วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ตถตา เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ






คำว่า ตถตา นั้น หลวงพ่อพุทธทาสได้เทศนาไว้หลายครั้ง ท่านเคยอธิบายว่า หัวใจพุทธศาสนาจริง ๆ แล้ว ย่อเหลือแค่คำว่า ตถตา เท่านั้น

ตถาตา แปลว่า เช่นนั้นเอง

หากเราเข้าใจอย่างถ่องแท้และยอมรับกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง เราก็จะเข้าถึงหัวใจแห่งการหลุดพ้นในพุทธศาสนาได้ไม่ยาก

นั่นก็คือ การปล่อยวาง ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เพราะมันก็เป็นเช่นนั้นเอง


ผลงานรูป อ.เจริญ กุลสุวรรณ

--------------

ผมชอบมากกับคำว่า ตถตา = มันเป็นเช่นนั้นเอง

บางครั้งเราอาจรู้สึกว่า มีเหตุการณ์บางอย่างที่เรารู้สึกว่า ทำไมไม่ยุติธรรมกับเราเลย

แต่ความเป็นจริง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา มันยุติธรรมสำหรับเราแล้วในเวลานั้น ๆ แล้วทั้งสิ้น

เพียงแต่เราอาจจำสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุแบบนั้นกับเราไม่ได้ เราจึงคิดว่า มันเหมือนไม่ยุติธรรมกับเรา

แต่ความจริงกฎแห่งกรรมนั้นยุติธรรมที่สุดแล้ว

กฎแห่งกรรม ความหมายก็คือ กฎแห่งการกระทำของเรา ทั้งกรรมในอดีตและกรรมในปัจจุบันที่เรากระทำทุกอย่าง ล้วนส่งผลต่อชีวิตเราทั้งสิ้น

กฎแห่งกรรม จึงเป็นเสมือนพระเจ้าของตัวเราเอง 

ซึ่งการกระทำดี หรือการกระทำชั่ว การกระทำแต่ละอย่างอาจส่งผลช้าเร็วกับเราไม่เท่ากัน จึงทำให้หลายคนไม่เข้าใจกฎแห่งกรรมดีพอ จึงมักหลงผิดไปว่า

ทำไมคนทำดีบางคนทำดีแต่กลับไม่ได้ดี แต่คนบางคนทำชั่วกลับได้ดีมีถมไป

ใครที่ไม่เข้าใจกฎแห่งกรรม จึงมักจะถูกนำพาให้หลงผิดคิดเข้าใจว่า ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป ซึ่งนี่คือ มิจฉาทิฏฐิ

มิจฉาทิฎฐิ จะตรงกันข้ามกับ สัมมาทิฏฐิ 10 ประการ

ซึ่งสัมมาทิฏฐิ 10 ประการคือ

1. ทานที่ให้แล้วมีผลจริง
2. ยัญ(การสงเคราะห์)ที่ทำแล้วมีผลจริง
3. การเซ่นสรวงหรือการบูชามีผลจริง
4. วิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีผลจริง
5. โลกนี้มีจริง
6. โลกหน้ามีจริง
7. มารดามีคุณจริง
8. บิดามีคุณจริง
9. สัตว์ที่ผุดเกิดขึ้นมีจริง
10. พระอรหันต์ผู้ สามารถรู้แจ้งโลกนี้โลกหน้ามีอยู่จริง

ดังนั้นไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ตาม ทั้งเรื่องดีหรือเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นกับเรานั้น มันยุติธรรมเสมอ และผลของการกระทำที่เราก่อไว้ ย่อมสนองผลกับเราอย่างยุติธรรมแน่นอน

เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง

ดังนั้นเมื่อเราทุกข์ ก็จงใช้ความทุกข์นั้นเพื่อพัฒนาจิตใจและการกระทำของเราให้ดีขึ้น

จงอย่าใช้ความทุกข์ของเราไปทำร้ายใคร เพราะมันจะย้อนกลับมาทำร้ายเราอีกครั้ง

จำไว้ยิ่งทุกข์ต้องยิ่งสร้างกุศล

แล้วกุศลจะช่วยให้เราได้พ้นทุกข์ จากที่เราเคยคิดว่า มันไม่ยุติธรรมกับเราให้พ้นไปได้เร็วขึ้น ครับ


----------------

พระพุทธองค์ ทรงสอนพวกเราว่า....



พระพุทธประทานยศบารมี หน้าตัก 9 นิ้ว ผลงาน อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์


1.ไม่ว่าเราได้พบเจอใคร เขาเหล่านั้น คือคนที่เราจะต้องได้พบเจอ ไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเราด้วยเหตุบังเอิญ

2.ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวใด ๆ ขึ้นในชีวิตเรา มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิด ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย เราต้องยอมรับมัน ไม่มีเรื่องใดที่บังเอิญ เพราะเราเคยทำแบบนี้กับเขามาในอดีต

3. เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาใด นั่นคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่ควรเกิด เพราะมันต้องเกิด ต่อให้เราเตรียมตัวหรือไม่ได้เตรียมตัว เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม สิ่งเหล่านั้นก็ต้องเกิดขึ้น

4. เมื่อปัจจัยจบ ต้องยอมรับว่าจบ อย่าเหนี่ยวรั้ง อย่าอาลัยอาวรณ์ ขอให้เรารู้ว่า เมื่อสุดมือสอย ก็ต้องปล่อยมันไป และกล้าเผชิญในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะมีเรื่องดีๆ กำลังรอเราอยู่ข้างหน้าเสมอ

5. ทำความดี ในปัจจุบันให้มากที่สุด โดยไม่ต้องสนใจว่า เราเคยทำกรรมอะไรในอดีตมาบ้าง เพราะคิดไปก็เปล่าประโยชน์ เราทำอะไร กับกรรมเก่าไม่ได้แล้ว

แต่ผู้มีปัญญาเท่านั้น จะรู้ว่ากรรมใหม่ดี ๆ มีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ และควรทำทันที

สรุปคือ หมั่นทำกรรมดีในปัจจุบัน สำคัญที่สุด

ขอบคุณข้อเขียนเรื่องพระพุทธเจ้าทรงสอน.. โดย คุณเก๋เอ็มเค

คลิกอ่าน กฎแรงดึงดูด vs กฎแห่งกรรม



วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

กฎแห่งแรงดึงดูด vs กฎแห่งกรรม โดย ดังตฤณ









กฎแห่งการดึงดูด หรือ Law of Attraction
เป็นที่กล่าวถึงมานาน
แต่เพิ่งระยะหลังเป็นที่รู้จักแพร่หลายขึ้นมา
ก็ด้วยหนังสือดังคือ The Secret ของรอนดา เบิร์น
มีใจความย่นย่อที่สุดคือ
‘คิดอย่างไร ได้อย่างนั้น’

เช่น ถ้าคิดบวก จะได้เรื่องบวก ๆ
หรือมีคนคิดบวกด้วยกันถูกดึงดูดเข้าหา
ถ้าคิดลบ จะได้เรื่องลบ ๆ
เข้าตำราเกลียดอย่างไรได้อย่างนั้น

สิ่งที่ทำให้กฎแห่งการดึงดูดเป็นที่รู้จัก
คือขั้นตอน หรืออุบายปรับทัศนคติ
ซึ่งเมื่อทำตามแล้วได้ผล
ผลดีบางอย่างก็เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทันใจ

อย่างไรก็ตาม การนำความเชื่อบางอย่าง
เกี่ยวกับกฎแห่งการดึงดูดมาประยุกต์
ก็ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยว่าเป็นไปได้หรือ
เช่น การสร้างจินตภาพผู้ชนะอย่างแน่วแน่
ในที่สุดต้องได้ชัยชนะเสมอไปหรือเปล่า?

ข้อเท็จจริงคือ ในการแข่งขันที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากๆ
ต่างฝ่ายต่างก็ซ้อมมาดี
ถึงเวลาลงแข่งจริงก็มุ่งมั่น
และมีจินตภาพขึ้นแป้นหมายเลข ๑ เท่าๆกัน
ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้ที่ ๑ เหมือนกันหมด
เพราะต้องมีเพียงคนเดียวที่พิชิตความเป็นหนึ่งได้สำเร็จ

นั่นหมายความว่า
แค่คิดมุ่งมั่นหรือจินตนาการแน่วแน่อย่างเดียวไม่พอ
ทักษะความสามารถต้องกินขาด
แล้ว ‘ดวง’ ในวันนั้นต้องดีด้วย
ถ้าดวงซวย ท้องร่วงเข้าส้วมไม่หยุด
นอนไม่ดี เส้นพลิกเดี้ยงคาเตียง
หรือเกิดอุบัติเหตุสุดวิสัยระหว่างเดินทาง
ต่อให้เก่งอย่างไรก็โดนจับแพ้วันยังค่ำ

บางคนโยงเรื่อง ‘ดวง’ มาเอี่ยวกับกรรมเก่า
ซึ่งก็ถูก แต่ถูกกว่านั้นคือแม้ ‘จินตภาพ’ หรือมโนนึก
ที่แท้ก็เป็นกรรมด้วย เรียกว่า ‘มโนกรรม’

อันว่ามโนกรรม ซึ่งนับเป็นกรรมใหม่นี้
เกี่ยวข้องกับเรื่องของอำนาจจิตอยู่ด้วย
เช่นที่ว่า เกลียดอย่างไรได้อย่างนั้น

ก็เพราะความเกลียดทำให้จิตยึดสิ่งที่เกลียดเหนียวแน่น
จะต้องได้ก่อกรรมกับสิ่งที่เกลียดบ่อย ๆ
เช่น บางคนตั้งตนเป็นศัตรูกับ รปภ.
ก็เจอ รปภ. กวนโอ๊ย
ต้องมีปากมีเสียงกับ รปภ. เรื่อย ๆ ไม่ซ้ำหน้า

อำนาจจิตนั้น ถ้าเข้มข้นพอ
พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า อะไรๆก็เกิดขึ้นได้
ดังที่พระองค์ตรัสบ่อย ๆ คือ
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ
ให้เผาเมืองด้วยใจที่สำเร็จเตโชกสิณชั้นสูงก็ยังไหว

อย่างไรก็ตาม
ไม่ใช่ฤาษีสำเร็จฤทธิ์ที่ไหนนึกอยากเผาก็เผาได้
ถ้าเมืองมีผู้คน และวิบากกรรมของผู้คนเหล่านั้น
ยังไม่ถึงฆาต หรือยังไม่ถึงคราวเคราะห์ต้องไร้บ้าน
อภิญญาของฤาษีก็พัง รวมจิตเป็นสมาธิไม่ได้
หรืออีกทีก็ขาดใจตายไปเลย
เรียกว่าแพ้ภัยตัวเอง
ที่เจตนาร้ายกับคนที่ดวงยังดีอยู่
วิบากดีของพวกเขายังเป็นเกราะแก้วคุ้มภัยอยู่
ให้จินตภาพแจ่มจ้า อภิญญาใหญ่อย่างไรก็พ่าย

ว่ากันเรื่องดึงดูดคนประเภทเดียวกันเข้าหาตัว
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
คนทั้งหลายเข้ากันได้โดยธาตุ
คนเลวไปกันได้กับคนที่มีนิสัยเลวด้วยกัน
คนดีไปกันได้กับคนที่มีนิสัยดีงามด้วยกัน
(ธาตุโสสังสันทนสูตร)

กล่าวโดยย่นย่อ
มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม
จะจูนคลื่นจิต คลื่นชีวิตให้เข้าหาคนธาตุเดียวกัน
และผลักไสให้คนต่างธาตุออกห่าง
(อาจค่อย ๆ เป็นไป หรือพรวดพราดฉับพลัน ตามเหตุปัจจัย)

