วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ความเห็นโดนใจของ นิติพงษ์ ห่อนาค









พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค นักแต่งเพลงอันดับ 1 ของเมืองไทย

เพลงดัง ๆ ของพี่ดี้ นั้นเป็นเพลงที่ทันสมัยแต่คงความเป็นอมตะตลอดกาล มากมายหลายเพลง

โดยเฉพาะเพลงของพี่ดี้ที่ผมจัดให้เป็นอันดับ 1 ตลอดกาลในใจผม ก็เพลงนี้เลยครับ

"หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ"



ผมขอขอบคุณพี่ดี้มาก ๆ ที่แต่งเพลงนี้ขึ้นมาบนโลก

ถ้าผมได้เจอพี่ดี้ตัวจริงนะ ให้ผมกราบพี่ดี้ยังได้เลยครับ เพราะผมรักเพลงนี้จริง ๆ

---------------

หลายคนอาจรู้จักพี่ดี้ ในสมัยเป็นนักร้องวงเฉลียง หลายคนอาจรู้จักพี่ดี้ เมื่อมาเป็นนักแต่งเพลงและผู้บริหารแกรมมีแล้ว

แต่ผมรู้จักพี่ดี้ (แบบที่ประชาชนรู้จักดารา) ตั้งแต่เมื่อพี่ดี้เล่นละครซิทคอมเรื่อง นายแพทย์สนุกสนาน ของบริษัทเจเอสแอล เมื่อปี พ.ศ. 2526

ซึ่งเป็นละครตอนเที่ยงในวันเสาร์ ช่อง 5 ซึ่งพี่ดี้ เล่นเป็น นักการภารโรงประจำโรงพยาบาล ที่ชื่อ น้าอ่ำ !!

ซึ่งพี่ดี้เล่นได้เนียนมาก ๆ ตอนเด็ก ๆ ผมเชื่อสนิทเลยนะว่า พี่ดี้แกอายุประมาณ50 กว่า ๆจริง ๆ บุคลิกพี่ดี้ชั่งสมเป็นภารโรงมาก ๆ เรียกว่า ตีบทภารโรงแตกกระจุย 555

แต่ที่ไหนได้ นี่เด็กสถาปัตย์ จุฬาฯ เลยนะเนี่ย ซึ่งละครเรื่องนี้ก็มีคุณปัญญา นิรันดร์กุล แสดงเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลเช่นกัน

------------

ก่อนหน้านี้ บริษัทแกรมมี่ของอากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม มักโดนโจมตีว่า เป็นพรรคพวกในระบอบทักษิณ

ด้วยความที่สนิทสนมกับทักษิณของเจ้าของบริษัทแกรมมี่ เลยทำให้พี่ดี้ นิติพงษ์เลย ถูกมองว่า เป็นพวกทักษิณไปด้วยกลาย ๆ

เพราะพี่ดี้ ยังไม่เคยแสดงความเห็นปกป้องในหลวงจากพวกล้มเจ้าที่แฝงอยู่ในระบอบทักษิณเลย ทั้ง ๆ ที่พี่ดี้แต่งเพลงให้ในหลวงเพราะ ๆ ตั้งหลายเพลง

จนเกิดคำถามว่า พี่ดี้จงรักภักดีจริงหรือ ?
ทำไมไม่เคยเห็นพี่ดี้ออกมาปกป้องในหลวงเลย ?
แค่แต่งเพลงให้ในหลวง แต่ไม่ร่วมกันปกป้องในหลวง นี่ไม่น่าใช่จงรักภักดีนะ


แต่แล้วในที่สุด 2 ธันวาคม 2556 ต้องถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของชีวิตพี่ดี้เลยก็ว่าได้

เพราะพี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค ได้เชื่อ 100 % แล้วว่า ระบอบทักษิณเป็นพวกล้มเจ้า






นับตั้งแต่นั้นมา พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค ก็ได้โพสข้อความอีกมากมายเพื่อปกป้องสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทยทุกคน (อ้อ ใครมันไม่รัก มันก็แค่พวกกาฝากบนแผ่นดินไทย)


และมีสิ่งหนึ่งที่พวกล้มเจ้ามักหยิบมาโจมตีคนไทย ก็ยังมีเรื่อง วัฒนธรรมการกราบไหว้ของคนไทย ทำให้พี่ดี้จึงต้องโพสเรื่องนี้บ้าง






ซึ่งพวกล้มเจ้า ก็จะมีพวกนักวิชาการล้มเจ้าเป็นแกนนำแนวคิดเลว ๆ

พี่ดี้ ก็เลยโพสสั่งสอนพวกนักวิชาการเลว ๆ พวกนั้นได้อย่างสะใจ ตามนี้




สำหรับผม พี่ดี้ เป็นชนชั้นสูงแล้วครับ แต่สูงด้วยความคิด สูงด้วยจิตวิญญาณความเป็นไทย

พี่ดี้ ถือเป็นบุคคลที่มีเกียรติ สมควรได้รับการเชิดชูยกย่อง

ผมจึงอยากจะเรียกพี่ดี้ว่า ฯพณฯ ท่าน นิติพงษ์ ห่อนาค จริง ๆ เลยครับ

-----------

หลักการใช้ ฯพณฯ 

โดย ศ. ดร.กาญจนา นาคสกุล

คำว่า ฯพณฯ ออกเสียงว่า พะ-นะ-ท่าน. 

แต่โบราณใช้ว่า พณหัวเจ้า หรือ พณหัวเจ้าท่าน, เป็นคำยกย่องที่ใช้เป็นคำนำหน้าชื่อผู้ใหญ่

เช่น เมื่อเอ่ยชื่อหรือตำแหน่งเอกอัครราชทูต หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่.

