โดยไทยทนจากการนัดชุมนุมคนเสื้อแดง ที่เริ่มโหมโรงกันตั้งแต่วันที่ 12-14 มีนาคม 2553 เรื่อยมา
...ผู้ริเริ่ม พยายามสร้างให้เป็นเรื่องสงครามระหว่างคนต่างจังหวัด กับคนกรุง
...ผู้ยุยง พยายามสร้างความแตกแยก ให้เป็นเรื่อง อำมาตย์-ไพร่ ชนชั้นสูง-ชาวรากหญ้า ทหาร-ประชาชน
...ผู้ป่วนเมือง พยายามต่อรอง พร้อมเสียสละประเทศชาติและเลือดเนื้อประชาชน เพื่อตนเอง
มีข้อสังเกตหลายประการ
...ผู้ร่วมชุมนุม มีจำนวนน้อยลงๆ จนเห็นชัดถนัดตา
...ผู้ร่วมชุมนุมหลายคน รู้สึกต้องเสียเลือด ต้องถูกกดให้เป็นทาส ให้เป็นไพร่ แต่เริ่มไม่รู้ว่า...ใต้ใคร?
...คนไทยไม่ใช่โง่ๆ คนไทยไม่ใช่ขี้ข้า คนส่วนใหญ่ต่อสู้เพื่อชาติ เพื่อประชาธิปไตย เพื่อความจริง
ปัญหาคือ มีการใช้ความเท็จมากมาย และที่น่าหดหู่ใจ คือเป็นการกล่าวเท็จโดยผู้นำระดับอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย มีหลายเรื่องที่คนไทยน่าจะทำความเข้าใจตรงกัน ดังนี้
1.
อดีตผู้นำ เป็นนักโกหก ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจสร้างภาพยนตร์ หลังวันแรกที่ป่วนเมืองที่ดูไบ มีข่าวชัดเจนว่า ประเทศยูเออีจะไม่ให้อยู่ในประเทศอีกแล้ว ในวันที่ 13 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ได้วิดีโอลิงก์เข้ามากล่าวอีกว่า “วันนี้ปล่อยข่าวสารพัดหาว่าอยู่เขมร ผมอยู่ยุโรป มาพบกับลูกที่มาดูงาน... ผมเป็นคนซึ่งไม่มีที่ไหนขับไล่ มีแต่ให้เกียรติ ผมอยู่ดี ผมสู้ ยิ่งโดนรังแกยิ่งสู้” ดูเหมือนพยายามทำให้คนเข้าใจว่า ไปหาลูกสาวที่มีข่าวว่าไปดูงานนิทรรศการที่ประเทศเยอรมนี
แต่ความจริงก็ปรากฏแล้วใน 14 มี.ค. 2553
นายฮันส์ ชูมาร์คเคอร์ เอกอัคราชทูตเยอรมนีประจำไทย ให้สัมภาษณ์สื่อ โดยปฏิเสธเสธข่าวกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปพบลูกสาวที่อยู่ในประเทศเยอรมนี โดยให้เหตุผลว่าพ.ต.ท.ทักษิณถูกสั่งห้ามจากรัฐบาลเยอรมนีไม่ให้เดินทางเข้าประเทศตั้งแต่ปี 2552
ในวันที่ 17 มี.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงได้วิดีโอลิงก์มาบนเวทีชุมนุมของกลุ่ม นปช.ว่า เวลานี้ตนอยู่ที่ประเทศมอนเตเนโกร เพราะประเทศนี้ออกพาสปอร์ตให้ตน ได้มาเจอกับลูกสาวที่ไปงานนิทรรศการที่เยอรมนีแล้วได้นัดเจอกันที่นี่
สิ่งที่ชาวเสื้อแดงน่าจะได้คิดคือ
ถ้ารักกันจริงก็ไม่น่าจะต้องโกหกกับแม้เรื่องเล็กๆ ว่าตนอยู่ไหน? แต่เมื่อได้รู้ความจริง เห็นภาพแท้ว่าเป็นนักกล่าวเท็จ ก็ทำให้น่าจะ “ได้คิด” ถึงข้อน่าสงสัยหลายๆ ข้อต่อไป
2.
