลับไปเข้าไปทำงานเมื่อห้างเซ็นทรัลเวิร์ลโดนเผาแล้ว
ซึ่งอาจเป็นเพราะด่านทหารที่ พ.ต.ท.อ้าง ตรงด่านถนนเพลินจิตนั้น อาจยังไม่ได้รับการประสานงานคำสั่งในการอำนวยความสะดวกให้มากกว่า หรืออาจเพราะกำลังรอเจ้าหน้าที่ตำรวจดับเพลิงของราชการมาจัดการอยู่ก็ได้ ซึ่งสถานการณ์ตอนนั้นกำลังเกิดความสับสน จึงย่อมเกิดความบกพร่องได้
ต้องไม่ลืมว่า ทหารชั้นผู้น้อยมีหน้าที่สกัดไม่ให้ประชาชนเข้าไปในพื้นที่อันตราย หากปล่อยเข้าไป แล้วโดนยิงจากกองกำลังติดอาวูธ ทหารชั้นผู้น้อยก็ซวยสิครับ
เมื่อห้างไฟไหม้แล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้คือ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดับเพลิงเข้าไปดับเท่านั้น ไม่ใช่ให้เจ้าหน้าที่เอกชนของห้างเข้าไปทำงาน ที่มีความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัย
ต่อไปนี้คือคำให้การของพ.ต.ท.ชุมพล ที่เล่าว่า โดนกองกำลังแต่งชุดคล้ายทหาร ที่ปาระเบิดใส่ตำรวจไล่ทีมงานของเขาออกจากห้าง และรปภ.ห้างก็กลัวความไม่ปลอดภัยจึงทยอยออกจากห้างกัน
ซึ่งพวกเสื้อแดงกลับบิดเบือนว่า ทหารไล่รปภ. ออกจากห้าง
------------------------
ที่ปรึกษาอัคคีภัยเครือเซ็นทรัล เบิกความโยง “ชายชุดคล้ายทหาร”
พ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร เลขาธิการสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทยและที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนาเบิกความว่า ช่วง 2เดือนที่มีการชุมนุมบริเวณสี่แยกราชประสงค์ของ นปช. นั้นได้วางแผนป้องกันความปลอดภัยและอัคคีภัยให้กับห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยในเซ็นทรัลเวิลด์มีทีมดับเพลิงมืออาชีพที่เป็นพนักงานประจำอยู่ถึง 25 คน ดังนั้นจากประสบการณ์แล้วเห็นว่าห้างนี้มีระบบรองรับทุกอย่าง หากเกิดไฟไหม้เล็กๆ พนักงานหรือแม่บ้านก็สามารถดับได้ แต่หากเป็นเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ก็จะมีพนักงานดับเพลิงมืออาชีพคอยป้องกันอยู่ ถือได้ว่ามีระบบการป้องกันอัคคีภัยเป็นหนึ่งในเอเชียก็ว่าได้ และได้มาตรฐานระดับสากล
ทนายจำเลยที่ 1 ได้ยกข้อความของพ.ต.ท.ชุมพล ที่เคยให้สัมภาษณ์ในหนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” ที่จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์โลกวันนี้ หน้า 11 อ่านให้พ.ต.ท.ชุมพล ฟังเนื้อหาระบุว่า
"ตลอดเวลา2เดือนเต็มๆเราได้ประสานไมตรีกับผู้ชุมนุมมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพวกการ์ดแทบจะรู้จักกันทุกคน แต่ในวันเกิดเหตุเผาเซ็นทรัลเวิลด์ขอบอกว่าไม่เห็นหน้าคนเหล่านั้นเลย มีแต่พวกที่เรียกตัวเองว่ากองกำลังไม่ทราบฝ่าย กลุ่มนี้แหละที่เขาบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นผู้ก่อการร้ายที่แม้แต่ตำรวจและทหารก็ไม่กล้าแตะ ถ้าแตะมันก็ต้องมีศพกันบ้างหละ แต่นี่ไม่ คนกลุ่มนี้เข้าออกในที่เกิดเหตุโดยไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกเขา เจ้าหน้าที่มีข้อมูลทุกอย่างแต่ทำไมถึงจับคนร้ายไม่ได้"
หลังจากนั้น พ.ต.ท.ชุมพล ได้ยืนยันต่อศาลว่าตนเองเป็นผู้พูดเช่นนั้น โดยหลังการสลายการชุมนุมได้มีคนมาสัมภาษณ์และนำไปลงในหนังสือ “คนช่วยคน” ของสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทย ที่ตนเองเป็นเลขาธิการอยู่ และคาดว่าหนังสือความลับหลังฉากฯ ได้นำไปเผยแพร่ต่อ
ที่ปรึกษาอัคคีภัยเครือเซ็นทรัลเบิกความต่อด้วยว่า ในห้างมีสปริงเกอร์ทุกๆ 3 เมตร แต่เหตุการณ์เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 พ.ค.53 นั้นอยู่นอกเหนือจากความสามารถของพนักงานดับเพลิง เพราะไม่สามารถดับเพลิงได้ พนักงานดับเพลิงปฏิบัติหน้าที่ได้เฉพาะในตอนต้นที่มีคนกลุ่มแรกเข้ามา รปภ. ที่มีกว่า180 คนก็สามารถผลักดันออกไปได้
แต่เมื่อมีคนกลุ่มที่ 2 เข้ามาอีก รปภ. ได้แจ้งว่ามีการปาระเบิดเข้าใส่พนักงานจนทำให้มีคนบาดเจ็บ จึงได้มีการร้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา เมื่อตำรวจเข้ามาในห้างประมาณ 25 คน ได้มีการจับกุมคนที่เข้ามาหลบซ่อนตัวในห้าง ก่อนที่จะถอนกำลังออกไปเมื่อพบผู้บุกรุกชุดที่สองซึ่งมีอาวุธอยู่ด้านหน้าของห้าง