คำนี้ ได้มีหนังสือเวียนของกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นว.๑๘๒/๒๔๘๗ ลงวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ.๒๔๘๗ แจ้งทุกกระทรวงให้ทราบว่า คณะรัฐมนตรีให้ยกเลิกการใช้คำว่า "ฯพณฯ"

และต่อมาได้มีหนังสือเวียน ที่ นว. ๑๐๘/๒๔๘๘ แจ้งรัฐมนตรีทุกกระทรวงอีกครั้งหนึ่งให้เลิกใช้คำว่า "ฯพณฯ" เว้นแต่ในกรณีพิเศษอันเกี่ยวกับต่างประเทศเท่านั้น.

แม้ว่าจะได้มีประกาศเลิกใช้แล้วถึง ๒ ครั้ง แต่คนทั่วไปก็ยังนิยมใช้คำว่า ฯพณฯ กันอยู่.

ผู้เขียน ศ. ดร.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต สำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสถาน






วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โค้ชพิทักษ์ ตัวอย่างเนื้อเน่าน่ารังเกียจในวงการเทควันโด






โค้ชพิทักษ์ โค้ชเทควันโดของก้อยรุงระวี คน ๆ นี้ ชั่งหน้าด้านหน้าทนได้อย่างเหลือเชื่อ เพราะปากก็พูดว่า ไม่ขอเกี่ยวข้องอีก แต่กลับเป็นข่าวได้ทุกวัน

อย่างเช่น ข่าวเมื่อวันที่ 23 ก.ค. 57 โค้ชพิทักษ์ บอกว่า จะไม่ขอยุ่งเรื่องนี้อีกตามข่าวนี้

“โค้ชทักษ์” พอใจก้อยขอโทษโค้ชเช ลั่น! ไม่ขอยุ่งอีก




“โค้ชทักษ์” นายพิทักษ์ ผูกพัน อดีตผู้ฝึกสอนกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย เปิดเผยว่า ตนเองเห็นด้วยกับการที่น้องก้อยจะเดินทางไปขอโทษโค้ชเช หากจะทำให้เรื่องดังกล่าวยุติลงได้ พร้อมยืนยันว่า ตนเองจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอีกต่อไป

“ผมรอให้ทาง สมาคมฯ ออกมาแถลงข่าวอย่างเป็นทางการนานเเล้ว เพราะมันจะทำให้ทุกฝ่ายทราบรายละเอียดของเหตุการณ์ดังกล่าวมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาทั้งตัวเอง และน้องก้อย ได้กลายเป็นจำเลยของสังคมตลอดมา ถึงแม้ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าฝ่ายไหนผิด แต่ตลอดเวลาที่มีปัญหาผมได้ให้คำแนะนำกับก้อยตลอด เพราะว่าเด็กไม่สามารถไปปรึกษาใครได้ และหากการที่ก้อยออกมาขอโทษโค้ช แล้วจะช่วยทำให้สถานการ์ณทุกอย่างดีขึ้น ก็คงเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะตัวนักกีฬาเองก็ยังมีความประสงค์ที่จะเล่นทีมชาติต่อไป”

พร้อมกันนี้ “โค้ชทักษ์” ยังยืนยันว่า ตนเองไม่เคยมีเจตนาที่จะออกมาโจมตี “โค้ชเช” และสมาคมฯ ตามที่หลายฝ่ายเข้าใจแต่อย่างใด ตนเองแค่ออกมาพูดในมุมมองส่วนตัวเท่านั้น ส่วนหลักฐานบางอย่างที่มอบให้กับสื่อมวลชน และถูกนำมาเสนอเป็นข่าวดังในเวลานี้ ตนเองทำไปเพราะรู้สึกโมโหที่ถูกโจมตีอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา แต่ไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ โดยหลังจากนี้จะไม่ขอพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอีกต่อไปแล้ว

ที่มา http://astv.mobi/Azu14pg


--------------

ต่อมา ข่าวในวันที่ 24 ก.ค. ก็เริ่มที่ข่าว คาสซานดรา นักเทควันโดสาว ที่ถูกโค้ชพิทักษ์ เอาบทสนทนาในไลน์ไปเปิดเผยแก่สื่อว่า เธอไม่โกรธที่โค้ชทักษ์ เอาไลน์ที่คุยกับตนเองไปเปิดเผย แต่ขออย่าทำแบบนี้กับใครอีก

“คาสซานดรา” ไม่โกรธถูกแฉไลน์ ยันไร้ปัญหา “โค้ชเช”



คาสซานดรา ฮาลเลอร์ เทควันโดเหรียญทองซีเกมส์ 2013 เผยไม่ติดใจเอาความ “โค้ชทักษ์” พิทักษ์ ผูกพัน ที่ปล่อยให้การสนทนาส่วนตัวหลุด วอนขอให้เกิดกับตนเองเป็นกรณีสุดท้าย ยันความสัมพันธ์กับ “โค้ชเช” เช ยอง ซอก หัวหน้าผู้ฝึกสอนจอมเตะทีมชาติไทยยังเหมือนเดิม

“โค้ชทักษ์” ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าขอโทษ คาสซานดรา ในกรณีที่ปล่อยให้การสนทนาส่วนตัวหลุดออกไป พร้อมจวกสื่อที่รับปากว่าจะช่วยปิดบังชื่อเจ้าตัวให้แต่สุดท้ายก็ไม่ทำตามสัญญา

