วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558
ย้อนคดี ธัมมชโย ยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย
ย้อน “คดีธมฺมชโย” ยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย
เรื่องของวัดพระธรรมกายที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากการเดินธุดงค์กลางเมืองนั้น ความจริงแล้วนี่ต้องบอกว่า ไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่สังคมกังขาถึงเป้าประสงค์ที่แท้จริงของวัดแห่งนี้
แต่เรื่องใหญ่ที่สุดที่หลายคนอาจลืมไปแล้วก็คือ คดีความที่เกิดขึ้นกับ “พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)”ผู้นำทางจิตวิญญาณของวัดแห่งนี้นั่นคือ คดียักยอกทรัพย์สินของวัดพระธรรมกายไปเป็นสมบัติส่วนตัว
ต้นตอของคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2541 พระอดิศักดิ์ วิริสโก อดีตพระลูกวัดพระธรรมกาย กล่าวหาพระธมฺมชโยว่า ยักยอกเงินและที่ดินที่บรรดาญาติโยมบริจาคให้วัด และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ใกล้ชิดสีกา และอวดอุตริมนุสธรรม
ต่อมา กรมที่ดินได้สำรวจพบ พระธัมมชโยมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินและบริษัทที่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายกว่า 400 แปลง เนื้อที่กว่า 2 พันไร่ ใน จังหวัดพิจิตร และเชียงใหม่
มหาเถรสมาคมจึงมอบหมายให้ พระพรหมโมลี เจ้าอาวาสวัดยานนาวา ซึ่งเป็นเจ้าคณะภาค 1 ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งมีข้อสรุปว่า เป็นจริงตามที่ถูกกล่าวหา
มหาเถรสมาคม จึงมีมติให้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของเจ้าคณะภาค 1 คือ ให้ปรับปรุงคำสอนของวัดพระธรรมกายว่า นิพพานเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา และให้ยุติการเรี่ยไรเงินนอกวัด
โดยสมเด็จพระสังฆราชฯ สกลมหาสังฆปรินายก ได้มีพระลิขิตให้คืนที่ดินและทรัพย์สินขณะเป็นพระให้วัดพระธรรมกาย แต่ พระธัมมชโยไม่ยอม
กรมการศาสนาจึงได้เข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม กล่าวโทษในคดีอาญา ม.137 ,147 และ 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ข้อหาที่พระธัมมชโยถูกฟ้องก็คือ เป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร จำเลยที่ 2 และนำเงินอีก 29,877,000 บาทไปซื้อที่ดินกว่า 902 ไร่ ใน ต.หนองพระ (จ.พิจิตร) และที่ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โดยโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ 2 นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์
นอกจากนี้ ยังมีอดีตทนายความวัดพระธรรมกายและประชาชนที่เคยเลื่อมใสศรัทธา ในวัดพระธรรมกาย เข้าแจ้งความดำเนินคดีพระธัมมชโยเช่นกัน ฐานฉ้อโกงเงิน 35 ล้าน โดยแยกเป็นคดีความทั้งหมด 5 คดี
ทว่า เกือบ 7 ปี ของการดำเนินคดี ตั้งแต่ปี 2542-2547 เหลือสืบพยานจำเลยอีก 2 นัด ในวันที่ 23 และ 24 สิงหาคม 2549 เท่านั้น
แต่แล้วในวันที่ 21 สิงหาคม พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 ซึ่งเป็นโจทก์ ก็ขอถอนฟ้องจำเลย คือ พระธัมมชัยโย และ นายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์ โดยเรืออากาศโทวิญญู วิญญกุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล
โดยอัยการให้เหตุผลสรุปว่า ปัจจุบันจำเลยที่ 1 กับพวก ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎกและนโยบายของคณะสงฆ์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไป ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนา ทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐและเอกชนจำนวนมาก
ส่วนด้านทรัพย์สินนั้น จำเลยที่ 1 กับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดคืน ทั้งที่ดินและเงินจำนวน 959,300,000 บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วนทุกประการแล้ว
ประกอบกับขณะนี้ บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักรและไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุด (นายพชร ยุติธรรมดำรง) จึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา
แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ
ก่อนหน้าที่อัยการจะถอนฟ้องเพียงเดือนเศษ ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2549 พล.อ.อ. คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงาน "รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี "
โดยระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั่วประเทศ 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี นช. ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานและกล่าวปาฐกถา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมขับไล่ นช.ทักษิณ
ที่มาข้อมูล เพจ X ธรรมกาย
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพิ่งเปิดรับการแสดงความคิดเห็นครับ ทุกความเห็นคือกำลังใจ
แล้วอย่าลืมแวะไปที่บล้อคมุมมอง-ใหม่เมืองเอกนะครับ ขอบคุณ/ใหม่ เมืองเอก