เขาขยายความต่อว่า ชุดแรกที่เข้ามานั้นมีประมาณ 14 คน เข้ามาจาก2 ด้านคือด้านถนนพระราม 1 และถนนราชดำริ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าเซน (ZEN) ในเวลาประมาณเกือบ 14.00 น. โดยทุบกระจกเข้ามาในห้าง แต่ รปภ. ที่มีจำนวนถึง 180 คนก็ได้ไล่คนเหล่านั้นออกไป
ต่อมาเวลาประมาณ 15.00 น. จากการตรวจสอบกล้อง CCTV เห็นว่ามีกลุ่มคนชุดที่สอง ประมาณ 7-8 คน แต่งกายคล้ายทหารและมีอาวุธด้วยเข้ามาทางด้านห้างเซ็นทรัลเวิลด์ รปภ. พยายามต้านทานไม่ให้คนกลุ่มนี้เข้ามาแต่กลับถูกปาระเบิดใส่ ตำรวจในเครื่องแบบเข้ามาช่วยก็ยังต้องถอนกำลังออกไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทนายได้นำภาพผู้ถูกจับกุม 9 คนซึ่งถูกตำรวจจับกุมตัวในห้างฯ โดยนำมาจากหนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” หน้า 27 ซึ่ง 1 ในนั้นมีจำเลยที่ 2 (พินิจ) รวมอยู่ด้วยให้ พ.ต.ท.ชุมพล จากนั้น พ.ต.ท.ชุมพล ได้ยืนยันต่อศาลว่า 9 คนนี้เป็นพวกที่หลบอยู่ในห้างไม่มีอาวุธและไม่ใช่กลุ่มคนที่มีอาวุธดังกล่าว โดยเขาได้รับการยืนยันจากหัวหน้า รปภ.ที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย
ภาพ 9 คนที่ถูกตำรวจจับกุมตัวในห้างฯจากหนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” หน้า 27
พ.ต.ท.ชุมพล เบิกความต่อว่า หลังจากที่ตำรวจทั้ง 25 คน ถอนกำลังออกจากห้างไปทำให้ รปภ.และพนักงานดับเพลิงเสียขวัญกำลังใจ จึงได้ไปรวมตัวที่จุดรวมพลตรงลานจอดรถใกล้โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เพื่อให้ฝ่ายบริหารห้างตัดสินใจ เนื่องจากพนักงานเหล่านั้นไม่มีหลักประกันความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจออกจากห้างทั้งหมดในเวลาประมาณ 16.40 น.
เขากล่าวด้วยว่า หลังจากนั้นเวลาประมาณ 19.00 น. เศษ ทางสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทยได้รับการขอร้องจากเซ็นทรัลเวิลด์อีกให้เข้าไปช่วยดับไฟ แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้ เนื่องจากไม่ได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ทหาร กว่าจะได้เข้าไปถึงพื้นที่ได้ก็เวลาประมาณ 22.00 น.
และจากการตรวจสอบ CCTV จากห้างเกษรพลาซ่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้างเซ็นทรัลเวิลด์นั้นพบว่าเวลาประมาณ 21.00 น. กว่าๆ ตึกก็ได้ถล่มลงมาแล้ว และพื้นที่รอบๆ นั้นถูกควบคุมโดยกองกำลังของทหารทั้งหมด แม้กระทั่งตอนออกจากห้างในช่วงเย็นทางด้านหลังห้างพารากอนก็มีทหารควบคุมพื้นที่อยู่ รถพยาบาลหรือ รปภ. วิ่งออกมาจากพื้นที่ก็ยังต้องผ่านด่านทหาร
ทนายได้ถามด้วยว่าหลังสลายการชุมนุมของ นปช. บริเวณห้างและรอบๆ นั้น จากที่พยานได้รับรายงานและประสานงานนั้นเป็นหน่วยไหนที่ควบคุมพื้นที่ พ.ต.ท.ชุมพล เบิกความว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารของ ศอฉ.
“ทีมงานเราอยู่ภายในถ้าไม่ไล่เราออกไป มันเรื่องเล็กสำหรับไฟขนาดนั้น ในอาคารมีอุปกรณ์พร้อม น้ำในห้างก็มีจำนวนมหาศาลทั้ง 3 อาคารเชื่อมต่อกัน ระบบแรงดันน้ำภายในห้างก็ใช้ได้ ถ้าไม่ไล่เราออกไม่มีทางจะไหม้ ส่วนคนที่ไล่เราออกไปนั้นคือกลุ่มคนที่มีอาวุธ มีการโยนระเบิด ขนาดตำรวจยังต้องหนี” ที่ปรึกษาฯ กล่าว
เขาเบิกความต่อว่า เมื่อออกไปแล้วก็กลับเข้ามายากมากเพราะต้องติดด่านที่ทหารตั้งอยู่ ตั้งแต่ด่านตรงเพชรบุรี สะพานหัวช้าง และถนนพระราม 1 ก็ไม่ให้เข้า เลยต้องขอเข้าด้านหลังแทน
พ.ต.ท.ชุมพล เบิกความย้ำด้วยว่า “ไม่มีที่ไหนในโลกหรอกที่เขาไม่เคลียร์พื้นที่ให้กับทีมดับเพลิง ตั้งแต่เย็นไม่มีใครเคลียร์พื้นที่ให้ ปล่อยให้มันไหม้ได้อย่างนั้น”
ที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยเครือเซ็นทรัล เบิกความภายหลังทนายได้นำภาพถ่ายที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับนายสายชล ซึ่งเป็นรูปชายชุดำกำลังถือถังสีเขียวว่า ภาพดังกล่าวถ่ายในบริเวณห้าง ส่วนถังสีเขียวในรูปเป็นถังดับเพลิง ซึ่งในตัวห้างก็มีถังในลักษณะนี้อยู่ ยืนยันว่าไม่ใช่ถังแก๊ส และเครื่องดับเพลิงไม่สามารถใช้เป็นอุปกรณ์ในการวางเพลิงได้
ภาพชายกำลังถือถังสีเขียวที่ใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับนายสายชล
อัยการได้ซักค้านพยานด้วยว่ากลุ่มคนกลุ่มที่สองซึ่งติดอาวุธ 7-8 คนที่เข้ามาในห้างที่พยานระบุว่ามีการแต่งกายคล้ายทหารนั้นมีลักษณะอย่างไร