“คาสซานดรา ผมได้ขอโทษเค้าไปแล้ว แต่เค้าคงจะโกรธและไม่คุยกับผมอีก ทั้งที่ความจริงผมเพียงแต่ต้องการนำหลักฐานให้สื่อดู เพื่อที่จะได้ทราบความจริง ซึ่งสื่อที่นำภาพไปก็รับปากว่าจะช่วยปิดบังชื่อของดราให้ แต่ในเมื่อผลออกมาเป็นแบบนี้ผมก็ยอมรับว่าผิดที่ไปไว้ใจคนอื่น และหลังจากนี้ไม่ว่าใครจะมีปัญหาเกี่ยวเรื่องนี้อีก ผมก็จะไมให้ความช่วยเหลือใคร จนผลมันย้อนกลับมาทำร้ายตนเองอีกแล้ว”  โค้ชทักษ์เผย

ทีมข่าว MGRsport ได้สอบถามไปยัง คาสซานดรา ว่ารู้สึกอย่างไรที่ถูกปล่อยบทสนทนาออกไป

ซึ่งจอมเตะสาวลูกครึ่งไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดเผยว่าไม่ได้ติดใจถือโทษ “โค้ชทักษ์” แต่อย่างใด แต่ขอให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตนเป็นคนสุดท้าย

“ไม่ได้ติดใจอะไรค่ะ ที่จริงโค้ชทักษ์ไม่จำเป็นต้องขอโทษ เนื่องจากเหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว และตนเองก็ไม่ได้โกรธ อย่างไรก็ตาม อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตนเป็นคนสุดท้าย อย่าให้ใครประสบพบเจอคาสซานดรา กล่าว

ส่วนความสัมพันธ์กับ “โค้ชเช” เช ยอง ซอก นั้น จอมเตะสาววัย 23 ปี ได้เผยกับ MGRsport ว่ายังปกติเหมือนเดิม แจงเหตุผลที่ไม่ได้ไปตามนัดหมายที่ทางสมาคมเทควันโดออกข่าวไป เนื่องจากได้มีการเข้าไปพูดคุยกับ “โค้ชเช” เรียบร้อยแล้ว

“อันที่จริงได้คุยกับ โค้ชเช ตั้งแต่ก่อนที่ข่าวจะออกไปว่าจะเข้าไปขอขมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งโค้ชก็ไม่ได้โกรธเนื่องจากมองว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดไป อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ โค้ชเช เป็นบุคคลที่ตนเองเคารพมากต้องขอโทษถ้าหากทำอะไรไม่เหมาะสม และยังบอกให้ตั้งใจฝึกซ้อมต่อไป” คาสซานดรา ทิ้งท้าย


ที่มาข่าว http://astv.mobi/ARHFowd


----------------------


แต่โค้ชพิทักษ์ ก็ไม่ยอมหยุดง่าย ๆ ออกมาให้ข่าวรายวันต่อไป แถมยังพูดแบบหวังให้ตัวเองได้หน้า สร้างเครดิตให้ตัวเองอีกด้วย

คือถ้าอดีตลูกศิษย์ได้เหรียญสำคัญ กลัวคนจะไม่รู้ว่า ตนเองคือผู้ปั้นเด็กมาตั้งแต่แรก


ข่าววันที่ 24 ก.ค. 2557

“โค้ชทักษ์” หวั่น “ก้อย” โดนแกล้งจนชวดเหรียญ อชก.

นายพิทักษ์ ผูกพัน อดีตผู้ฝึกสอนกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย เชื่อว่า “ก้อย” รุ่งระวี ขุระสะ จอมเตะสาวจะมีรายชื่อเป็น 12 คนสุดท้ายลุยศึกเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 17 แต่จะถูกคนบางกลุ่มกลั่นแกล้งให้ไม่สามารถคว้าเหรียญรางวัลกลับประเทศไทย

นายพิทักษ์ ผูกพัน อดีตผู้ฝึกสอนกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย เปิดเผยยังรู้สึกไม่สบายใจในเรื่องความเข้าใจผิดดังกล่าว เพราะสังคมยังมองว่าเป็นคนผิด และไม่มีใครช่วยแก้ต่าง “ถึงแม้ว่าน้องก้อยจะขอโทษโค้ชเช และยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เบื้องหลังตนเองก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถึงชื่อผมที่ถูกสังคมประณามมาโดยตลอด ทำให้อาจจะยังมีคนที่เข้าใจว่าผมยังเป็นคนบงการเรื่องทุกอย่างอยู่ ขณะนี้พยายามไม่รับฟังข่าวสารต่างๆ เพื่อความสบายใจของตนเอง”

นอกจากนี้ “โค้ชทักษ์” แสดงความวิตกกังวลว่า จอมเตะสาว วัย 23 ปี อาจจะถูกกลั่นแกล้งในการแข่งขันอินชอนเกมส์ ที่จะมาถึง “ส่วนตัวผมเชื่อว่าน้องก้อยจะต้องมีชื่อติดใน 12 คนสุดท้ายที่เดินทางไปแข่งขันเอเชียนเกมส์ เพราะเป็นเด็กที่มีความสามารถ และถูกเจียระไนมาเป็นอย่างดี แต่อาจจะมีคนบางกลุ่มที่ใช้วิธีการสกปรกทำให้น้องไม่ได้เหรียญรางวัลกลับมา จนสุดท้ายต้องตกเป็นเหยื่อของสังคมอีกครั้ง”

