วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับประวัติพระบรมรูปทรงม้าร.5

ภาพหายาก เป็นภาพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕ ประทับบนหลังม้าพระที่นั่งก่อนการเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก

จากบทความที่แล้ว ที่ผมได้นำข้อมูลประวัติพระบรมรูปทรงม้ามาลงไว้จากเว็บผู้จัดการนั้น ยังมีข้อมูลบางส่วนที่ไม่ค่อยถูกต้อง เกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการสร้างพระบรมรูปทรงม้า ที่ความเชื่อเดิมๆของคนทั้วไป ที่เชื่อว่า ร.5 เคยเสด็จไปชมพระราชวังแวร์ซายร์ แล้วพระองค์ทรงชื่นชมพระบรมรูปทรงม้าของพระเจ้าหลุยส์ที่14 แล้วเป็นแรงบันดาลใจให้พระองค์ต้องการสร้างพระบรมรูปทรงม้าบ้างนั้น



ความเชื่อตรงนี้ ได้รับการพิสูจน์ในภายหลังเมื่อปีนี้เอง ว่าร.5 พระองค์เคยได้สร้างพระบรมรูปทรงม้าอีกองค์หนึ่งมาก่อนพระบรมรูปทรงม้าองค์ที่เห็นในปัจจุบันนี้มาแล้ว ซึ่งพระองค์ได้สร้างเมื่อพระองค์มีพระชรรษาเพียง20ปีเท่านั้น



และแรงบันดาลใจในการสร้างพระบรมรูปครั้งแรก ก็ไม่ได้เกิดจากการไปทรงชื่นชมพระบรมรูปทรงม้าของพระเจ้าหลุยส์ที่14ตามที่ผู้คนทั่วไปเคยเข้าใจ



ผมได้ดูรายการจากช่องเนชั่น ที่ได้นำนักประวัติศาสตร์คนหนึ่งที่เขียนประจำในหนังสือศิลปวัฒนธรรมมาออก (ขออภัยที่จำชื่อไม่ได้หากค้นหารายชื่อได้จะมาแก้ไข)ในรายการที่กฤษณะ ไชยรัตน์เป็นพิธีกร



ข้อมูลใหม่ที่นักประวัติศาสตร์คนนี้นำเสนอก็คือ ร.5ได้เคยเสด็จประพาสสิงคโปร์และอินเดียเมื่อพระชรรษาเพียง19ปี และทรงไปเห็นรูปปั้นทรงม้าแบบต่างๆ จึงทรงอยากให้มีการสร้างรูปปั้นแบบน้บ้าง จึงได้ว่าจ้างบริษัทปั้นของอังกฤษให้ปั้น พระบรมรูปทรงม้าองค์แรกของไทยขึ้น ซึงมีลักษณะแตกต่างจากพระบรมรูปทรงม้าองค์ปัจจุบัน



ซึ่งนักประวัติศาสตร์คนนี้ได้นำเอกสารเป็นหนังสือพิมพ์อังกฤษในเวลานั้นได้ตีพิมพ์ข่าวการว่าจ้างการปั้นปฏิมากรรมนี้จากกษัตริย์ไทย



พระบรมรูปทรงม้าองค์นั้น มีขนาดเล็ก เหมาะกับการไว้ประดับในอาคาร และม้าที่ทรงมีลักษณะกำลังก้าวเดิน หัวม้าก็ก้มลง เป็นการเดินแบบสบายของม้า

พระบรมรูปองค์นี้ นักประวัติศาสตร์คนดังกล่าวได้พบเจอรูปถ่ายพระบรมรูปทรงม้าองค์แรกนี้ว่า ได้เคยประดิษฐ์สถานอยู่ในพระที่นั่งวิมานเมฆ ในพระบรมมหาราชวัง และคาดว่าน่าจะยังอยู่ แต่จะอยู่ส่วนไหนของพระที่นั่งยังไม่ทราบแน่ชัด



ใหม่เมืองเอก

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ประวัติย่อพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่5

เนื่องจากปีนีเป็นปีครบรอบ100ปี พระบรมรูปทรงม้า ผมเลยไปหาประวัติคร่าวๆ มาให้ได้อ่านประดับความรู้ร่วมเผยแพร่กันต่อไป




พระบรมรูปทรงม้าตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมพระราชวังดุสิต
ใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวถนนราชดำเนินนอกนอกจากจะต้องเห็นพระที่นั่งอนันตสมาคม ภายในพระราชวังดุสิต อันวิจิตสวยงามแล้ว ที่ลานด้านหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมยังมี “พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” หรือที่เรียกกันอย่างติดปากว่า “พระบรมรูปทรงม้า” ซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่า และยังเป็นที่เคารพสักการะแก่ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนของทุกวันอังคารซึ่งตรงกับวันพระราชสมภพของพระองค์ และวันพฤหัสบดีซึ่งถือเป็นวันครู เราจะคุ้นตากับภาพประชาชนจำนวนมากที่พากันมาสักการบูชาที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีความเชื่อว่าจะเสมือนหนึ่งไปรอเฝ้ารัชกาลที่ 5 และสิ่งที่นิยมนำมาใช้ในสักการบูชา คือ ดอกกุหลาบสีชมพู ด้วยความเชื่อที่ว่า ดอกกุหลาบที่มีความงามและมีหนามแหลมคม แสดงถึงอำนาจ หากนำมาบูชาจะทำให้ผู้บูชามีอำนาจ และสีชมพูยังเป็นสีของวันพระราชสมภพด้วย

ประชาชนนิยมมาสักการบูชาพระบรมรูปทรงม้าทุกวันอังคารและพฤหัสบดี
นอกจากนี้ ประชาชนบางคนยังนิยมจัดเป็นโต๊ะบูชา ส่วนใหญ่ประกอบด้วย บายศรี หมากพลู บุหรี่ เหล้า/ไวน์ สตางค์ น้ำมนต์ เชิงเทียน กระถางธูป ฯลฯ ซึ่งถือเป็นการจัดอย่างบูชา “เทพ” ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเปรียบพระองค์เสมือนดั่งเทพยดาที่ปกปักษ์รักษาประเทศชาติและราษฎร ให้อยู่รอดปลอดภัยและเจริญก้าวหน้ามาโดยตลอด