พ.ต.ท.ชุมพล ตอบว่าดูจากกล้อง CCTV ประกอบกับที่ได้รับการยืนยันจากหัวหน้า รปภ. แล้วคาดว่าเป็นชุดปฏิบัติการรบในลักษณะปฏิบัติการพิเศษแน่นอน เครื่องแต่งกายมีหมวกเหล็ก ท็อปบู๊ต ชุดพรางและมีฮู้ดปิดหน้า
พ.ต.ท.ชุมพลเบิกความยืนยันตอนท้ายด้วยว่าเมื่อพิจารณาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งระบบการป้องกันอัคคีภัยและรายงานจากทีมดับเพลิงในที่เกิดเหตุเห็นว่า ผู้ถูกจับกุมทั้ง 9 คนที่ถูกจับในห้างนั้นไม่มีความสามารถในการวางเพลิงได้
ที่มา http://prachatai.com/journal/2013/01/45013
------------------
ใหม่เมืองเอก ขอตั้งข้อสังเกตนิดนึงตรงที่ ว่า ทหารคุมพื้นที่โดยรอบ นั้นหมายถึงการเข้าคุมพื้นที่เวทีชุมนุมราชประสงค์ และตั้งด่านตามเส้นทางเข้าราชประสงค์ ไม่ได้คุมรอบห้างพับพันคนตามที่เสื้อแดงบิดเบือนแต่อย่างใดครับ เป็นการคุมสถานการณ์แบบหลวม ๆ เพราะตอนแรกนั้น ฝ่ายทหารไม่มีใครรู้ว่า จะเกิดการเผาห้างเกิดขึ้นตามมาในช่วงเย็น ทหารจึงได้ถอนกำลังออกไปก่อนตามคำสั่ง ศอฉ. แล้วทหารได้กลับมาพื้นที่ห้างอีกครั้ง เมื่อเหตุการณ์ไฟไหม้ได้เกิดขึันไปแล้ว
คลิกอ่าน จับโกหกโอ๊ค พานทองแท้ กรณีใครเผาเซ็นทรัลเวิร์ล
วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
รวมบทความแฉตัวการใหญ่ปัญหาโจรใต้
เนื่องจากปุ่มไลค์ และปุ่มแชร์ในบล็อคมุมมองใหม่เมืองเอก มีปัญหาในหลายบทความ ทำให้ไม่สามารถแชร์ลิงค์บทความหลายบทความผ่านเฟสบุ้คได้
ทำให้บทความ ยากที่จะเผยแพร่ต่อใน facebook อีก ผมเลยเขียนบทความนี้ขึันมา เพื่อสะดวกในการแชร์บทความเกี่ยวกับปัญหาใต้ครับ
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ที่ผมเขียนบทความเกี่ยวกับปัญหาภาคใต้ เพื่อหวังว่า รัฐไทยจะเดินถูกทาง ไม่ใช่หน้าบาง เพราะเกรงใจประเทศเพื่อนบ้าน ย่อมไม่มีทางแก้ปัญหาได้แน่นอน
ตอนนี้เขียนไปได้แล้ว 7 บทความ และจะต้องเขียนต่อไปอีก ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะจบลงในกี่บทความ ซึ่งหากผมได้เขียนตอนต่อไป ผมจะนำมาลิงค์ลงเพิ่มอีกในททความนี้อีก
อยากให้คนไทยและเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะรัฐบาลไทยได้อ่าน ซึ่งจะได้มองเห็นปัญหาในอีกมุมมอง
กดที่ชื่อบทความเพื่ออ่าน
ตอน 1. ตัวการใหญ่ปัญหาความรุนแรง 3 จังหวัดใต้
ตอน 2. แผนชั่วของมาเลเซียใน 3 จังหวัดใต้ไทย
ตอน 3. ทำไมปัญหา 3 จังหวัดใต้ ยิ่งเจรจายิ่งรุนแรง
ตอน 4. ปัญหาโจรใต้ มาเลเซีย คนกลาง หรือ ตัวการ
ตอน 5 สันดานมาเลเซีย กับแผนแบ่งแยกดินแดนอย่างย่อ !!
ตอน 6 ตรรกะโง่ชั่วพวกโจรแบ่งแยกดินแดนภาคใต้
ตอน 7 เหตุผลตอแหลของโจรแบ่งแยกดินแดนภาคใต้
ตอน 8 มาเลเซียต้องถูกลงโทษ เพราะบาปกรรมที่ทำกับไทบ
--------------------
บทความเสริมแต่สำคัญมาก
แท้จริงอาณาจักรปัตตานี รุกรานชาวสยามก่อน
เมื่อเพจโจรใต้ โพสดูถูกทหารไทย
ทำไมมัสยิดกรือเซะ สร้างไม่เสร็จในมุมมองมุสลิม
เราไม่ต้องการเขตปกครองพิเศษปัตตานี แต่เราต้องการเอกราช
ป้ายกำกับ:
วิธีแก้ปัญหา 3 จังหวัดใต้ ความรุนแรง แนะ
วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
ยิ่งลักษณ์ งก งบจ้างทนายพระวิหาร
พอทีมทนายพระวิหารว่าความให้ไทย ทำผลงานในศาลโลกเข้าตาคนไทยทั้งประเทศ แม้จะยังไม่รู้ผลแพ้ชนะของคดีก็ตาม
แต่ความตั้งใจและการได้นำเสนอข้อมูลในศาลโลกที่ปรากฎ ได้สร้างความประทับใจให้กับคนไทยอย่างมาก จนกระทั่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์เองขอมีเอี่ยวรีบเสนอหน้าขอเอาหน้าด้วย ตามที่สื่อทุกแขนงได้นำเสนอข่าวไปแล้ว
โดยเฉพาะคุณอลีนา มีรอง ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ ที่ได้ขึ้นให้การในศาล จับผิดเกี่ยวกับแผนที่ของเขมรที่มีการดัดแปลงแก้ไข ได้สร้างความประทับใจให้คนไทยเป็นพิเศษ
ขนาดพวกเสื้อแดงเว็บพันทิป ถึงกับโมเมมั่วขี้ตู่เอาว่า ทีมผู้เชี่ยวชาญแผนที่โดยเฉพาะ คุณอลีนา มีรอง เป็นคนที่ทักษิณจ้างมา เพราะค่าจ้างแพง รัฐบาลไม่มีเงินจ้าง ซึ่งผมได้เขียนเรื่องนี้ไว้ในบทความ ฟายแดงตู่อลีนา มีรองเป็นคนของทักษิณ
พวกเสื้อแดงถึงกับมั่วว่า ค่าจ้างทีมทนายเป็นเงินร่วม 4 พันล้านบาท ต้องทักษิณจ่ายเท่านั้น โถ..ฟายแดง แม่งคิดไปได้
คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!
