วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ธกส. คือหน่วยงานรับใช้นายทุนหลอกใช้คนไทย







ความจริงเรื่อง รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ ร่วมมือกับพวกนายทุน หลอกใช้เกษตรกรไทย ผมเขียนมาในหลายบทความ ซึ่งผมรู้นานแล้วว่า หน่วยงานที่หลอกให้เกษตรกรหลงเดินทางผิดมาตลอด คือ กระทรวงเกษครและสหกรณ์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์

เพราะ 2 หน่วยงานนี้ มันมีคำว่า สหกรณ์ อยู่ในชื่อทั้งกระทรวงและหน่วยงานแท้ ๆ แต่ทั้ง2 หน่วยงานมันไม่คิดสนใจส่งเสริมระบบสหกรณ์ให้เกษตรกรอย่างจริงจัง แต่กลับไปรับใช้นายทุนปุ๋ย ยา และพวกพ่อค้าคนกลางแทน

----------------------

ช่วยคิดช่วยทำ ตอน เลิกจนอย่างยั่งยืนเพราะเศรษฐกิจพอเพียง

เมื่อเช้าวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ผมดูรายการช่วยคิดช่วยทำ ตอนตี 5 คุณศิริบูรณ์ ได้พาไปพบเกษตรกรหญิงท่านนึง ชื่อคุณวิไลวรรณ ธานี อดีตผู้ใหญ่บ้านหญิงรางวัลแหนบทอง ที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี

ซึ่งคุณวิไล อดีตก็เคยยากจนมาก่อน ซึ่งต่อมาเธอมาทบทวนวิถีชีวิตชาวนาว่ามันเริ่มผิดพลาด มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และเธอได้ค้นพบว่า

ตั้งแต่พ.ศ.2516 มีหน่วยงานธกส. ได้เข้ามาสอนให้ชาวบ้านหักร้างถางพงเพิ่มขึ้น สอนให้ชาวนาเพื่มเนื้อที่ในการทำนาให้เพิ่มขึ้น ขยายจำนวนไร่เพิ่มขึ้น แนะนำทำเกษตรเชิงเดี่ยว

แถมธกส. ยังสอนให้ชาวบ้านใช้ปุ๋ยเคมีเพิมขึ้น เพราะมันเห็นผลเร็ว เพื่อให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อนำไปขาย แถมสอนให้ชาวบ้านหันมาใช้เครื่องทุ่นแรงมากขึ้น เช่นรถไถนาในการทำนา จนชาวบ้านก็เริ่มขายวัวควายทิ้ง

ตั้งแต่บัดนั้น ชาวนาทุกคนในพื้นที่ก็ไม่เคยเลิกจนอีกเลย เป็นหนี้ธกส. กันถ้วนหน้า  แถมมีหนี้สินทุกครัวเรือนมาตลอด ตั้งแต่รุ่นพ่อ ยันมารุ่นหลาน

คุณวิไล ยังบอกอีกว่า ทุกครั้งที่เกษตรกรจะกู้เงิน ธกส. เช่นกู้เงิน 10,000บาท ธกส.จะให้เงินแค่ 7 พันบาท อีก 3พันบาท ต้องซื้อปุ๋ยจากที่คนของธกส.แนะนำ 

(เรื่องนี้ผมก็เคยได้ยินจากเด็กที่บ้านที่ดูแลแม่ของผม ได้เล่าให้ฟังเหมือนกัน ว่าใครกู้ธกส. ต้องซื้อปุ๋ยเคมีที่ คนของธกส. แนะนำ)

เพราะปุ๋ยเคมี ยิ่งใช้ ยิ่งต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นทุกปี หนี้สินจากต้นทุนการเกษตรก็เพิ่มขึ้นทุกปีไปด้วย

ดังนั้นผู้คนในพื้นที่ก็เริ่มเห็นแก่ตัวมากขึ้น เพราะต่างคนก็ต่างจน ต่างคนก็ต่างมีหนี้สิน จิตใจดี ๆ ที่เคยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ที่เคยมีมาในอดีต ก็เริ่มหายไปจนหมด

แต่เมื่อคุณวิไลหันกลับมายึดแนวเศรษฐกิจพอเพียง เลิกเชื่อนายทุน นำโดยธกส.ว่า ต้องใช้รถไถนา เลิกเชื่อเรื่องการใส่ปุ๋ยเคมีลงในนา

คุณวิไลหันกลับมาทำนาตามรุ่นปู่รุ่นย่าเคยทำ  ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีใหม่ (เกษตรประณีต) พร้อมทั้งหัดทำบัญชีครัวเรือนทุกวัน ทำและคิดแบบที่ในหลวงทรงสอน คือทำเพื่อกินก่อน ไม่ใช่ทำเพื่อขาย

ตั้งแต่บัดนั้นที่คุณวิไลเชื่อในหลวง คุณวิไลเธอก็เลิกจน ปลดหนี้ได้ ครอบครัวมีรายได้อย่างต่ำๆ เดือนละ 7 หมื่นบาท (เฉลี่ยจากรายได้ทั้งปี)

แถมเงินที่ใช้เพื่อซื้ออาหารในแต่ละวันก็น้อยมาก เพราะหาได้จากเรือกสวนในนาของเธอเอง

หากใครไม่เชื่อ หรือยังไม่เข้าใจ ก็ดูคลิปรายการตอนนี้ได้ครับ




--------------------------

แนะนำบทความเก่าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ความล้มเหลวของชาวนาไทยจากแผนเศรษฐกิจฯ ฉบับที่1 

