วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สว.รสนา วิเคราะห์นโยบายลดราคาน้ำมัน




รายการคมชัดลึก ลดราคาน้ำมันใครได้ประโยชน์?? และสว.รสนา พูดเบื้องหลังเบื้องลึกการเอาเปรียบคนไทยของปตท. ในเรื่องแก๊สด้วย และยังวิเคราะห์ว่าทำไมธุรกิจต้องกดค่าแรงคนงาน??

รายการตอนนี้เป็นประโยชน์มากๆ ใครไม่ได้ดูควรดูครับ

1.



2.



วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หยุดเอาใจพวกเศรษฐีเสียที !! (วอเรน บัฟเฟต)




ผมขอลอกบทความดีๆจากคอลัมภ์เปลว สีเงิน มาลง เป็นเรื่องที่นายวอเรน บัฟเฟต อภิมหาเศรษฐีของโลก วิจารณ์ว่าทำไมคนรวยกลับจ่ายภาษีน้อยกว่าคนจน??

ส่วนหนึ่งจากคอลัมภ์เปลว สีเงิน

V

V

สัปดาห์ที่แล้ว มหาเศรษฐีของโลกชาวอเมริกัน "นายวอร์เรน บัฟเฟตต์" สะท้อนความบัดซบคนในรัฐสภาที่ดีแต่ออกกฎหมายอุ้มคนรวย-รีดคนจน ประมาณว่า คนขายก๋วยเตี๋ยวถูกนับชามคำนวณภาษี แต่คนขายเงิน-ขายหุ้น กลับได้ยกเว้นภาษีเป็นกรณีพิเศษ!

ผู้ใช้นามว่า VARS ส่งเรื่องที่นายบัฟเฟตต์เขียน และมีผู้แปลจาก New York Times มาให้ผมอ่าน วันนี้ผมจะเอามาให้ท่านอ่านบ้าง ท่านที่อ่านแล้ว โปรดผ่านไป ส่วนท่านที่ยังไม่ได้อ่าน ต้องอ่านนะครับ

V

V

หยุดเอาใจมหาเศรษฐีเสียที!! สาสน์จาก “วอร์เรน บัฟเฟตต์”

ผู้นำประเทศของเราได้ออกมาเรียกร้องให้ประชาชน “เสียสละร่วมกัน” แต่ในคำขอนั้น พวกเขากลับยกเว้นตัวผมเอาไว้ ผมได้สอบถามไปยังเพื่อนมหาเศรษฐีหลายคนว่า พวกเขาคิดว่าตัวเองจะต้องเสียอะไรบ้าง จากคำขอดังกล่าว แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครไปแตะต้องพวกเขาเช่นกัน

ในขณะที่คนจนและคนชั้นกลางออกไปสู้รบในอัฟกานิสถาน และคนอเมริกันส่วนใหญ่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มหาเศรษฐีอย่างพวกเรา กลับได้รับยกเว้นภาษีเป็นกรณีพิเศษ?

พวกเราบางคนเป็นผู้จัดการกองทุนซึ่งทำรายได้หลายพันล้านเหรียญฯ จากหยาดเหงื่อของผู้ใช้แรงงานมากมาย แต่กลับได้รับอนุญาตให้จัดประเภทรายได้ของเราเป็น "รายได้ที่ได้รับการยกเว้น” ซึ่งช่วยให้ลดภาษีได้ถึง 15%

พวกเราหลายคนถือหุ้นไว้เพียง 10 นาที และทำกำไรได้ถึง 60% โดยเสียภาษีเพียง 15% ราวกับเป็นนักลงทุนระยะยาว

สิ่งเหล่านี้คือพรที่เราได้รับจาก พวกที่ออกกฎหมายในวอชิงตัน ซึ่งรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องปกป้องเรา ราวกับพวกเราเป็นนกฮูกที่กำลังถูกไล่ล่าหรือสัตว์อะไรบางอย่างที่กำลังจะสูญพันธุ์