อย่างไรก็ตาม เช่น ถ้ากรรมเก่าส่งคุณไปอยู่เกาหลีเหนือ
ต่อให้คุณทำตัวเป็นประชาธิปไตยอย่างไร
ทำตัวเป็นแบบอย่างในทางยุติธรรมแค่ไหน
ขืนฮึดสู้ ลุกขึ้นป่าวร้องเรียกสิทธิมนุษยชน
ก็คงไม่เจอใครเอาด้วยง่าย ๆ
เพราะจะโดนจับยิงเป้าหมดเกลี้ยงภายใน ๒๔ ชั่วโมง

ทางเลือกที่เหลืออาจจะต้องทำกรรมใหม่
ในทางให้สิทธิความชอบธรรมแบบประชาธิปไตยกับใคร ๆ
รอตายแล้วเกิดใหม่ในประเทศที่ไม่เป็นเผด็จการ
หรือไม่ก็ภาวนารอคอยให้ระบบสืบทอดอำนาจเจ๊ง
ด้วยปัจจัยภายในหรือภายนอกถล่ม นั่นแหละค่อยยิ้มออก

หรือถ้าคุณเป็นคนดี มีศีลธรรมออกมาจากกลางใจ
อดีตชาติเคยเป็นคู่ครองกับใครบางคน
ที่ดีพอจะบันดาลใจให้นึกอธิษฐานขอครองคู่ไปทุกชาติ
เกิดใหม่ชาตินี้เลยดึงดูดใจให้ยอมลงหลักปักฐานด้วยอีก
แต่ชีวิตปัจจุบันของเขาหรือเธอ
ดันคบพาลเป็นมิตร คิดแต่เรื่องเลว ๆ
ทั้งรีดไถ ทั้งนอกใจ ทั้งปั้นน้ำเป็นตัว
ทั้งหยาบคาย ทั้งใช้ความรุนแรง
อันนี้ถ้าดูจากกฎแห่งการดึงดูดอย่างเดียว
นึกว่าทำตัวเป็นคนดีคงได้คู่ดี ก็คงเหลว

สรุปคือ กฎแห่งกรรมแบบที่พุทธเปิดเผยนั้น
เป็นเหตุเป็นผล ไม่ได้ขัดแย้ง แต่อธิบายได้ครอบคลุมกว่า
ดังเช่นที่คนเราชอบคบกันโดยธาตุนั้นถูก
แต่เมื่อใครมีธาตุแบบหนึ่ง ก็ไม่ใช่จะมีโอกาสเจอคนธาตุเดียวกันเสมอไป
ถ้ากรรมเก่ากรรมใหม่ให้ผลในแบบที่ไม่เอื้อ

แม้แต่ความรู้เกี่ยวกับดีเอ็นเอในปัจจุบัน
ก็ช่วยยืนยันกฎแห่งกรรมได้ชัด
เช่น ความถนัดที่มีมาก่อนเกิด น่าจะดึงดูดอาชีพแบบใด
ช่วงปีไหนในชีวิต ที่จะดึงดูดโรคร้ายเข้าหา
แนวโน้มที่จะหน้าตาดีร้าย มีสิทธิ์ดึงดูดคนเข้ามามากเพียงใด

ที่ผ่านมา จะคิดว่าตัวเองโชคร้ายขนาดไหนก็ช่าง
แต่มองให้เห็นเถิดว่า
ภูมิมนุษย์จะจัดเตรียมบางสิ่งที่ดี ๆ ไว้ให้คุณเสมอ

ภูมิมนุษย์คือโอกาสทองทางกรรมดี
ภพแห่งความเป็นมนุษย์ครั้งนี้ มีโอกาสรอดจากทุกข์
อย่างน้อยพุทธศาสนายังอยู่
ทางแห่งการดับทุกข์ยังเปิดกว้าง
เมื่อเห็นอย่างนี้ ปักใจเชื่ออย่างนี้ จินตภาพชัดอย่างนี้
ใจคุณก็เปิดสว่าง พร้อมฉายพลังกุศลออกมาเดี๋ยวนี้แล้ว!

บทความโดย ดังตฤณ

----------------------

มีคนถามคุณดังตฤณว่า 

" ถ้าพื้นดวงเราบอกไว้ว่าคนเกิดปีนี้วันนี้ราศรีนี้ จะเจอเรื่องแย่ๆ เช่นเป็นคนที่ไม่สมหวังกับความรัก หรือพึ่งพาคนรักไม่ได้ ทำคุณคนไม่ขึ้น หรืออะไรอย่างนี้อะคะ เราสามารถเปลี่ยนดวงได้มั้ยคะ เปลี่ยนชะตาให้เป็นคนที่ทีความสุขเต็มร้อยบ้าง หรือเราต้องสร้างกรรมดีแล้วไปรับผลชาติหน้าเลย แล้วทำอย่างไรเราถึงจะพ้นวิบากกรรมจากเรื่องพวกนี้คะ"


คุณดังตฤณ ตอบว่า

"งัดข้อกับกรรมเก่า อาจเหนื่อย แต่เป็นไปได้ครับ ครูบาอาจารย์ทางโหราศาสตร์รุ่นเดอะก็สอนสานุศิษย์ไว้ ถ้าใครถือศีลได้สะอาดหมดจด ถ้าใครทำบุญช่วยคนเยอะ ๆทุกวัน จะทายอะไรให้แทงกั๊กไว้หน่อย เรื่องร้าย ๆ ที่ได้คิวนี่ ผิดคิวระเนระนาดหมด (เคยเห็นกับตานะครับ บางคนเกาหัว เสียเซลฟ์ไปเลยก็มี) "

---------------

ใหม่เมืองเอก สรุปบทความ

กฎแห่งกรรม คือกฎแห่งพระเจ้า เป็นต้นกำเนิดแห่งกฎทั้งปวงในสากลโลก

ดังนั้น กฎแห่งกรรม จึงเป็นยูเนี่ยนของทุกกฎ โดยมีกฎแห่งแรงดึงดูดเป็นสับเซ็ตในกฎแห่งกรรมอีกที

ในหลักของพุทธศาสนา ถ้าเราคิดดี ทำดี พูดดี เอื้อเฟื้อเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ นั่นแหละคือ กฎแห่งแรงดึงดูดที่จะดึงดูดโชคดีต่าง ๆ มาหาเรามากมาย

แต่ก็นั่นแหละ การควบคุมจิต การรักษาจิตให้คิดดีคิดบวกอยู่เสมอนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย



วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พระพุทธเจ้าสอนให้ร่ำรวย





ศาสนาพุทธสอนให้รวย ?

มีชาวพุทธไทยจำนวนมากไม่เข้าใจหลักศาสนาพุทธดีพอ บ้างก็ทำบุญหวังร่ำรวยมากเกินไป จนกลายเป็นเหยื่อให้พวกสมีห่มเหลืองบางคนหลอกให้ทำบุญเยอะ ๆ เพื่อซื้อสวรรค์วิมานรอไว้ก่อนเมื่อตายไปแล้วจะได้ไปอยู่

ทำให้มีชาวพุทธจำนวนที่หลงในการทำบุญเลยเข้าใจความหมายของการทำบุญผิดไป กลายเป็นว่า ทำบุญเพราะความโลภหวังโน่นหวังนี่ ทั้ง ๆ ที่ การทำบุญนั้นมีเจตนาเพื่อลดความโลภในจิตใจ

บางคนก็เข้าใจผิดแถมตีความผิดไปอีกว่า เมื่อศาสนาพุทธสอนให้ลดละกิเลสและความโลก ก็เลยตีความผิด ๆ ไปอีกว่า ศาสนาพุทธนั้นสอนให้คนต้องอยู่อย่างสมถะ จึงห้ามร่ำรวย เพราะความร่ำรวย แปลว่า โลภ ทั้ง ๆ ที่ ชาวพุทธตั้งแต่สมัยพุทธกาลที่ร่ำรวยมหาศาลก็มีมากมาย

แต่ความจริงพระพุทธเจ้าของเราทรงไม่เคยห้ามฆราวาส อุบาสก และอุบาสิกา ร่ำรวยนะครับ หลักธรรมในระดับฆราวาสนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำมาหากินจนร่ำรวยได้ครับ และทรงสอนเหตุแห่งความร่ำรวยไว้ด้วย

คนเราสามารถร่ำรวยได้โดยไม่ต้องโลภ นั่นคือ ดำเนินวิถีชีวิตตามหลักความพอเพียง

ส่วนที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามรวย ทรงสอนให้อยู่อย่างมักน้อยสมถะ อยู่อย่างยากจนทรัพย์สิน นั้น พระพุทธเจ้าทรงหมายถึง เพศบรรพชิต เท่านั้นครับ นั่นคือ ภิกษุ ต้องอยู่อย่างยากจน

ดังนั้นหลักดำเนินชีวิตของฆราวาส (บุคคลผู้บริโภคกามในโลก) กับหลักประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์ นั้น จึงมีความแตกต่างกันอยู่ ตรงนี้ขอให้เราชาวพุทธต้องหัดแยกแยะ และอย่าสับสน

เหตุเพราะฆราวาสยังต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ การมีฐานะดี ร่ำรวย หาทรัพย์มาโดยสุจริต จึงยังเป็นสิ่งจำเป็นของบุคคลผู้บริโภคกามในโลกต่อไป

แม้แต่ความหรูหราในสายตาชาวบ้าน ก็ไม่ใช่ข้อห้ามอะไรในการเป็นอุบาสกอุบาสิกาที่ยังมีความอยากหรูหราอยู่

ตัวอย่างเช่น เครื่องประดับกายของนางวิสาขา ที่เรียกว่า มหาลดาปสาธน์ ซึ่งนางวิสาขาเป็นอุบาสิกาคนสำคัญในสมัยพุทธกาล เครื่องประดับกายของเธอก็หรูหราอลังการอย่างมาก ตามที่พระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ว่า ต้องใช้เพชร ทองคำ จำนวนมหาศาล และใช้เวลาสร้างนานถึง 4 เดือนจึงแล้วเสร็จ

คลิกอ่าน พระไตรปิฎกตอนประวัตินางวิสาขา 

ดังนั้น ถ้าคุณเห็นใครที่เขาปฏิบัติธรรมแต่รวยมหาศาล แถมจิตใจของเขาก็ยังติดในความหรูหราร่ำรวยอยู่ ซึ่งความหรูหรานั้นก็อาจเป็นความพอเพียงในระดับมหาเศรษฐี

เราอย่าเพิ่งรีบด่วนไปตัดสินใครว่า เขาพอเพียงหรือไม่พอเพียง โดยทันทีนะครับ

เพราะความพอเพียงของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน ความพอเพียงของเศรษฐีย่อมไม่เท่ากับความพอเพียงของคนจน

ดังนั้นเราต้องพิจารณาเรื่องรายได้ของเขาด้วยว่า เขาใช้จ่ายสมกับฐานะเขาหรือไม่ เขาหาทรัพย์นั้นมาโดยสุจริตหรือไม่

หากผู้ใดหาทรัพย์นั้นมาโดยสุจริตจนร่ำรวย มีความเป็นอยู่สุขสบายกว่าเรา เราก็ควรมุทิตาจิตกับเขานะครับ อย่าลืม


ตัวอย่างหนังสือในท้องตลาดเกี่ยวกับความรวยตามหลักพุทธศาสนา





เจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนออกผนวช ทรงร่ำรวยไหม ?

ทำไมพระพุทธเจ้า สมัยทรงเป็นฆราวาสต้องร่ำรวย ?