บทความนี้เป็นบทความแรกของผม ที่ได้อธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเกษตรกรว่า ชาวนาโดนหลอกจากแผนของรัฐบาลอย่างไร สภาพพื้นที่นา ต้องโดนแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร ลองอ่านนะครับ ง่ายๆ และเห็นภาพเลย


-----------------------

ใครคือตัวตันเหตุ ความยากจนของเกษตรกรไทย

บทความนี้คุณจะเข้าใจว่า ไอ้ตัวต้นเหตุ มันคิดอย่างไร ถึงต้องหลอกให้เกษตรกรไทยยากจนทั้งชาติ

--------------------------

สวนลุงนิล มหัศจรรย์เศรษฐกิจพอเพียง

บทความนี้ นำเสนอเรื่องราวของชาวสวนที่เลิกเป็นหนี้ร่วม 3 ล้าน จากการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง จนมีรายได้ปีนึงๆ ร่วมๆ 10 ล้านบาท

-----------------------

ทำไมชาวนาอินเดียถึงยากจน เหมือนชาวนาไทย

บทความนี้ ชี้ให้เห็นว่า ชาวนาอินเดีย กับชาวนาไทย มีรากเหง้าแห่งความยากจนเหมือนกัน

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ11 ธันวาคม 2555 เวลา 03:27

    พระราชดำรัญของพระองค์ทรงหนักแน่นยิ่งนัก และทฤษฎี ของพระองค์ที่อยู่อย่างพอเพียงก็ทรงประเสริญนัก พ่อของเราเป็นชาวสวนอยู่หลายปี วันหนึ่งท่านไม่อยากทำสวนแล้ว (ที่จริงท่านมีสวนมาก สวนยางพารา สวนผลไม้แบบผสม และมีผักพื้นบ้านเหมือนรั่วกินได้ ที่เราจำความได้เมื่อครั้งยังเด็ก)ท่านจึงเปลี่ยนมาทำธุระกิจอย่างอื่นซึ่งตอนนั้นท่านคิดว่าอยากจะมีฐานะดีกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งตอนนั้นมันก็ดีอยู่แล้วในความรู้สึกของเราไม่ได้มันย้ำแย่อะไรพออยู่พอกินไม่มีหนี้สิน จากนั้นท่านเริ่มขายที่ดินบางส่วนเอาเงินไปลงทุนทำอะไรต่อมิอะไร เป็นเวลากว่าเกือบสิบห้าปี แต่ในสิบห้าปีไม่มีอะไรดีขึ้น เราประสบปัญหาในครอบครัวมากถึงมากที่สุด จนในที่สุดเวลาที่ผ่านมามันพิสูทธ์ตัวมันเองและเหมือนท่านจะรู้อะไรบางอย่างด้วยตัวท่านเองแล้ว เราห่างเหินกับท่านมากไม่ค่อยพูดคุยเป็นปีเราก็ไม่โทรไม่คุยด้วย ด้วยความคิดไม่ตรงกัน และคนเป็นลูกก็อยากนักที่จะเตือนผูู้เป็นพ่อได้ในบางครั้ง เราปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็น เราหวังและภวนาว่าสักวันหนึ่งท่านจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นชาวส่วนที่อยู่กับความพอดี ไม่หลงไหลไปกับสิ่งจอมปลอมที่ไม่ยั่งยืน ด้วยเราเป็นลูกที่ถูเลี้ยงมาให้เถียงพ่อไม่ได้ไม่ว่าถูกหรือผิด แต่เวลาที่เราพูดนั้นล้วนจัดเจนแม้จะทำให้ท่านไม่พอใจนัก เมื่อเราพูดไม่ได้บอกไม่ได้ มันจึงเป็นเหตุที่เราเลยต้องห่างท่านไปเหมือนลูกที่ใจดำไม่แย่แส แต่ในใจนั้นก็ยังคิดถึงท่านเสมอหวังว่าสักวันท่านจะเข้าใจและไม่ดันทุรังทำอะไรที่ไปไม่รอดอีก และท่านคงจะเริ่มคิดได้แล้วในเวลานี้ คนเราถึงจะไม่เหลือใครให้พึ่งได้นอกจากการกระทำของด้วยเอง และท่านกลับมาทำสวนอีกครั้งเป็นสวนผักผลไม้แบบผสม และท่านก็ทำสวนได้ดีมากฝรั่งเห็นยังชมเลย ว่า Good organics Garden ช่วงเวลานี้มันทำให้พ่อลูกได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง จนเราแอบบอกพ่อเราว่า ทฤษฎีของนายหลวงนี้ประเสริญนัก หากเรายังมีผื่นแผ่นดินอยู่เราก็จะอยู่อย่างพอเพียงได้ ทุกวันนี้ท่านมีรายได้ทุกวันจากการทำสวนในเนื้อที่แค่ 3 ไร่ ได้วัน 300-500 บาททุกวัน มีคนมารับผักที่บ้านทุกวัน แค่นี้มันก็พอแล้วกับชาวบ้านคนหนึ่งในบั้นปลายชีวิต ที่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร ความพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่แล้วต่างหากเล้า คือความพอเพียงที่แท้จริง เป็นตามจริงที่ในหลวงท่านทรงตรัสไว้แน่แล้ว ขอจงทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน..ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม

    ตอบลบ

เพิ่งเปิดรับการแสดงความคิดเห็นครับ ทุกความเห็นคือกำลังใจ
แล้วอย่าลืมแวะไปที่บล้อคมุมมอง-ใหม่เมืองเอกนะครับ ขอบคุณ/ใหม่ เมืองเอก