“พระบรมรูปทรงม้า” แห่งนี้ ถือเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์แห่งความจงรักภักดี ที่เหล่าพสกนิกรพร้อมใจกันสร้างถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครบ 40 ปีบริบูรณ์ย่างเข้าสู่ปีที่ 41 อันถือได้ว่ายืนนานยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ในราชวงศ์จักรีในขณะนั้น

รัชกาลที่ 5 ทรงเปิดผ้าคลุมพระบรมรูปทรงม้าเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2451 หน้าพระลานพระราชวังดุสิต
หากย้อนกลับไปยังแผ่นดินในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งก็คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร และเหล่าเสนาบดีมีความเห็นพ้องกันว่า เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยืนนานที่สุดจึงควรจัดงาน “พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก” สมโภชเฉลิมฉลอง และสมควรที่จะสร้างสิ่งใดไว้เป็นอนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติโดยใช้เงินที่ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ ร่วมกันบริจาคทรัพย์ทูลเกล้าฯ ถวายเป็นเงินเฉลิมพระขวัญ

ขณะเดียวกันก็ได้ทราบข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เสด็จไปทอดพระเนตรพระราชวังแวร์ซาย ณ ประเทศฝรั่งเศส และสนพระทัยพระรูปพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงม้า หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ลานข้างพระราชวัง ทรงปรารภว่าถ้ามีพระบรมรูปทรงม้าของพระองค์ตั้งไว้ในสนามที่ถนนราชดำเนินเชื่อมกับพระที่นั่งอนันตสมาคมคงจะสง่างามดี เหมือนเช่นที่มักมีกันตามประเทศต่างๆ ในยุโรป

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช จึงได้กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาติสร้าง “พระบรมรูปทรงม้า” ตามแบบพระรูปพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงม้า ณ พระราชวังแวร์ซาย กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นแบบที่พระองค์ทรงโปรด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จไปทำการตกลงและเลือกชนิดโลหะด้วยพระองค์เอง อีกทั้งยังทรงเสด็จไปประทับเป็นแบบให้นายช่างปั้นหุ่น เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2450 ขณะเสด็จประทับอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งพระรูปมีขนาดโตเท่าพระองค์จริง เสด็จประทับอยู่บนหลังม้าพระที่นั่ง โดยม้าพระที่นั่งนั้นมิใช่ปั้นจากแบบม้าพระที่นั่งจริง แต่เป็นม้าที่บริษัทได้ปั้นเป็นแบบเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว

พระบรมรูปทรงม้าหล่อด้วยโลหะทองบรอนซ์ วางบนแท่นศิลาอ่อน สูง 6 เมตร กว้าง 2 เมตร ยาว 5 เมตร ห่างจากฐานของแท่นออกมา มีโซ่ขึงล้อมรอบกว้าง 9 เมตร ยาว 11 เมตร ตรงฐานด้านขวามีอักษรฝรั่งเศสจารึกชื่อช่างปั้นและช่างหล่อไว้ว่า C.MASSON SEULP 1980 และ G.Paupg Statuare และด้านซ้ายเป็นชื่อบริษัทที่ทำการหล่อพระบรมรูปทรงม้าว่า SUSSF Fres FONDEURS. PARIS สำหรับแท่นศิลาอ่อนด้านหน้า มีแผ่นโลหะจารึกอักษรไทย ติดประดับแสดงพระบรมราชประวัติและพระเกียรติคุณ ลงท้ายด้วยคำถวายพระพรให้ทรงดำรงราชสมบัติอยู่ยืนนาน

พระบรมรูปทรงม้าเมื่อใกล้เสร็จ ณ โรงหล่อซุส แฟร์ ฟองเดอร์ กรุงปารีส(ภาพ : ไกรฤกษ์ นานา)
จากนั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ได้กราบทูลขอถวายพระบรมรูปทรงม้านั้นเป็นของขวัญทูลเกล้าฯจากประชาชนชาวไทยสนองพระมหากรุณาธิคุณในพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไปทรงทำพิธีเปิดด้วยพระองค์เอง จึงปรากฏพระบรมรูปทรงม้าขึ้น ณ พระลานพระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2451 เป็นต้นมา


พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพระบรมรูปทรงม้า

บรรยากาศในบริเวณพระบรมรูปทรงม้าในตอนกลางคืน

ครบ 100 ปี พระบรมรูปทรงม้ายังคงงามสง่าอยู่ ณ ที่เดิม , พระบรมรูปทรงม้ายังดูสวยสง่าแม้ในยามค่ำคืน

ข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์

อ่านความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกรณีแรงบันดาลใจในการสร้างพระบรมรูปทรงม้า

.


วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

คลิปพันธมิตรอเมริกาต้อนรับสมัครและจม.สมัครตัดพ้อ


มาอ่านจดหมายตัดพ้อจากอเมริกา ที่สมัครส่งแฟกซ์เขียนด้วยลายมือตัวเองให้รายการความจริงวันนี้ได้อ่านในรายการ


เรียน ท่านผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ที่นับถือ


นับตั้งแต่ที่ผมพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ที่ผมรับผิดชอบเรื่องบ้านเมืองไปแล้ว ผมก็ไม่พยายามที่จะแสดงความคิดเห็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับทางการบ้านการเมือง โดยเมื่อเดือนเศษๆ ที่ผ่านมา ผมต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลทางเมืองไทย และเมื่ออาการค่อยทุเลาลงแล้ว หมอทางเมืองไทก็ตกกับหมอทางสหรัฐอเมริกาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญให้ผมเดินทางมารักษาตัวเพื่อให้อาการของโรคที่เป็นอยู่หายเสร็จเด็ดขาด