ฝากให้คิดเล่น ๆ ครับ

--------------------


ความจน - ความรวยในพระพุทธศาสนา 
ที่มา เว็บบ้านธัมมะ


หนึ่งในความยากลำบากที่น่ากลัวที่สุดในการดำเนินชีวิตของคนในระหว่างที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดก็คือ ความยากจน

เพราะว่าความยากจนเป็นสิ่งที่บีบคั้นให้เกิดปัญหาอีกหลายอย่างขึ้นในโลก ความยากจนเป็นความลำบากทั้งกายและใจอย่างแสนสาหัสที่เกิดจากการไม่มีทรัพย์

บางคนถูกความยากจนบีบคั้นอย่างหนัก เพื่อให้ได้ทรัพย์มาใช้เลี้ยงชีวิตของตนและคนในครอบครัวให้ผ่านไปในแต่ละมื้อ แม้ต้องยอมตนเป็นคนรับใช้ผู้อื่นก็ยินยอม

คนจนต้องใช้หยาดเหงื่อแรงกายและน้ำตาจากความเจ็บช้ำน้ำใจเพื่อแลกกับปัจจัย ๔ มาเลี้ยงชีวิต บางคนยอมเสี่ยงชีวิตทำงานหนักทั้งที่ยังป่วย บางคนยอมขายอวัยวะเพื่อแลกกับเงินมาซื้อข้าวกิน

ชีวิตของคนจนจึงเป็นชีวิตที่ต้องทนกับความร้อนและความหนาวของสภาพดินฟ้าอากาศให้ได้ ทนความยากลำบากให้ได้ ถ้าทนไม่ได้บางคนถึงกับต้องอดตาย นี่คือสภาพของคนจนที่ไม่มีวันบรรยายได้หมดสิ้น พอ ๆ กับเสียงร่ำไห้ของคนยากจน ที่ไม่เคยเว้นวรรคแม้แต่นาทีเดียวในโลกนี้

ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงไม่ทรงปรารถนาให้ใครเกิดมาเป็นคนยากจน พระพุทธองค์ทรงต้องการให้มนุษย์รื้อผังความจนออกไปจากชีวิตให้หมดสิ้น และทรงชี้โทษของความจนไว้ต่าง ๆ นานา รวมทั้งทรงพรรณนาถึงคุณของการแก้ปัญหาความจนอย่างถูกหลักวิชาไว้มากมาย ซึ่งหากกล่าวโดยย่อมี ๓ ประการดังนี้

๑. พระพุทธองค์ทรงตำหนิความยากจนไว้ใน “อิณสูตร”
๒. พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า ความยากจนบีบคั้นให้มนุษย์ทำความชั่วได้ง่าย
๓. พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า ความรวยเป็นคุณูปการให้สร้างบุญได้ง่าย

โดยสามารถอธิบายรายละเอียดแต่ละหัวข้อได้ดังนี้

๑. พระพุทธองค์ทรงตำหนิความยากจนไว้ใน “อิณสูตร”

ในเรื่องการสร้างตัวสร้างฐานะของชาวพุทธนั้น พระพุทธองค์ไม่ทรงห้ามชาวพุทธร่ำรวย 

ในทางตรงข้าม พระพุทธองค์ทรงห้ามชาวพุทธยอมแพ้ต่อความยากจน โดยถึงกับทรงแจกแจงความทุกข์ของคนจนอย่างหมดเปลือก เพื่อให้ชาวพุทธเห็นโทษภัยของความยากจน ใครอยู่ในวัยที่กำลังสร้างตัวสร้างฐานะจะได้ไม่เกียจคร้าน

ส่วนผู้ที่ตั้งหลักฐานได้แล้วจะได้ไม่ประมาทในการสร้างบุญ ดังปรากฏอยู่ในอิณสูตร ซึ่งพระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงความจนไว้ว่า “ความเป็นคนจนเป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก” และทรงอธิบายไว้ดังนี้

- ความจนเป็นทุกข์ของคนในโลกที่ยังครองเรือนอยู่

- คนจนเข็ญใจยากไร้ย่อมกู้หนี้ แม้การกู้หนี้ก็เป็นทุกข์ในโลก

- ครั้นกู้หนี้แล้วก็ย่อมต้องใช้ดอกเบี้ยแม้การต้องใช้ดอกเบี้ยก็เป็นทุกข์ในโลก

- คนจนเข็ญใจยากไร้ครั้นใช้ดอกเบี้ยแล้ว ไม่ให้ดอกเบี้ยตามกำหนดเวลา พวกเจ้าหนี้ย่อมตามทวงเขา แม้การถูกตามทวงหนี้ ก็เป็นทุกข์ในโลก

- คนจนเข็ญใจยากไร้ เมื่อถูกเจ้าหนี้ทวงแล้วยังไม่มีให้ พวกเจ้าหนี้ก็เลยติดตามแม้การถูกติดตามก็เป็นทุกข์ในโลก

- คนจนเข็ญใจยากไร้ถูกเจ้าหนี้ติดตามทัน ยังไม่ทันจะให้ พวกเจ้าหน้าที่ก็จับเขามาจองจำเสียแล้ว แม้การถูกจองจำก็เป็นทุกข์ในโลก

การที่พระองค์ทรงกล่าวเช่นนี้ เพราะต้องการเตือนสติให้ชาวพุทธทั้งหลาย “ไม่ประมาท” ในการดำเนินชีวิต คือ

- ให้กลัวความยากจน
- ให้ตั้งใจกำจัดความยากจนอย่างถูกวิธี
- ให้ป้องกันความยากจนข้ามภพข้ามชาติ

เพราะฉะนั้น เมื่อชาวพุทธมีสติระลึกนึกถึงอันตรายของความยากจนอย่างนี้แล้ว จะได้ไม่ประมาทเอาแต่ขยันหาทรัพย์อย่างเดียว

แต่ “ต้องสร้างตัวสร้างฐานะเป็นจนกระทั่งรวยทรัพย์ และขยันทำบุญเป็นจนกระทั่งบรรลุธรรม” ใครก็ตามที่ดำเนินตามหลักวิชานี้ ย่อมได้หลักประกันว่า นับแต่นี้ไป ตราบใดยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ถือกำเนิดในวัฏสงสาร แม้ยังไม่อาจกำจัดกิเลส จนกระทั่งบรรลุธรรมเข้าพระนิพพาน แต่ก็จะไม่ตกระกำลำบาก ไม่ต้องพบกับความยากจนอีกต่อไปอย่างแน่นอน


๒. พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า ความยากจน บีบคั้นให้มนุษย์ทำความชั่วได้ง่าย

ชีวิตอยู่ได้ด้วยการใช้ปัจจัย ๔ หล่อเลี้ยงแต่เพราะความยากจนจึงทำให้มีชีวิตลำเค็ญเกิดความขัดสนในการแสวงหาปัจจัย ๔ ความหิวและความกลัวตายจึงบีบคั้นให้จิตใจตกอยู่ในอำนาจความชั่วได้ง่าย เป็นเหตุให้แสวงหาทรัพย์โดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี แม้ต้องปล้น จี้ ฆ่า ลักขโมย ขายตัวต้มตุ๋น หลอกลวง ค้าของผิดกฎหมาย ค้ายาเสพติดหรืออื่น ๆ เพื่อให้ได้ทรัพย์มา ก็ทำได้โดยไม่รู้สึกละอาย ผลสุดท้ายกลายเป็นคนมีนิสัยใจบาปหยาบช้า เพราะทนการบีบคั้นจากความยากจนไม่ไหว

โดยสรุป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ว่า คนจนจะพ้นจากความยากจนได้ต้องอดทนต่อความยากจนในปัจจุบัน และต้องเอาชนะความตระหนี่ด้วยการหมั่นสั่งสมบุญกุศลไว้ล่วงหน้าอย่าได้ขาดแม้แต่วันเดียวดังคำสอนของพระองค์ที่ปรากฏอยู่ในพิลารโกสิยชาดก ว่า

“คนตระหนี่กลัวจนจึงให้ทานไม่ได้ความตระหนี่นั้นจึงเป็นภัยสำหรับคนที่ไม่ให้ดังนั้นพึงกำจัดความตระหนี่ถี่เหนียวครอบงำมลทินใจเสีย แล้วให้ทานกันเถิด เพราะว่าในภพชาติหน้า บุญเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของสัตวโลกทั้งหลายได้”

เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะพ้นความจนได้นั้นจะต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า

๑. คนยากจน คือ คนขาดแคลนทรัพย์เพราะความตระหนี่หวงแหนทรัพย์ มีความประมาท ไม่ทำบุญไว้ในอดีตจึงทำให้ต้องมาเกิดเป็นคนยากจนในปัจจุบัน

๒. คนอยากจน คือ คนที่มีทรัพย์แต่ต้องไปเกิดเป็นคนยากจน เพราะความตระหนี่หวงแหนทรัพย์ มีความประมาท ไม่ทำบุญไว้ในปัจจุบัน จึงต้องไปเกิดเป็นคนยากจนในอนาคต

๓. คนจนยาก คือ คนที่ยากจะพบกับความยากจน เพราะไม่มีความตระหนี่หวงแหนทรัพย์ ไม่ประมาท หมั่นสั่งสมบุญล่วงหน้าไว้ตั้งแต่ปัจจุบัน ย่อมจะได้ไปเกิดเป็นมหาเศรษฐีในอนาคต

๓. พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า ความรวยเป็นคุณูปการให้สร้างบุญได้ง่าย

ความรวย หมายถึง การมีทรัพย์
ความรวยแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ

- ความรวยทางโลก เรียกว่า “โลกิยทรัพย์” คือ การมีทรัพย์สิน เงินทอง สมบัติพัสถานมากมาย และมีความสามารถใช้จ่ายทรัพย์นั้นได้อย่างมีความสุข

- ความรวยทางธรรม เรียกว่า “อริยทรัพย์” มี ๗ ประการ ได้แก่ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา

ความรวยจึงมิใช่สิ่งเลวร้ายแต่อย่างใด แต่เป็นความสุข ความปลื้มใจ เป็นลาภอันประเสริฐ ผู้ที่ปรารถนาความรวยสมควรที่จะวางเป้าหมายไว้ที่การแสวงหาทั้งโลกิยทรัพย์และอริยทรัพย์มาไว้เป็นของตน

ในทางพุทธศาสนาสอนไว้ว่า ความรวยหรือทรัพย์ที่ตนเองมีนั้น มีไว้เพื่อประโยชน์แก่บุคคลต่าง ๆ คือ

๑) เพื่อเลี้ยงตนให้เป็นสุข
๒) เพื่อเลี้ยงบิดามารดาให้เป็นสุข
๓) เพื่อเลี้ยงบุตร ภรรยา คนใช้ และบริวารให้เป็นสุข
๔) เพื่อเลี้ยงมิตรและอำมาตย์ให้เป็นสุข
๕) เพื่อบำเพ็ญทักษิณาทานในสมณพราหมณ์ ซึ่งหมายความว่า เรายิ่งมีทรัพย์มากเท่าไร เรายิ่งสามารถใช้ทรัพย์ทำประโยชน์ทั้ง ๕ ประการนี้ได้มากเท่านั้น ผลที่ได้จากการใช้ทรัพย์เช่นนี้ย่อมทำให้เราได้ผลบุญมากไปด้วย

ดังนั้น กล่าวโดยสรุปแล้ว พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนต้องจน แต่สอนให้คนรู้จักตั้งตนตั้งฐานะให้รวยอย่างสุจริต อันเป็นการทำประโยชน์ในชาตินี้ให้สมบูรณ์

และเมื่อรวยแล้วก็ควรรวยอย่างมีเป้าหมาย คือ นำทรัพย์ไปสร้างบุญต่อ เพื่อสร้างประโยชน์ในภพหน้าให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อันจะเป็นโอกาสให้เราได้เดินไปสู่เป้าหมายคือการบรรลุมรรค ผล นิพพานในที่สุด

