วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ 7 ที่มีต่อเบียร์สิงห์







ผมเพิ่งได้อ่านบทความทาง astv เกี่ยวกับต้นตระกูลกฤดากร และต้นตระกูลภิรมย์ภักดี จึงได้เห็นถึงส่วนสำคัญอย่างมาก ที่อยากให้ตระกูลภิรมย์ภักดี ควรตระหนักและพึงระลึกไว้เสมอว่า

รัชกาลที่ 7 และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อกิจการของเบียร์สิงห์อย่างไร

ไม่ใช่เอาแต่เห็นแก่ธุรกิจตัวเองเท่านั้น จนลืมนึกถึงการปกป้องชาติและสถาบันกษัตริย์แบบที่นายสันติ ภิรมย์ภักดี ได้แสดงจุดยืน

หรือที่นายเต้ ภิรมย์ภักดีอ้างว่า คุณทวดสั่งไว้ไม่ให้คนในตระกูลภิรมย์ภักดีเล่นการเมือง

พวกคุณไม่รู้เหรอว่า ทักษิณ มันจาบจ้วงและชุบเลี้ยงพวกล้มสถาบันกษัตริย์ไว้มากมาย !!

โดยเฉพาะนายเต้ ภูริต หัดแยกแยะบ้างว่า ประชาชน 5.6ล้านคนบนท้องถนน เขาก็ไม่ได้มาเล่นการเมือง แต่เขาออกมาเพื่อปกป้องชาติให้พ้นจากพวกโกงกิน ออกมาเพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ให้พ้นภัยจากพวกหนักแผ่นดิน เข้าใจไหม ?

เสียดายนะที่นายเต้ เสือกคิดแยกแยะไม่เป็น

-----------------

ต้นตระกูลภิรมย์ภักดี

ต้นสกุลภิรมย์ภักดี คือ บุญรอด เศรษฐบุตร หรือ พระยาภิรมย์ภักดี (พ.ศ.2415-2493) เป็นบุตรของพระภิรมย์ภักดี (ชม เศรษฐบุตร) กับนางมา เศรษฐบุตร เกิดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2415 ที่ย่านจักรวรรดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร


บุญรอด เศรษฐบุตร หรือ พระยาภิรมย์ภักดี (พ.ศ.2415-2493) ต้นสกุลภิรมย์ภักดี


ข้อมูลจาก “ภิรมย์ภักดี...จากตระกูลขุนนางสู่เส้นทางธุรกิจ" โดย วิมล อุดมพงษ์สุข ระบุว่า “นายบุญรอด เศรษฐบุตร มุ่งที่จะเจริญรอยตามบิดาในเส้นทางราชการ ด้วยความเฉลียวฉลาดและใฝ่รู้ทางการศึกษาพระยาภิรมย์ภักดีจึงได้รับคัดเลือกให้เป็นครู

หากแต่เมื่อสอบเข้าเป็นเลขานุการกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน) ได้กลับถูกยับยั้งไม่ให้ออก พระยาภิรมย์ภักดีจึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นครูไปทำงานเป็นเสมียนโต้ตอบจดหมายภาษาอังกฤษที่โรงเลื่อยของห้างกิมเซ่งหลี และห้างเด็นนิมอตแอนด์ดิกซัน การเลือกเส้นทางธุรกิจแทนการรับราชการของคนไทยแท้ๆ อย่างพระยาภิรมย์ภักดี จึงเป็นการแหวกกฎเกณฑ์ค่านิยมของสังคมไทยในยุคนั้น

“ประสบการณ์ ทักษะและความจัดเจนทางธุรกิจได้รับการพัฒนามากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการสะสมทุน พระยาภิรมย์ภักดีจึงตัดสินใจพลิกชีวิตของตนมาเป็นเจ้าของกิจการ จากกิจการค้าไม้ การเดินเรือโดยสาร และริเริ่มความคิดที่จะก่อตั้งโรงงานผลิตเบียร์แห่งแรกขึ้นในประเทศ ในขณะที่มีอายุ 57 ปี”

ทั้งนี้ นายบุญรอด เศรษฐบุตร ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เมื่อตอนจะก่อตั้งโรงเบียร์ โดยมีบันทึกไว้ในสารานุกรมสำหรับเยาวชนไทย โดยระบุไว้โดยสรุปได้ดังนี้