เมื่อตอนที่ผมอยู่เมืองไทย คนอย่างผมก็ไปไหนมาไหนโดยไม่เคยเจอใครที่จะมาแสดงอาการด่าทอว่ากล่าวผมตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผมทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองอยู่


ผมมาถึงเมืองฮุสตัน เมื่อเย็นวันที่ พฤศจิกายน มีคนไทย 3-4 คน มายกป้ายด่าทอผม ด้วยถ้อยคำหยาบคาย กล่าวหาว่าผมเป็นไอ้คนขายชาติ และบอกว่ากรรมเวรไม่ต้องรอชาติหน้า ถือป้ายตั้งแต่ผมออกจากเครื่องที่ผมเดินทางกันไป 3 คนพ่อแม่ลูก กับญาติสนิทอีก คนรวมเป็น คน เข้าลิฟต์มันก็วิ่งถือป้ายเข้ามายืนอยู่ในลิฟต์ด้วย ออกไปรอเอากระเป๋าก็วิ่งเที่ยวชูป้าย เที่ยวถ่ายรูป ถ่ายดักหน้าดักหลัง ปากก็ตะโกนร้องคำเหมือนกับผมเป็นอาชญากรตัวสำคัญที่ทำลายบ้านเมืองออกมายืนรอรถข้างนอกประตู ก็ออกมาวิ่งเที่ยวชูป้ายวิ่งข้ามฟากถนนไปมา แล้วไอ้เจ้าผู้ชายก็มายืนตะโกนด่าอยู่ข้างรถที่ผมขึ้นไปนั่ง ว่าผมเป็นไอ้ขายชาติๆๆๆๆ ตะโกนอยู่ข้างรถเหมือนเจ็บแค้นใจแทนพี่น้องคนไทยทั้งชาติทำนองนั้น


ตลอดระยะเวลาที่ 3-4 คน เที่ยววิ่งแสดงกิริยาอย่างที่ว่า ผมไม่ได้แสดงกิริยาตอบโต้อะไร เพราะแม้แต่หน้าของเขา3-4 คน ที่มาแสดงกันนั้น ผมก็ว่าไม่อยากมองหรือจดจำ


ผมคิดอยู่ในใจเพียงว่าเมื่อผมมีโอกาสนั่งเขียนหนังสือผมก็คิดจะเขียนมาถึงผู้จัดรายการความจริงวันนี้ เพื่อบอกความจริงให้พวกที่เขามาแสดงกันอย่างที่ว่า โดยที่คนพวกนี้เขาไม่เคยรู้หรือแกล้งไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร เช่น คนอย่างผมได้ทำอะไรให้กับบ้านเมือง ตลอดระยะเวลา เดือนที่ผมอยู่ในหน้าที่ ผมจะบอกให้ว่าคนอย่างผม นายสมัคร สุนทรเวช นั้นเป็นนักการเมืองที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดเรื่องเอาชาติบ้านเมืองไปขายให้กับใครที่ไหน


ตรงกันข้ามผมนี่แหละเป็นคนที่มีโอกาสทำหน้าที่เป็นคนกอบกู้สถานการณ์ของบ้านเมืองที่เกิดความเสียหายขึ้นภายหลังจากที่มีการยึดอำนาจการปกครองเป็นเวลาปีครึ่ง


ผมเป็นหัวหน้าของคณะผู้คนที่เข้ามารับตำแหน่งที่เป็นผู้บริหารบ้านเมือง อย่างถูกต้องตามตัวบทกฎหมาย
ตลอดเวลาที่ผมทำหน้าที่ทุกอย่าง อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเพื่อกอบกู้สถานะของความเป็นชาติที่อยู่ในสังคมโลกที่ประเทศทั่วโลกเขาหันกลับมาร่วมมือในกิจการต่างๆ จนเกือบเป็นปกตินั้น ผมต้องทำงานหนักเพียงไร
ผมเป็นคนที่ทำหน้าที่รักษาพระศาสนา ตั้งแต่ก่อนแต่ไร จนเมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีผมก็ยิ่งทำหน้าที่ปกป้องดูแลและส่งเสริมพระศาสนาที่คนไทยร้อยละ 95 ของบ้านเมืองเรานับถือ


ในความเป็นคนไทย ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีความจงรักภักดี และมีความเคารพเทิดทูน สถาบันสูงสุดของบ้านเมืองมาตลอด โดยไม่ต้องไปประกาศให้ใครในบ้านเมืองรู้ เพราะทั้งชีวิตผมและวงศ์ตระกูลผมที่สืบย้อนขึ้นไป ชั่วคนได้สนองงานถวายพระราชวงศ์จักรี ทั้งคุณตา คุณลุง คุณพ่อและคุณตาของผม โดยเมื่อถึงยุคของผม ผมก็ได้สนองงานถวายทุกวาระที่ผมได้รับหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารบ้านเมือง


อยากให้รู้ว่าแม้ผมจะทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แม้จะเป็นเวลาเพียง เดือน ผมก็ได้ทำหน้าที่ของผม ให้สถาบันที่มีหน้าที่ดูแลความมั่นคงของบ้านเมืองให้เข้าใจและไม่มีปัญหาที่จะไปทำให้เกิดความแตกแยกในกองทัพ รวมทั้งการให้ความสนับสนุนและส่งเสริมกิจการงานของกองทัพเป็นที่เข้าใจและพอใจของทุกฝ่าย


ในฐานะที่ประเทศไทยได้ดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มประเทศอาเซียน ผมได้ทำหน้าที่ของผมในกลุ่มประเทศอาเซียน10 ประเทศ กับประเทศคู่เจรจาไม่ว่าจะเป็น สหรัฐ หรือจีน ที่ผมมีโอกาสได้พบเจรจาความกับรับผิดชอบอยู่ คือ ผมประกาศและยืนยันที่จะรักษาระบอบประชาธิปไตยให้ยังคงอยู่กับบ้านเมือง โดยไม่ยอมให้ใครมาใช้อำนาจแบบอานารยะมาล้มระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่เรามีและเป็นกันอยู่