คลิกอ่านพระไตรปิฏก เรื่อง ความยากจน การเป็นหนี้ ในอิณสูตร 

--------------------------

คลิปอธิบายพระพุทธเจ้าไม่เคยห้ามรวย



-------------------------

สุขของคฤหัสถ์

หรือ กามโภคีสุข 4 คือ สุขของชาวบ้าน, สุขที่ชาวบ้านควรพยายามเข้าถึงให้ได้สม่ำเสมอ, สุขอันชอบธรรมที่ผู้ครองเรือนควรมี

1. อัตถิสุข สุขเกิดจากความมีทรัพย์ คือ ความภูมิใจ เอิบอิ่มใจ ว่าตนโภคทรัพย์ที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงความขยันหมั่นเพียรของตน และโดยชอบธรรม

2. โภคสุข สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์ คือ ความภูมิใจ เอิบอิ่มใจ ว่าตนได้ใช้ทรัพย์ที่ได้มาโดยชอบนั้น เลี้ยงชีพ เลี้ยงผู้ควรเลี้ยง และบำเพ็ญประโยชน์

3. อนณสุข สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้ คือ ความภูมิใจ เอิบอิ่มใจ ว่าตนเป็นไท ไม่มีหนี้สินติดค้างใคร

4. อนวัชชสุข สุขเกิดจากความประพฤติไม่มีโทษ คือ ความภูมิใจ เอิบอิ่มใจ ว่าตนมีความประพฤติสุจริต ไม่บกพร่องเสียหาย ใครๆ ติเตียนไม่ได้ ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ

บรรดาสุข 4 อย่างนี้ อนวัชชสุข มีค่ามากที่สุด

ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

---------------------

ทุติยปาปณิกสูตร ว่าด้วยคุณสมบัติของพ่อค้า

ภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าประกอบด้วยองค์ ๓ ประการ ไม่นานนักก็ถึงความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ไพบูลย์ในโภคทรัพย์

องค์ ๓ ประการ อะไรบ้าง คือ พ่อค้าในโลกนี้
๑. มีตาดี
๒. มีธุรกิจดี
๓. เพียบพร้อมด้วยที่พักพิงอาศัย

พ่อค้าชื่อว่ามีตาดี เป็นอย่างไร
คือ พ่อค้าในโลกนี้รู้จักสินค้าว่า “สินค้านี้ ซื้อมาเท่านี้ ขายไปอย่างนี้ จักมีมูลค่าประมาณเท่านี้ มีกำไรเท่านี้” พ่อค้าชื่อว่ามีตาดี เป็นอย่างนี้แล

พ่อค้าชื่อว่ามีธุรกิจดี เป็นอย่างไร
คือ พ่อค้าเป็นคนฉลาดซื้อและขายสินค้าได้ พ่อค้าชื่อว่ามีธุรกิจดี เป็นอย่างนี้แล

พ่อค้าชื่อว่าเพียบพร้อมด้วยที่พักพิงอาศัย เป็นอย่างไร
คือ คหบดีหรือบุตรคหบดีผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคทรัพย์มาก ย่อมรู้จัก
พ่อค้าในโลกนี้อย่างนี้ว่า “พ่อค้าผู้นี้แลมีตาดี มีธุรกิจดี และสามารถที่จะเลี้ยงดู
บุตรภรรยาได้ทั้งใช้คืนให้แก่พวกเราได้ตามกำหนดเวลา”

คหบดีหรือบุตรคหบดีเหล่านั้น ย่อมเชื้อเชิญพ่อค้านั้นด้วยโภคทรัพย์ว่า “นับแต่นี้ไป ท่านจงนำโภคทรัพย์ไปเลี้ยงดูบุตรภรรยา และใช้คืนให้พวกเราตามกำหนดเวลา”
พ่อค้าชื่อว่าเพียบพร้อมด้วยที่พักพิงอาศัย เป็นอย่างนี้แล

พ่อค้าประกอบด้วยองค์ ๓ ประการนี้แล ไม่นานนักก็ถึงความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ไพบูลย์ในโภคทรัพย์

ที่มา เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๐ หน้าที่ ๑๖๓-๑๖๕.

-----------------------

ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ หรือ หัวใจเศรษฐี "อุ อา กะ สะ"

ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 คือ ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน, หลักธรรมอันอำนวยประโยชน์สุขขั้นต้น

1. อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น คือ ขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติหน้าที่การงาน ประกอบอาชีพอันสุจริต มีความชำนาญ รู้จักใช้ปัญญาสอดส่อง ตรวจตรา หาอุบายวิธี สามารถจัดดำเนินการให้ได้ผลดี

2. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา คือรู้จักคุ้มครองเก็บรักษาโภคทรัพย์และผลงานอันตนได้ทำไว้ด้วยความขยันหมั่นเพียร โดยชอบธรรม ด้วยกำลังงานของตน ไม่ให้เป็นอันตรายหรือเสื่อมเสีย

3. กัลยาณมิตตตา คบคนดีเป็นมิตร คือ รู้จักกำหนดบุคคลในถิ่นที่อาศัย เลือกเสวนาสำเหนียกศึกษาเยี่ยงอย่างท่านผู้ทรงคุณมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา

4. สมชีวิตา มีความเป็นอยู่เหมาะสม คือ รู้จักกำหนดรายได้และรายจ่ายเลี้ยงชีวิตแต่พอดี มิให้ฝืดเคืองหรือฟูมฟาย ให้รายได้เหนือรายจ่าย มีประหยัดเก็บไว้

ธรรมหมวดนี้ เรียกกันสั้นๆ ว่า ทิฏฐธัมมิกัตถะ หรือเรียกติดปากอย่างไทยๆ ว่า ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์

ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

---------------------

ในเรื่องความร่ำรวย ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนยังมีปรากฏในพระไตรปิฎกอีกหลายแห่ง เช่นหลักการทำทาน แต่ในบทความนี้ผมแค่ยกมาเป็นตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น

สุดท้ายนี้ผมขอแนะนำหนังสือเสียงเรื่อง เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน เขียนโดย คุณดังตฤณ

เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน โดยคุณ ดังตฤณ

เรื่อง ฐานะร่ำรวย



คลิกอ่าน หลักพุทธศาสนา vs กฎแห่งจักรวาลและความร่ำรวย



วันอังคารที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2560

พลโทประยูร ภมรมนตรี เนรคุณทูลกระหม่อมบริพัตรหรือไม่ ?






การก่อกำเนิดคณะราษฎร 2475 นั้น เริ่มต้นมาจากบุคคล 2 คนที่เป็นต้นคิดก่อตั้งขึ้น นั่นคือ นายปรีดี พนมยงค์ กับ ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี เมื่อครั้งไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศส โดยได้มีการประชุมกันครั้งแรกที่หอพัก Rue du summerard ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบ้านพักของร้อยโทประยูร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469

นั่นคือ การถือกำเนิดคณะราษฎรขึ้นครั้งแรก โดยบุคคลทั้งสองคน คือ นายปรีดี กับร้อยโทประยูร

พลโทประยูร ภมรมนตรี หรือยศทหารในอดีตช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี นั้น ท่านเป็นพ่อของอดีตกัปตันใหญ่การบินไทยคือ กัปตันโยธิน ภมรมนตรี และยังเป็นพ่อของคนในวงการบันเทิง 2 คน คือ นายยุรนันท์ ภมรมนตรี กับ นายยอดมนู ภมรมนตรี (ซึ่งทั้งสองคนเป็นลูกคนละแม่กับกัปตันโยธิน)

--------------

ประวัติ พลโทประยูร ภมรมนตรี โดยสังเขป

รองอำมาตย์เอก นายพลโท ประยูร ภมรมนตรี เป็นหนึ่งในคณะผู้ก่อการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ฝ่ายพลเรือน เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นบุตรของ พันตรี พระชำนาญคุรุวิทย์ (แย้ม ภมรมนตรี) ทูตทหารประจำจักรวรรดิเยอรมัน กับมารดาที่เป็นชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นครูสอนภาษาเยอรมันให้กับนักเรียนในจักรวรรดิเยอรมันขณะนั้นชื่อ แพทย์หญิงแอนเนลี ไฟร์

พลโท ประยูร ภมรมนตรี เป็นผู้เสนอจัดตั้งโรงแรมขนาดใหญ่ เพื่อรองรับความเจริญของกรุงเทพมหานคร หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ. 2496 และได้จดทะเบียนเป็นบริษัทของรัฐบาลไทย คือ บริษัท สหโรงแรมไทยและการท่องเที่ยว จำกัด หรือ "โรงแรมเอราวัณ"

พลโทประยูร ภมรมนตรี เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2440 ที่กรุงเบอร์ลิน จักรวรรดิเยอรมัน ขณะที่บิดารับราชการเป็นทูตทหารไทยประจำจักรวรรดิเยอรมัน โดยมีพี่ชายฝาแฝด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต (ทูลกระหม่อมบริพัตร) ทรงรับขวัญเมื่อยามเกิด โดยประทานชื่อให้ว่า "ประยงค์-ประยูร"


รูปฝาแฝด ประยงค์-ประยูร จากหนังสือหนังสืออนุสรณ์งานปลงศพ นายพันตรี พระชำนาญคุรุวิท (แย้ม ภมรมนตรี) และนางชำนาญคุรุวิท(แอนเนลี ภมรมนตรี)

พลโทประยูร ภมรมนตรี เริ่มรับราชการเป็นมหาดเล็ก ตำแหน่ง รองหุ้มแพร (เทียบเท่ายศ ร้อยโท) ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยบิดาและมารดานำเข้าเฝ้าถวายตัวตั้งแต่เด็ก ๆ อายุเพียง 7-8 ขวบ พร้อมกับพี่ชายฝาแฝด และได้เป็นข้าหลวงในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต แต่ต่อมาได้ลาออกจากราชการเพื่อไปศึกษาต่อด้านรัฐศาสตร์ ที่ประเทศฝรั่งเศส

---------------------


จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต

จากประวัติของพลโทประยูร ข้างต้น โดยสรุปก็คือ พอเกิดมาก็ได้ทูลกระหม่อมบริพัตร ทรงประทานตั้งชื่อรับขวัญให้ และยังทรงรับเป็นข้าหลวงในพระองค์ทูลกระหม่อมบริพัตร ในเวลาต่อมาอีกด้วย

แปลความง่าย ๆ ว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต หรือทูลกระหม่อมบริพัตร ทรงชุบเลี้ยงดูพลโทประยูร และส่งเสียให้การศึกษามาตั้งแต่เกิดนั่นแหละ

เรียกได้ว่า พลโทประยูร เป็นข้าหลวงใกล้ชิดของทูลกระหม่อมบริพัตร นั่นเอง


ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี นายทหารคนสนิทของจอมพลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ


ซึ่ทูลกระหม่อมบริพัตร ทรงมีอำนาจทางการเมืองและการทหารมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 7 เพราะพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร และเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ในช่วงก่อนเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ทูลกระหม่อมบริพัตร จึงเป็นบุคคลที่มีอำนาจและมีอิทธิพลมากที่สุดในบ้านเมืองในขณะนั้นรองลงมาจากรัชกาลที่ 7

ดังนั้นเมื่อคณะราษฎร กระทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทูลกระหม่อมบริพัตร จึงทรงเป็นองค์ประกันที่สำคัญที่สุด

------------------

หนังสือข่มขู่รัชกาลที่ 7 ของคณะราษฎร

เมื่อคณะราษฎรกระทำการปฏิวัติแล้ว โดยคณะราษฎรได้ใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นที่บัญชาการ และเชิญพระราชวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่เห็นสมควรบางท่านมาควบคุมไว้ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระตำหนักราชฤทธิ์ และในตึกกองรักษาการณ์ เพื่อเป็นการประกันความปลอดภัยของคณะราษฎร