ในปี พ.ศ.2473 พระยาภิรมย์ภักดี ยื่นเรื่องขออนุญาตผลิตเบียร์ต่อกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ซึ่งมีพระยาโกมารกุลมนตรี เป็นเสนาบดี พร้อมทั้งทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตโดยเห็นว่า เบียร์เป็นสินค้าที่ชาวต่างประเทศได้ส่งเข้ามาจำหน่ายในประเทศสยามนานแล้ว ทำให้มีเงินออกนอกประเทศมาก ถ้าสามารถผลิตขึ้นได้เองก็จะป้องกันเงินออกนอกประเทศ และประหยัด รวมทั้งได้ประโยชน์ที่จะสามารถขายได้ราคาถูกกว่า สามารถใช้ปลายข้าวแทนข้าวมอลต์ ทำให้กรรมกรไทยมีงานทำ

ความคิดที่จะผลิตเบียร์ขึ้นเองของพระยาภิรมย์ภักดีนั้น เนื่องมาจากท่านมีกิจการเดินเรือเมล์ระหว่างตลาดพลูกับท่าเรือราชวงศ์โดยใช้ชื่อว่าบริษัท บางหลวง จำกัด ต่อมารัฐบาลได้เริ่มสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าและตัดถนนเชื่อมตลาดพลูและประตูน้ำภาษีเจริญ ทำให้ไม่สามารถเดินเรือได้ จึงต้องหาทางขยับขยายกิจการไปทำกิจการค้าอย่างอื่นเพื่อรองรับ เมื่อศึกษาเห็นว่าเบียร์สามารถผลิตในประเทศเขตร้อนได้ จึงได้เริ่มโครงการที่จะตั้งโรงงานผลิตเบียร์ขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก

เมื่อยื่นเรื่องขออนุญาตต่อกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ มีการพิจารณากันอย่างมาก เนื่องจากรัฐบาลยังไม่เคยมีนโยบายมาก่อน

ระหว่างที่รอการอนุญาตจากทางรัฐบาล พระยาภิรมย์ภักดีได้เดินทางไปเมืองไซ่ง่อน ประเทศอินโดจีน ในปี 2474 เพื่อศึกษาแบบแปลนเครื่องจักร ตลอดจนวิธีผลิตเบียร์

หลังจากรัฐบาลพิจารณาเรื่องการอนุญาตให้ตั้งโรงงานผลิตเบียร์และการเก็บภาษีเบียร์ผ่านไปประมาณ 1 ปี จึงได้อนุญาตให้พระยาภิรมย์ภักดีผลิตเบียร์ได้ แต่ห้ามการผูกขาด และให้คิดภาษีเบียร์ในปีแรกลิตรละ 1 สตางค์ ปีที่สองลิตรละ 3 สตางค์ ปีที่สามลิตรละ 5 สตางค์ ส่วนปีต่อๆ ไปจะพิจารณาตามที่เห็นสมควร

ต่อมาประมาณเดือนพฤษภาคม 2475 กระทรวงมุรธาธร โดยพระองค์เจ้าศุภโยคเกษม ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลละอองธุลีพระบาท ความว่า ได้รับรายงานจากกรมสรรพสามิตว่า

นายลักกับนายเปกคัง ยี่ห้อ “ทีเคียว” ได้ยื่นเรื่องขออนุญาตผลิตเบียร์ขึ้นจำหน่ายในพระราชอาณาเขต โดยรับรองว่า จะผลิตเบียร์ชนิดที่ทำด้วยฮ็อพและมอลต์ชนิดเดียวกับเบียร์ต่างประเทศ โดยจะผลิตประมาณ 10,000 เฮกโตลิตรต่อปี

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชกระแสว่า...