เมื่อผมพ้นจากหน้าที่เพราะคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ และผมไม่บอกรับเข้ารับตำแหน่งอีกเมื่อมีการแสดงจากการขัดข้องทางการเมือง ผมก็ถอยออกมาห่างอย่างที่ได้เรียนไว้ในตอนต้น


ที่ผมต้องทำ และต้องเขียนมาถึงรายการความจริงวันนี้ก็เพราะผมต้องการให้พี่น้องประชาชนคนไทยที่รู้จักผมมาตลอด ชี้นำในการดำเนินงานทางการเมืองของผม ว่าผมไม่เคยคิดว่าคนอย่างผมที่ได้เข้ามาทำหน้าที่ทางการเมืองในช่วงที่ต้องมากอบกู้สถานะของประเทศจนเป็นปกติ จะมาถูกคนไทยที่มาอยู่ต่างแดนที่แม้ว่าตั้งแต่เข้ามายังไม่เคยเห็นหน้ากัน มาแสดงอะไรกับคนอย่างผมที่เดินทางมารักษาตัวกันเพียง คน อย่างที่เล่ามาให้ทราบแล้วในตอนต้น


คนพวกนี้ แม้จะออกมาอยู่ไกลคนละซีกโลกของบ้านเมืองเรา อาจจะได้เสพหรือรับรู้แต่ข่าวที่เป็นการให้ร้ายป้ายสีกัน ในการจะล้างผลาญเป็นทางการเมืองโดยไม่ลืมหูลืมตา และไม่ยอมรับรู้รับฟัง ความจริงอีกด้านโดยแยกไม่ออกว่าใครทำอะไร ให้บ้านเมืองมาอย่างไร จนมาคอยจ้องแสดงอาการอย่างที่ผมเล่ามาให้ฟังกันได้ เหมือนกับผมเป็นคนเลวทรามต่ำช้าที่เป็นผู้ทำให้บ้านเมืองเกิดความเสียหาย จนต้องมาเขียนป้ายประณามและมายืนตะโกนด่าซ้ำๆ ซากๆ ว่าผมเป็นไอ้ขายชาติๆๆ อยู่ข้างรถผม


ขอเล่าความทุกข์ใจของผมมาถึงพี่น้องประชาชนชาวไทยที่ยังมีใจเป็นชนชาติเดียวกันให้ทราบความจริงผ่านรายการความจริงวันนี้ ทั้งนี้ เพราะกิจกรรมที่ทำกันอย่างไม่ลืมหูลืมตาของคนกลุ่มเล็กๆ ที่กระจายกันทั่วไปในแหล่งที่มีคนไทยอยู่ทั่วโลกอย่างที่ทำกันนี้ เป็นกิจกรรมที่คนเป็นหัวโจกดำเนินการจะมีความภาคภูมิใจ อย่างไรก็ตามเถิด แต่นี่เป็นกิจกรรมที่ทำลายความเป็นชาติไทยที่มีความรักความผูกพันกันมายาวนานตลอดชีวิตของคนไทยเรา อย่างน่าเศร้าน่าสลดใจเป็นที่สุด


เหมือนอย่างชื่อหนังสือเล่มใหม่ของผมที่กำลังเขียนอยู่ที่ผมให้ชื่อว่า “บางทีจะสายไป...หากคนไทยยังไม่ฉุกคิด”
ด้วยรักและคิดถึง


สมัคร สุนทรเวช

 

 

 

ที่มา: มติชนออนไลน์


วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ภาพพันธมิตรอเมริกาต้อนรับสมัคร สุนทรเวช

ผมเห็นข่าวพันธมิตรที่อเมริกามายกป้ายต้อนรับสมัครแล้วอดสงสารไม่ได้ เพราะโดยส่วนตัวผมกับครอบครัวสมัครก็พอจะรู้จักกันอยู่บ้าง ผมเองชื่นชอบสมัครมา30กว่าปี

สมัครเคยมาเยี่ยมตอนผมป่วยถึง2ครั้งที่โรงพยาบาล แม่ผมก็เป็นเพื่อนกับเมียสมัครมาตั้งแต่เป็นเด็ก


ตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมเชียร์พรรคประชากรไทยมาตลอด จนสมัครลาออกไปเป็นผู้ว่าฯกทม.ผมก็เลือก เพิ่งมาไม่เห็นด้วยกับสมัครในคดีหนีภาษีหุ้นของทักษิณนี่เอง

หลังจากสมัครไม่ได้เป็นนายกฯ ผมก็ไม่รู้จะต่อต้านอะไรสมัครต่อไปแล้ว เห็นใจคนกำลังป่วยใกล้ตาย สมัครนั้นถึงจะปากร้ายแต่ก็ไม่สั่งฆ่าประชาชน เหมือนนายกฯคาสโนว่า สมชวย สรุปแล้ว สมัครดีกว่าสมชวยมากมายนัก สำหรับพันธมิตรที่มากระทำแบบนี้กับอดีนายกฯของไทย ตราบใดความจริงทั้งหมดยังไม่กระจ่าง ตราบนั้นการให้เกียรติ์ต่ออดีตผู้นำของเรา ต้องเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เป็นมารยาททางสังคม และน้ำใจนักกีฬา


ทีนี่เรามาดูรูปการต้อนรับของพันธมิตรที่มารอต้อนรับสมัครแอนด์เมียที่สนามบินกันดีกว่าครับ ดูไปก็สังเวชใจไป เฮ่อ!กรรมหนอกรรม ตามทำกันเห็นๆ
.




















เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

.