จากข่าวมติชนรายงานผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2566 ยิ่งลักษณ์ออกมาตำหนิถึงการใช้งบจ้างทนายพระวิหาร ตามข่าว
เฮ่อ.. เรื่องสำคัญ ๆ แบบนี้ งบก็ไม่ได้มากเท่าไหร่ ไม่มีเหตุวิสัยจะต้องมางกเลย
แต่อีโง่ก็จะงก !!
ทีเรื่องบางเรื่องควรประหยัด รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย แต่กับเรื่องที่คนไทยยินดีพร้อมให้จ่าย ยิ่งลักษณ์กลับมางกไม่เข้าเท่า
โธ่ อีงก !!
ผมไม่อยากด่ามาก เพราะง่วง ก็ยกส่วนหนึ่งของคุณเปลว สีเงิน ที่ได้วิจารณ์เรื่องนี้ไว้มาให้อ่านแล้วกันครับ
-----------------------
เปลว สีเงิน วิจารณ์เรื่อง งบทนายพระวิหารที่ยิ่งลักษณ์บ่น
นี่ก็อีกมาตรฐานของนายกฯ หญิง กระทรวงต่างประเทศเสนอของบประมาณ "จากงบกลาง" เพิ่มเติมอีก ๔๕ ล้าน เพื่อการต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร เพราะที่อนุมัติไปสมัยอภิสิทธิ์ไม่เพียงพอ ต้องใช้จ่ายค่าทีมทนาย ทีมผู้เชี่ยวชาญแผนที่ และค่าเดินทาง และอื่นๆ อีก
ก็ให้...แต่กระฟัด-กระเฟียดให้แบบเสียไม่ได้ มีการตัดพ้อต่อว่าทำนอง ก็รู้อยู่แล้วต้องใช้เท่าไหร่ ทำไมไม่ขอตั้งแต่แรกไว้ให้พอ "งบกลาง" ของชั้น สำรองไว้กรณีฉุกเฉินรู้มั้ย!
"งบกลาง" คืออะไร...งบกลาง คืองบสำหรับ "สำนักนายกฯ" ไว้ใช้กับเรื่องฉุกเฉินที่จำเป็น ใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องเล่าแจ้งแถลงไขกับรัฐสภา แต่ในทางปฏิบัติจะเรียกว่า "เงินทัดหูนายกฯ" ก็ได้
ไปไหน-มาไหน อยากเปรี้ยว อยากหวาน นายกฯ ควักเงินทัดหูจ่ายได้ทันที กระทรวงต่างประเทศมาขอเจียดเงินทัดหูอย่างนี้ มันก็ต้องแสดงอาการ "ต่อว่า-ต่อขาน" กันหน่อย
แต่ โถ...กับเงินอีก ๔๕ ล้านที่ต้องใช้ด้วยมี "ศักดิ์ศรีและแผ่นดิน" เป็นเดิมพัน แถมทีมทนาย-ทีมแผนที่ "ผลงานเข้าตา" ถือว่าที่ต้องจ่ายกับสิ่งที่ได้ "คุ้มเกินคุ้ม"
หรืออิจฉา...อลินา มิรอง!?
เอ้า...ถ้างั้น ลองมาดูการใช้ "งบกลาง" ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์บ้าง ตอนน้ำท่วม เอาไปท่วมน้ำไว้เองตั้งเกือบ ๒ แสนล้าน จนบัดป่านนี้ เข้าปีที่ ๒ แต่ผลงานรัฐบาลปีแรกที่ต้องแถลงต่อรัฐสภา ก็คงรู้ตัวไม่มีผลงานเพื่อบ้านเมืองอะไร นอกจากผลาญหมดไปกับประชานิยม แจงตัวเลขได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
ก็เลยทำไขหู ไม่ยอมแถลงจนถึงวันนี้!
เอาไปให้เสื้อแดง นปช.สู้คดีตั้งเกือบ ๕๐ ล้าน แล้วนั่น มันมันจำเป็น-ฉุกเฉินหรือ และจ่ายเพื่อคนเผาบ้าน-เผาเมืองเช่นนี้ มันเป็นศักดิ์ศรีประเทศ-ศักดิ์ศรีแผ่นดินหรือ?
๔ พ.ย.๕๕ ครม.อนุมัติ ๒,๐๐๐ ล้านบาท เยียวยาพวกเผาบ้าน-เผาเมือง คนละ ๗.๕ ล้าน ลงไปถึงระดับแสน นี่ก็จากงบกลาง เมื่อเทียบกับที่ต้องจ่ายเพิ่มเป็นค่าสู้คดีปราสาทพระวิหารต่อเนื่องมา ๒-๓ ปี อีก ๔๕ ล้านบาท
มันน่าบ่นตรง ๔๕ ล้าน? หรือ...
มันน่าด่าตรง ๒,๐๐๐ ล้าน...หือ?
และเพื่อทีมทนายสู้คดีศาลโลก ซึ่งมีแผ่นดินเป็นเดิมพัน ถูกนายกฯ ค่อนขอดที่มาตอดงบกลางอีก ๔๕ ล้าน ผมก็อยากให้ดูนี่เปรียบเทียบ เพื่อให้ตัดสินใจกันว่า แบบนี้...สมควรเลี้ยงไว้เป็นรัฐบาลหรือไม่?
ในการประชุม ครม. ๒๐ พ.ย.๕๕ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม เสนอที่ประชุม ครม.เพื่อขออนุมัติในการใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ๕ หมื่นนาย ในการควบคุมดูแลม็อบ (เสธ.อ้าย) และขออนุมัติงบประมาณฉุกเฉินจำนวน ๒๐๐ ล้านบาท จากงบกลาง เพื่อดำเนินการทั้งใช้เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าเดินทางของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง ๕ หมื่นนาย
ซึ่งงบ ๒๐๐ ล้านบาทดังกล่าว ครม.ได้อนุมัติทันที โดยไม่มีรัฐมนตรีคนใดคัดค้าน!