“สำหรับกรณีของคาสซานดรา ผมได้ขอโทษเค้าไปแล้ว แต่เค้าคงจะโกรธและไม่คุยกับผมอีก ทั้งที่ความจริงผมเพียงแต่ต้องการนำหลักฐานให้สื่อดู เพื่อที่จะได้ทราบความจริง ซึ่งสื่อที่นำภาพไปก็รับปากว่าจะช่วยปิดบังชื่อของดราให้ แต่ในเมื่อผลออกมาเป็นแบบนี้ ผมก็ยอมรับว่าผิดที่ไปไว้ใจคนอื่น และหลังจากนี้ไม่ว่าใครจะมีปัญหาเกี่ยวเรื่องนี้อีก ผมก็จะไมให้ความช่วยเหลือใคร จนผลมันย้อนกลับมาทำร้ายตนเองอีกแล้ว” อดีตโค้ช รุ่งระวี กล่าว

ที่มาข่าว http://astv.mobi/AXTDCvP


------------------

เป็นไงครับ อ่านทั้ง 3 ข่าวของโต้ชพิทักษ์แล้ว คงไม่ต้องอธิบายอะไรอีก เพราะมันชัดเจนสุด ๆ แล้ว กับเนื้อเน่าเหม็น ๆ ของวงการเทควันโดคนนี้

ล่าสุด เดินสายออกทีวี เช่นในช่อง Amarin tv เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 57 ที่ผ่านมา

ถ้าใครขี้เกียจดูความทุเรศตลอดคลิป ผมให้ดูที่นาทีที่ 20.55 เป้นต้นไป

โค้ชทักษ์ พยายามจะบอกว่า "คำว่าครู แตกต่างจากคำว่า โค้ช เพราะคำว่า ครู คือผู้ที่สอนเด็กมาตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่เด็กไม่เป็นอะไรเลย แต่โค้ชจะมาเลือกเอาแต่คนเก่ง ๆ เท่านั้น ไปติดทีมชาติ อย่างเด็กที่ได้เหรียญทองในรายการนี้ ก็เป็นเด็กที่มาจากที่ผมสอน ตั้ง 3 คน แต่ทำไมด่าผมเฉพาะกรณีน้องก้อย ทำไมไม่ชมผมในกรณีเด็กคนอื่น ๆ ที่ได้เหรียญในรายการนั้นด้วย"

สรุปง่ายเลยนะครับ โค้ชทักษ์ ก็อิจฉาโค้ชเชนั่นแหละ ที่คนไทยยกย่องโค้ชเช ไม่หันกลับไปยกย่องโค้ชทักษ์บ้าง

ที่จริง คนที่จะกลับไปยกย่องครูที่สอนตนเองมาแต่แรกก็คือ เด็กที่เรียนกับคุณนั่นแหละ ว่าเขาจะยกย่องคุณหรือไม่ ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับโค้ชเชแต่อย่างใด

ถ้าครูที่สอนเด็กคนแรก ไม่ได้รับการยกย่อง ก็ต้องด่าที่ครูมันนั่นแหละ ที่ไม่สอนให้เด็กรู้จักกตัญญูรู้คุณครูคนแรกของตัวเอง !!

เฮ่อ.. พวกอยากได้หน้าก็แบบนี้แหละ ไม่เคยรู้จักคำว่า ปิดทองหลังพระ กันเลย




คลิกอ่าน วิเคราะห์ความเก็บกดของโค้ชพิทักษ์


วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คลิปตรวจโกดังโกงข้าวด้วยนั่งร้านรอบ 2 ข้าวหาย 9.8 หมื่นกระสอบ






จำคดีโกงข้าวด้วยการใช้นั่งร้านเหล็กซ่อนใต้ภูเขาข้าวได้ไหมครับ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ได้ไปตรวจโกดังนี้อีกครั้ง เพื่อเก็บข้อมูลให้ชัดเจน



23 ก.ค. 2557 ข่าวความคืบหน้า คดีนั่งร้านใต้กองภูเขาข้าว !!

เจ้าหน้าที่ได้ไปตรวจสอบโกดังปัญหานี้อีกครั้งเป็นครั้งที่ 2
จากการตรวจสอบข้าว 8 กองนี้ พบมีนั่งร้านวางอยู่กลางกองข้าวถึง 7 กอง โดยด้านหน้ามีการนำกระสอบข้าวมาวางไว้อำพรางให้ดูเสมือนมีข้าวอยู่ครบตามบัญชี

ทั้งนี้ตามรายละเอียดข้าวในโกดังฟินิกซ์ อะกริเทค ต้องมีทั้งหมด 10 กอง แต่หายไป 2 กอง และจากการสรุปปริมาณข้าวพบว่ามีข้าวหายไปกว่า 98,000 กระสอบ จากทั้งหมดที่แจ้งในบัญชีกว่า 140,000 กระสอบ

กรณีข้าวหายนี้ อตก.ได้แจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับ "นายพิชัย พัฒนาพงศ์ชัย" ซึ่งเป็นผู้เช่าช่วงโกดังจากบริษัทฟินิกซ์ อะกริเทค โดยแจ้งความไว้ 3 คดี และศาลได้ออกหมายจับนายพิชัยและผู้ร่วมกระทำความผิด

ย้ำ !! ไอ้คนโกงข้าวมันชื่อ "นายพิชัย พัฒนาพงศ์ชัย" ซึ่งกำลังหนีคดีอยู่

แหล่งข่าวจากวงการค้าข้าวระบุว่า การโยกย้ายข้าวทำเป็นกระบวนการ โดยมีเสี่ยอ้วน ซึ่งเป็นชื่อในวงการค้าข้าวและเป็นอดีตกรรมาธิการด้านทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์อยู่เบื้องหลัง โดยมีลูกน้องอีกหลายคนทำหน้าที่เป็นตัวแทนเช่าช่วงจากโกดังต่างๆ เพื่อรับฝากข้าวในโครงการรับจำนำ ทั้งข้าวที่อยู่ในความรับผิดชอบของ อตก. และ อคส.นอกจากการยักยอกข้าวในโกดังไปขายให้กับโรงสีต่างๆ