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ความเข้าใจเรื่องพระอาบัติขณะบิณฑบาตร





ผมเองก็เคยมีอคติกับพฤติกรรมพระหลายรูปที่ผมเคยได้พบเห็นในขณะบิณฑบาตร เนื่องจากบางครั้งด้วยความรู้น้อยในทางบทบัญญัติในพระวินัย ที่ผมอาจไม่เข้าใจลึกซึ้งพอ

แต่เมือได้มีโอกาสพบบทความของ พระชิตงฺกโร ภิกฺขุ วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ทำให้มุมมองหลายๆอย่างที่ผมเคยมีได้เปลี่ยนไป เลยอยากขอนำบทความดีๆนี้มาช่วยนำเสนอ เผื่อจะได้เป็นการเผยแพร่ความเข้าใจเรื่องการบิณฑบาตรของพระได้สู่ผู้อ่านเพิ่มขึ้นอีกทางครับ



วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11188 มติชนรายวัน

กรณีการต้องอาบัติของภิกษุสงฆ์ และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องขณะบิณฑบาต

สืบเนื่องมาจากบทความบนคอลัมน์ประจำของ คุณวสิษฐ เดชกุญชร ที่ลงตีพิมพ์เมื่อวันอังคารที่ 7 ตุลาคม 2551 หน้า 6 ในมติชนรายวัน ในหัวข้อที่ชื่อว่า "เรื่องของคนห่มผ้าเหลือง" ซึ่งนำเสนอถึงพฤติกรรมบางประการขณะออกรับบิณฑบาตที่ไม่เหมาะสมของภิกษุสงฆ์


กล่าวคือมีการรับปัจจัย (เงิน) ลงในบาตร อีกทั้งยังตั้งข้อสังเกตถึงการถวายปัจจัยของพระเถระผู้มีชื่อเสียงรูปหนึ่งแด่ภิกษุสงฆ์ ในงานทำบุญวันเกิดตามภาพข่าวที่อ้างถึงมติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่าเป็นลักษณะของการประพฤติผิดพระวินัยและต้องอาบัติชื่อนิสสัคคิยปาจิตตีย์กันทั้งหมดทั้งผู้ให้และผู้รับ


อีกทั้งยังชี้นำประเด็นดังกล่าวว่า อาจลุกลามขยายใหญ่โตจนทำให้บ้านเมืองขาดที่พึ่งทางใจไร้ศีลธรรม หากปล่อยไว้ในพฤติกรรมดังกล่าวถึงขนาดที่อาจทำให้ลูกหลานเยาวชนไทยกลายเป็น เปรต อสุรกาย หรือ สัตว์เดรัจฉาน ได้เลยทีเดียว

ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า การกล่าวหานั้นดูจะทำได้ง่ายกว่าการชี้แจงแถลงไขเป็นไหนๆ ทั้งยังดูสุ่มเสี่ยงต่อการถูกมองว่ากำลังหาเหตุผลทั้งหลาย เพื่อมาใช้อธิบายถึงพฤติกรรมของพวกพ้องอันจะนำไปสู่ความชอบธรรมในการก้าวล่วงพระวินัยเป็นประเด็นๆ ไป ไว้ดังนี้

ประการแรก ต่อข้อสังเกตที่คุณวสิษฐ เดชกุญชร ให้คำจำกัดความบุคคลที่ได้พบเห็นที่มีพฤติกรรมในการออกรับบิณฑบาตและให้คำจำกัดความบุคคลเหล่านั้นว่า "คนห่มผ้าเหลือง" นั้นโดยข้อเท็จจริงแล้ว ในทางพระพุทธศาสนามีคำที่มีความหมายดีๆ กว่านี้ ที่ใช้เรียกบุคคลดังกล่าวว่า "ภิกษุ" หรือ ภิกษุ ซึ่งแปลตามพระบาลีว่า ผู้ขอ หรือ ผู้เห็นภายในวัฏฏสงสาร ดังจะเห็นได้จากคำเรียกขานของพระพุทธองค์ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย" ในพระไตรปิฎกอยู่เนืองๆ

ซึ่งสถานภาพแห่งความเป็นภิกษุดังกล่าวนี้ได้มาจากการที่มีกุลบุตรอายุครบ 20 ปีขึ้นไป มีความประสงค์จะเข้ามาถือบวชในพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์โดยผ่านพิธีอุปสมบท (การรับเข้าหมู่) มาอย่างถูกต้องตามหลัก สังฆกรรม ซึ่งหลังจากนั้นท่านจะให้หาเลี้ยงชีพด้วยการภิกขาจาร (การเที่ยวไปเพื่อขอ) ด้วยภาชนะ คือ บาตร เอาไว้ใส่อาหารต่างๆ ที่มีผู้นำมาใส่ลงไปโดยเรียกอาการอย่างนี้ว่า "บิณฑบาต" (การตกลงแห่งก้อนข้าว)

ซึ่งสถานภาพแห่งความเป็นภิกษุนี้ในทางพระวินัยนั้นถือว่าจะสิ้นสุดลงทันทีใน สอง กรณี ดังนี้ คือ

1.ภิกษุรูปนั้นหมดความประสงค์ที่จะดำรงอยู่ในเพศภาวะแห่งความเป็นภิกษุและได้กล่าวคำลาสิกขาเป็นคำรบ 3 แก่ผู้รู้ความ

2.ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติ (ถึงอาการแห่งการล่วงพระวินัย) ร้ายแรง อย่างใดอย่างหนึ่ง สี่ กรณี ที่เรียกว่า ปาราชิก คือ เสพเมถุน, ลักของเขา, ฆ่ามนุษย์, อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน

ส่วนในประเด็นที่มีการเรียกขานภิกษุว่า "พระ" ตามอย่างที่เราคุ้นชินกันอยู่นั้นสันนิษฐานว่า คำๆ นี้มาจากคำบาลีว่า "วร" (อ่านว่า วะ-ระ) ซึ่งแปลว่า ดีเลิศ ประเสริฐ และงามพร้อม ซึ่งจากความหมายนี้บ่งชี้ถึงระดับแห่งคุณภาพที่มากกว่าคำว่า "ภิกษุ" อยู่มากทีเดียว

กล่าวคือ ภิกษุใดที่ยังมีความประพฤติไม่เรียบร้อย อาจเรียกได้ว่ายังไม่เป็น พระ แต่นั่นก็มิได้หมายความว่า ได้ขาดจากความเป็นภิกษุไปแล้วแต่อย่างใด