๒๐๐ ล้าน ค่าปาแก๊สน้ำตา-ค่ากระทืบประชาชน ทีอย่างนี้....
นายกฯ จัดให้...เอาไปเลย!
คลิกอ่าน เก่ง การุณ ครบเครื่องเรื่องสารเลว
วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
เมื่อลูกชายนิติภูมิ ค้านนโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็ก
เกริ่น
นิติภูมิ นวรัตน์ เป็นคนที่ผมผิดหวังในอุดมการณ์ของเขาเป็นอย่างมาก ละทิ้งอุดมการณ์ไปเข้ากับพรรคเพื่อไทย
ทั้ง ๆ ที่ ตอนยังยึดมั่นอุดมการณ์ นิติภูมิ เป็นคนออกมาต่อต้านระบอบนายทุนกินรวบอย่างระบอบทักษิณ และต่อต้านการเกิดขึ้นของห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ที่ยึดทุกถนนในเมืองไทย ยังต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปเป็นเอกชน โดยเขานำบทเรียนล่มสลายของอาเจนติน่า ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง
แต่แล้วไม่รู้เพราะสาเหตุใด เขาจึงละทิ้งอุดมการณ์ดี ๆ จนไปเข้ารีตระบอบทักษิณจนได้ น่าเสียดายความรู้ความสามารถ ที่เคยถึงกับได้คะแนนเลือกตั้ง สว. เป็นอันดับ 1 ในกรุงเทพฯ มาแล้ว แต่ภายหลังมีการรัฐประหาร 2549 ก็เลยอดเป็น สว. ไป
สุดท้ายตอนนี้นิติภูมิ ได้เป็น สส.บัญชีรายชื่อในพรรคเพื่อไทยไปแล้ว น่าเสียดายอุดมการณ์ที่เคยมีจริง ๆ
แบบนี้ต้องให้ป้าเช็ง ตบกระบาลล้างน้ำหมักซะให้เข็ด ฮ่าๆ
ทีนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ คิดจะยุบโรงเรียนขนาดเล็กในชนบท อ้างไม่มีงบประมาณ ถุย!!
ต่อมา คุณนิติ นวรัตน์ ลูกชายคนที่ 2 ของนิติภูมิ นวรัตน์ จึงรีบเขียนบทความในไทยรัฐเพื่อคัดค้านเรื่องนี้ทันที ลองอ่านดูครับ
---------------------
อย่าฆ่าชนบท โดยคุณนิติ นวรัตน์
ผมต้องรีบเขียนบทความชิ้นนี้ เพราะอ่านข่าวพบว่ากระทรวงศึกษาธิการ รัฐบาลไทย และนักการศึกษาของไทย ประกาศนโยบายให้ยุบโรงเรียนขนาดเล็กในสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ซึ่งมี 14,397 โรง ทั่วประเทศ
จากข่าว ผมเดาสิ่งที่อยู่ใต้สมองของคนในกระทรวงนี้ได้ทันทีเลยว่า จำนวนไม่น้อยเป็นพวกวัตถุนิยม เป็นคนที่ยังไม่ตกผลึกทางด้านการศึกษา เขียนอย่างตรงไปตรงมาไม่เกรงใจก็คือ ท่านเป็นนักการศึกษาที่ไม่มีความรู้เรื่องการศึกษา ไม่รู้ซึ้งถึงจิตวิญญาณการเรียนรู้อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม
โลกพังเพราะเราปล่อยให้ชนบทร้าง ชนบทไม่มีการเคลื่อนไหว ที่ชนบทนิ่งไม่ไหวติง เพราะรัฐบาล รัฐมนตรีศึกษาธิการ และนักการศึกษาของประเทศ “พวกนั้น” รุมฆ่าประเทศตนเองอย่างโหดเหี้ยม ด้วยนโยบายการศึกษาที่ “พรากคนออกจากท้องถิ่น” ออกแบบการศึกษาที่ผลักเยาวชนให้ไปอยู่โรงเรียนห่างไกลจากชุมชนของตนเอง
รัฐมนตรีและนักการศึกษาพวกนี้ตัดเยาวชนและชุมชนให้ขาดออกจากกัน หลังจากจบการศึกษาแล้ว เยาวชนมุ่งอพยพไปอยู่กันแต่ในเมืองใหญ่ ไปแออัดยัดเยียดกันอยู่ที่นั่น เพราะไม่มีความผูกพันกับชุมชนและผู้คนในพื้นที่ในอดีตของตน หมู่บ้านในชนบทของประเทศที่มีการศึกษาแบบนี้ จึงมีเหลือแต่คนแก่และเด็กๆ ส่วนคนที่อยู่ในวัยทำงานจะไปแข่งขันกันอย่างบ้าคลั่งในมหานครใหญ่ เมื่อชนบทถูกทิ้งร้าง ทรัพยากรที่ดินและทรัพยากรอื่นไม่ได้รับการพัฒนาให้สร้างผลผลิต
เวียดนามเป็นประเทศหนึ่งซึ่งสร้างโรงเรียนขนาดเล็กในชุมชนให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น เพราะต้องการผูกเยาวชนกับชุมชนให้ได้ ในชั้น ป.1–6 กระทรวงศึกษาธิการญวนแบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนที่เป็นสากล เด็กทุกคนต้องเรียน liberal education และ liberal arts แบบเดียวกับเด็กทั่วโลก
ส่วนที่ 2 เด็กญวนจะได้เรียนเกี่ยวกับชาติบ้านเมืองของตนเอง รู้ข้อมูลพื้นฐานของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามตั้งแต่เหนือจดใต้ หลักสูตรในส่วนนี้ทำให้เด็กรู้จักชาติ เมื่อรู้จักชาติทุกจังหวัด ทุกอำเภอ รู้จักประวัติศาสตร์ชาติ ก็ทำให้เด็กผูกพันกับชาติ รักชาติ มีความเป็นหนึ่งเดียว
ส่วนที่ 3 เด็กนักเรียนเวียดนามจะต้องเรียนรู้เรื่องของชุมชนตนเองตั้งแต่ความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์ในหมู่บ้านและตำบล รู้ว่าหนองน้ำมีกี่แห่ง แต่ละแห่งจะมีน้ำไว้ใช้ในการเกษตรได้พอเพียงทั้งปีหรือไม่ มีปลาอะไรบ้าง ในอนาคต เมื่อเด็กเหล่านี้จบการศึกษาปริญญาตรีจากนครหลวง ก็สามารถมีความรู้และความเคยชินเพียงพอที่จะกลับมาอยู่ในหมู่บ้านเดิม แต่การกลับมาครั้งใหม่เป็นการกลับมาในวัยกำลังทำงาน กลับมาพร้อมกับปริญญาและความรู้ที่จะนำมาพัฒนาชนบท ทำให้ชนบทของเวียดนามเกิดการเคลื่อนไหว ประชาชนมีรายได้จากผลผลิต พื้นที่ทั้งประเทศของเวียดนามจึงเป็นแผ่นดินที่สร้างผลผลิต