กลุ่มของเสี่ยอ้วนรับทำเปาเกา หรือ รับหน้าที่ส่งมอบข้าวแทนโรงสี โดยเอาข้าวเก่ามาส่งมอบแทน โดยโรงสีไม่ต้องส่งมอบข้าวที่แปรสภาพแล้ว

แหล่งข่าวระบุว่า มีการกระทำแบบนี้ในหลายจังหวัด เช่น จ.ปทุมธานี, จ.นครราชสีมา, จ.ฉะเชิงเทรา, จ.บุรีรัมย์

และให้ข้อมูลว่าปลายข้าวที่หายจากโกดังฟินิกซ์ อะกริเทค บางส่วนถูกนำเอาไปแทนข้าวหอม ที่โกดังยูนิแมค จ.นครราชสีมา ซึ่งถูกนำออกไปขายในราคาถูกให้โรงสีอื่น

ดูคลิปข่าวไทยพีบีเอส จะเห็นว่ามันชั่วจริง ๆ


วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ทำไมหลวงจีนวัดเส้าหลิน อมิตตาพุทธ ด้วยมือข้างเดียว








จากกระแสลูกศิษยฺคิดล้างครู ในวงการเทควันโดไทย ทำให้ผมนึกถึง ความกตัญญูของศิษย์คนหนึ่งของท่านปรมาจารย์ตั๊กม๊อ ว่าในยุคอดีตนั้น ลูกศิษย์สามารถสละชีพเพื่อตอบแทนอาจารย์ได้

แล้วเหตุไฉนแค่โดนอาจารย์ตบสั่งสอนเพียงแค่นี้ ลูกศิษย์ยุคสมัยนี้กลับทนไม่ได้

ผมจึงขอนำเรื่องราวนี้มานำเสนอครับ



พระโพธิธรรม ปรมาจารย์ตี๊กม๊อ เจ้าอาวาสคนแรกผู้ก่อตั้งสำนักวัดเส้าหลิน


ท่านเสินกวง เฝ้าคอยปรนนิบัติพระอาจารย์ตั๊กม๊อ อยู่ไม่ยอมไปไหน ตลอดระยะเวลา ๙ ปีที่พระอาจารย์นั่งสมาธิหันหน้าเข้าผนัง

หลังการปรนนิบัติท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อเรียบร้อยแล้ว ท่านเสินกวงก็จะกลับมาคุกเข่ารออยู่ที่หน้าถ้ำตลอดเวลา ด้วยความหวังว่าจะได้รับการถ่ายทอดธรรมอันสูงสุดเพื่อความหลุดพ้น

บริเวณที่ท่านเสินกวงคุกเข่า ต่อมาได้ถูกสร้างเป็นศาลาขึ้น มีชื่อว่า “ศาลากลางหิมะ” ซึ่งยังปรากฎเป็นหลักฐานให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้





เวลาผ่านไปถึง ๙ ปี ในวันที่ ๒๙ ค่ำ ปีไท่เหอที่สิบ วันนั้นหิมะตกหนักมาก ท่านเสินกวงยังคงคุกเข่าอยู่หน้าถ้ำตลอดทั้งคืน จนหิมะท่วมสูงถึงเอว

ครั้นรุ่งเช้าพระอาจารย์ตั๊กม๊อก็ได้เดินออกมาจากถ้ำ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า

"เธอมาคุกเข่าตากหิมะอยู่ที่นี่ เพื่อประสงค์อะไร"

๙ ปีแห่งการรอคอย ท่านเสินกวง ตื้นตันจนน้ำตาไหลซึมออกมาแล้วตอบว่า

“ข้าผู้น้อย…มาขอรับการถ่ายทอดวิถีธรรมขอรับ ขอท่านอาจารย์เปิด “ประตูมรรคผล” ชี้ทางแห่ง “พุทธะ” แก่ศิษย์ด้วยเถิด”

พระอาจารย์ตั๊กม๊อ จึงตอบว่า “พระพุทธองค์สละเวลามากมายทุ่มเทชีวิตในการปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผล   แล้วตัวเธออาศัยความตั้งใจเพียงเล็กน้อยมาขอรับธรรมอันยิ่งใหญ่ คงยากที่จะสมหวัง!”

ขณะนั้น ท่านเสินกวงได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร

พระอาจารย์ตั๊กม๊อก็ย้อนถามอีกว่า หิมะสีอะไร?

ท่านเสินกวง “ขาวขอรับ”

พระอาจารย์ตั๊กม๊อ “ถ้าเช่นนั้น เธอจงรอไปจนถึงเวลาที่หิมะเป็นสีแดงเมื่อใด เมื่อนั้นแหละฉันจึงจะถ่ายทอดวิถีธรรมเพื่อความหลุดพ้นแก่เธอ!”

คำพูดอันเป็นปริศนา เพื่อทดสอบภูมิธรรมปัญญาจากพระอาจารย์ตั๊กม๊อ ทำให้ท่านเสินกวงทั้งเสียใจ ทั้งสิ้นหวังหมดอาลัย

ตลอด ๙ ปีที่เฝ้ารอคอยมา.. ความสมหวังดูช่างเลือนราง มิหนำซ้ำความรันทดอัดอั้นตันใจ เมื่อระลึกถึงความผิดบาป ที่ตนได้ประทุษร้ายพระอริยเจ้าผู้บริสุทธิ์ด้วยโทสะจิต  ความผิดฉกรรจ์ครั้งนั้น หากจะชดใช้ด้วยชีวิตก็มิอาจจะไถ่โทษ  ถึงตัวจะตายแต่จิตวิญญาณก็ใช่ว่าจะหลุดพ้นเป็นอิสระไปได้

ความสับสนคับอกคับใจ ความหมดอาลัยสิ้นหวัง ทับโถมประดังเข้ามามิอาจจะสรรหาคำพูดใดๆมาพรรณาได้

ทันใดนั้นเอง ท่านเสินกวงก็หันไปคว้ามีดตัดฟืนข้างกายยกขึ้นมาฟันแขนซ้ายตนเองจนขาดตกลงบนพื้น!