แล้วคณะราษฎรจึงส่งหนังสือกราบทูลเชิญรัชกาลที่ 7 ซึ่งประทับที่พระราชวังไกลกังวล เสด็จฯ กลับพระนคร โดยมีเนื้อหาข่มขู่รัชกาลที่ 7 ดังนี้

"วันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475

ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม

ด้วยคณะราษฎร ข้าราชการ ทหาร พลเรือน ได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินไว้ได้แล้ว และได้เชิญสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ มีสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นต้น ไว้เป็นประกัน

ถ้าหากคณะราษฎรนี้ถูกทำร้ายด้วยประการใด ๆ ก็จะต้องทำร้ายเจ้านายที่คุมไว้เป็นการตอบแทน 


คณะราษฎรไม่ประสงค์จะแย่งชิงราชสมบัติแต่อย่างใด ความประสงค์อันใหญ่ยิ่งก็เพื่อที่จะมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จึงขอเชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทกลับคืนสู่พระนคร ทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปโดยอยู่ใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน ซึ่งคณะราษฎรได้สร้างขึ้น ถ้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทตอบปฏิเสธก็ดี หรือไม่ตอบภายใน 1 ชั่วนาฬิกา นับแต่ได้รับหนังสือนี้ก็ดี คณะราษฎรก็จะได้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน โดยเลือกเจ้านายพระองค์อื่นที่เห็นสมควรขึ้นเป็นกษัตริย์


ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม


พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา
พ.อ.พระยาทรงสุรเดช
พ.อ.พระยาฤทธิ์อัคเนย์ "

--------------------

พลโทประยูร มีหน้าที่ควบคุมตัวทูลกระหม่อมบริพัตร

ในการจับกุมพระราชวงศ์คนสำคัญในวันเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ผู้ที่ได้รับมอบหมายทำหน้าที่ควบคุมตัวสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต หรือทูลกระหม่อมบริพัตร ก็คือ ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี นั้่นเอง

ซึ่งเมื่อก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทูลกระหม่อมบริพัตร ทรงเคยได้ยินข่าวลือเรื่องคณะราษฎรมาเป็นระยะ ๆ แต่ทรงเชื่อใจอดีตนายทหารคนสนิทของพระองค์มาก เล่ากันว่าทรงเคยเรียก ร.ท.ประยูร เพื่อมาสอบถามว่า ได้รู้เห็นเป็นใจกับขบวนการคณะเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เขาลือกันอยู่หรือไม่

ร.ท.ประยูร ก็ยังตอบปฏิเสธต่อทูลกระหม่อมบริพัตรว่า ไม่รู้เรื่องพะยะค่ะ

นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทูลกระหม่อมบริพัตรทรงประมาท ทรงเชื่อว่า ยังไม่น่าจะเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในระยะเวลาอันใกล้นี้

ครั้นเมื่อ ร.ท.ประยูร ได้ทำการควบคุมองค์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเสด็จจากวังบางขุนพรหมในฐานะองค์ประกัน ภายใต้การควบคุมของ พันโทพระประศาสน์พิทยายุทธ ให้เข้าประทับยังพระที่นั่งอนันตสมาคมด้วย ซึ่งพระองค์ก็ได้ทรงมีปฏิสันธานบางประการกับ พลโทประยูร ด้วยถึงการกระทำในครั้งนี้ด้วย



จากส่วนหนึ่งของหนังสือ ชีวิต 5 แผ่นดิน โดยพลโทประยูร

พล.ท.ประยูร ภมรมนตรี ได้เขียนหนังสื่อ "ชีวิต 5 แผ่นดิน" ถึงเบื้องหน้า-เบื้องหลังด้วยตัวท่านเองในช่วงเหตุการณ์ปฏิวัติของคณะราษฎร  ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนในช่วงจับกุมองค์ทูลกระหม่อมบริพัตร ดังนี้

ในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 เวลา 08.00 น. พ.ต.หลวงพิบูลสงคราม พล.ต.พระประสาทพิทยายุทธ์ กับ ร.อ.หลวงนิเทศฯ ร.น. ได้นำจอมพล สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ มาในรถถัง ส่งให้ข้าพเจ้าที่หน้าประตูพระที่นั่งอนันต์ ข้าพเจ้าได้ถวายคำนับ เชิญเสด็จให้ลงเดินเข้าไปประทับในพระที่นั่ง

สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ทรงจ้องข้าพเจ้าด้วยพระเนตรดุเดือด ตรัสว่า "ตาประยูร แกเอากับเขาจริงๆ พระยาอธิกรณ์ประกาศบอกฉันไม่เชื่อ ฉันตั้งชื่อ ทำขวัญให้แกเมื่อเกิด ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่เด็ก โกรธฉันที่ไม่ไปเผาศพพ่อแกใช่ไหม"

แล้วก็ทรงเหลียวมองดูหน่วยทหารที่พลุกพล่านเต็มลานพระบรมรูป ข้าพเจ้าจึงกราบทูลว่า

"ถ้าบิดาข้าพระพุทธเจ้าสามารถทราบได้ คงจะเศร้าใจมาก"

ในที่สุดข้าพเจ้าเร่งให้เสด็จลงจากรถถัง ทรงสำทับถามว่า "จะเอาฉันไปไหน อย่าเล่นสกปรกนะ"

ข้าพเจ้ากราบทูลยืนยันว่า "เชิญเสด็จไปประทับในพระที่นั่งเถอะพ่ะย่ะค่ะ รับรองไม่มีภัยประการใด ข้าพระพุทธเจ้าจะอยู่เฝ้าด้วยตนเอง"

ท่าทางของข้าพเจ้าตอนนั้นคงจะป่าเถื่อนอยู่มาก สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ทรงจ้องมองข้าพเจ้าด้วยความหวาดระแวง พอข้าพเจ้าสำนึกตัวได้ จึงวางปืนลง แล้วก้มลงกราบขอทรงประทานอภัย ทรงรับสั่งถามเป็นคำแรกว่า

"ใครเป็นหัวหน้า พระองค์บวรเดชใช่ไหม" 

ข้าพเจ้ากราบทูลว่า "ไม่ใช่พะย่ะค่ะ "

ทรงถามอีกว่า "แล้วใครเล่า"

"ยังกราบทูลไม่ได้พะย่ะค่ะ "

ทูลกระหม่อมฯ ทรงกริ้วข้าพเจ้า รับสั่งหนักแน่นว่า "ตาประยูร แกเป็นกบฏ โทษถึงต้องประหารชีวิต"

ข้าพเจ้าก็กราบทูลว่า " ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นกบฏ ไม่ได้ล้มพระราชบัลลังก์ ถ้าข้าพระพุทธเจ้าพลาดพลั้งทำการไม่สำเร็จต้องถูกประหารแน่ แต่วันนี้ คณะข้าพระพุทธเจ้าทำการสำเร็จ ใต้ฝ่าพระบาทไม่มีอันตรายประการใด "

แล้วทรงรับสั่งถามต่อไปว่า "พวกแกที่ยึดอำนาจนี้ต้องการอะไร มีความประสงค์อะไร ต้องการมีปาลีเมนต์ มีคอนสติติวชั่นใช่ไหม?" 

ข้าพเจ้ากราบทูลตอบไปว่า " พะยะค่ะ "

ทูลกระหม่อมฯ ทรงนิ่งอยู่ครู่แล้วรับสั่งถามว่า

"แล้วมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่เวลานี้หรือตาประยูร" 

ข้าพเจ้ากราบทูลตอบไปว่า "อารยประเทศทั่วโลกก็มีปาลีเมนต์กันทั่วไป ยกเว้นแต่อาบิสซีเนีย "

ทรงถามว่า "ตอนนี้แกอายุเท่าไหร่?"

เมื่อข้าพเจ้ากราบทูลว่า " 35 พะยะค่ะ "

ทรงรับสั่งว่า "เด็กเมื่อวานซืนนี้เอง นี่แกรู้จักคนไทยดีแล้วหรือ แกจะต้องเจอปัญหาเรื่องคน พระราชวงศ์จักรีครองเมืองมา ๑๕๐ ปีแล้ว รู้ดีว่าคนไทยนี่ปกครองกันได้อย่างไร อ้ายคณะของแกจะเข็นครกขึ้นเขาไหวรึ"

"ถึงแม้จะทำสำเร็จ ก็ระวังเถอะ วันหนึ่งจะฆ่ากันเองตายเหมือนประเทศฝรั่งเศส สุดท้ายก็เอา กิโยตินมาตัดคอกันเอง ระวังนะ คิดตรงนี้รอบคอบหรือยัง"


พอดี น.ต.หลวงสินธุสงครามชัย เปิดประตูเข้ามาถวายคำนับ ส่งขนมปังให้ข้าพเจ้าก้อนหนึ่งกับใบปลิว 3-4 แผ่น ข้าพเจ้าเอาใบปลิวมาอ่านคร่าว ๆ รู้สึกว่ามีข้อความที่รุนแรงอยู่มากซึ่งเป็นเรื่องการเมือง

แต่แล้ว พออ่านบรรทัดสุดท้าย รู้สึกเลือดขึ้นหน้าซ่า คำทำนายของกรมพระนครสวรรค์ฯ ที่รับสั่งอยู่หยกๆ ว่า "สุดท้ายพวกแกจะต้องเข่นฆ่ากันเอง" พลันเป็นความจริงขึ้นแล้ว

คือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี)ได้เขียนข้อความไว้ในวรรคสุดท้ายของคำประกาศยึดอำนาจ ความว่า

"จะได้นำประชาชนให้ไปสู่ความสุข ความเจริญอย่างประเสริฐสุด ซึ่งเรียกว่าศรีอารยะนั้น ก็พึงบังเกิดแก่ราษฎรถ้วนหน้า"

อันคำว่า "ศรีอารยะ" นั้น เป็นคำแฝงที่คุณหลวงประดิษฐ์มนูธรรมใช้แทนคำว่า "คอมมูนิสต์"

เป็นอันว่า คุณหลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้ถือโอกาสแทรกเจตจำนงที่จะนำประเทศชาติไปสู่ลัทธิคอมมูนิสม์ในคำประกาศยึดอำนาจนั้นขึ้นแล้วในวาระแรก ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องผจญสู้และป้องกันกันต่อไป..

(นั่นคือข้อเขียนที่พลโทประยูร เขียนด้วยตัวเองในหนังสือ ชีวิต 5 แผ่นดิน)



--------------------

ถึงแก่อนิจกรรม

พลโทประยูร ภมรมนตรี ถึงแก่อนิจกรรมจากการถูกรถโดยสารประจำทางสาย 204 พุ่งชนขณะยืนรอข้ามถนนบริเวณสี่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2525 รวมอายุ 85 ปี

----------------

ใหม่เมืองเอก สรุปท้ายบทความ

บทความนี้แค่ตีแผ่ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เท่านั้น จากการรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง

แต่โดยส่วนตัวผม ใหม่เมืองเอก ไม่ค่อยถือสาหาความอะไรที่มันผ่านไปแล้วนัก เพราะทุกอย่างในอดีตมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่ให้เรียนรู้ไว้เป็นบทเรียนเท่านั้น

ซึ่งโดยทางอุดมการณ์ทางการเมืองนั้น จริง ๆ แล้วไม่มีใครผิดใครถูกหรอกครับ เพราะต่างคนต่างยืนกันคนละจุด และเราก็ไม่ได้เกิดทันในยุคนั้นจึงไม่อาจทราบบริบทในขณะนั้นได้ตามความเป็นจริงทุกเรื่อง

เพียงแต่ว่าในการกระทำบางอย่างที่เกิดขึ้น เช่น การปฏิวัติของคณะราษฎร 2475 ถึงวันนี้คนไทยจำนวนมากเริ่มตาสว่างกันแล้วว่า การก่อการของคณะราษฎร ในวันนั้น เป็นการชิงสุกก่อนห่าม กระทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในช่วงที่คนไทยทั้งประเทศยังไม่รู้จักประชาธิปไตยด้วยซ้ำ

เมื่อในเวลานั้นคนไทยทั้งประเทศยังไม่รู้จักประชาธิปไตยเลยด้วยซ้ำ แล้วจะเรียกว่า เปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปเป็นระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไรกัน

แม้กระทั่งมาจนวันนี้ คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้จักคำว่า "ประชาธิปไตย" ดีพอ เพราะต่างคนต่างยืนอยู่บนผลประโยชน์ของตัวเองเป็นสำคัญมากกว่าผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก นี่ก็เท่ากับว่า ไม่มีหัวใจประชาธิปไตยที่แท้จริง แล้ว

ส่วนกรณี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นคอมมิวนิสต์ หรือไม่ ?

