วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ถ้ายุคนี้คือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผู้ชู 3 นิ้วก็จะเป็นกลุ่ม กปปส.
จากกระแส หนังเดอะฮังเกอร์เกม Mockingjay - Part 1 ที่กำหนดฉายพร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 21 พฤศจิกายน แล้วก็มีกลุ่มต่อต้านรัฐประหารของ คสช. ออกมาเกาะกระแสหนังดัง แล้วชู 3 นิ้ว เพื่อแสดงสัญลักษณ์ต่อต้าน คสช.
จริง ๆ แล้วถ้าเป็นในสหรัฐอเมริกา ก็มีทั้งฝ่ายผู้สนับสนุนแนวคิดเสรีนิยม นำโดยพรรคเดโมแครต และผู้ที่สนับสนุนฝ่ายอนุรักษ์นิยม นำโดยพรรคริพับบลิกัน ต่างฝ่ายต่างก็อาศัยหนังเดอะฮังเกอร์เกม มาสนับสนุนแนวคิดฝ่ายตนเองทั้งสิ้นพอ ๆ กัน
ถ้าจะเปรียบกับการเมือง ผมว่า ถ้าตอนนี้เป็นยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลุ่มที่จะออกมาชู 3 นิ้ว ก็จะเป็นกลุ่ม กปปส. อย่างแน่นอน
แต่อย่าลืมนะว่า ตอนที่กลุ่ม กปปส. ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มักจะมีระเบิดถล่มกลุ่ม กปปส. ไว้เว้นแต่ละวัน
ในขณะที่การต่อต้าน รัฐบาลเผด็จการ คสช. กลับไม่มีความรุนแรงใด ๆ เกิดขึ้นกับผู้ชุมนุมเลย !!
Yingluck = Snow
-----------------------
ทีนี้เรามาดูสกู๊ปช่าวไทยพีบีเอส นำเสนอเรื่องการเมืองในสหรัฐ กับหนังเดอะฮังเกอร์เกม ดังนี้
การรุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลที่ปิดหูปิดตาประชาชนโดยกลุ่มผู้ประท้วงหนุ่มสาว คือเนื้อหาที่อยู่ในคลิปหนังสั้น A Movement On Fire ที่จัดทำโดย Tea Party Patriots กลุ่มอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ที่นำเนื้อหาการต่อสู้เพื่อโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการในหนัง The Hunger Games มาเป็นธีมในต่อต้านนโยบายทางการเงินของรัฐบาลนาย บารัค โอบามา ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเพิ่มหนี้สาธารณะเป็นประวัติการณ์ในสหรัฐฯ
เนื่องจากหนังได้ฉายในช่วงที่รัฐบาลของพรรคเดโมแครตซึ่งมีแนวคิดเสรีนิยมขึ้นมาปกครองประเทศ ทำให้หนัง The Hunger Games ถูกกลุ่มอนุรักษ์นิยมใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีรัฐบาลอยู่บ่อยครั้ง โดย ซาราห์ เซลท์เซอร์ นักวิจารณ์แนวคิดอนุรักษ์นิยมเขียนในบทความว่า The Hunger Games ถ่ายทอดความกดดันของผู้คนจากนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม ทำให้คณะบริหารของโอบามาดูไม่ต่างจากแคปิตอล หรือรัฐบาลเผด็จการในหนัง
ส่วน จอห์น โนลตี นักเขียนจากเว็บไซต์อนุรักษ์นิยม Breitbart.com กล่าวว่า Mockingjay - Part 1 ออกฉายในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องการหนังที่พูดถึงการโค่นล้มประธานาธิบดีที่สับปลับ และไม่ชอบด้วยกฏหมาย