ซึ่งถ้าสังเกตจากมุมมองของคุณวสิษฐ ถึงกรณีที่เห็นบุคคลห่มผ้าเหลืองเหล่านั้นแล้วอาจเกิดความรู้สึกว่าขาดจากความเป็นภิกษุไปแล้วด้วยนั้น เพียงเพราะอากัปกิริยาที่ดูจะขัดหูขัดตาขณะรับบิณฑบาต จึงเป็นการเห็นที่น่าจะไม่ถูกต้องนัก

เพราะหากบุคคลดังกล่าวผ่านพิธีอุปสมบทมาอย่างถูกต้องก็ควรจะ เรียกว่า "ภิกษุผู้ไม่สำรวม" ดูจะเป็นโทษน้อยกว่า(ซึ่งต่อจากนี้ไปผู้เขียนจะใช้คำว่า "ภิกษุ" แทนคำว่า "คนห่มผ้าเหลือง" ของคุณวสิษฐ ได้อย่างสบายใจเสียที)

ประการที่สอง ต่อกรณีที่คุณวสิษฐ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงลักษณะอาการของภิกษุที่เห็นในปัจจุบันขณะรับบิณฑบาตว่ามีการให้พรกับญาติโยมทั้งยังให้อย่างผิดๆ ถูกๆ อีกด้วย ซึ่งต่างจากพระแต่ก่อน ในความรู้สึกของคุณวสิษฐ ที่กลับไปให้ที่วัดนั้น

ข้อเท็จจริงประการนี้ที่ผู้เขียนประสบมาก็คือ ในกรณีวัดในต่างจังหวัดที่มีการฉันพร้อมกันเป็นหมู่คณะในโรงฉัน และมีการออกรับบิณฑบาตในคราวเดียวกันเป็นขบวนยาว ๆ ของภิกษุสงฆ์ ก็มักจะไม่มีการให้พรขณะบิณฑบาต อย่างที่คุณวสิษฐว่า และชาวบ้านก็มักไม่สนใจที่จะรับพรจากภิกษุสงฆ์ดังกล่าวด้วย (คงไม่ต้องบอกนะว่าเพราะอะไร)

แต่ในกรณีที่มีการออกรับบิณฑบาตแบบเดี่ยวๆ หรือขบวนภิกษุมีจำนวนน้อยๆ (ไม่เกิน 3 รูป) และหากต้องโคจรบิณฑบาตเข้าไปในละแวกบ้านที่ทิ้งระยะห่างพอสมควร การให้พรของภิกษุสงฆ์ดูจะสร้างความอิ่มอกอิ่มใจให้กับญาติโยมอยู่ไม่น้อยแต่ถ้าไม่ให้พรเลยญาติโยมก็ไม่ว่าอะไรเพียงแต่ยกมือไหว้อย่างเหงาๆ เท่านั้นเองส่วนกรณีพฤติกรรมอย่างอื่น เช่น การรับบิณฑบาตจนเกินพอดีของภิกษุสงฆ์ จนต้องมีการถ่ายเทอาหารที่ญาติโยมนำมาใส่ลงในบาตรออกสู่รถเข็นหรือภาชนะอยู่เนืองๆ จนดูคล้ายกับการจ่ายตลาดและอาจแสดงถึงความโลภไม่รู้จักพอต่อผู้พอเห็น

ในการรับอาหารจากญาติโยมของบรรดาพระภิกษุอย่างที่คุณวสิษฐเห็น ซึ่งในประเด็นนี้ ภิกษุผู้ไม่สำรวม อย่างผู้เขียนก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เข้าถึงพฤติกรรมดังกล่าวอีกเช่นเดียวกัน

จึงขอชี้แจงแต่เพียงสั้นๆ ว่า ถ้าจะให้ภิกษุรับอาหารแต่พอเต็มบาตรแล้วกลับวัดเลย ด้วยเกรงข้อครหา ดังกล่าว สภาพวัดต่างๆ ในประเทศไทยในปัจจุบันที่มีสถานะเป็นแหล่งอนุเคราะห์ในด้านอาหารกับผู้ด้อยโอกาสในสังคม ตลอดจนสัตว์ต่างๆ ที่มีผู้คนนำมาปล่อยไว้ให้เป็นภาระกับวัดในการเลี้ยงดู เช่น หมาและแมวนั้นจะมีอะไรเหลือให้กินกันอย่างอิ่มหมีพีมันเช่นทุกวันนี้หรือ?

ประการที่สาม ต่อข้อสังเกตที่คุณวสิษฐ กล่าวโจษอาบัติ ต่อเหล่าบรรดาภิกษุสงฆ์ว่าต้องอาบัติชื่อ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ถึงกรณีการรับปัจจัย (เงิน) ขณะรับบิณฑบาตและในกรณีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ นั้น

ซึ่งในประเด็นนี้ ผู้เขียนเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้มาศึกษาและเรียนรู้ร่วมกันอย่างถูกต้องถ่องแท้กันเสียเลย จึงใคร่จะอัญเชิญพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ถึงพระวินัยข้อนี้ตามความหมายแห่งพระบาลีดังนี้ว่า

"อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดี ทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ก็ดี, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์"

ซึ่งนัยแห่งการวินิจฉัยของพระอรรถกถาจารย์โบราณท่านชี้ไว้ว่า แม้ภิกษุไม่รับ ไม่จับ ไม่ต้อง มีลูกศิษย์ (ไวยาวัจกร) รับให้เสร็จสรรพ แต่เกิดยินดีในเงินและทองนั้นก็ไม่พ้นจากอาบัติข้อนี้ ซึ่งทองเงินที่ได้มานั้นชื่อว่าเป็น "นิสสัคคิยวัตถุ" จำต้องสละจึงจะปลงอาบัติตก

ส่วนภิกษุผู้ต้องชื่อว่าเป็น "ปาจิตตีย์" ซึ่งแปลว่า "การละเมิดอันยังความดีให้ตกล่วง" (พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉ. ประมวลศัพท์) อนึ่ง อาบัติกลุ่มนี้เป็น อจิตตกะ คือ ภิกษุไม่รู้แล้วรับเข้าก็เป็นอาบัติ ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่าหากมีใครเอาเงินสักบาทหนึ่งแอบหรือแนบติดไปกับอาหารที่ใส่บิณฑบาต ภิกษุผู้นั้นไม่รู้รับเข้าก็เป็นอาบัติ