“เป็นเรื่องแย่งกับพระยาภิรมย์ และถ้าให้ทำก็คงทำสำเร็จก่อนพระยาภิรมย์ภักดี เพราะฉะนั้นคนที่เริ่มคิดก่อนและเป็นพ่อค้าไทยกลับจะต้องฉิบหายและทำไม่สำเร็จ”

ทรงเห็นว่าไม่ควรอนุญาต

“พระยาภิรมย์ขอทำก่อน ได้อนุญาตไปแล้ว เวลานี้ยังไม่ควรอนุญาตให้ใครทำอีกเพราะจะมีผล 2 อย่าง คือ 1. คนไทยกินเบียร์กันท้องแตกตายหมดเพราะจะแย่งกันขายลดราคาแข่งกัน 2. คงมีใครฉิบหายคนหนึ่ง ถ้าหากไม่ฉิบหายกันหลายคน”

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้กราบบังคมทูลสนับสนุนว่า “ไม่ควรอนุญาตให้ผลิตในเวลานี้ ควรรอดูว่า พระยาภิรมย์จะทำสำเร็จหรือไม่ และคอยสังเกตเรื่องการบริโภคก่อน นอกจากนั้นผู้ขออนุญาตรายนี้เป็นคนต่างด้าว จึงสามารถที่จะอ้างได้ว่า ต้องอุดหนุนคนไทยและอุตสาหกรรมที่มีทุนไทยก่อน” 

รัชกาลที่ 7 จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังตอบว่า

“ยังไม่ให้อนุญาต รัฐบาลได้อนุญาตไปรายหนึ่งแล้ว ต้องรอดูก่อนว่าจะได้ผลอย่างไร เพราะเรื่องนี้สำคัญสำหรับความสุขของราษฎร และฝ่ายพระยาภิรมย์จะใช้ข้าว และผลพลอยได้ (Byproduct) ของข้าวด้วยฝ่ายรายที่ขออนุญาตใหม่ไม่ใช้ข้าวเลย”

มีข้อที่น่าสังเกตที่พระยาวิษณุบันทึกไว้ว่า

1. ที่จะอนุญาตให้พระยาภิรมย์นั้น ดูมีพระราชประสงค์จะอุดหนุนการตั้งโรงงานของไทย
2. อัตราภาษี รายพระยาภิรมย์ภักดีนั้นเป็นทำนองรัฐบาลให้เป็นพิเศษแก่ผู้เริ่มคิด ให้ได้ตั้งต้นได้โดยใช้อัตราทั่วไป
3. รายใหม่นี้ในเงื่อนไขไม่ได้กำหนดภาษีลงไป แต่คลังรายงานเป็นทำนองว่า จะเก็บภาษีอัตราเดียวกับที่จะเก็บจากพระยาภิรมย์
4. แม้ตกลงไม่ให้โมโนโปลี (Monopoly) แก่พระยาภิรมย์ภักดี แต่ก็เคยมีพระราชดำริอยู่ว่าชั้นนี้ควรอนุญาตให้พระยาภิรมย์ทำคนเดียวก่อน ถ้าให้หลายคนก็เป็น อิคอนอมิก ซูอิไซด์ (Economic suicide)



โฆษณาเบียร์ตราว่าวปักเป้า และตราสิงห์ พ.ศ.2479

เบียร์ไทยที่ผลิตออกมาครั้งแรกในปี 2477 นั้นได้นำไปทดลองดื่มกันในงานสโมสรคณะราษฎรเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2477 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทรงเปิดป้ายบริษัทเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2477 เบียร์รุ่นแรกที่ผลิตออกมาและวางจำหน่ายในราคาขวดละ 32 สตางค์นั้นมีเครื่องหมายการค้าอยู่หลายตรา รวมทั้งตราสิงห์

ความเติบโตทางธุรกิจมาจนถึงรุ่นเหลนพระยาภิรมย์ภักดีในวันนี้ ในมุมมองของจึงแยกไม่ออกจากพระมหากรุณาธิคุณในสถาบันพระมหากษัตริย์ในอดีตแต่อย่างใด


----------------

ทายาทรุ่นที่ 3 แห่งภิรมย์ภักดี

สำหรับ นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี บิดาของ “ตั๊น จิตภัสร์” ก็ถือว่าเป็นหลาน “พระยาภิรมย์ภักดี” และถือเป็น “สิงห์” รุ่นที่ 3 โดยนายจุตินันท์เป็นบุตรของ นายจำนงค์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และคุณหญิงสุภัจฉรี ภิรมย์ภักดี


ขณะที่นายใหญ่แห่งสิงห์ คอร์เปอเรชั่น คนปัจจุบัน นายสันติ ภิรมย์ภักดี นั้นเป็นบุตรชายของ นายประจวบ ภิรมย์ภักดี บุตรคนที่ 2 ของ “พระยาภิรมย์ภักดี” โดยนายประจวบถือเป็นหัวใหญ่ของบุญรอดในรุ่นที่ 2 ร่วมกับ วิทย์ และจำนงค์