ปีที่แล้วใบเสร็จภาษีทั้งหมดของผม ประกอบด้วยภาษีเงินได้ และภาษีอื่นๆ ที่เสียในนามของผม รวมแล้วเป็นจำนวน 6,938,744 ดอลลาร์ ฟังดูเหมือนเป็นเงินมากมาย แต่อัตราภาษีที่ผมจ่ายไปนั้นอยู่ในระดับ 17.4% ของรายได้ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับลูกน้องอีก 20 คน ที่นั่งอยู่ในสำนักงานของผม ซึ่งเสียภาษีในอัตรา 33-41% เฉลี่ยแล้ว 36% เลยทีเดียว

ถ้าคุณใช้เงินทำเงิน แบบที่เพื่อนมหาเศรษฐีของผมทำ อัตราภาษีที่คุณต้องจ่ายจะยิ่งน้อยกว่านี้เสียอีก แต่ถ้าคุณทำงานเป็นลูกจ้าง คุณกลับต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าผม โดยมากแล้วจะสูงกว่ามากทีเดียว

การจะเข้าใจในเรื่องนี้ได้ คุณต้องวิเคราะห์ที่มาของรายได้ของรัฐบาลเสียก่อน ในปีที่แล้ว 80% ของรายได้รัฐบาลมาจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินประกันสังคม เหล่ามหาเศรษฐีจ่ายภาษีแค่ 15% ของรายได้ทั้งหมด แต่แทบไม่ต้องจ่ายประกันสังคมเลย

ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับคนชั้นกลาง ที่โดยส่วนใหญ่แล้วอยู่ในกลุ่มที่ต้องเสียภาษี 15-25% ทั้งยังต้องรับกรรมด้วยการเสียภาษีประกันสังคมจำนวนมาก

ย้อนหลังกลับไปในทศวรรษที่ 1980 และ 1990 อัตราภาษีสำหรับคนรวยยังสูงกว่านี้มาก เปอร์เซ็นต์ของภาษีที่ผมต้องเสียถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับคนทั้งหมด บางทฤษฎีถึงกับบอกว่าผมควรเลิกลงทุน เพราะยิ่งลงทุนมากก็ยิ่งต้องเสียภาษีมากขึ้นในอัตราก้าวหน้า ทั้งภาษีจากกำไรในการขายหุ้น และภาษีเงินปันผล

ผมอยู่ในแวดวงการลงทุนมามากกว่า 60 ปี ไม่ว่าตัวผมเองหรือใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พวกเรายังไม่เคยเห็นใครเลิกลงทุน แม้แต่ในช่วงที่กำไรจากการขายหุ้น ถูกหักภาษีถึง 39.9% ในปี 1976-77 เพียงเพราะต้องจ่ายภาษีจากกำไรที่ทำได้ คนเราลงทุนเพื่อให้ได้เงิน และภาษีก็ไม่เคยทำให้พวกเขาถอยหนี

พวกที่เถียงว่าภาษีที่สูงขึ้นจะทำให้การจ้างงานลดลง ผมจะบอกให้ว่า มีตำแหน่งงานเกือบ 40 ล้านตำแหน่ง ถูกว่าจ้างระหว่างปี 1980 ถึงปี 2000 ซึ่งคุณก็คงรู้ดีว่าอะไรเกิดขึ้นระหว่างนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อัตราภาษีที่ต่ำลง และการจ้างงานที่ลดลง

ตั้งแต่ปี 1992 กรมสรรพากรได้รวบรวมข้อมูลของคนอเมริกัน 400 คน ที่เสียภาษีสูงสุด ในปี 1992 ปีเดียว คน 400 คนนี้มีรายได้รวมกัน 16,900 ล้านเหรียญฯ และจ่ายภาษีคิดเป็น 29.2% ของเงินจำนวนดังกล่าว ในปี 2008 รายได้รวมของ 400 คนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 90,900 ล้านเหรียญฯ เฉลี่ยแล้ว 227.4 ล้านเหรียญฯ ต่อคน แต่อัตราภาษีที่พวกเขาต้องเสียกลับลดลงเหลือ 21.5%

ภาษีที่ผมอ้างถึงในที่นี้ หมายถึงภาษีที่ต้องจ่ายให้กับรัฐบาลกลาง แต่เชื่อได้เลยว่า ภาษีประกันสังคมของ 400 คนนี้ ไม่ได้มากเหมือนกับรายได้ของพวกเขาอย่างแน่นอน ที่จริงแล้ว 88 จาก 400 คนที่ว่า ไม่ได้รับค่าจ้างเลย แต่พวกเขามีรายได้จากกำไรในการลงทุน พี่ๆ น้องๆ ของผมบางคนอาจไม่ชอบทำงาน แต่พวกเขาชอบที่จะลงทุน (ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น)