จริงหรือที่ทักษิณเป็นนักธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขัน? ภาพที่ตนต้องการสร้างนั้น ก็คือ ประโยคที่ว่า “ผมเป็นคนซึ่งไม่มีที่ไหนขับไล่ มีแต่ให้เกียรติ ผมอยู่ดี” หากเป็นเช่นนั้น ทำไมต้องออกจากประเทศอังกฤษ ทำไมประเทศเยอรมนีจึงไม่ต้อนรับ ทำไมจึงไม่สามารถไปอยู่ในอารยประเทศที่มีความเป็นอยู่ดีๆ อย่างเช่นสหรัฐอเมริกา หรือแม้กระทั่งประเทศสิงคโปร์
ผู้นำชุมนุมได้กล่าวบนเวทีทำนองว่า “อภิสิทธิ์ทำงานเป็นที่ไหน? สู้นายกฯ ของเราได้ที่ไหน ท่านทักษิณแค่บินจากประเทศไทย ไปประเทศอังกฤษก็หาเงินได้มากมายแล้ว จำได้ไหมครับ ไปถึงปั๊บก็ซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ได้เลย”
จริงหรือที่ทักษิณ คือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ลองถามตัวเองดูว่า ถ้าไม่ใช่ใช้สินบน ซื้อเสียง ซื้ออำนาจรัฐ เอื้อประโยชน์ธุรกิจตัวเองแล้ว “มีธุรกิจแข่งขันอะไรบ้าง ที่ทักษิณทำแล้วประสบความสำเร็จ” ทักษิณก็พูดเองว่า พีโอเอส บัสซาวด์ก็ทำแล้วเจ๊งมาก่อน ต้องกู้หนี้ยืมสิน ต่อเมื่อได้ธุรกิจผูกขาดด้วยการใช้อำนาจรัฐอย่างโทรศัพท์มือถือ ดาวเทียม จึงร่ำรวยเป็นล่ำเป็นสัน
ชินฯ อินเตอร์ ไปลงทุนกิจการต่างประเทศ ก็เจ๊งไม่เป็นท่า 3-5 พันล้านบาท ไม่แน่ใจว่าเจ๊งจริงเท่าไร? ยักยอกเงินจากกลุ่มชินฯ ออกไปเท่าไร?
กิจการดาวเทียม แม้ได้รับประโยชน์ภาษีมากมาย ก็ยังไม่สามารถจะแข่งขันในตลาดโลกได้ง่ายๆ
ไปลงทุนสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ เติมเงินค่าตัวนักกีฬา และผู้จัดการเสวนไป ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ต้องขายธุรกิจออกไป ก่อปัญหาจนอังกฤษไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ
ที่จะบอกว่า แค่ลงเครื่องบินก็ซื้อสโมสรฟุตบอลได้เลย ไม่ได้สะท้อนความเก่ง แต่สะท้อนความโกงชาติที่มีเงินยักยอกไปอยู่ต่างประเทศอยู่แล้วต่างหากการ “เติมเงิน” เพื่อเพิ่มมูลค่า และขายไปในราคาที่ดูสูงขึ้น มันก็ดูเป็นการฟอกเงินสกปรกให้สะอาดนั่นเอง ที่ถูกงดวีซ่า ตามข่าวก็เพราะไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้นั่นเอง
ที่ซื้อเหมืองเพชร ก็ใช้เงินที่ได้มาจากการซุกหุ้นในชื่อลูกชายและลูกสาว คนไทยก็จะไม่มีวันเห็นการดำเนินการที่แท้จริง ก็เพราะเป็นเพียงการ “ฟอกเงิน” ที่ง่ายที่สุด อาจไปซื้อถ้ำมาก็ได้ แล้วเอาเงินสกปรกไปซื้อแร่เพชรมา แล้วเอามาโชว์ว่า ทำธุรกิจเหมืองเพชรกำไรได้ง่ายๆ
ไปลงทุนดูไบยิ่งใหญ่เป็นหน้าเป็นตา จนดูไบยอมให้พำนักระยะยาว ก็เป็นที่รู้กันว่า กิจการอสังหาริมทรัพย์ที่ดูไบล่มสลาย ยากที่จะฟื้น มันเป็นการเก็งกำไรกันแบบแมงเม่า ซึ่งทักษิณก็เป็นเพียงแมงเม่า ที่ไปกู้เงิน ทำกิจการอสังหาริมทรัพย์ในช่วงลูกโป่งกำลังจะแตก จนแตก ก็เพราะไม่รู้จักใช้หลัก “เศรษฐกิจพอเพียง”
คนเสื้อแดงลองตั้งคำถามแกนนำของท่านดูว่า
“ถามจริงๆ เหอะ ธุรกิจสุจริต ไม่มีอำนาจรัฐเอื้ออะไรบ้างนะ ที่ท่านทักษิณทำแล้วประสบความสำเร็จ” แล้วลองดูว่าจะได้คำตอบว่าอย่างไร? มีหรือไม่?