โดยนายประจวบ ภิรมย์ภักดี ได้มีโอกาสไปเรียนวิชาผลิตเบียร์ที่มิวนิก ประเทศเยอรมนี จนสำเร็จเป็นบริวมาสเตอร์คนแรกของเมืองไทย

ซึ่งเมื่อพระยาภิรมย์ภักดีเสียชีวิตในปี พ.ศ.2493 ประจวบได้ขึ้นมารับตำแหน่งประธานบริษัท โดยมีวิทย์เป็นรองประธาน รับผิดชอบทางด้านการตลาด ส่วนจำนงค์เป็นกรรมการ รับผิดชอบด้านบัญชี

ขณะที่ทายาทสิงห์รุ่นที่ 3 ประกอบไปด้วย ปิยะ ภิรมย์ภักดี บุตรชายคนโตของประจวบซึ่งจบการศึกษาเรื่องเบียร์มาจากที่เดียวกับบิดา และได้ชื่อว่าเป็นบริวมาสเตอร์คนที่ 2 ของประเทศไทย และ นายสันติ ภิรมย์ภักดี บุตรชายคนรอง

ส่วนสาย วิทย์ ภิรมย์ภักดี มีบุตรชาย 2 คน คือ วุฒา และ วาปี ภิรมย์ภักดี ขณะที่ จำนงค์ ภิรมย์ภักดี มีบุตรชายเพียงคนเดียว คือ จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี บิดาของ “ตั๊น จิตภัสร์”

ข้อมูลจาก http://astv.mobi/AzuzLl9



ผู้ชายที่นั่งบนเก้าอี้ซ้ายสุดคือ นายสันติ ภิรมย์ภักดี คนต่อมาคือ นายปิยะ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัทบุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด

-----------------------

สรุปส่งท้าย

จะเห็นได้ว่า รัชกาลที่ 7 ได้ทรงช่วยปกป้องกิจการของคนไทยรายแรกที่บุกเบิกกิจการเบียร์ โดยพระองค์ทรงไม่มีพระบรมราชานุญาตให้ยี่ห้อเบียร์จากต่างชาติมาผลิตแข่งในไทยในช่วงแรก เพื่อต้องการให้กิจการเบียร์ของคนไทยไปรอด

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่7 ที่มีต่อตระกูลภิรมย์ภักดี และกิจการเบียร์สิงห์อย่างมาก

การที่มีทายาทรุ่นที่ 4 ออกมาปกป้องชาติและสถาบันกษัตริย์อย่างคุณตั๊น จิตภัสร์ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างมาก แต่นายสันติ ภิรมย์ภักดีและลูกชายคนโตของเขากลับไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้

เกรงว่า ถ้าวิญญาณของพระยาภิรมย์ภักดี รับทราบเรื่องนี้ ท่านอาจจะบอกนายสันติ และลูกชายว่า

"วิญญาณปู่ภิรมย์ภักดี จะร้องว่า กูมีลูกหลานจั...?."


คลิกอ่าน เต้ ภิรมย์ภักดี ตอกย้ำว่าเป็นพวกเดียวกับลูกหลานทักษิณ


วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เมื่อจิตภัสร์ ละทิ้ง ภิรมย์ภักดี






ผมเขียนบทความเกี่ยวกับการที่นายสันติ ภิรมย์ภักดี มีจดหมายเตือนนายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี พ่อของคุณตั๊น จิตภัสร์ กรณีที่นายสันติไม่พอใจที่คุณตั๊น จิตภัสร์ หลานสาว ไปแสดงออกทางการเมืองบนท้องถนนร่วมกับผู้ชุมนุม กปปส. มาแล้ว 2 บทความก่อนหน้านี้

ล่าสุดนายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ได้ทำจดหมายขอโทษแทนลูกสาว ที่ลูกสาวเคยเอ่ยถึงว่า คนชนบทไม่เข้าใจประชาธิปไตย