ผิดกับสติปัญญาของรัฐบาลไทย รัฐมนตรีไทย และนักการศึกษาของไทยในยุคนี้ ที่ถูกฝรั่งครอบกะโหลกจนจินตนาการกันไม่ออกว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากเช้าขึ้นมา พ่อแม่ในชนบทต้องเสียเวลาพาลูกไปโรงเรียนใหญ่ที่อยู่ในตัวอำเภอ หรือในตัวตำบล แทนที่เช้าเย็น เยาวชนของเราจะมีเวลาช่วยงานบ้าน หรืองานอาชีพของพ่อแม่ เพื่อถ่ายทอดความรู้ด้านอาชีพจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง กลับต้องเสียเวลาไปกับการเดินทาง
พ่อผมเคยทำสารคดีเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นการศึกษาของโรงเรียนชนบทของสวิสเซอร์แลนด์ โรงเรียนนี้มีเพียง 2 ห้อง ห้องแรกเป็นกลุ่มนักเรียนในระดับอนุบาล อีกห้องหนึ่งเป็นนักเรียนทุกเกรดมาเรียนร่วมกัน มีครูเพียง 2 คน คนแรกสอนอนุบาล ครูคนที่สองสอนนักเรียนตั้งแต่ชั้นเกรดหนึ่งถึงเกรดสิบกว่า
บางเกรดมีนักเรียน 5 คน บางเกรดมี 3 คน บางเกรดมีนักเรียนเพียงคนเดียว แต่ทุกคนทุกเกรดก็เรียนอยู่ในห้องเดียวกัน มีครูคนเดียวกัน ครูสอนโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วย
ผมดูภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้หลายรอบ ดูแล้วก็เกิดความประทับใจในสติปัญญาของผู้ที่ออกแบบระบบการศึกษาของสวิตเซอร์แลนด์ ที่ให้สถาบันการศึกษากับชุมชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โรงเรียนกับชุมชนแนบกันได้สนิท ไม่มีพ่อแม่คนไหนในระดับประถมเดินมา ส่งลูกที่โรงเรียน นักเรียนเดินมาโรงเรียนเอง เพราะโรงเรียนอยู่ใกล้บ้าน ตอนเที่ยงก็เดินกลับไปทานอาหารที่บ้าน จำนวนหนึ่งเอาอาหารมาทานที่โรงเรียน นักเรียนพวกนี้ก็จะมีเวลาออกไปวิ่งเล่นข้างนอก
พ่อผมเริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดซึ้งล่าง ต.วันยาว อ.ขลุง จ.จันทบุรี เมื่อจบ ม.ศ.5 แล้วก็มีโอกาสได้ไปเรียนมัธยมปลายซ้ำอีกครั้งที่โรงเรียน St.Arnaud รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ส่วนผมเองจบ ป.6 จากโรงเรียนวัดคลองตะเคียน ต.พลวง กิ่ง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี ในระหว่างเรียนมัธยมปลาย มีโอกาสไปเรียนที่โรงเรียน Gymnasium Blemfeld เมืองฮัมบูร์ก รัฐฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี ผมถึงเอาประสบการณ์มาเล่าขานเปรียบเทียบให้คุณผู้อ่านได้อ่านจากประสบการณ์จริงของคนเขียนเอง ไม่ต้องไปจินตนาการ หรือไปลอกประสบการณ์ของใครที่ไหน
ฐานะที่ผมจบประถมโรงเรียนขนาดเล็ก เป็นโรงเรียนในชนบท ซึ่งในตอนที่ผมเรียนยังเป็นกิ่งอำเภอ ถนนหนทางยังเป็นลูกรัง แต่ก็ไม่เห็นว่าการศึกษาจากโรงเรียนวัดในชนบทห่างไกล จะทำให้ผมรู้สึกด้อย หรือต่ำต้อย
ผมจึงอยากขอความกรุณารัฐบาลไทยนะครับ ว่าอย่ายุบโรงเรียนเล็ก อย่าเลิกโรงเรียนในชนบท อย่าต้องให้เยาวชนไทยโหนรถสองแถวไปโรงเรียนกันวันละ 50-100 กม.
กรุณาล้มเลิกความคิดที่จะพรากเยาวชนไทยออกจากชนบทไทย
ท่านรัฐมนตรีโปรดอย่า “ฆ่าชนบท”.
คุณนิติ นวรัตน์
http://www.thairath.co.th/column/oversea/worldsky/180879
-----------------------------
ใหม่เมืองเอก สรุปปิดท้าย
ที่ผมนำบทความของคุณนิติ มาลง สืบเนื่องจากพอหลังจากผมทราบนโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็กลง ทำให้ผมนึกถึงสารคดีเปิดเลนส์ส่องโลก เมื่อหลายปีก่อนที่นิติภูมิ นวรัตน์ พาไปดูโรงเรียนในชนบทของประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ผมจำได้ติดตาติดใจมาจนวันนี้ คือ นักเรียนระดับป. 1 จนถึงระดับ ม.6 ของสวิสฯ เรียนอยู่ในห้องเดียวกัน โดยมีครูสอนเพียงคนเดียว คือหมายถึงว่า อาจมีเด็กป. 1 สักคนนึง ป.3 สัก 2 คน ป.6.สัก 2 คน ม.1 สัก 2 คน ม.3 สัก 1 คน ม.6 สัก 3 คน อะไรทำนองนี้
โดยครูจะเดินไล่สอนนักเรียนไปเรื่อย ๆ โดยใช้กระดานดำอันเดียวกัน นักเรียนทุกคนก็สนใจวิชาในระดับของตัวเองไป
โรงเรียนอยู่ใกล้บ้าน เพราะการเดินทางบนเทือกเขาในสวิส ก็ไม่สะดวกสบายที่จะให้นักเรียนเดินทางไปเรียนไกล ๆ
คลิกอ่าน ยิ่งลักษณ์ไม่เคยพูดผิดอำเภอขนอม เป็น ขน อม !!
วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
จับโกหก ปาฐกถายิ่งลักษณ์ ที่มองโกเลีย
ผมคงไม่ยกปาฐกถาของยิ่งลักษณ์มาวิเคราะห์ทั้งหมด เพราะประเด็นสำคัญจริง ๆ มีแค่ไม่กี่ประเด็น เพราะที่เหลือเธอก็แค่อ่านไปตามสคริปต์เรื่องประชาธิปไตยให้ดูดีเท่านั้น
แต่ผมเชื่อมั่น100% ว่า สคริปต์ปาฐกถาของยิ่งลักษณ์ในวันนั้น ยิ่งลักษณ์ไม่เข้าใจในเนื้อหาหรอก แค่อ่านแบบนกแก้วให้จบ ๆ ไปเท่านั้น และคนที่อยู่เบื้องหลังสคริปต์ปาฐกถานี้ ก็คือ ทักษิณ แน่นอน
(เพราะล่าสุดนายนพดล เพิ่งจะโพสเฟสบุ๊คว่า ทักษิณอยู่แถว ๆ จีน ซึ่งน่าจะหมายถึงไม่ได้อยู่ในจีน แต่ใกล้ ๆ จีน คือ มองโกเลีย)
---------------------
ขอเฉพาะตัดบางส่วนจากปาฐกถายิ่งลักษณ์ ที่มองโกเลีย
หากใครยังไม่ได้อ่านคำแปลปาฐกถาไปอ่านได้ที่เพจ Yinfluck Shinnawatra คลิก!!
"...รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี 2006 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ10 ปีกว่าที่จะได้เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา
หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้รู้ว่ารัฐบาลที่ดิฉันพูดถึงคือรัฐบาลที่พี่ชายของดิฉัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย.."
akecity วิเคราะห์ว่า ทั้งเสื้อแดงและยิ่งลักษณ์สับสนและจำอะไรผิด ๆ จนกลายเป็นความเชื่อผิด ๆ ไปแล้วว่า รัฐบาลทักษิณที่มาจากการเลือกตั้งได้ถูกทำรัฐประหาร นี่คือข้อมูลที่ผิดมาก ๆ
เพราะความจริงที่ถูกต้องก็คือ รัฐบาลทักษิณที่มาจากการเลือกตั้งได้ถูกยุบสภาไปแล้ว และเป็นการยุบสภาที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะทักษิณหนีการอภิปรายซักถามเรื่องการขายหุ้นชินคอร์ป ฯ ที่มีการเลี่ยงภาษีการขายหุ้น
ทักษิณหนีการตอบคำถามเรื่องการเปิดบริษัทแอเพิลริช ที่บริทิชเวอร์จิ้น เพื่อซุกหุ้นตัวเองในต่างประเทศ เพื่อเลี่ยงภาษีรายได้ประจำปี
การที่ทักษิณยุบสภาจึงเป็นการยุบสภาด้วยเรื่องส่วนตัว ไม่สมเหตุผลในการยุบสภา แม้นอกสภาจะมีการประท้วงขับไล่ทักษิณจากกลุ่มพันธมิตร แต่นั่นก็แค่เรียกร้องให้ทักษิณลาออกเท่านั้น เพราะสภาไม่มีความผิด ผิดที่ทักษิณคนเดียว แต่ทักษิณกลับใช้อำนาจนายกรัฐมนตรียุบสภาบนความเห็นแก่ตัวชัดเจน
ฉะนั้นการที่ คมช. ทำรัฐประหาร จึงเป็นการทำรัฐประหารรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เพราะเป็นเพียงรัฐบาลรักษาการณ์ที่ใช้อำนาจไม่ชอบธรรม
แถมรัฐบาลรักษาการณ์ของทักษิณยังจัดการเลือกตั้งอัปยศขึ้น มีทั้งการจ้างวานพรรคเล็กลงเลือกตั้ง ซึ่งพลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกูรฯ อดีตรมว.กลาโหม และกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ได้ถูกศาลตัดสินจำคุก 3ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญาจากคดีนี้
และการเลือกตั้งอัปยศยุกรัฐบาลรักษาการณ์ของทักษิณก็ถูกศาลตัดสินในเป็นโมฆะ แถม กกต.ยุคนั้น ที่มีพล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน ก็ถูกศาลตัดสินจำคุก 4 ปีโดยไม่รอลงอาญาเช่นกัน
อาจจะพูดอีกอย่างก็ได้ว่า
คมช. ได้รัฐประหารรัฐบาลรักษาการณ์ที่ทำลายระบอบประชาธิปไตย !!
คลิกอ่าน คมช. ไม่ได้ยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง !!