3.
จริงหรือที่ อำมาตย์คือผู้ถ่วงประเทศ ทักษิณคือผู้พัฒนาประเทศ? ตั้งแต่สมัยรัฐบาลป๋าเปรม ได้บริหารกิจการแผ่นดิน โดยสะกดนักการเมืองโกงๆ ได้มาก ได้พัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ดจนเป็นแหล่งพลังงานและปิโตรเคมีที่เป็นกำลังสำคัญที่แข็งแกร่งของประเทศ จนเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ที่แข่งขันได้สูงของโลกในระดับที่จะเป็นดีทรอยเอเชีย
แต่ทักษิณมุ่งแต่กอบโกย เอาอำนาจผูกขาด แก้ไขสัมปทานเอื้อประโยชน์กิจการที่ตนเป็นเจ้าของและเอาไปซุกหุ้น แล้วก็เอากิจการผูกขาดนั้น ไปประเคนขายประเทศสิงคโปร์
เตรียมยกพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารให้เขมร ซึ่งจะมีผลถึงแหล่งทรัพยากรทางทะเลไปด้วย จนฮุนเซนถึงขั้นตื่นเต้น มาดูพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหาร และอาจหาญถึงกับจะเข้ามาดูบริเวณปราสาทตาเมือนธม
ยิ่งให้บริหาร ก็อาจจะตัดชิ้นส่วนประเทศค่อยๆ ขาย และหาเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ภาพของเงินที่เก็บซ่อนในต่างประเทศ และการทยอยฟอกเงินผ่านสโมสรฟุตบอลหรือผ่านเหมืองเพชรย่อมยืนยันภาพของรูปแบบธุรกิจของทักษิณอย่างชัดเจน
4.
จริงหรือที่รัฐบาลอภิสิทธิ์บริหารงานไม่ได้เรื่อง หมดสภาพแล้ว ต้องอาศัยไม้ค้ำ? รัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารงานเพียงปีเดียว ถูกดูถูกโดยทักษิณและพวกหลายครั้ง เปรียบเหมือน “เด็ก 2 คน” คือ ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ และท่านรัฐมนตรีกรณ์
แต่จริงๆแล้ว แม้ปี 2552 เป็นปีที่ยากและท้าทาย วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์สร้างปัญหาทางการเงิน และวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก หลายคนเทียบว่า เป็นวิกฤตครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปี กลัวว่าจะใกล้เคียงสมัย 1930 ที่เรียกกันว่า เกรทดีเปรสชั่น (Great Depression) หลายคนประมาทว่าไทยจะเจอวิกฤตหนักกว่าต้มยำกุ้ง
ในประเทศก็มีปัญหาทางการเมืองที่เปราะบางเป็นอย่างยิ่ง ทักษิณและพวกป่วนรัฐบาล ป่วนชาติมาตลอดตั้งแต่ต้น จนหนักที่สุดคือ นำพรรคพวกถล่มการประชุมผู้นำอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพ และยกย่องผู้นำการทำลายการประชุมว่าเป็นวีรบุรุษ
แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับบริหารบ้านเมืองผ่านความลำบากมาได้ เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างดี เงินช่วยเหลือภาครัฐได้ออกแบบอย่างโปร่งใส ให้เข้ามือประชาชนอย่างทั่วถึง และออกแบบให้ใช้เงินเพื่อให้กลับมาสะพัดในระบบเศรษฐกิจอย่างได้ผล ทำให้กลไกทางเศรษฐกิจขับเคลื่อนไม่ติดขัด ส่งออกฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ในปลายปีจนยอดนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในเดือนธันวาคมสูงสุดในประวัติศาสตร์ไทย ขณะที่สหรัฐอเมริกายังมียอดคนว่างงานสูงระดับ 10% ไทยเรากลับสามารถลดจากจุดสูงสุดประมาณ 2% เหลือเพียง 1% เท่านั้น
ตอนนี้ระดับว่างงานต่ำมากจนกิจการเอกชนเริ่มหาคนทำงานได้ยาก ราคาสินค้าเกษตรก็ดีด้วยนโยบายประกันราคา โดยรัฐไม่ต้องมีภาระมากมายจากนโยบายจำนำเหมือนแต่ก่อน ในปีที่ยาก ไทยเรากลับผ่านมาได้โดยแทบไม่รู้สึกถึงวิกฤตเลย จะหาว่าบริหารงานไม่ได้ได้อย่างไร?