"เรียน ท่านสื่อมวลชน

ตามที่ น.ส.จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี ลูกสาวของผม ได้แสดงความคิดเห็นผ่านทางหนังสือพิมพ์ต่างประเทศฉบับหนึ่ง และถูกแปลผ่านสื่อต่างๆ ว่า "คนชนบทไม่มีความรู้ ความเข้าใจประชาธิปไตย" จนสร้างความไม่พอใจให้กับคนจำนวนมาก ผมตระหนักดีว่าคนไทยทุกคนมีสิทธิและเสรภาพเท่าเทียมกัน และควรเคารพความคิดเห็นของกันและกัน คำพูดดังกล่าวนั้นจึงถือว่าไม่เหมาะสม


ผมนายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี บิดาของ น.ส.จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี จึงขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่ง และขอโทษมา ณ โอกาสนี้


ผมในฐานนะพ่อได้พูดคุยกับลูกสาวหลายครั้งเรื่องการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่ก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันหลายเรื่อง อย่างไรก็ตาม น.ส.จิตภัสร์ ยังต้องการที่จะทำงานการเมืองต่อไป ผมและภรรยา รวมถึง น.ส.จิตภัสร์ ได้พูดคุยกันมาระยะหนึ่งก่อนหน้านี้แล้ว และเห็นควรที่จะเปลี่ยนนามสกุล


จึงเรียนแจ้งผ่านทางท่านสื่อมวลชน


ขอแสดงความนับถือ


จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี"






---------------------------

เมื่อ ภิรมย์ภักดี ไม่มีค่ามากพอสำหรับอุดมการณ์

เมื่อนายสันติ ภิรมย์ภักดี ห่วงว่าสินค้าน้ำเมาในเครือบุญรอดจะได้รับผลกระทบเพราะการแสดงออกทางการเมืองและคำพูดของหลานสาว

ซึ่งนายสันติ ก็คงคาดไม่ถึงเช่นกันว่า คุณตั๊น จิตภัสร์ จะถึงขนาดตัดสินใจละทิ้งนามสกุลภิรมย์ภักดี เพื่อสานต่ออุดมการณ์ทางการเมืองของเธอต่อไป โดยจะไปใช้นามสกุลของแม่ของเธอแทน

ผมขอเรียกว่า "นี่คือการละทิ้งภิรมย์ภักดีโดยคุณจิตภัสร์" (ไม่ใช่ภิรมย์ภักดีละทิ้งคุณจิตภัสร์)


ก็ในเมื่อตระกูลภิรมย์ภักดี ไม่มีคุณค่ามากพอ ไม่มีอุดมการณ์สูงพอเพื่อปกป้องชาติ บ้านเมืองจากคนชั่วคอรัปชั่น และกระทำหมิ่นสถาบันกษัตริย์หลายต่อหลายครั้งของทักษิณ

ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ที่คุณจิตภัสร์ต้องไปภูมิใจที่จะใช้นามสกุลภิรมย์ภักดีต่อไป

เพราะจิตภัสร์ ได้สูงส่งกว่า ภิรมย์ภักดี ในยุคที่มีแต่อุดมการณ์พ่อค้าหน้าเงินเท่านั้น

ภิรมย์ภักดี คือตระกูลที่แตกหน่อมาจากตระกูลเศรษฐบุตร

อุดมการณ์ประจำตระกูลเศรษฐบุตร คือปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตอบแทนคุณแผ่นดิน ที่ได้ให้พ่อค้าจีนที่เป็นต้นตระกูลนี้ได้ทำมาค้าขายเติบโตร่ำรวยบนแผ่นดินทองผืนนี้

แต่อุดมการณ์ประจำตระกูลคงลางเลือนไปแล้ว เมื่อตระกูลภิรมย์ภักดีอยู่ในยุคนายสันติ ภิรมย์ภักดีและลูกชายทั้งสองคน ที่เห็นแก่ผลประโยชน์ธุรกิจมากกว่าปกป้องคุณธรรมและสถาบันกษัตริย์ไปแล้ว


--------------------

คุณตั๊น พลาดตรงที่ไม่ได้แยกคำว่าคนชนบทให้ชัดเจน

ซึ่งผมเชื่อว่า คุณจิตภัสร์ ไม่ได้มีเจตนาดูถูกคนชนบททั้งหมดแน่นอน เพราะเธอก็ได้ชี้แจงเรื่องนี้ไปแล้วในเฟสบุ้คของเธอ

งั้นผมเลยขออธิบายแยกแยะคำว่าชนบท แทนให้ว่า จริง ๆ แล้ว

คนชนบทฉลาดมาก แต่ยกเว้นพวกเสื้อแดง

จบป่ะ !!