จากนั้นท่านเสินกวงก็ใช้มือขวาหยิบแขนที่ขาด ยกขึ้นถวายบูชาแด่ พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ประหนึ่งแทนความในใจทั้งหมด


พระอาจารย์ตั๊กม๊อ จึงกล่าวขึ้นว่า “เพื่อแสวงหาโมกขธรรม พระโพธิสัตว์ไม่ติดในสังขารและชีวิต เธอสละแขนขอธรรมนับว่าควรสรรเสริญ..นับว่าควรสรรเสริญ”

ขณะเดียวกัน ท่านเสินกวงซึ่งก้มหน้าของตนเอง เห็นเลือดจากแขนไหลนองพื้น หิมะที่ขาวสะอาดซึมซับไว้ได้กลับกลายเป็นสีแดงฉาน! ท่านจึงเงยหน้ารีบบอกไปว่า

“ได้โปรดเถิดท่านอาจารย์ บัดนี้หิมะสีแดงปรากฏต่อสายตาท่านแล้วขอรับ!”

พระอาจารย์ตั๊กม๊อ ยิ้มด้วยความยินดี พร้อมกับกล่าวว่า “นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น..การมาถึงแดนบูรพาในครั้งนี้..ไม่สูญเปล่า เพราะยังมีบุญวาสนนามาพบผู้ศรัทธาแรงกล้าที่จะสามารถรับรู้และปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมอันเที่ยงแท้ได้”

เมื่อพระอาจารย์ตั๊กม๊อกล่าวจบ ท่านได้สกัดจุดห้ามเลือดแล้วรักษาบาดแผล ท่านเสินกวงรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างจับใจจึงเอ่ยขอให้พระอาจารย์ชี้แนะว่า
“จิตของศิษย์ว้าวุ่น…ขอท่านอาจารย์ เมตตาช่วยทำให้มันสงบด้วยเถิดขอรับ”

พระอาจารย์ตั๊กม๊อ “จงเอาจิตเธอออกมาสิ! แล้วฉันจะทำให้มันสงบ”

ท่านเสินกวงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า “ศิษย์หาจิตของตัวเองไม่พบขอรับ”

พระโพธิธรรมได้สั่งสอนธรรมจนท่านเสินกวงด้วยวิถีแห่ง “จิตสู่จิต” เมื่อนั้นท่านเสินกวงก็ได้บรรลุธรรมโดยฉับพลัน

   
หลังจากที่พระอาจารย์ตั๊กม๊อ มีผู้รับช่วงภารกิจงานธรรมแล้ว ได้ออกจากวัดเส้าหลิน เดินธุดงค์ไปที่วัดเซียนเซิ่ง  ตำบลหลง   เหมน กล่าวกันว่าท่านได้ถูกพิษที่ริมฝั่งแม่น้ำลัวะสุ่ย กระทั่งใกล้วันที่จะมรณภาพ ท่านได้เรียกประชุมบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายและให้ปัจฉิมโอวาทว่า
 
“บัดนี้…ฉันอายุครบ ๑๕๐ พรรษาแล้ว และได้เสร็จสิ้นภารกิจหน้าที่ของพระโพธิสัตว์แห่งการมาเยือนถึงแผ่นดินนี้ ฉันได้แผ้วถางบุกเบิกเส้นทางสู่อริยภูมิไว้ให้แล้ว ต่อแต่นี้เป็นต้นไป เป็นหน้าที่ของพวกเธอทั้งหลายที่จะต้องพากเพียรปฏิบัติบำเพ็ญให้ได้บรรลุถึงธรรมที่ฉันได้สอนไว้…..

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ่อเกิดหรือที่มาของพระอริยเจ้าพระอรหันต์พระโพธิสัตว์ พระพุทธจ้าทุกๆพระองค์ที่จะอุบัติขึ้นในอนาคตกาลก็ล้วนจะออกมาจากประตูแห่งอาณาจักรธรรมนี้ ฉะนั้น จึงเท่ากับว่าพวกเธอทั้งหลายได้ทำหน้าที่อันสูงสุดของ “พระโพธิสัตว์” ได้แก่การช่วยแบกหาม เทิดทูนบูชา “พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ” ไว้มีให้วิถีธรรมนี้ด่วนดับสูญจากโลกไปเร็วนัก จะเป็นมหาบุญมหากุศลบารมีอย่างมหาศาลแก่พวกเธอ ตลอดจนสรรพสัตว์ทุกชาติภพไม่มีวันจบสิ้นทีเดียว


บัดนี้ฉันขอเตือนพวกเธอเป็นครั้งสุดท้ายอีกสักหน่อยว่าจงอย่าประมาทเลย  วันเวลาร่อยหรอหมดไปไม่คอยใคร อายุวัย ความชราภาพแห่งสังขารก็กัดกินให้สิ้นไป โดยไม่ยอมคอยใครและวิถีธรรมนี้ ก็ไม่คอยใครเช่นกัน

 
จิตตนคิด กายตนทำ ใครทำใครได้เอง สิ่งเหล่านี้ต้องต่างคนต่างทำ จะทำแทนกันนั้นมิได้เลย บุญกุศล มรรคผลนิพพานต้องไปปฏิบัติเอง ลงมือทำด้วยตนเองให้ได้ทันตาเห็น จึงจะเป็นของเธอเองไปได้”
   