สำหรับคุณกรณ์ ก็เป็นหน้าตาของประเทศอีกท่านหนึ่ง โดยนิตยสารยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ The Banker เครือ Financial Times เลือก คุณกรณ์ รมว.คลัง ของไทย เป็นผู้ได้รับรางวัล “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโลกแห่งปี” อย่าปิดบังเรื่องเหล่านี้จากคนไทยด้วยกันเลยครับ
5.
จริงหรือที่นายอภิสิทธิ์ สั่งทหารฆ่าประชาชน ใครกันแน่ที่ “บ้าเลือด?” น่าเศร้าใจในความตกต่ำของอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ย้ำเท็จย้ำลวงอยู่นั่นเอง โดยยังใช้ “คลิปเสียง” ปลอมที่ตัดต่อเสียงนายกฯ อภิสิทธิ์อยู่เลย
ในวันที่ 16 มีนาคม ทักษิณได้กล่าวกับคนเสื้อแดงว่า วันนี้ตนมามาดใหม่เป็นนักวิเคราะห์ ผู้ที่เข้ามาวุ่นวายในบ้านเมืองต้องเป็นผู้มีปัญหาทางจิตแน่นอน ยิ่งฟังเสียงเทปอภิสิทธิ์สั่งการให้ใช้ความรุนแรง ตนว่าอภิสิทธิ์ป่วยแน่นอน “ที่มีแดงมีเหลือง นับวันเส้นขนานกว้างขึ้นยาวขึ้น” “กลุ่มอำมาตย์จึงเป็นที่มาสีเหลือง ... เป็นกลุ่มคุมอำนาจ มีทหาร ศาล เป็นเครื่องมือ ส่วนกลุ่มแดงมีฐานประชาชนเป็นหลัก...มาร่วมขับเคลื่อนเพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง” ทักษิณกล่าว
ใครกันแน่ที่พร้อมจะเห็นคนไทยฆ่ากันตาย? ในช่วงเดือนเมษายน 2552 ทักษิณก็บอกกับคนเสื้อแดงว่า “มากันเยอะๆ” “วันใดเสียงปืนแตก ท่านจะกลับมานำประชาชน” แต่ก่อนก่อความวุ่นวาย ครอบครัวบินหนีออกไปเสียก่อน มีการทำลายการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ยั่วยุปลุกปั่นผู้ชุมนุม จนมีการเอารถแก๊สมาตั้ง ทำให้คนมากมายหวาดกลัว เผารถเมล์ เผายางทำให้บ้านเมืองเกิดบรรยากาศลุกเป็นไฟ มีการทำร้ายประชาชนในชุมชนนางเลิ้งจนเสียชีวิต 2 คน “เสียงปืนก็แตกแล้ว ท่านอยู่ไหนครับ?” ไม่เพียงเท่านั้น แกนนำอยู่ไหนครับ?