คลิกอ่าน จิตภัสร์ กับประเด็นดูถูกคนชนบท


วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สันติ ภิรมย์ภักดี ยอมรับเคยส่งจดหมายเตือนพ่อตั๊นจริง ๆ







หลังจากมีจดหมายหลุดของนายสันติ ภิรมย์ภักดี บิ๊กบอสแห่งบริษัทบุญรอดฯ ได้ส่งไปเตือนนายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี พ่อของคุณตั๊น กรณีคุณตั๊น ไปร่วมชุมนุมกับม็อบ กปปส. ออกมาจนเป็นข่าว

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!



ล่าสุด นายสันติ ได้ออกมายอมรับว่า เคยส่งจดหมายไปเตือนจริง ตามข่าวมติชนลงไว้ตามนี้

รายงานข่าวจากผู้บริหารบริษัทบุญรอดฯ ว่า ช่วงเช้าวันที่ 20 ธ.ค. นายสันติ ภิรมย์ภักดี ผู้บริหารใหญ่ได้ร่วมประชุมส่งท้ายปีกับพนักงานในบริษัทในเครือบุญรอด และมีช่วงหนึ่งกล่าวถึงข่าวการส่งจดหมายเตือนอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรไปถึงนายจุตินันท์ บิดาของตั๊น จิตภัสร์ โดยนายสันติระบุว่า

"เป็นการส่งจดหมายเตือนไปจริง โดยเฉพาะหลังจากที่น.ส.จิตภัสร์ไปให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอเอฟพีตอนหนึ่งว่า คนไทยขาดความเข้าใจประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยเฉพาะในชนบท ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัท ดังนั้นในฐานะซีอีโอจึงต้องออกมาปกป้องบริษัท เพราะมีคนบางส่วนนำไปตีความผิดๆ หรือสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ขณะที่จุดยืนของบ.บุญรอดฯ และสิงห์ คอร์เปอเรชั่น นั้นสำนึกในบุญคุณของประชาชนทั่วประเทศที่ให้การอุดหนุนผลิตภัณฑ์ บริษัทเติบโตขึ้นมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงในชนบทให้การสนับสนุน"



ที่แท้คุณสันติ อ้างเกรงใจคนชนบท โถ ๆ

คนชนบทฉลาด ๆ มีมากมายที่ไม่ชอบระบอบทักษิณ สู้บอกตรง ๆ ไปเลยดีกว่ามั้ง ว่ากลัวเสื้อแดงมันเผา !!

และเรื่องจะตักเตือนญาติพี่น้อง แถมเป็นระดับผู้บริหารเหมือนกัร ก็น่าจะเตือนในทางลับ

แต่นายสันติ กลับเลือกทำจดหมายเตือน แบบนี้ยิ่งเท่ากับต้องการให้มันมีหลักฐาน และต้องการเอาเรื่องอย่างเป็นทางการ

---------------------

กรณีเต้ ภิรมย์ภักดี ถ่ายรูปกับทักษิณ



หลังจากมีรูปลูกชายคนโตของนายสันติ ภิรมย์ภักดี หรือนายภูริต ภิรมย์ภักดี ได้ถ่ายรูปกับทักษิณนั้น

ต่อมานายเต้ ได้โพสตอบในอินสตาแกรมว่า

"เราก็แค่ทำหน้าที่ของเรา คือ พ่อค้า"




และนายเต้ ก็ยังได้โพสรูป ฉันคือประชาชนของพระราชา ตามนี้



แม้นายเต้ จะพยายามโพสรูปเพื่อแสดงจุดยืนว่า เขาคือประชาชนของในหลวงก็ตาม

แต่ว่ามันสายไปหน่อย เพราะเขาเสียคนที่เคยรู้สึกดีๆ และชื่นชมเขาไปแล้วจำนวนมากมาย ความรู้สึกของพวกเขาเหล่านั้นก็เหมือนแก้วที่มันร้าวไปแล้วนั่นเอง