โดยส่วนตัวของผมเอง ผมคิดว่า นายปรีดี เป็นนักประยุกต์มากกว่า คือ เอาระบอบโน้นระบอบนี้มายำรวมกันเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยแบบที่เหมาะสมกับประเทศไทย

ผมคิดว่า นายปรีดี น่าจะชอบระบอบสังคมนิยมประชาธิปไตยแบบประเทศฝรั่งเศสใช้มากกว่า ซึ่งระบอบนี้ยากที่จะเกิดขึ้นได้กับคนไทย เพราะคนไทยไม่ค่อยเสียสละจ่ายภาษีตามหน้าที่เพื่อชาติสักเท่าไหร่นักตามแนวคิดแบบสังคมนิยม

แต่ก็นั่นแหละ เพราะการแย่งชิงอำนาจกันเองในหมู่คณะราษฎร ก็เลยทำให้ระบอบประชาธิปไตยจึงไม่ได้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยมาจนวันนี้

เพราะระบอบประชาธิปไตยของคณะราษฎร หมายถึง การปกครองของคณะราษฎร โดยคณะราษฎร เพื่อคณะราษฎร เสียมากกว่า

ส่วนคำว่า ศรีอารยะ ที่พลโทประยูร บอกว่า นายปรีดีน่าจะหมายถึงคอมมูนิสต์ นั้น

ผมมองว่า เป็นไปได้ เพราะแท้จริงแล้ว ระบอบคอมมิวนิสต์นั้น เป็นระบอบที่ดีที่สุดเฉพาะในโลกพระศรีอาริยเมตไตรย เท่านั้น คือ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในยุคปัจจุบัน ปรีดี จึงได้ใช้คำว่า ศรีอารยะ 

ส่วนอุดมการณ์คอมมิวนิสต์แท้ ๆ  ที่หมายถึง คนเราทุกคนเท่าเทียมกันนั้น ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริงในโลกยุคนี้ เพราะการที่คนเราจะเท่าเทียมกันได้นั้น หมายถึง ทุกคนต้องมีคุณธรรมสูงเท่าเทียมกัน มีศีลเสมอกัน ซึ่งนั่นคือ ยุคของพระศรีอาริยเมตไตรย ครับ ยังไม่ใช่ยุคของพระพุทธเจ้าสมณโคดมของพวกเรา

จากชื่อบทความที่ว่า พลโทประยูร เนรคุณทูลกระหม่อมบริพัตรหรือไม่ ?

ผมใหม่เมืองเอก ก็แค่ตั้งชื่อบทความเพื่อให้ดึงดูดใจให้ดูน่าอ่านเท่านั้น ส่วนพลโทประยูร จะอกตัญญูต่อทูลกระหม่อมบริพัตรหรือไม่นั้น ?

คนที่ตอบคำถามนี้ได้มีเพียงพระองค์เดียว คือ ทูลกระหม่อมบริพัตร เอง

แต่หลังจากวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ในวันต่อมา ทูลกระหม่อมบริพัตร ต้องเสด็จออกจากประเทศไทยอย่างกะทันหัน โดยเสด็จไปด้วยรถไฟขบวนพิเศษ ซึ่งวิ่งตลอดไม่มีหยุดพักจนเสด็จถึงปีนังเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม และย้ายไปประทับอยู่ที่เมืองบันดุง เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ที่นั่น

ส่วนพลโทประยูร นั้น ได้เสียชีวิตเพราะถูกรถเมล์สาย 204 ชนบริเวณสี่แยกราชประสงค์ (ตายโหง) ซึ่งก็ใกล้ ๆ กับโรงแรมเอราวัณที่ท่านเป็นผู้ให้กำเนิดไว้

ผมแปลกใจนิด ๆ ตรงที่ รถเมล์จะเป็นสายไหนก็ไม่แปลก แต่เป็นสาย 204 นี่สิ มันเลยแปลกนิด ๆ เพราะมีทั้งเลข 2 และเลข 4 ตรงกับเลขในวันที่ 24 มิถุนายน วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ส่วนเลขศูนย์ ก็หมายถึง สูญ นั่นแหละครับ

คลิกอ่าน หมุดเสนียด กับคำประกาศจัญไรของคณะราษฎร



วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2560

วิธีเก็บของตกให้ได้เงินรางวัลจากเจ้าของทรัพย์โดยไม่ผิดกฎหมาย






จากกรณีที่เป็นข่าวดังในช่วงนี้ เรื่อง สาวใหญ่เก็บไอโฟน 7 พลัสได้ ไปเรียกร้องค่าไถ่ของคืนจากเจ้าของไอโฟน 7 เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท ไม่งั้นจะไม่ยอมคืนโทรศัพท์ให้ จนกลายเป็นคดีความถึงขั้นที่คนเก็บไอโฟน 7 ได้โดนคดียักยอกทรัพย์ไปในที่สุด

จากคดีนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้เก็บของตกได้ เธอไม่รู้กฎหมาย จนตัวเองต้องกลายเป็นผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ไปเสียเอง



ถามว่า ในกรณีผู้เก็บของตกได้ สามารถมีสิทธิเรียกร้องเงินรางวัลจากเจ้าของทรัพย์สินที่สูญหายได้หรือไม่ ?

คำตอบคือ ผู้เก็บของตกได้มีสิทธิเรียกเงินรางวัลจากเจ้าของทรัพย์ได้ครับ โดยไม่ผิดกฎหมายด้วย ขอบอก !!

ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1323

"ผู้เก็บของตกได้ต้องทำดังนี้

1.ส่งมอบของนั้นแก่เจ้าของ หรือผู้ที่มีสิทธิจะได้รับของนั้น
2.แจ้งให้เจ้าของหรือผู้ที่มีสิทธิได้รับของนั้นโดยเร็ว
3.ส่งมอบของนั้นแก่เจ้าพนักงานตำรวจ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่อื่น ภายใน 3 วัน และแจ้งถึงพฤติการณ์หรือเบาะแสที่ทราบเพื่อเป็นเครื่องช่วยในการตามหายตัวเจ้าของหรือผู้มีสิทธิได้รับของนั้น

ถ้าไม่ทราบตัวเจ้าของหรือผู้ที่มีสิทธิได้รับของนั้นให้ทำตาม ข้อ 3. ได้กำหนดคือส่งมอบแก่เจ้าพนักงานตำรวจหรือพนักงานเจ้าหน้าที่อื่น อีกทั้งผู้ที่เก็บของตกหายได้ต้องรักษาของนั้นไว้ด้วยความระมัดระวัง"


กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามมาตรา 1324 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2548)

"ผู้เก็บได้ซึ่งทรัพย์สินหายอาจเรียกร้องเอารางวัลจากบุคคลผู้มีสิทธิจะรับทรัพย์สินนั้นเป็นจํานวนร้อยละ 10 แห่งค่าทรัพย์สินภายในราคา 30,000 บาท และถ้าราคาสูงกว่านั้นขึ้นไปให้คิดให้อีกร้อยละ 5 ในจํานวนที่เพิ่มขึ้น แต่ถ้าผู้เก็บได้ซึ่งทรัพยสินหายได้ส่งมอบทรัพยสินแก่เจ้าพนักงานตํารวจหรือพนักงานเจ้าหน้าที่อื่นให้เสียเงินอีกร้อยละ 2.5 แห่งค่าทรัพย์สินเป็นค่าธรรมเนียมแก่ทบวงการนั้น ๆ เพิ่มขึ้นเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากรางวัลซึ่งให้แก่ผู้เก็บได้แต่ค่าธรรมเนียมนี้ให้จํากัดไว้ไม่เกินหนึ่งพันบาท"


ตามความในมาตรา 1324 หมายถึง ผู้เก็บของตกได้สามาถเรียกเอารางวัลจากผู้ที่เป็นเจ้าของหรือผู้ที่มีสิทธิได้รับของนั้น เป็นจำนวนร้อยละ 10 แห่งค่าของจาก 30,000 บาท เช่น ของตกหายมีค่า 30,000 บาท ผู้เก็บได้จะได้รางวัล 3,000 บาท

แต่ถ้าของตกหายมีมูลค่าสูงกว่า 30,000 บาท ให้คิดเอาอีกร้อยละ 5 ของจำนวนเงินที่เกินจาก 30,000บาท เช่น ของตกหายมีค่า 50,000 บาท ผู้เก็บได้จะได้รางวัลจาก 30,000 บาทแรก คือ 3,000 บาท ส่วนมูลค่า 20,000 บาทหลังจะได้ 1,000 บาท รวมผู้เก็บของตกจะได้รางวัลทั้งสิ้น 4,000 บาท

ถ้าหากผู้เก็บของตกได้เรียกร้องเงินรางวัลไปตามที่กฎหมายกำหนดแล้วก็จะไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด ทั้งยังเก็บทรัพย์ไว้ได้จนกว่าเจ้าของทรัพย์จะนำเงินรางวัลมามอบให้ผู้เก็บของตกได้ตามที่กฎหมายกำหนดแล้วนั่นแหละ

แต่หากผู้เก็บของตกกับเจ้าของทรัพย์ตกลงเรื่องเงินรางวัลไม่ได้ตามที่กฎหมายกำหนด ก็แนะนำให้ทั้งผู้เก็บของตกและเจ้าของทรัพย์ไปตกลงกันที่สถานีตำรวจจะดีกว่าครับ จะได้มีตำรวจช่วยเป็นพยานให้

-----------------

จากกรณีสาวเก็บไอโฟน 7 พลัสได้ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นบาท แต่ผู้เก็บไอโฟนได้กลับเรียกเงินรางวัลจากเจ้าของไอโฟน เป็นเงินจำนวนถึง 5 พันบาทนั้น

นั่นเป็นการเรียกเงินรางวัลเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้

เพราะของมูลค่า 30,000 บาท ผู้เก็บของตกได้ จะมีสิทธิเรียกร้องเงินรางวัลจากเจ้าของทรัพย์ได้เพียง 3,000 บาทเท่านั้น หรือร้อยละ 10 ของมูลค่าทรัพย์ครับ

----------------

แต่จากข่าว เจ้าของไอโฟนยินดีจะจ่ายให้ผู้เก็บของตกแค่ 1 พันบาทเท่านั้น (ตอนแรกเจ้าของไอโฟนจะไม่ยอมให้เงินเลยสักบาทด้วย อ้างจะขอคืนแบบช่วยเหลือเอาบุญ) แบบนี้ผู้เก็บไอโฟน 7 ได้ ควรทำอย่างไร