ใครแน่ที่บ้าเลือด? เมื่อรัฐบาลถูกกดดันให้ปราบปรามผู้ก่อความวุ่นวายเดือดร้อน ท่านก็ไม่กลับมาจริง แกนนำผู้ชุมนุม ผู้ปลุกปั่นก็หายตัว หลังจากนั้น สิ่งน่าเศร้าคือ การ “หาศพ” คงเพราะ “ถ้าเป็นรัฐบาลท่าน มันต้องมีศพสิ” แต่กลับไม่พบศพ โลกพัฒนาไปมาก สื่อมวลชนติดตามมากมาย มีกล้องมากมายในสถานการณ์ คนเสื้อแดงเองก็ถือกล้องกันมากมาย แต่กลับไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้
แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้คือ “ความจงใจ” สร้างสถานการณ์ ยั่วยุคนเสื้อแดงให้สร้างความปั่นป่วนรุนแรง ยั่วยุให้รัฐบาล และทหารต้องใช้กำลังสะกดปราบปราม ยั่วยุให้ประชาชนผู้ไม่เกี่ยวข้องกดดันรัฐบาลให้จัดการให้เกิดความสงบเสียที หวังให้ต้อง “มีศพ” หรืออย่างไร? แม้เป็นคนของท่านก็ไม่สนใจ พร้อมสละได้หรืออย่างไร?
เหมือนครั้งนี้ที่เอาเลือดไปโยนเข้าบ้านนายกฯ คนเสื้อแดงก็น่าจะเห็นแล้วว่า ผู้นำคนเสื้อแดงตั้งใจยั่วยุให้เกิดความความรุนแรงเพียงไร? ในเมื่อทักษิณวิเคราะห์แล้วว่า ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ต้องเป็นโรคจิตตามคลิป แล้วพาคนที่สนับสนุนท่านไปเสี่ยงลบหลู่ท่านทำไม? ไปเสี่ยงกับคนที่ท่านกล่าวหาว่าเป็นโรคจิตสั่งฆ่าประชาชนทำไม? และเมื่อทำสำเร็จ กลับมีคนเสื้อแดงอีกจำนวนมาใช้ประเด็นว่า “รัฐบาลบริหารบ้านเมืองไม่ได้ เพราะขนาดบ้านนายกฯ ยังปกป้องไม่ได้” ก็ไม่รู้ว่าจะโกหกกันไปถึงไหน? แล้วคนที่ยังเชื่อ จะยังเชื่อไปถึงไหน?
การเคลื่อนไหวแรกของการชุมนุมครั้งนี้ ก็พาประชาชนไปท้าทายทหาร ไปที่ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ในเมื่อกล่าวหาว่าทหารภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นทหารที่ฆ่าประชาชน ท่านพาประชาชนที่รักท่าน หลงเชื่อท่านให้ไปท้าทายตั้งแต่แรกชุมนุมทำไม? ไปยั่วยุ ไปท้าทาย หวังต้องเห็นคนไทยฆ่ากันตายจริงๆ หรืออย่างไร? แต่ทหารที่กรมทหารราบ 11 แทนที่จะต่อสู้ด้วยรถถัง ปืนใหญ่ ปืนกล กลับจริงใจ ต่อสู้ด้วยไมโครโฟน และลำโพงเสียงอย่างดี สื่อสารภาษาไทย ภาษาอีสานอย่างจริงใจ จนคนเสื้อแดงเองก็ชอบใจ และเข้าใจความคิดของทหารอย่างแท้จริง หลายคนจึงเปลี่ยนใจกลับบ้านไปเลย เราจึงเห็นภาพว่า ท้ายขบวนยังไปไม่ถึงกองพันทหารราบ 11 เลยปรากฏว่าแกนนำประกาศให้กลับแล้ว เพราะสู้ “ความจริง” ของฝ่ายรัฐบาล และท่าทีที่แห่ง “ความรัก” จริงใจของทหารไม่ได้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกวิดีโอลิงก์มายังเวทีคนเสื้อแดงอีสาน ในวันที่ 31 ม.ค. ที่ขอนแก่นว่า “ทหารไทยวันนี้เป็นทหารแตงโมกันหมดแล้ว แต่งเสื้อเขียวแต่ใจแดงครับ มีทหารสับปะรดไม่กี่คน เสื้อเขียวแต่ใจเหลือง พวกนี้ก็ไม่ค่อยเป็นสับปะรดหรอกครับ” ต้องนับว่า คิดผิดอย่างแท้จริง แต่พูดถูกเพราะทหารที่ท่านกล่าวหาว่าเป็นสับปะรด กลับเป็นสับปะรดจริงๆ หากจะมีทหารแตงโม ก็คงไม่เป็นสับปะรดจริงๆ ก็ในเมื่อเป็นแตงโม จะเป็นสับปะรดได้อย่างไร?