แต่แนวคิดดังกล่าวถูกต่อต้านโดยกลุ่มแนวคิดเสรีนิยม โดย โดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ ผู้รับบทผู้นำเผด็จการในเรื่อง ที่แย้งว่า บารัค โอบามา ไม่มีสิ่งใดเหมือนกับ ประธานาธิบดีสโนว์ ผู้โหดเหี้ยมของ The Hunger Games แม้แต่น้อย และชี้ว่ากลุ่มอนุรักษ์นิยมโจมตีโอบามา เพราะการเป็นผู้นำผิวสีมากกว่าเหตุผลอื่นใด
ส่วน แวน โจนส์ อดีตที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมของเดโมแครต เปรียบเปรยว่าแม้หลายคนจะมอง The Hunger Games เป็นนิยายสไตล์ไซฟิคชั่น แต่สำหรับเขาแล้วหนังเรื่องนี้คือการนำเหตุประท้วงทางเชื้อชาติในเมืองเฟอร์กูสัน และการชุมนุมเรียกร้องความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจจากกลุ่มนายทุนใน ออคคูพาย วอลสตรีต มาฉายในเวอร์ชั่นภาพยนตร์นั่นเอง
แอนดรูว์ โอเฮียร์ นักวิจารณ์ภาพยนตร์ ระบุว่า ธีมอันเป็นสากลของ The Hunger Games ที่เล่าถึงการปะทะระหว่างผู้ปกครอง และผู้อยู่ภายใต้การปกครอง ทำให้ตัวหนังได้รับความนิยมจากทั้งกลุ่มเสรีนิยม และกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่เลือกหนังที่กำลังได้รับความสนใจของสาธารณชน มาเป็นสื่อสนับสนุนแนวคิดของตนพอๆ กัน
ที่มา ข่าวศิลปบันเทิงไทยพีบีเอส
---------------------------
ช่องว่างความแตกต่างรายได้ของดาราฮอลีวู้ด
ทีนี้เรามาดูรายได้ที่แตกต่างกันอย่างลิบลับระหว่างดาราดัง กับดาราสมทบ ในฮอลลีวู้ด บ้าง
อาชีพในฮอลลีวูดอาจเป็นที่ใฝ่ฝันของคนในวงการภาพยนตร์ทั่วโลก แต่ความจริงแล้วมีเพียงนักแสดงแถวหน้าเท่านั้นที่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
ขณะที่นักแสดงทั่วไปและผู้ที่ประกอบอาชีพอื่นๆในฮอลลีวูด อาจไม่ได้มีฐานะร่ำรวยเหมือนที่หลายคนเข้าใจ
รายได้ร้อยละ 7 ที่หักจากการทำเงินรอบโลกของ Iron Man 3 ส่งให้ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ นักแสดงนำได้รับค่าตัวถึง 75 ล้านดอลลาร์ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากรายได้ของมิคกี้ โรค ที่ได้รับค่าตัวจากบทวายร้ายในภาค 2 ไปเพียง 250,000 ดอลลาร์ ชี้ให้เห็นถึงกระแสของค่ายหนังทุกวันนี้ที่หันมาทุ่มทุนกับการว่าจ้างนักแสดงดังด้วยค่าตัวมหาศาล แต่ลดความสำคัญที่มีต่อนักแสดงสมทบอย่างมาก
ขณะที่เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ได้ค่าตัวเพิ่มจาก 5 แสน เป็น 10 ล้านดอลลาร์ ในเวลาแค่ 2 ปี หลังจากโด่งดังกับ hunger games