ก็ควรฝากไอโฟน 7 ไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เป็นพยานไว้ก่อนครับ เหตุเพราะตนเองยังไม่พอใจที่เจ้าของทรัพย์จะมอบเงินให้แค่ 1,000 บาทเท่านั้นซึ่งต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด

ตำรวจก็มีหน้าที่เก็บรักษาทรัพย์ที่ยังตกลงกันไม่ได้ไว้ก่อน ซึ่งตำรวจยังไม่มีสิทธิคืนทรัพย์ให้เจ้าของทรัพย์เลยนะครับ หากผู้เก็บของตกได้เขายังไม่ยินยอมในเรื่องเงินรางวัลตามกฎหมาย เหตุเพราะเจ้าของทรัพย์เองก็ยังไม่ทำตามที่กฎหมายกำหนดด้วย

นี่คือ เอาตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จริง ๆ นะครับ

----------------

แต่ถ้ากรณีผู้ที่เก็บของตกได้ แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของทรัพย์นั้น 

ก็ให้ผู้เก็บของตกได้ต้องส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นไว้ก่อน และเพื่อสืบหาเจ้าของทรัพย์ต่อไป

แต่เมื่อตำรวจเจอเจ้าของทรัพย์แล้ว นอกจากผู้เก็บของตกได้จะสามารถเรียกเงินรางวัลได้ร้อยละ 10 จากทรัพย์มูลค่าไม่เกิน 3 หมื่นบาท และร้อยละ 5 ในส่วนที่เกิน 3 หมื่นบาทได้จากเจ้าของทรัพย์แล้วนั้น

เจ้าของทรัพย์ยังต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมให้สำนักงานตำรวจฯ อีกร้อยละ 2.5 ของมูลค่าทรัพย์นั้นด้วยนะครับ

แปลง่าย ๆ คือ ถ้าผู้เก็บของตกได้ไปฝากของไว้กับตำรวจ เจ้าของทรัพย์ก็มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินค่าธรรมเนียมให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย

----------------

สรุป คดีเก็บไอโฟน 7 พลัส ตำรวจไทยเองก็ไม่แม่นกฎหมาย

ถ้าดูจากกรณีผู้เก็บไอโฟน 7 พลัสได้ ผมต้องโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยที่ไม่ช่วยเจรจาให้เจ้าของทรัพย์จ่ายเงินรางวัลให้ผู้เก็บไอโฟน 7 ได้ไปตามกฎหมายคือ 3,000 บาท

ซึ่งสุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไปแจ้งข้อหาให้ผู้เก็บของตกได้แทน

เฮ่อ.. นี่แหละหนาตำรวจไทยเก่งนักไอ้เรื่องแบบนี้ คือตำรวจเองก็ไม่แม่นกฎหมาย ทำให้ผู้เก็บทรัพย์ตกได้เขาต้องกลายเป็นโจรไป ทั้ง ๆ ที่ เขามีสิทธิจะเรียกร้องเงินรางวัลจากเจ้าของทรัพย์ได้นะครับ แต่เรียกได้แค่ 3 พันบาทเท่านั้น ถ้าเรียกเกินจากนั้น ก็เจอข้อหายักยอกทรัพย์ได้

คือ ถ้าตำรวจรู้กฎหมายดีพอ ก็สามารถช่วยไกล่เกลี่ยให้เรื่องร้ายกลายเป็นดีได้ทั้งสองฝ่าย เรื่องก็คงไม่ลงเอยแบบนี้ จนผู้เก็บไอโฟน 7 ได้เลยโดนคนประณามกันทั้งเมือง แถมยังตกเป็นผู้ต้องหายักยอกทรัพย์อีก

เรียกว่า คนเก็บไอโฟน 7 ได้ เลยเจอความซวยเกินไป เหตุเพราะตำรวจไม่ได้เรื่อง

----------------

ที่สำคัญนอกจากคนไทยส่วนใหญ่จะไม่รู้กฎหมายเรื่องการมอบเงินรางวัลให้แก่ผู้เก็บของตกได้แล้ว กล่าวคือ เจ้าของทรัพย์หายจำนวนมากก็มักจะจ่ายสินน้ำใจแก่ผู้เก็บของตกได้ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดด้วย

แน่นอน คนดีจำนวนมากที่เก็บทรัพย์ตกได้ เขาทำดีแบบไม่หวังผลตอบแทน แต่โดยมารยาทจงจำไว้เลยนะครับ ถ้าใครทำของหายก็ควรให้เงินรางวัลแก่ผู้เก็บของตกได้ อย่าให้เขาน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดคือ ร้อยละ 10 ของมูลค่าทรัพย์นั้น

เขาเรียกว่า "สินน้ำใจ" หรือ ตอบแทนคุณ

เช่น ถ้าคุณทำเงินหาย 1 ล้านบาท แล้วมีคนเก็บได้ คุณควรจะมอบสินน้ำใจให้แก่คนที่เขาเก็บเงินได้สัก 1 แสนบาทเป็นอย่างน้อยหรือมากกว่านั้นครับ 

เหตุที่กฎหมายต้องกำหนด เพราะเจ้าของทรัพย์บางคนก็เอาแต่ได้ ไม่รู้จักตอบแทนน้ำใจคนเก็บเลยก็มี หรือให้น้อยจนเกินไปก็มี หรือผู้เก็บของได้ก็เรียกร้องมากเกินไปก็มี กฎหมายเลยกำหนดไว้เพื่อตัดปัญหา

เข้าใจตรงกันแล้วนะ !!

คลิกอ่าน ถ้าคุณได้ของรางวัลราคาหลายล้านบาท คุณต้องเสียภาษีอย่างไรจึงจะถูกต้อง



วันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2560

หลักดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายแต่โดนใจ






เมื่อตอนที่นกยังมีชีวิตอยู่..
มันจะกินมดเป็นอาหาร
แต่เมื่อมันตาย..
มันก็จะถูกมดกินเป็นอาหารเช่นกัน

ต้นไม้หนึ่งต้น
สามารถทำเป็นไม้ขีดไฟได้เป็นล้าน ๆ ก้าน
แต่ไม้ขีดไฟเพียงหนึ่งก้าน
ก็สามารถเผาต้นไม้ได้เป็นล้าน ๆ ต้นเช่นกัน

จงอย่ามองข้ามคนที่ด้อยกว่า เพราะหลงตัวเองว่ายิ่งใหญ่
อย่ามองข้ามลูกค้ารายเล็ก ไม่เห็นคุณค่าของพวกเขา
เพราะสักวันหนึ่งเขาอาจเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเราก็เป็นได้

อย่าคิดว่าเราแข็งแรงไม่มีวันป่วยเพราะอายุยังน้อย
โลงศพไม่ได้มีไว้ใส่แต่คนแก่ แต่มีไว้ใส่คนตาย

อย่าคิดว่าฉันรวยใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ
สักวันเงินเพียง 1 พัน อาจมีค่ามากมายในวันตกอับก็ได้

ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต
ใหญ่ได้ก็เล็กได้
รวยได้ก็จนได้
แข็งแรงได้ก็ป่วยได้
เกิดได้ก็ต้องตายได้
ทุกคนไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า

ท่องจำให้ขึ้นใจ
"อย่าหลงตนอย่าลืมตัว"

และที่สำคัญ "ข้าจะไม่ประมาท" กับชีวิตอีกต่อไป..

จะไม่ว่างแค่ไหนก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี
แม้ว่าบางครั้งติดต่อเพื่อนได้ยาก
แต่ก็ให้คิดถึงกันเสมอ..

กลางวันดื่มน้ำให้มาก
กลางคืนดื่มน้ำให้น้อย
วันหนึ่งดื่มกาแฟไม่ควรเกิน2แก้ว

เรื่องที่ควรลืม 3 เรื่อง
1.ลืมอายุ
2.ลืมเรื่องที่ผ่านมา
3.ลืมเรื่องที่จะกล่าวโทษคนอื่น

สิ่งที่ควรมีไว้ 4 อย่าง
1.มีคนที่รักคุณด้วยความจริงใจ
2.มีเพื่อนที่รู้ใจ
3.มีงานมีการทำ
4.มีบ้าน

สิ่งที่ไม่ควรทำ 6 อย่าง
1.หิวแล้วไม่ยอมทาน
2.หิวน้ำไม่ยอมดื่ม
3.ง่วงแล้วไม่ยอมนอน
4.เหนื่อยแล้วไม่ยอมพัก
5.ไม่สบายไม่ยอมรักษา
6.แก่แล้วค่อยคิดเสียใจ

ความโกรธ ทำให้หัวใจ"ทำงานหนัก"
ความรัก ทำให้หัวใจ"ทำงานดี"
ความดี ทำให้หัวใจนั้น"พองโต"
ความโง่ จะทำให้"เสียหาย"


สิ่งที่สูงกว่าเงิน 7 อย่าง
1.การได้เกิดมาเป็นคน
2.การได้ยลศาสนา
3.การมีกัลยาณมิตร
4.การมีความสุจริตเป็นนิสัย
5.การมีใจปราศจากริษยา
6.การมีเวลาให้บุคคลอันเป็นที่รัก
7.การรู้จักคำว่า "พอ"

cr Paiwan saetan


ขอบคุณรูปจากเว็บกระปุก

คลิกอ่าน ทฤษฎีความสัมพันธ์ผกผันกับหลักความย้อนแย้ง



วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560

"นิทาน 3 เรื่อง สะท้อนนิสัยคน"






คุณเคยมีนิสัยตรงกับในนิทาน 3 เรื่องนี้หรือไม่ ?

1) สมหวังไม่ชอบกินไข่
ทุกครั้งที่สมหวังได้ไข่มา ก็ให้สมนึกกินแทน

แรก ๆ สมนึกก็รู้สึกขอบคุณสมหวัง
แต่นานๆ เข้า สมนึกก็เคยชิน

เมื่อสมนึกเกิดความเคยชิน สมนึกจึงรู้สึกว่า การได้กินไข่ฟรี กลายเป็นหน้าที่ที่สมหวังต้องทำให้เขาเสมอ

จนมาวันหนึ่ง สมหวังเอาไข่ให้สมชายกินแทน
สมนึกก็อารมณ์เสีย โดยลืมไปว่าไข่นี้เป็นของสมหวัง สมหวังจะให้ใครก็ได้

สมนึกจึงทะเลาะกับสมหวังเพราะเรื่องนี้
แล้วทั้งสองคนก็เลิกคบกัน




2) ในฤดูร้อน ที่ร้อนมาก

เพื่อน ๆ หลายคนไปเดินเล่นกัน ไปถึงแม่น้ำ ก็เอาขาไปแช่น้ำกัน
ปรากฏว่า รองเท้าของสมศรีลอยตามน้ำไป

ในระหว่างทางเดินกลับบ้าน พื้นถนนร้อนมาก และต้องเดินไกล
สมศรีจึงขอให้เพื่อน ๆ ช่วยเธอ
แต่ทุกคนมีรองเท้าแค่คู่เดียว

สมศรี ไม่สบอารมณ์
เพราะเธอชอบขอให้คนอื่นช่วยเสมอ
แล้วแค่เธอทำเป็นงอน ก็จะมีคนยื่นมือเข้าช่วย

แต่ครั้งนี้ไม่ !!