ผมเองก็เคยชอบเพลงของเขา แต่วันนี้คงเลิกชอบแล้วล่ะ

แล้วยิ่งตอบว่า "เราแค่ทำหน้าที่ของเราคือ พ่อค้า" ก็ยิ่งไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย สู้อยู่เฉย ๆ ไปเลยยังดีกว่า

มีหลายคนบอกว่า ก็มันสิทธิเสรีภาพส่วนตัวของเขา ที่จะถ่ายรูปกับใครก็ได้

ผมขอตอบว่า ถ้าเป็นสิทธิส่วนตัว ก็ควรเก็บรูปไว้ดูเป็นการส่วนตัว แต่รูปนี้ถูกเผยแพร่ในที่สาธาณะแล้ว จึงมีสิทธิถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะคุณเต้ ก็เป็นบุคคลสาธารณะไปแล้ว

และรูปถ่ายนี้ถ่ายที่สิงคโปร์ ในงานแข่งขันเอฟวัน

----------------------

หลังจากโดนทั้งปาระเบิดบ้าน และโดนผู้ใหญ่ในตระกูลตำหนิ

ส่วน "ตั๊น- จิตภัสร์" จึงได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ในเมื่อเราได้เลือกข้างแล้ว ขอให้เชื่อมั่นและยึดมั่นในอุดมการณ์ อย่ากลัวที่จะสู้ในสิ่งที่ถูกต้อง ตั๊นขอทำหน้าที่ของวันนี้ให้ดีที่สุด จะสู้เคียงข้างพี่น้องประชาชน.. ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆ หัวใจรักชาติค่ะ เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"

ซึ่งเป็นการยืนยันคำพูดของเธอที่ขึ้นเวทีที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยช่วงคืนวันที่19ธ.ค.






---------------------

ช่วงนี้ คุณจุตินันท์ หายไปไหน ?

ส่วนคุณพ่อของตั๊น คุณจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์กับลูกสาวของเขา

ช่วงนี้คุณจุตินันท์ เขาไปทำหน้าที่ในฐานะนายกสมาคมคาราเต้โด้ ที่ซีเกมส์ พม่า ครับ


ร่วมแสดงความยินดีกับเหรียญทองประวัติศาสตร์ เหรียญทองคาราเต้โด้ซีเกมส์ประเภททีมชายเหรียญแรกของไทย โดยมีนายกสมาคมคาราเต้โด้ คุณจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี พ่อคุณตั๊น จิตภัสต์ ดีใจแบบสุด ๆ ครับ /@akecity

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


สรุปข่าวเหรียญทอง และข่าวเหรียญทองคาราเต้โด้ประเภททีมชาย




คลิกอ่าน เมื่อจิตภัสร์ ละทิ้ง ภิรมย์ภักดี


วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เมื่อสันติ ภิรมย์ภักดีทำภาพลักษณ์ดี ๆ ของตระกูลเสียหาย






เสียดายที่อุตส่าห์ชื่นชมว่าคนในตระกูลภิรมย์ภักดีรักชาติ รักแผ่นดิน รักในหลวง กล้าหาญทุกคน

เพราะสาเหตุที่ คุณตั๊น จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี ออกลุยเพื่อต่อต้านระบอบทักษิณ ทำให้ใคร ๆ ก็ต่างชื่นชมเธอ และก็พากันเข้าใจว่า คนอื่น ๆ ในตระกูลภิรมย์ภักดีก็คงกล้าหาญเช่นนี้เหมือนกัน

หรืออย่าง คุณแม่ของคุณตั๊น ภิรมย์ภักดี หม่อมหลวงปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี ก็คือผู้แสดงเป็นพระนางสุริโยทัย ภาพยนตร์ของท่านชายมุ้ยอันโด่งดัง ซึ่งเสมือนแสดงเป็นตัวแทนหญิงไทยทั้งประเทศว่า ผู้หญิงไทยรักชาติบ้านเมือง รักแผ่นดิน มาแต่โบราณ


จุตินันท์-พ่อ มล.ปิยาภัสน์-แม่ จิตภัสร่-ลูก


เมื่อผู้เป็นแม่เคยแสดงเป็นพระนางสมเด็จสุริโยทัยไปแล้ว ส่วนผู้เป็นลูกก็ได้มีบทบาทปกป้องชาติ และสถาบันเช่นกัน