เป็นครั้งแรก ที่หลายๆ คนจะรู้สึกว่า เสธ.แดงพูดเข้าท่าเรื่องโครงการ “เอาเลือดไพร่ ไปไล่อำมาตย์” โดยขอแถลงการณ์แทนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ไม่ใช่นโยบายของพ.ต.ท.ทักษิณ ขอให้ประชาชนอย่าเข้าใจผิด เพราะท่านไม่เคยสั่งให้ประชาชนเสียเลือดเนื้อ แต่เป็นแนวความคิดของแกนนำ นปช.เอง
แต่บิดความจริงไปไม่ได้ เพราะทักษิณพูดเองว่า “เป็นสัญลักษณ์ วันนี้เป็นการแสดงออกด้วยอุดมการณ์ที่พร้อมเสียสละเลือดเนื้อแต่ด้วยสันติวิธี” สะท้อนว่า
...ใครกันแน่ที่บ้าเลือด อยากเห็นเลือด
...ใครกันที่ใส่ร้าย ป้ายสี (เลือด) เพียงเพื่อจะพูดว่า “การก้าวเข้าทำเนียบฯ นั้น ต้องผ่านกองเลือดของผู้ชุมนุม” ทั้งๆ ที่ไม่มีการฆ่าคนไทยจริง คนไทยไม่ได้โกรธเกลียดแตกสามัคคีจริง รัฐบาลและทหารไม่ได้มีการฆ่าประชาชนจริง กลับป้ายสีไม่หยุด
ในฐานะคนไทยผู้รักชาติคนหนึ่ง ขอชื่นชมและให้กำลังใจท่านนายกฯ ที่เข้มแข็ง อดทน มีความรัก มีความให้อภัย จิตใจสูงส่ง แม้ฝ่ายทักษิณพยายามบอกว่าสังคมแตกแยกเป็นฝ่าย เป็นศัตรูกัน ต้องต่อสู้โดยพร้อมเสียสละเลือดเนื้อ การต่อว่า “พร้อมเสียสละเลือดเนื้อแต่ด้วยสันติวิธี” ก็คงบิดเบือนว่าเป็นสันติวิธียาก
ไทยทนได้พูดคุยกับคนเสื้อเหลือง และคนเสื้อสีใดๆ หลายๆ คน เป็นห่วงคนเสื้อแดงที่ถูกยั่วยุนำให้คนไทยโกรธกัน ทำร้ายกัน ดีที่คนไทยมีพ่อหลวงในใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่หลงกลทะเลาะกันง่ายๆ ทำร้ายกันง่ายๆ หากหลงเกิดความรุนแรงจริงๆ จนมีความบาดเจ็บต้องการเลือดช่วยคนเสื้อแดง ไทยทนเชื่อว่า คนเสื้อเหลือง หรือคนเสื้อสีใดๆ ก็พร้อมจะบริจาคเลือดให้ท่าน
... เพราะเราคนไทยสีใดๆ ไม่เคยเป็นศัตรูกัน อยากเห็นความรักสามัคคี ความสว่าง ความชอบธรรมมากกว่า
ไทยทนเชื่อว่า “คนเสื้อแดงไม่ใช่ไพร่ คนไทยไม่ใช่ขี้ข้า” นึกจะพาไปท้าทายทหาร ที่ท่านบอกว่าเป็นทหารที่ฆ่าประชาชนก็พาไป นึกจะพาไปทาเลือดโยนเลือดใส่บ้านนายกฯ ที่ท่านกล่าวหาเป็นโรคจิต จึงสั่งฆ่าประชาชนอย่างน่ากลัวตามคลิปเสียงก็พาไป นึกจะให้พี่น้องคนไทยต้องร่วมกันหลั่งเลือดอย่างไร้ประโยชน์ก็ทำ จึงขอส่งท้ายว่า “คนบ้าเลือด...ต้องออกไป” ครับ
ไทยทน.
.