ผมรู้จักมหาเศรษฐีจำนวนมาก พวกเขาส่วนใหญ่เป็นคนที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย พวกเขารักอเมริกา และซาบซึ้งในโอกาสที่ประเทศนี้ให้กับเขา หลายคนได้มาร่วมโครงการ “สัญญาว่าจะให้” ของผม โดยรับปากว่าจะบริจาคเงินส่วนใหญ่ของพวกเขาให้กับการกุศล พวกเขาส่วนใหญ่แทบไม่สนใจหากจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่เพื่อนร่วมชาติกำลังเดือดร้อน!

สมาชิกสภาคองเกรส 12 คน กำลังจะทำหน้าที่อันสำคัญยิ่ง คือจัดระเบียบการเงินของประเทศนี้เสียใหม่ พวกเขาได้รับคำแนะนำให้เขียนแผนระยะยาว ซึ่งจะช่วยลดภาระการใช้จ่ายของชาติเราใน 10 ปีข้างหน้า ให้เหลือ 1.5 ล้านล้านเหรียญฯ แต่พวกเขาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกแผนลดภาษีให้ได้มากกว่านั้น

คนอเมริกันกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถของคองเกรส ในการจัดการกับปัญหาการใช้จ่ายของชาติ มีแต่การกระทำที่เร่งด่วน จริงแท้ และยั่งยืนเท่านั้น ที่จะขจัดความระแวงสงสัย หรือความสิ้นหวังออกไปจากจิตใจของอเมริกันชน ความรู้สึกเชื่อมั่นเท่านั้นที่จะสร้างความจริงขึ้นมาได้

งานแรกของสมาชิกสภาฯ 12 คน คือ ให้คำมั่นสัญญาในสิ่งที่แม้แต่คนรวยก็ทำไม่ได้ คือสัญญาว่าจะประหยัดเงินให้ได้มากๆ จากนั้นสมาชิกสภาฯ ทั้ง 12 คน จึงควรหันไปพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับรายได้ ผมอยากให้อัตราภาษีที่คนอเมริกัน 99.7% ต้องจ่ายยังคงเดิม แต่ควร ลดเปอร์เซ็นต์ของรายได้ที่ลูกจ้างต้องจ่ายเป็นภาษีประกันสังคมลง 2% การลดลงนี้จะเป็นการช่วยเหลือคนจนและคนชั้นกลางที่กำลังต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างยิ่ง

แต่สำหรับคนที่ รายได้เกิน 1 ล้านเหรียญฯ ซึ่งมีอยู่ 236,883 ครัวเรือน ในปี 2009 ผมเสนอให้ขึ้นภาษีทันที ในส่วนของรายได้ที่เกิน 1 ล้านเหรียญฯ ซึ่งแน่นอนว่า ต้องรวมภาษีจากกำไรจากการขายหุ้นและเงินปันผลด้วย และสำหรับคนที่ รายได้เกิน 10 ล้านเหรียญฯ ซึ่งมีอยู่ 8,274 คน ในปี 2009 ผมแนะนำ ให้ขึ้นอัตราภาษีขึ้นไปอีก

เพื่อนๆ ของผมและตัวผมได้รับการเอาอกเอาใจมากพอแล้วจากสภาคองเกรสที่แสนจะเป็นมิตรกับมหาเศรษฐีมาโดยตลอด ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลของเราจะต้องทำให้เกิดการ “เสียสละร่วมกัน” อย่างแท้จริงเสียที

วอร์เรน อี บัฟเฟตต์
ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารของเบิร์คไชร์ แฮธาเวย์


[เนื้อหาข้างต้นเป็นสารของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ออกเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2011 ผมได้อ่านในเช้าวันที่ 15 ส.ค. แล้วถึงกับขนลุก ชอบมากๆ จึงรีบแปลจากเว็บไซต์ของ New York Times อยากให้คนไทยได้อ่านเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วเอาลงบล็อกโดยพลัน...มีใครคิดเหมือนผมบ้าง ผู้ชายคนนี้ยิ่งใหญ่เหนือคำบรรยายจริงๆ ครับ]

ใครไปเฝ้าทักษิณที่เขมร ช่วยเอา "สารของวอร์เรน บัฟเฟตต์" ไปให้อ่านด้วยก็จะดี และจะดียิ่งขึ้น ถ้าก๊อบปี้แจกคณะรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภาของเราทุกคน.