ส่วนลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ก็เป็นนักแสดงไม่กี่คนที่ทำเงินได้ถึง 20 ล้านเหรียญต่อหนังหนึ่งเรื่อง แต่สถิติของสมาคมนักแสดงสหรัฐเผยว่านักแสดงฮอลลีวูดทั่วไปจะมีรายได้เฉลี่ยที่ 52,000 เหรียญต่อปี โดยส่วนใหญ่ทำเงินจากการแสดงอย่างเดียวปีละไม่ถึงพันเหรียญด้วยซ้ำ
อาชีพที่นักแสดงหันมาใช้เป็นช่องทางหารายได้เสริมอย่างมากในวันนี้ คือ การให้เสียงในงานโฆษณา โดยนักแสดงชื่อดังอย่าง มอร์แกน ฟรีแมน หรือ ทิม อัลเลน สามารถทำเงินจากการลงเสียงในวันเดียวได้ถึงหลักล้านดอลลาร์ ส่วนนักพากย์เสียงทั่วไปจะทำเงินประมาณ 3,000-5,000 เหรียญ ต่อโฆษณาหนึ่งชิ้น
งานจอแก้วก็เป็นแหล่งทำเงินของชั้นดีของนักแสดงฮอลลีวูด เมื่อผู้ผลิตรายการโทรทัศน์หันมาเพิ่มเรตติ้งด้วยการจ้างดาราหนังมาแสดงละครมากขึ้น ซึ่งคิดเป็นต่าตัวถึง 3 ล้านเหรียญต่อซีซั่น มากกว่าดาราจอแก้วทั่วไปที่ได้รับค่าจ้างเพียง 10,000-20,000 เหรียญต่อตอนเท่านั้น
แต่หากเป็นนักแสดงซีรีส์ระดับแถวหน้าแล้ว ค่าตัวของพวกเขาแทบไม่เป็นรองดาราชั้นนำของฮอลลีวูด ทั้งทีมนักแสดงจาก Big Bang Theory ที่ได้ค่าตัวเพิ่มจากตอนละ 300,000-1,000,000 ดอลลาร์ ส่วนแอชตัน คูชเชอร์ ก็ได้เงินจากการปรากฏตัวใน Two and a Half Men เฉลี่ยนาทีละ 34,000 เหรียญเลยทีเดียว
อาชีพที่เสี่ยงตายที่สุดในฮอลลีวูดอย่างสตันต์แมน ถือเป็นอาชีพที่เอาแน่เอานอนเรื่องรายได้ยากที่สุดเช่นกัน ขณะที่สตันต์แมนแถวหน้าอย่างทอม แม็คโคมาส ทำเงินได้ถึง 5 แสนดอลลาร์ต่อปี หรือ หยวนวูปิง ตำนานผู้กำกับคิวบู๊ก็ยอมรับว่า ในยุครุ่งโรจน์เขาเคยทำเงินเกินล้านเหรียญต่อปีมาแล้ว
แต่รายได้เหล่านี้เกิดขึ้นกับสตันต์แมนเพียงร้อยละ 1 ของวงการเท่านั้น โดยสหภาพแรงงานนักแสดงสหรัฐฯ ระบุว่ารายได้เฉลี่ยของสตันต์แมนอยู่ที่วันละ 30,000 บาท หรือ 1,600,000 บาทต่อเรื่อง ซึ่งแทบจะไม่พอใช้รักษาตัวหากเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งระหว่างหยุดพักงาน พวกเขาก็แทบจะไม่มีรายรับใดๆ เลย
ขณะที่บรรดาเอ็กซ์ตร้าหรือนักแสดงประกอบฉาก ได้เงินจากการปรากฏตัวในฉากประมาณวันละ 5,000 บาท บรรดานักแสดงสัตว์ที่โชว์ความสามารถพิเศษกลับทำเงินได้เยอะกว่ามาก
โดยเฉลี่ยสุนัขและแมวในฮอลลีวูดจะมีรายได้ต่อวันที่ 13,000 บาท ส่วน Crystal the monkey เจ้าจ๋อแสนรู้จาก Animal Practice ทำเงินจากการออกโทรทัศน์ 9 ครั้งได้เกือบ 3,500,000 บาท
ที่มา ข่าวศิลปบันเทิงไทยพีบีเอส
คลิกอ่าน เจนนิเฟอร์ ชูนิ้วกลาง ให้นักศึกษาที่ชู 3 นิ้ว
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
เพิ่งเปิดรับการแสดงความคิดเห็นครับ ทุกความเห็นคือกำลังใจ
แล้วอย่าลืมแวะไปที่บล้อคมุมมอง-ใหม่เมืองเอกนะครับ ขอบคุณ/ใหม่ เมืองเอก