วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความสัมพันธ์เชิงลึกของสิงคโปร์กับนักการเมืองไทย






บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในบทความของคุณเปลวสีเงิน ที่น่าสนใจอย่างมาก เนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในเชิงลึกระหว่างสิงคโปร์กับนักการเมืองไทย

(หลายคนลอกบทความคุณเปลวสีเงินไปใช้ส่งฟอร์เวิร์ดเมล์กัน แต่กลับไม่ให้เครดิตว่า ผู้เล่าเรื่องคือคุณเปลวสีเงิน)


เนื้อหามีดังนี้
V

V

เมื่อวานผม(เปลวสีเงิน) ได้มีโอกาสเสวนากับ CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งจากสิงคโปร์ มีเรื่องน่าสนใจมาเล่าแชร์ให้ฟังครับ เป็นสามชั่วโมงของการสนทนาที่ได้ความรู้มาครับ

๑.เขาบอกว่า อายุขัยของกรุงเทพฯ นั้น จากการคำนวณของนักวิทยาศาสตร์และนักธรณีวิทยา รวมถึงผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาของสิงคโปร์ เขาบอกว่ามีอายุอีกราว ๆ ๑๙ ปี (เขาใช้คำว่า Life span of Bangkok City) ถ้าไม่มีการแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น!!

๒.หลากหลายเรื่องราว ที่เราเห็นจากหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการเมืองในประเทศเรานั้น จริง ๆ แล้วเป็นฉากละครฉากหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้ผู้ชม (คนไทย) นั้นเชื่อไปอย่างนั้นเอง เช่น การทำเหมือนเป็นศัตรูกันของนักการเมือง แต่แท้จริงแล้วทะเลาะกันบังหน้าเพื่อผลประโยชน์ ฮั้วกันลับหลัง

หลายๆอย่างที่เราเห็นนั้น รัฐบาลของเขามีส่วนอยู่ด้วย เชื่อไหมครับว่า เงินของทักษิณที่โอนไปเกาะเคย์แมนนั้น รัฐบาลสิงคโปร์เป็นคนฟอกเงินให้ และจัดการส่งไปให้

(ใหม่เมืองเอก ขอเสริมความเห็นในข้อ2ว่า เรื่องพรรคการเมืองฮั้วกันแต่แกล้งเป็นศัตรูกัน เรื่องนี้สนธิลิ้มฯได้เคยพูดก่อนใครเลย)


๓.เขาบอกว่าไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล สุดท้ายเข้าสู่วงจรโกงกินอยู่ดีแน่นอน เพราะผลประโยชน์และเงินสกปรกจะถูก Offer มาโดยรัฐบาลของเขาเอง รวมถึงนักธุรกิจใหญ่ๆ จากหลายชาติ โดยเฉพาะสิงคโปร์
ฉะนั้นอย่าไปหวังเลยว่าสีเหลือง สีแดง อะไรทั้งหลาย เขาบอกว่าหนีไม่พ้นหรอก ต่อให้ใครขาวสะอาดมาแค่ไหน สุดท้ายก็ทนเงินก้อนโตที่ถูกยัดให้ปิดปากไม่ไหว


๔.เมื่อ ๒๐ ปีก่อน รัฐบาลไทยเคยเชิญรัฐบาลสิงคโปร์นำผู้เชี่ยวชาญมาเพื่อทำการวิเคราะห์ว่า ทำยังไงถึงจะแก้ปัญหาผังเมืองและการขนส่งคมนาคม ผลสรุปคือแก้ไม่ได้ เพราะผังเมืองผิดแต่แรกแล้ว เขาแนะนำให้ย้ายเมืองหลวง หรือไม่ก็ขยายออกรอบนอกไปไกลๆ แล้วตั้งผังเมืองใหม่

จากวันนั้นจนวันนี้ ก็ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด ผิดกับรัฐบาลของสิงคโปร์ที่จัดทำการวางผังและปรับปรุงตลอดเวลาใหม่ ควบคุมแม้กระทั่งการกระจายตัวของชนชาติต่างๆ ไม่ให้กระจุกตัวเพื่อสร้างสังคมเฉพาะใหม่ๆ ขึ้นมา รวมไปถึงมีการสร้างเขื่อน กำแพงรอบ และประตูกั้นน้ำ เพื่อป้องกันปัญหา Global warming และน้ำทะเลสูงขึ้นจนท่วมเมืองสิงคโปร์


๕.คนไทยนั้นเป็นสังคม idol กล่าวคือ เชิดชู บูชา คนที่เด่นดังโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี (ไม่ว่าอยู่ข้างไหนก็ตาม)

ฉะนั้น การชนะใจคนไทยนั้นง่ายมาก จากเหตุนี้การเข้ายึดประเทศไทยไม่ใช่เรื่องยากเลย สำหรับคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ

พ้น ๑๙ ปี น้ำทะเลจะหนุน จนทำให้เกิดการท่วมถาวรในบางพื้นที่ จนสุดท้ายอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ๆ ทั้งหลายที่เคยลงทุนไปโดยรัฐบาลจะใช้ไม่ได้ เสียเงินลงทุนไปเปล่าๆ เขาบอกว่า ถ้ายังทะเลาะกันไม่เลิกแบบนี้ ก็เตรียมขายที่ดินใน กทม.ทั้งหมดได้เลย


๖.พอเริ่ม AEC (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะเริ่ม ๒๕๕๘-เปลว) เมื่อไหร่ คนไทยรากหญ้าจะเป็นกลุ่มแรกที่ซวยที่สุด ตามมาด้วยตระกูล SMEs ทั้งหลาย


๗.เขาบอกว่า อย่าได้คิดว่าคนที่ดูดีภายนอก (พวกนายกฯ) จะไม่ทำเรื่องสกปรก คนส่วนมากไม่รู้แค่นั้นเอง

ยกตัวอย่างเช่น นายกฯ ของสิงคโปร์เอง ลีกวนยู ที่สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ทั้งหลายแก่สิงคโปร์ ทำให้สิงคโปร์พัฒนามาจนมีวันนี้ เบื้องหลังแล้วนั้น เขาจับคนยัดข้อหาเข้าคุกมากมายโดยที่ไม่มีความผิดอันใด แม้แต่เพื่อนเขาเอง เขาก็ทำมาแล้ว จุดประสงค์เพียงเพื่อต้องการเสถียรภาพของการปกครอง บางครั้งคนที่ยิ่งใหญ่ มันก็จำเป็นต้องทำเรื่องเลว ๆ บ้าง นายกฯ ของไทยกี่คนต่อกี่คนก็เช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้น


.จุดยุทธศาสตร์ของประเทศไทยนั้น จริงๆ แล้วดีมากๆ ในแง่ของที่ตั้งและการเชื่อมต่อ แต่เขาสงสัยว่าทำไมรัฐบาลไทยมัวแต่ทำอะไรอยู่ ถ้าวางโครงสร้างพื้นฐาน และวางกำหนดทิศทางประเทศให้เป็น Center of Asean Distribution ให้ดี ประเทศไทยเราป่านนี้คงจะเจริญไปไกลแล้ว



๙.ทั้งไทยและมาเลเซีย รวมถึงเวียดนาม มีปัญหาเดียวกันคือ การรับเงินสกปรกใต้โต๊ะ การจะเป็นเจ้าของสัมปทานอะไรบางอย่าง หรือธุรกิจอะไรที่จะผูกขาดบางอย่าง เช่น กลุ่มพลังงาน หรือเหมืองแร่ธาตุสำคัญอะไรทั้งหลาย ทำได้ง่ายกว่าประเทศอื่นๆ เพราะคนไทย "ซื้อ" กันได้!



๑๐.เขาแนะนำให้รัฐบาลหาทางเปลี่ยนโครงสร้างของค่านิยมและความคิดของประชากรไทยที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ ไม่อย่างนั้นเราก็จะอยู่แค่นี้ คนที่รวยจะยิ่งรวย คนที่จนจะยิ่งจน และสุดท้าย โครงสร้างของชนชั้นทางสังคมจะกลายเป็น M society กล่าวคือ

M ไหล่ซ้ายแทนคนรวย
M ไหล่ขวาแทนคนจน

แปลว่า คนชนชั้นกลางจะหายไปหรือเหลือน้อยลงไปมาก อนาคตจะกลายเป็นเหลือแค่คนจน และข้ามไปคนรวยเลย

๑๑.เขาบอกว่าคนไทยเป็นสังคมที่แปลก คือเป็นสังคม "รู้ทั้งรู้" คือทุกคนรู้ดีว่าอะไรคือปัญหา และทุกคนรู้ดีว่าจะแก้ยังไง และทุกคนก็รู้ดีว่าจะไปทางไหน แต่ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ แต่ก็เหมือนจะไม่ทำอะไรเลย!

จบ "เขาเล่าว่า" เท่านี้

http://www.thaipost.net/news/011011/45888




1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ24 ตุลาคม 2554 เวลา 12:35

    ชอบทุกบทความเลยค่ะ เขียนได้ดีและมีสาระ ไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใด ได้รู้อะไรหลายๆเรื่องที่ยังไม่เคยรู้และไม่คาดคิดมาก่อน จะพยายามอ่านให้หมดทุกบทความนะคะ

    ตอบลบ

เพิ่งเปิดรับการแสดงความคิดเห็นครับ ทุกความเห็นคือกำลังใจ
แล้วอย่าลืมแวะไปที่บล้อคมุมมอง-ใหม่เมืองเอกนะครับ ขอบคุณ/ใหม่ เมืองเอก