เธอจึงคิดว่า เพื่อน ๆ ทุกคนใช้ไม่ได้ ที่ไม่ยอมช่วยเหลือ
แล้วก็มี สมปอง เอารองเท้าตัวเองให้สมศรีใส่
สมปองยอมทนเท้าร้อน เดินต่อด้วยเท้าเปล่า

สมศรีจึงขอบคุณสมปอง แต่สมปองบอกสมศรีว่า
"เธอต้องจำไว้ว่า ไม่มีใคร มีหน้าที่ต้องช่วยเธอ ที่ฉันช่วยเธอ เพราะเราเป็นเพื่อนกัน แต่แม้ไม่ช่วยก็ไม่ผิด"

คำพูดของสมปอง ทำให้สมศรีคิดได้
ต่อแต่นี้ไป สมศรีจึงให้ความช่วยเหลือเพื่อน ๆ เป็น และด้วยความเต็มใจ

หลายครั้ง เรามักจะหวังให้คนอื่นดีต่อเรา
ตอนแรก เราก็ซาบซึ้ง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็เคยชิน
เคยชินกับที่คนอื่นดีต่อเรา จนเหมือนเป็นหน้าที่ ที่เขาต้องดีต่อเรา

เมื่อวันหนึ่ง เขาไม่ดีต่อเรา เราก็โมโห
ความจริง ไม่ใช่ว่า คนอื่นไม่ดีต่อเราแล้ว
แต่เป็นเพราะ เราเรียกร้องมากขึ้น เคยชินกับการรับ
ก็เลยลืมบุญคุณ เลิกซาบซึ้ง ลืมขอบคุณ




3) แพะตัวหนึ่ง เจอหมาป่า
หมาป่าจะกินแพะ แพะจึงสู้
แพะใช้เขาต่อสู้กับหมาป่า แล้วตะโกนขอให้เพื่อน ๆ ช่วย

วัว มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไป
ม้า มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไปอีกตัว
ลา เห็นเป็นหมาป่า ก็เดินหนีไปอย่างเงียบๆ
หมู ผ่านมา เห็นเป็นหมาป่า ก็หายตัวไป
กระต่าย ได้ยิน วิ่งหนีแซงเพื่อนๆ ไปทุกตัว
หมา ได้ยิน รีบวิ่งเข้ามา จะสู้กับหมาป่า
หมาป่าเห็นมีหมามาช่วย จึงวิ่งหนีไป แพะรอดตาย

แพะกลับมาถึงบ้าน เพื่อน ๆ ก็มาทุก "ตัว"

วัวบอก "ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เขาของข้า แทงทะลุท้องมัน"
ม้า "ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เกือกของข้า กระทืบมัน"
ลา "ทำไมไม่บอก ข้าจะร้องเสียงดังๆ ให้หมาป่าตกใจตาย"
หมู "ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้ปากของข้า พุ่งชนให้มันตกเขาไป"
กระต่าย "ทำไมไม่บอก ข้าวิ่งเร็ว ข้าจะไปส่งข่าวของความช่วยเหลือ"

ในการพูดคุยกันอย่างเมามันนี้ ขาดอยู่ "ตัว" เดียวคือ หมา

มิตรภาพที่แท้จริง ไม่ใช่ดูที่คำพูดที่แสนหวาน
แต่เป็น "มือ" ที่ยื่นช่วยเหลือยามเพื่อนคับขัน

พวกที่อยู่ล้อมหน้าล้อมหลังคุณ ทำให้คุณรู้สึกดี แต่อาจจะไม่ใช่เพื่อนแท้ของคุณ


แต่กับบางคน ที่ดูเหมือนห่างไกล แต่กลับใส่ใจคุณตลอดเวลา

ตอนคุณมีความสุข เขาอาจไม่ไปสมทบ
แต่ตอนคุณต้องการช่วยเหลือ เขาจะทำเพื่อคุณอย่างเงียบ ๆ และเป็นห่วงใส่ใจคุณ

นั่นคือ เพื่อนแท้ของคุณ..



Cr : koratsite.nfe.go.th



วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560

ควรทำอย่างไร เมื่อคุณรักคนมีโลกส่วนตัวสูง





จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่นานาจิตตัง ว่าจะนิยามคำว่า "โลกส่วนตัวสูง" อย่างไร

บางคนอาจใช้เป็นข้ออ้างในการ "กัน" คนที่ทำให้เขาอึดอัดออกไปจากชีวิต
และนั่นทำให้หลายคนรู้สึกไม่ดีกับคำ ๆ นี้ หรือผู้ที่มีคุณสมบัติอย่างนี้

แต่ถ้าคุณได้พบกับคนที่มีโลกส่วนตัวสูงจริง ๆ โดยที่เขาไม่ได้ยกมาเป็นข้ออ้าง
คุณจะรู้ว่าเขาเป็นอย่างนี้เสมอ ไม่ว่าจะกับพ่อแม่พี่น้อง เพื่อน หรือคนรักก็ตาม

นั่นคือเขาต้องมีเวลาว่างที่อยู่นิ่ง ๆ คนเดียว รักความเงียบและความสงบ
ได้ทำอะไรต่อมิอะไร โดยไม่ต้องอธิบายหรือแจกแจงทุกความเคลื่อนไหว

สิ่งที่จะผลักให้คนประเภทนี้ยิ่งอยากถอยห่างจากคุณอย่างเร็วที่สุด ก็คือการที่คุณเรียกร้องที่จะให้เขาเปลี่ยน ตัดพ้อที่เขาไม่ให้คุณเข้าไปในพื้นที่

หรืออ้างว่าการที่เขาอยู่ในโลกส่วนตัวของเขานั้น คือ ความเฉยชา ไม่รักคุณ เพราะนั่นแสดงว่าคุณไม่ได้รักด้วยความเข้าใจ ไม่เคารพในพื้นที่ของเขา
สักแต่รักแบบ "จะเอาให้ได้" และเมื่อไม่ได้ก็ตำหนิเขาว่าเขาหมางเมิน

คนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง คนที่โหยหาความรักและเรียกร้องความสนใจ
จึงเป็นคนประเภทที่จะมีปัญหากับผู้มีพื้นที่ส่วนตัวสูงมากที่สุด

เพราะคนประเภทนี้จะไม่เข้าใจ จะตีความว่า ระยะห่างคือความหมางเมิน
ตลอดจนมองว่าอีกฝ่ายเห็นแก่ตัว ไม่นึกถึงความรู้สึกคนอื่น

ยิ่งถ้าเจอคนประเภททุ่มเทความรัก เพราะหวังจะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยน
ก็จะมีแต่ความผิดหวัง เจ็บช้ำ และรู้สึกว่าเหนื่อย เหมือนต้องพยายามฝ่ายเดียว

ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วฝ่ายที่มีโลกส่วนตัวสูงนั้นเขาไม่ได้ต้องการให้คุณมาทุ่มเท
ไม่ได้ต้องการให้มาเฝ้า มาเป็นห่วง มาทำกับข้าว ตามเป็นเงา หรือนั่งมองหน้า
เขาแค่ต้องการ "ความเคารพ" และ "ความเข้าใจ" ในตัวตนที่เป็น

แต่ถ้าอีกฝ่ายมีนิยามความรักว่าต้องทำทุกอย่างร่วมกัน ต้องอยู่ติดกัน
ก็ต้องมองมาที่ตัวเองว่าคุณอาจกำลังหาความรักที่ว่าจากคนผิดคน

ถ้าอยากได้คนที่มาคลอเคลีย ก็ต้องไปมองหาคนที่ช่างเอาใจ
ไม่ใช่มาดึงดูดคนที่น่าค้นหา ลึกลับ อยากจะเอาชนะเพื่อให้เขาเปิดใจ
แล้วเมื่อไม่สำเร็จ ก็ตีโพยตีพายว่าอีกฝ่ายมีแต่ความเย็นชา




คนที่โลกส่วนตัวสูงนั้น จะว่าไปแล้วเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากมายเลย
แต่บางทีคนไปยัดเยียดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะอึดอัด

ยิ่งความรักตามหนัง ละคร และเพลงส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะปรุงแต่งจนเว่อร์
และทำให้หลายคนหลงเพ้อว่า ความรักมันจะเป็นอย่างสื่อต่าง ๆ ที่เสพกันจนชิน

พอมาเจอกับคนที่โลกส่วนตัวสูงเข้า ก็ดราม่าตัวเองเข้าไปว่าเขาไม่เห็นค่าฉัน
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองนั้นตอบโจทย์ผิดแต่แรก นั่นคือตอบโจทย์ตัวเองไม่ได้ ว่าต้องการคนแบบไหนและต้องการอะไรในความสัมพันธ์ และตอบโจทย์ของอีกฝ่ายไม่ได้ ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข

ดังนั้นเวลาที่เจอคนโลกส่วนตัวสูงเข้า ก็จงถามตัวเองให้ดีว่า คุณชอบที่เขาลึกลับ น่าค้นหา อยากจะเข้าไปนั่งกลางใจเขา อยากเอาชนะ หรือว่าคุณชอบที่เขาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ โดยไม่คิดเปลี่ยน

เพราะถ้าคุณคิดไปเปลี่ยน ไปดึงเขาออกมาจากโลกที่เขามีความสุข เคยชิน
โดยที่เขาไม่ได้ปรารถนาหรือยินยอมล่ะก็ ก็เตรียมใจไว้ได้เลยว่ามันจะไม่ได้ผล

ร่ายมาเสียนาน ก็เพื่อจะมาตอบคำถามของเจ้าของกระทู้
ว่าคนประเภทนี้เวลามีความรักจะเป็นอย่างไร

คำตอบก็คือไม่ต่างจากคนธรรมดา
มีความรู้สึก มีความอ่อนไหว มีอารมณ์อ่อนหวานลึกซึ้งเหมือนมนุษย์ทั่วไป
แต่กว่าจะ "รัก" ใครได้ เขามักใช้เวลา และรู้สึกสบายใจกับคนคนนั้นเสียก่อน

แล้วก็อย่างที่หลายความเห็นได้บอกไว้ว่า ความเข้าใจสำคัญที่สุด
แล้วเมื่อถึงเวลาเขาจะมาหาคุณเอง โดยที่คุณไม่ต้องร้องขอเลย

คนที่มีโลกส่วนตัวสูง ในสายตาของใคร ๆ อาจดูเหมือนคนเห็นแก่ตัว
แต่จริง ๆ แล้วคนที่พยายามบุกในโลกส่วนตัวของเขา ก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน
ที่พยายามไปเปลี่ยน ไปแซะ ไปบีบเขาให้ออกมาได้ดังใจตัวเอง

ดังนั้นก่อนจะรักใคร ชอบใคร จงถามตัวเองว่ายอมรับเขาอย่างที่เป็นได้หรือไม่
ถ้าเขาไม่ใช่ ก็จงไปหาคนอื่นที่จะสนองความต้องการของคุณได้ดีกว่า
แต่อย่าพยายามเปลี่ยน เพราะคนเราไม่ใช่ดินน้ำมัน ที่จะปั้นให้เป็นโน่นเป็นนี่
รู้ใจตัวเองเสียก่อนว่าอยากได้อะไร แล้วสิ่งต่างๆจะง่ายขึ้นเป็นกอง

///เคยมีคนตอบไว้เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับคนโลกส่วนตัวสูง เหมือนรู้ใจผมเลยล่ะ ใช่ทุกอย่าง

เพราะรักนี่ละครับ ผญ.ที่เข้ามาจึงพยายามเรียกร้องเอาจากผมเท่า ๆ กับที่เขาให้มา
จริง ๆ แล้ว วรใช้ความเข้าใจมากกว่าความรัก ค่อยๆศึกษาว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร
ใช้วิธีสังเกตุเอา อาจใช้เวลานานสักหน่อย

แต่เชื่อเถอะถ้ารักใครแล้วรักเดียวใจเดียวนะ จะบอกให้

------------------------

ขอบคุณ ความเห็นที่ 30 กระทู้พันทิพ https://pantip.com/topic/30994095

คลิกอ่าน วิธีเปลี่ยนรักเธอ ให้เป็นรักแท้