ซึ่งจากเงื่อนไขดังกล่าวนี้จะพบว่า การรับบิณฑบาตของภิกษุในปัจจุบันนั้นสุ่มเสี่ยงต่อการต้องอาบัติข้อนี้ได้ง่ายมาก ทั้งนี้ เนื่องมาจากค่านิยมการนำปัจจัยซึ่งบางครั้งแนบใส่มากับอาหารของญาติโยมด้วยคาดการณ์ว่า ตนเองหรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะได้มีเงินมีทองใช้ในชาติหน้าภพหน้า ด้วยความคิดที่ว่าการทำบุญใส่บาตรอย่างไรมักจะได้อย่างนั้นตอบแทน

เหมือนอย่างที่มีค่านิยมการนำขวดน้ำมาใส่บาตร ซึ่งภิกษุสามเณรก็ไม่อยากขัดศรัทธา อีกทั้งอาจถูกมองว่าเรื่องมาก หากบอกปฏิเสธไปซึ่งในกรณีนี้บางสำนักก็รักษาพระวินัยข้อนี้เอาไว้ได้อย่างเข้มแข็งน่าชื่นชม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในหลายๆ สำนักกลับมองเรื่องการต้องอาบัติในข้อนี้เป็นเรื่องธรรมดา

อีกทั้งญาติโยมก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนักกับการที่อยากจะถวายปัจจัยให้แก่ภิกษุสามเณรไว้ใช้สอยอะไรเล็กๆ น้อย ๆ บ้างเพราะรู้สึกเห็นอกเห็นใจอยู่ไม่น้อยในการเป็นผู้ออกจากเรือนมาอยู่ในวัด ทั้งยังต้องเดินทางไปในที่ต่างๆ เพื่อศึกษาเล่าเรียนและซื้อหาตำรับตำรา

แม้จะรู้ว่าวิธีการได้มาแห่งปัจจัยนั้นมันผิด แต่เมื่อติดตามไปดูถึงทิศทางการนำปัจจัยไปใช้สอย ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และการเผยแผ่พระศาสนาก็มักจะอนุโมทนากันถ้วนหน้า

และในกรณีที่คุณวสิษฐ กล่าวโจษอาบัติข้อนี้ต่อพระเถระรูปหนึ่งซึ่งขอเอ่ยนามไว้ให้รู้กันเลยว่าคือ พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทฺโธ) หรือ หลวงพ่อคูณ นั่นเอง ซึ่งในประเด็นนี้ผู้เขียนก็เห็นภาพดังกล่าว (ภาพข่าวฉบับวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม 2551 น.14 มติชน) แต่ไม่มีอะไรจะพูดมากนักอันเนื่องมาจากกิริยาอาการของท่านดังกล่าว เพราะในทางพระพุทธศาสนาเรานั้นมีศัพท์ ๆ หนึ่งที่ใช้อธิบายถึงพฤติกรรมดังกล่าวของท่านได้ดีทีเดียว คำ ๆ นั้นคือ ปาปมุตฺต แปลว่า ผู้พ้นแล้วจากบาป

อธิบายตามนัยแห่งบาลีว่า "คนบางคนเป็นที่เคารพนับถือของคนเป็นอันมาก คนผู้นั้น แม้จะพูดจะว่า หรือ พูดคำที่ไม่ควรพูดบางคำ ตลอดจนพฤติกรรมบางอย่างก็ไม่มีใครว่า ถือสา คนทั้งหลายเขายกให้ไม่เป็นบาป เรียก บาปมุต ก็ว่า" (พจนานุกรม มคธ - ไทย พันตรี ป. หลงสมบุญ)

หรือถ้าฟังคำนี้แล้วยังไม่รู้สึกดีขึ้นผู้เขียนก็ใคร่จะขอร้องให้ท่านทั้งหลายที่ได้อ่านบทความชิ้นนี้ลองไปสอบถามหาสถานศึกษาตั้งแต่ชั้นระดับประถมไปจนถึงมัธยมหรือมหาวิทยาลัย ตลอดจนสถานพยาบาล ตั้งแต่สถานีอนามัยไปจนถึงโรงพยาบาลของรัฐในจังหวัดนครราชสีมา ดูว่ามีที่ไหนบ้างที่ไม่เคยได้รับเงินบริจาคที่ผ่านมือของพระเถระท่านนี้ แล้วลองมาชั่งน้ำหนักดูเมื่อเทียบกับความผิดฐานละเมิดพระวินัย ในกรณีดังกล่าวของท่านซึ่งผู้เขียนก็จะไม่ขอก้าวล่วงต่อคำวินิจฉัยอันจะเกิดจากท่านทั้งหลายในข้อนี้

ไหน ๆ เมื่อเขียนมาแล้วก็ขอเขียนเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่า อันที่จริงสถานภาพของภิกษุสงฆ์นั้น จะว่าไปแล้วก็มีอะไรหลาย ๆ อย่าง คล้ายคลึงกันกับอาชีพตำรวจ ในฐานะผู้รักษากฎหมาย แม้ว่าจะละเลยในเรื่องของการพิทักษ์สันติราษฎร์อยู่บ้างในบางครั้ง ภิกษุสงฆ์เองก็เช่นเดียวกันที่มักจะเป็นผู้รักษาพระธรรมวินัย โดยลืมปฏิบัติตามธรรมวินัยบ้างในบางกรณีเช่นกัน