แม่ก็งาม ลูกสาวก็สวยและกล้าหาญ

แถมที่สำคัญคุณพ่อของคุณตั๊น ก็ถือเป็นผู้เสียสละในวงการกีฬาไทยคนนึง เพราะคุณจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี เป็นประธานมูลนิธิพาราลิมปิกไทย และยังเป็นนายกสมาคมคาราเต้โด้ อีกด้วย ซึ่งทั้งสองประเภทกีฬานี้ ก็ไม่ได้เป็นกีฬาที่คนไทยนิยมดูเท่าไหร่ ต้องคนเสียสละเท่านั้นจึงจะมารับภาระในสมาคมนี้

แถมล่าสุดการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองของคุณตั๊น จิตภัสร์นั้น กลับทำให้เธอถูกคุกคาม เพราะเมื่อเช้าวันที่ 19 ธ.ค.56 ที่ผ่านมา ได้มีคนร้ายปาระเบิดเพลิงเข้าบ้านของเธอ ทำให้รถตู้โฟล์คสวาเกน ที่เธอใช้ประจำเสียหาย


สภาพรถตู้ของคุณจิตภัสต์ เสียหายจากการถูกปาระเบิดเพลิง

ผู้หญิงสวย ๆ ใจกล้าหาญ เสียสละ อย่างคุณตั๊น จิตภัสร์ได้ทำให้ตระกูลภิรมย์ภักดีดูดีขึ้นอย่างมากในสังคม

หรือแม้กระทั่งนุ่น วรนุช ดารนักแสดงที่เป็นลูกสะใภ้ตระกูลภิรมย์ภักดีก็เพิ่งจะแสดงละครเรื่องทองเนื้อเก้า ของคุณอ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ดารารักชาติรักสถาบันกษัตริย์ ไปหมาด ๆ

ผู้หญิงในตระกูลภิรมย์ภักดี ไม่ว่าจะสะใภ้ศรีสุริโยทัย ไปจนถึงสะใภ้ลำยองอย่างนุ่น ก็มีส่วนช่วยทำให้ตระกูลภิรมย์ภักดีในช่วงนี้มีภาพลักษณ์ที่ดีมาก

แต่แล้วจู่ ๆ นายใหญ่แห่งสิงห์คอเปอเรชั่น คือนายสันติ ภิรมย์ภักดี ก็กลับมาทำให้ภาพลักษณ์ดี ๆ ที่ผ่านมาของตระกูลภิรมย์ภักดีเสียหายลงไปอย่างไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ

เพราะนายสันติ พ่อสามีของนุ่น วรนุช ได้ทำหนังสือเตือนคุณตั๊น จิตภัสต์ ผ่านมาทางคุณพ่อของคุณตั๊น เตือนว่าไม่อยากให้คุณตั๊น จิตภัสต์ไปร่วมชุมนุมทางการเมือง เพราะมีผลกระทบต่อบริษัท !!

เฮ่อ.. นายสันติ ภิรมย์ภักดี เสียคนตอนแก่จริง ๆ



ขอบคุณรูปจากastv

**ล่าสุด มีการแชร์ในเฟสบุ้คว่า อาจเป็นจดหมายปลอม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงต้องรอให้คุณสันติ หรือตัวแทนออกมาแถลงแล้วกัน

ซึ่งถ้าเป็นการปลอมเอกสาร คนปลอมก็มีสิทธิโดนข้อหาปลอมแปลงเอกสารครับ

แต่ถ้าไม่รีบออกมาแถลง หรือไม่แถลงเลย ก็แสดงว่า จม.ของแท้ชัวร์


เมื่อเต้ ภิรมย์ภักดีลูกชายคนโตของสันติ ถ่ายรูปกับเอมและสามีและทักษิณ


หลังจากรูปด้านบนปรากฏไปทั่ว จนมีคนด่านายเต้ ภิรมย์ภักดีว่า ไปถ่ายรูปกับคนชั่วอย่างทักษิณทำไม

ซึ่งต่อมานายเต้ ภิรมย์ภักดี ก็ออกมาโพสข้อความว่า "เราแค่ทำหน้าที่ของเรา คือพ่อค้า"


คลิกอ่าน สันติ ภิรมย์ภักดี ยอมรับเคยส่งจดหมายเตือนพ่อตั๊นจริง ๆ