น้อมกราบรำลึกถึงพระคุณของพระโพธิธรรมในมหาเมตตาอันประมาณมิได้

อัจฉราวดี วงศ์สกล
30 เมษายน 2557

(akecity ขอบคุณข้อมูลจากบล็อค เตโชวิปัสสนากรรมฐาน)


-------------




การที่หลวงจีนวัดเส้าหลินรวมไปถึงหลวงจีนในสายพระโพธิธรรมแห่งพระอาจารย์ตั๊กม้อ จึงได้ใช้แขนข้างเดียวในการทำความเคารพ และกล่าวว่า "อมิตาพุทธ" ซึ่งคำ ๆ นี้เป็นพระนามของพระอมิตาภพุทธเจ้า 

ก็เพื่อระลึกถึงความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของศิษย์เอกของท่านตั๊กม๊อ คือท่านเสินกวง นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คลิปงานเปิดสวนสนุก Universal studio of Harry porter , Japan







วันนี้ขอเป็นความส่วนตัวสักนิด พอดีผมเห็นข่าวงานเปิดสวนสนุกที่จำลองโรงเรียนเวทมนต์ในแฮรี่ พอตเตอร์ ในสวนสนุกยูนิเวอร์แซลฯ ในโอซาก้า ญี่ปุ่น

เห็นในข่าวแวบ ๆ ว่า Luna Lovegood คนสวยมาร่วมงานเปิดนี้ด้วย คือ ช่วงที่ผมเห็นลูน่าในข่าว คือช่วงที่ลูน่าเดินจูงมือเด็ก (ดูคลิปนาที่ที่ 1.07) เธอชั่งดูมีรัศมีออร่างามเหลือเกิน ผมก็เลยอยากนำมาเก็บไว้ เพราะผมชอบตัวละครลูน่ามาก ๆ

ยิ่งในหนังนะ โห เธอช่างน่ารักเหนือคำบรรยาย ดูฉลาด ดูเท่ ดูติสต์ แบบแค่เธอออกมานิดหน่อยในแต่ละภาคแต่ละซีน แต่ชั่งมีพลังดึงดูดใจมากมาย

ลูน่า เลิฟกู๊ด เธอมากับ เดรโก มัลฟอย ซึ่งลูน่าก็เป็นสาวเต็มตัวแล้ว

ส่วน มัลฟอย ก็เป็นหนุ่มเต็มที่ แถมหน้าตายังละม้ายคล้ายสตีเฟ่น เฮนรี่ นักสนุ้กเกอร์ที่เก่งที่สุดในโลกยุคหนึ่งอีกด้วยสิ






วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

"สายล่อฟ้า" ไทยรัฐแฉนโยบายปรนเปรอนักการเมืองของพรรคเพื่อไทย







คอลัมภ์ กล้าได้กล้าเสีย โดย สายล่อฟ้า ไทยรัฐ ประจำวันที่ 3 ก.ค. 2557 ได้นำเสนอนโยบายตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวเอง ที่ออกโดยรัฐบาลเพื่อไทย!!

เพื่อชี้ให้เห็นว่า นักการเมืองไทยก็ดีแต่กอบโกยตักตวงผลประโยชน์จากประเทศชาติเข้าสู่พวกพ้องและตัวเองแบบทั้งทางตรงทางอ้อม แบบอิ่มพุงกางกันเลยทีเดียว


--------------

ลาภที่ไม่ควรได้ ของนักการเมือง

โดยสายล่อฟ้า ไทยรัฐ


เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการกระทำของนักการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเองอย่างไม่ยี่หระต่อความรู้สึกของประชาชน ด้วยการละเลงเงินงบประมาณแผ่นดินอันเป็นภาษีของประชาชนไปใช้อย่างไม่มีเหตุมีผล

นั่นคือการที่รัฐบาลเพื่อไทยได้ออก พ.ร.บ.กองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา พ.ศ.2556 ซึ่งมีผลบังคับใช้มาแล้วตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2556

กองทุนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อตอบแทน ส.ส.-ส.ว.เมื่อสมาชิกภาพได้สิ้นสุดลง จึงกำหนดให้ดึงงบประมาณมาจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาเอาไว้ 6 รูปแบบ

1. การจ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพ

2. การจ่ายเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล

3. การจ่ายเงินช่วยเหลือกรณีทุพพลภาพ

4. การจ่ายเงินช่วยเหลือกรณีถึงแก่กรรม

5. การจ่ายเงินช่วยเหลือกรณีการศึกษาบุตร

6. สวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด

หากจะเรียกง่ายๆก็คือ กองทุนบำเหน็จบำนาญของ “นักการเมือง” ว่างั้นเถอะและยังแถมด้วยสวัสดิการอื่นๆอีกเพียบ

เหตุผลก็คือการตอบแทนคุณความดีของ ส.ส.และ ส.ว.ที่เสียสละทำงานเพื่อประเทศชาติ





กฎหมายฉบับนี้จึงผ่านฉลุยเพราะได้ประโยชน์กันถ้วนทั่ว เป็นความสามัคคีของนักการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านและวุฒิสภาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ไม่ต้องถามว่าประชาชนผู้เสียภาษีจะรู้สึกอย่างไร

เพราะพวกเขาอ้างว่ามาจากประชาชน มาจากการเลือกตั้งจะทำอะไรก็ได้ ยิ่งได้เสียงข้างมากก็ยิ่งมีความชอบธรรมมากกว่าปกติ