ซึ่งต่อข้อสังเกตนี้ผู้เขียนก็ใคร่ขอหยิบยกมาให้คุณวสิษฐ เดชกุญชร ลองมาพิจารณาเป็นกรณีศึกษาไว้บ้าง ถ้าหากได้มีโอกาสอ่านบทความชิ้นนี้ในฐานะที่ท่านเองก็เคยเป็นอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มาก่อน ซึ่งบ่อยครั้งผู้เขียนเองก็ได้มีโอกาสเห็นการแสดง มายากล ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรบางโรงพักทำการเสกแบงก์ร้อยให้หายไป เหลือไว้แต่ใบขับขี่ยื่นกลับมาให้คนขับรถในการเรียกขอตรวจดูใบอนุญาตอยู่บ่อยครั้ง

ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับเหล่าบรรดาภิกษุสงฆ์ในหลาย ๆ วัดที่ไม่พยายามจับปัจจัยให้ญาติโยมเห็น (ต่อหน้า) ในที่สาธารณะและข้อที่น่าสังเกตอีกประเด็นหนึ่งซึ่งก็คือแม้ว่าพฤติกรรมบางประการในทางที่ไม่ดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีให้เห็นอยู่บ้างตามสื่อต่าง ๆ เช่น เรื่องเก็บส่วย รีดไถ อุ้มฆ่า หรือฆาตกรรมผู้บังคับบัญชา ฯลฯ

แต่เวลาประชาชนประสบปัญหาที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินก็มักที่จะร้องหาเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาไว้ก่อน

เช่นเดียวกันกับภิกษุสงฆ์ซึ่ง แม้ว่าจะมีข่าวที่เสื่อมเสียในทางที่ไม่ดี เช่น ดื่มสุรา มั่วสีกา เคล้านารี ไปจนถึงต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯลฯ ก็ยังมีประชาชนร้องหาเวลาจะประกอบพิธีเป็น พิธีตายกันอยู่แทบจะทุกครั้ง

ด้วยเหตุดังนี้แล้วผู้เขียนจึงคิดว่าในฐานะที่เรา (ตำรวจ และภิกษุสงฆ์) มีอะไรในหลายๆ อย่างที่คล้ายคลึงกันดังกล่าว คุณวสิษฐ เดชกุญชร ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวแทนแห่งสัญลักษณ์ในความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จะไม่ลองหันหน้ามาสมานฉันท์กับวงการภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันดูบ้างหรือ เผื่อจะได้เป็นต้นแบบที่ดีให้กับกลุ่ม ก๊วนต่างๆ ในสังคมที่ไม่ถูกกันและกำลังเข้าห้ำหั่นจะได้หันหน้าเข้าหากันบ้างอย่างในเวลานี้ไม่ดีกว่าหรือ?

ฉะนั้น จากพฤติกรรมที่คุณวสิษฐ เดชกุญชร หยิบยกขึ้นมาเป็นข้อวิจารณ์ ผู้เขียนก็ได้พยายามใช้สติปัญญาอันน้อยนิด คิดหาคำอธิบายมาให้ได้พิจารณากันแทบจะทุกข้อกล่าวหาแล้ว เลยทำให้คิดหาข้อสรุปได้อย่างเก๋ๆ ต่อกรณีนี้ว่า

เมื่อใดก็ตามที่สังคมให้ความสำคัญกับ คุณภาพเชิงความงาม มากกว่า คุณภาพเชิงความดี หรือ เชิงปัญญาแล้ว ก็อาจจะทำให้แนวคิด หรือมุมมองแบบคุณวสิษฐ เดชกุญชร (คือการชอบตั้งข้อสังเกต แต่ไม่ชอบอธิบายถึงปรากฏการณ์) แพร่หลายได้ง่ายยิ่งนัก

ซึ่งในประเด็นนี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงงานเขียนของนักวิพากษ์สังคมมืออาชีพอย่าง อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ (ขออภัยที่ต้องเอ่ยนาม) ขึ้นมาในทันที

เพราะถึงแม้ว่าท่านจะหยิบยกประเด็นใดๆ ขึ้นมาพูดอย่างรุนแรง แต่ก็มักจะมีคำอธิบายดีๆ แฝงมาอย่างตรงๆ เสมอ (อย่าง พุทธศาสนาในความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย, นิธิ เอียวศรีวงศ์) มากกว่าที่จะหยิบยกประเด็นขึ้นมาตีแรง ๆ แล้วหายกลับเข้าไปในบ้านเฉย ๆ เลยเป็นเหตุให้ผู้เขียนต้องมาลำบากตรากตรำในการชักนำแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบายอย่าง พะเรอเกวียนตามอย่างที่เขียนมาข้างต้น

เพื่ออย่างน้อยจะได้ชี้นำให้ท่านทั้งหลายเปิดใจรับฟังถึงเงื่อนไขและปัจจัยแห่งการไม่สามารถประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระวินัยได้อย่างสมบูรณ์ของเหล่าบรรดาภิกษุ - สามเณรทั้งหลายตามความเป็นจริงในปัจจุบันทั้งยังเป็นการขอโอกาสต่อสังคมที่จะได้ เมตตา อุปถัมภ์ค้ำจุนเหล่าภิกษุหนุ่ม - สามเณรน้อยทั้งหลาย อย่างสบายใจต่อไป

เพื่อที่จะได้เติบโต และงอกงามไพบูลย์ในพระศาสนา ประหนึ่งดอกบัวที่จะได้มีโอกาสเบ่งบานในกาลข้างหน้า แม้ว่าจะมาจากโคลนตม ทั้งยังจมอยู่ในท่ามกลางเปลวเพลิงแห่งสังคมในด้านต่างๆ อย่างทุกวันนี้กันได้บ้าง



ขอขอบคุณข้อมูลจาก มติชนออนไลน์

หากคุณผู้อ่านได้อ่านบทความนี้จาก ท่านชิตงฺกโร ภิกฺขุ จากวัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน โดยละเอียดในแต่ละกรณีแล้ว ต้องยอมรับว่า น่าเป็นเรื่องที่ดีที่พุทธศาสนาได้มีพระที่มีความรู้ดีอีกรูปหนึ่ง ทำให้ผมเองก็รู้สึกดีๆขึ้นมากด้วยในความเข้าใจแบบมีอคติกับพระได้ลดลงครับ
.