--------------------
"..คำว่า “ไทย” หมายความว่า “อิสระ” และประชาชนคนไทยก็ได้ลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้เสรีภาพคืนมา แต่ในเดือนพฤษภาคม 2553มีการสลายการชุมนุมของผู้เรียกร้องกลุ่มคนเสื้อแดง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง91 คนในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ
คนบริสุทธิ์ถูกลอบยิงโดยสไนป์เปอร์ แกนนำการชุมนุมต้องติดคุกหรือหลบหนีไปต่างประเทศ และแม้แต่ทุกวันนี้ยังคงมีเหยื่อทางการเมืองจากการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่ติดคุกอยู่.."
akecity วิเคราะห์ว่า ยิ่งลักษณ์พูดไม่หมดว่า ในปี2552 เสื้อแดงกระทำการปิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เอารถแก๊สออกมาในย่านชุมชนแฟลตดินแดง เสื้อแดงยิงชาวตลาดนางเลิ้งตายไป 1 คน และอื่น ๆ อีกมากมาย ทักษิณและแกนนำเสื้อแดงพยายามใส่ร้ายทหารฆ่าเสื้อแดงตาย แต่ความจริงปี 2552กลับไม่มีใครตายสักคน
เสื้อแดงบุกทุบรถนายอภิสิทธิ์ และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ แถมยังไปล้มการประชุมอาเซียนบวก ที่พัทยา จนผู้นำต่างชาติหลายประเทศต้องหวาดกลัวหนีตายกันจ้าละหวั่น
ดังนั้นปี 2553 ทักษิณและแกนนำแดงต้องการให้มีคนตายมาก ๆ เพื่อใช้ศพใส่ร้ายรัฐบาลอภิสิทธิ์และทหาร
และในปี 2553 ในจำนวน 91 ศพที่ตาย ก็ไม่ใช่เสื้อแดงทั้งหมด เพราะมีทหาร ตำรวจ และประชาชนที่ต่อต้านเสื้อแดง ต้องตายเพราะเสื้อแดงกระทำรวมอยู่ด้วย นี่จึงเป็นคำพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวของยิ่งลักษณ์ ซึ่งจะทำให้ผู้คนต่างชาติที่ไม่ได้ตามสถานการณ์โดยละเอียดจะเช้าใจผิดว่า 91 ศพที่ตายคือพวกเสื้้อแดงทั้งหมด
เป็นการพูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นของยิ่งลักษณ์แท้ ๆ
คลิกอ่าน เสื้อแดงมั่วเรื่อง 91 ศพ !!
และประเด็นสำคัญที่สุด คือเรื่องสไนป์เปอร์ ยิ่งลักษณ์พูดประหนึ่งว่า สไนเปอร์เป็นฝ่ายตรงข้ามของเสื้อแดง แต่แท้ที่จริงแล้ว สไนป์เปอร์ที่ยิงผู้บริสุทธิ์ และพวกเผาเมืองคือ พวกเดียวกับเสื้อแดงทั้งนั้น
หากใครไม่เชื่อ ก็ให้คลิกที่รูปด้านล่างเพื่ออ่านข่าว สไนป์เปอร์คือเสื้อแดง โดยละเอียด
---------------------------------
"..มีความชัดเจนว่าผู้ที่มีปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยยังคงอยู่ รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นในรัฐบาลภายใต้คณะรัฐประหารได้ใส่กลไกที่ตีกรอบเพื่อจำกัดความเป็นประชาธิปไตย
ตัวอย่างหนึ่งที่ดีในประเด็นนี้ จะเห็นได้จากที่จำนวนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาไทยมาจากการเลือกตั้ง แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยกลุ่มคนเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น กลไกที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริงเป็นการดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหนึ่งมากกว่าเพื่อคนส่วนใหญ่ของสังคม.."
akecity วิเคราะห์ว่า สิ่งแรกที่ยิ่งลักษณ์พูดไม่หมดก็คือ แม้รัฐธรรมนูญ 2550 จะเกิดจากคณะรัฐประหารสั่งให้มีการร่างขึ้น แต่สุดท้าย รัฐธรรมนูญ2550 ก็เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ผ่านการความเห็นชอบจากประชามติของประชาชนทั้งประเทศ
ไม่เคยมีนักการเมืองคนไหน คิดจะใช้การทำประชามติถามในเรื่องสำคัญต่าง ๆ กับคนทั้งประเทศเลย ทั้ง ๆ ที่ กฎหมายเกี่ยวกับประชามติออกมานานแล้ว
ถ้ากลไกที่เรียกว่าองค์กรอิสระใช้อำนาจเกินขอบเขต ยิ่งลักษณ์หมายถึง ศาลรัฐธรรมนูญ ล่ะก็ ขอบอกว่า ศาลรธน. ไม่ใช่องค์กรอิสระ แต่ศาล รธน. เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจอธิปไตย ที่เรียกว่า อำนาจตุลาการ !!
ซึ่งตรงนี้ยิ่งลักษณืก็พูดโกหก เพราะความจริงแล้ว ศาล รธน. ไม่ได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตเลย โดยเฉพาะในเรื่องมาตรา 68 ที่ ศาล รธน. สามารถรับเรื่องโดยตรงจากประชาชนได้ โดยไม่ต้องผ่านอัยการสูงสุด
แต่พวกนิติราษฎร์และพวกเสื้อแดงอ่านรัฐธรรมนูญไม่แตก แล้วไปหาเรื่องศาล
ส่วนยิ่งลักษณ์น่ะเหรอ สติปัญญาของเธอไม่มีทางรู้และเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับมาตรา 68 แน่นอน
ใครที่ไม่เข้าใจเรื่องมาตรา 68 ผมแนะนำให้อ่านเรื่อง
ความโง่ของนิติราษฎร์ กับการตีความมาตรา68 ตอน 1
ความโง่ของนิติราษฎร์ กับการตีความมาตรา68 ตอน 2
(แต่ถ้าองค์กรอิสระที่ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชน หมายถึง อัยการสูงสุด ล่ะก็ เปีะเลย !!)
-----------------------------
"..ดิฉันขอปิดท้ายด้วยการประกาศว่า ดิฉันหวังว่าความเจ็บปวดที่ครอบครัวของดิฉันได้รับ ที่ครอบครัวของเหยื่อทางการเมืองไทย และครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 91 คนในเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม2553 ต้องเผชิญจะเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายสำหรับประเทศไทย.."
ครอบครัวชินวัตรน่ะเหรอเจ็บปวด โถ ๆ ถ้ามีคนในตระกูลชินวัตร อยู่ใน 91 ศพด้วยก็ว่าไปอย่าง
ประเทศไทยต่างหาก ที่ตกเป็นเหยื่อให้ตระกูลชินวัตรกอบโกย แถมยังสร้างความวุ่นวายและสร้างความแตกแยกให้สังคมไทยมากกว่า
คลิกอ่าน เปิดโปงแผนชั่วปี 53 ของเสื้อแดงแบบฮา ๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)