ว่าที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็มีเสียงคัดค้านว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเพราะทั้ง ส.ส.-ส.ว.น่าจะสำคัญตัวผิดคิดว่าการทำงานของพวกเขาไม่ต่างไปจากข้าราชการประจำ จึงต้องการค่าตอบแทนเพื่อดูแลความเป็นอยู่ของพวกเขาแม้จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว

ทั้งๆที่การเข้ามาทำงานการเมืองของพวกเขานั้นเป็นเรื่องการขันอาสา ไม่มีใครไปบังคับว่าจะต้องเสียสละเข้ามาทำงานการเมือง จึงไม่ควรได้รับผลประโยชน์ในลักษณะนี้

คือแกล้งลืมหรือแกล้งโง่กันแน่

การเข้ามาเล่นการเมืองนั้นนักการเมืองส่วนน้อยที่อาสาเข้ามาก็เพื่อต้องการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศและประชาชนอันนี้ควรจะต้องสรรเสริญ แต่ก็ต้องคิดอีกแง่หนึ่งว่าเมื่อคุณอาสาก็ต้องเสียสละ

แต่นักการเมืองส่วนใหญ่นั้นต้องการอำนาจและผลประโยชน์มากกว่า เป็นนักการเมืองไม่กี่ปีจากฐานะต่ำต้อยกลับกลายเป็น “เทวดา” ร่ำรวยกันอย่างถ้วนหน้า...นี่คืออาชีพที่สร้างเนื้อสร้างตัวได้ภายในพริบตาไม่ได้มีอุดมการณ์แต่อย่างใด

บางคนเข้ามาเป็น ส.ส.-ส.ว.เพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยามแล้วก็ต้องตกงานไป ทำไมจึงได้สิทธิอย่างที่ไม่ควรได้อย่างนี้

สำคัญยิ่งก็คือการสร้างปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ใช้อำนาจไม่ชอบธรรม ทำลายระบบราชการแหลกคามือ ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

การที่ คสช.ได้สั่งให้มีการตรวจสอบและทบทวนในส่วนของกองทุนนี้เสียใหม่ เพราะเห็นว่าเงื่อนไขการจ่ายง่ายเกินไปและเป็นการไม่สมควรที่ควรจะมีกองทุนนี้

ทางที่ดี คสช.ควรจะยกเลิกกองทุนนี้ไปเลยดีกว่าเพราะนักการเมืองเป็นตัวปัญหาที่ทำให้บ้านเมืองแย่ลงไปทุกวัน แต่ทำไมจะต้องมาได้รับผลตอบแทนอันไม่ควรได้

เป็นการใช้อำนาจเพื่อปรนเปรอพวกเดียวกันอย่างไร้ยางอาย.


------------------

แถม !! อีกสักบทความ


ลองทายซิ บทบรรณาธิการไทยรัฐ ของวันที่ 1 ก.ค. 2557 เขาด่าพรรคการเมืองพรรคไหน ?



มนุษย์พันธุ์รุนแรงนิยม?
โดย บรรณาธิการไทยรัฐ


ในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนและผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ เมื่อวันอาทิตย์ ที่ผ่านมา พ.อ.วินธัย สุวารี ทีมงานโฆษกคสช.เปิดเผยว่า กองทัพภาคทั้งสี่ภาคจับกุมอาวุธสงครามได้เป็นอันมาก มีทั้งปืน เครื่องยิงลูกระเบิด เครื่องยิงจรวด และวัตถุระเบิดนานาชนิด เป็นสิ่งยืนยันว่าสังคมไทยอยู่ในสภาวะไม่ปกติ คนไทยคิดที่จะทำร้ายคนในชาติด้วยกัน

การจับกุมอาวุธสงครามต่างๆ กลายเป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง หลังการยึดอำนาจ ของคสช. และเป็นเหตุผลสำคัญของการยึดอำนาจ เพื่อป้องกันการก่อเหตุรุนแรงถึงขั้นสงครามกลางเมือง อาวุธที่จับได้เป็นหลักฐานยืนยันว่า มีการตระเตรียมอาวุธพร้อมที่จะก่อความรุนแรง และผู้นำบางพรรคปลุกระดมประชาชน ให้พร้อมทำสงครามกลางเมือง

การจับกุมอาวุธคราวนี้ บางส่วน โยงไปถึงเหตุการณ์รุนแรงในปี 2553 ที่มีการประกาศบนเวทีการชุมนุมของบางพรรค การเมือง ระบุว่ายึดหลัก “แก้วสามประการ” ในการต่อสู้ อันได้แก่ พรรค มวลชน และกองกำลังติดอาวุธ คล้ายกับแนวทางการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์ในบางประเทศที่ยึดหลัก “อำนาจการเมืองมาจากปลายกระบอกปืน”

ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะวัฒนธรรมไทยไม่นิยมการใช้ความรุนแรง คนไทยรักสงบและชอบอยู่ร่วมกันโดยสันติ ประเทศไทยจึงอยู่ด้วยความสงบ ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ในขณะที่เกิดสงครามกลางเมืองในเพื่อนบ้านหลายประเทศ แต่เมื่อนักการเมืองกลับนิยมความรุนแรง นักการเมืองเป็นมนุษย์พันธุ์อะไร?

น่าสังเกตว่า การนิยมความรุนแรง มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักการเมืองประเภทหนึ่ง คือนักปลุกระดมสร้างความเกลียดชัง พร้อมที่จะใช้ความรุนแรงกับฝ่ายตรงข้าม นักการเมืองประเภทนี้พร้อมที่จะกระทำ “วจีทุจริต” ทุกอย่าง ทั้งพูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดสำรากเพ้อเจ้อ เพื่อสร้างความโกรธแค้นชิงชัง และได้รับสนับสนุนจากผู้นำพรรคให้เป็น ส.ส.หรือรัฐมนตรี ???