เปลว สีเงิน


วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การรักษาอัตลักษณ์วัฒนธรรมญี่ปุ่นท่ามกลางภัยพิบัติ




คนญี่ปุ่นทำไมถึงชาตินิยม ทำไมถึงเข้มแข็ง ทำไมมีระเบียบ ทำไมเสียสละเพื่อชาติกันมาก หนังและภาพยนตร์มีส่วนหล่อหลอมทางวัฒนธรรมญี่ปุ่นให้คงอยู่ถึงปัจจุบันได้อย่างไร ??


1.



2.



3.



4.



วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กรณ์ แจงสรรพากรละเว้นภาษีโอ๊ค-เอม




"กรณ์" แจงผ่านเฟซบุ๊ค หลังกรมสรรพากรเว้นเก็บภาษี "โอ๊ค-เอม"

เรื่องการคืนภาษีโอ๊ค-เอม ที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ทำให้มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย ผมขอเรียนอธิบายเป็นข้อๆไว้ในที่นี้ เพื่อเป็นการตอบข้อสงสัยต่างๆในแบบที่ง่ายต่อการเข้าใจนะครับ

1. การซื้อขายหุ้น ‘ชินคอร์ป’ ที่เป็นปัญหานั้นเนื่องมาจากการที่ผู้ขาย (บริษัท Ample Rich Investment Limited ซื่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นเจ้าของ) ได้ขายให้ผู้ซื้อ (โอ๊ค-เอม) ในราคาหุ้นละ 1 บาท สามวันก่อนที่จะมีการขายต่อให้เทมาเสคจากสิงคโปร์ โดยที่มูลค่าหุ้นจริงในตลาดขณะนั้น ราคาอยู่ที่หุ้นละ 49 บาท

2. กรมสรรพากรในชั้นแรกได้ยื่นฟ้องต่อศาลภาษีว่าโอ๊ค-เอม มีภาระภาษี โดยมิได้เกิดจากกรณีที่ขายให้เทมาเซค แต่เป็นรายได้ที่ได้จากการรับซื้อหุ้นมาจากการตกลงกัน นอก ตลาดหลักทรัพย์ ในราคา 1 บาทเมื่อเทียบกับราคาตลาดที่ 49 บาท ส่วนต่าง 48 บาท ตามกฎหมายนั้นถือเป็นรายได้

3. ต่อมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่า หุ้นดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นของโอ๊ค-เอม แต่เจ้าของตัวจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและให้ถือว่าเป็นการกระทำ "นิติกรรมอำพราง" (คำพิพากษาลงวันที่ 26 กพ. 2553)

4. เมื่อศาลพิพากษาว่า กรณีนี้ถือว่าเป็น "นิติกรรมอำพราง" ตัวผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้นมีความเห็นขัดแย้งกับกรมสรรพากร โดยผมเห็นว่าเราควรจะตามไปเก็บภาษีจากเจ้าของบัญชีตัวจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในขณะที่เบื้องต้นกรมสรรพากร มีความเห็นว่า กรณีนี้ควรถือว่า เป็น "โมฆะ" ทั้งหมดเพราะศาลได้ชี้ชัดแล้วว่าเป็น "นิติกรรมอำพราง" ดังนั้นจึงไม่ควรไปตามเก็บภาษีจากใครอีก

5. สิ่งที่ผมบอกกับกรมสรรพากรคือ การขายหุ้นจาก Ample Rich กลับมาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ (โดยมี โอ๊คเอมเป็นตัวแทน) นั้น เป็นการขายระหว่าง "บริษัท" กับ "ตัวบุคคล" ซึ่งถึงแม้ว่าบุคคลคนนั้นเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท การซื้อขายก็ยังมีผลอยู่ดี และถ้าจะถือว่าความเกี่ยวข้องต่างๆกับ "นิติกรรมอำพราง" จะต้องเป็น "โมฆะ" ทั้งหมด “การซื้อขายหุ้นให้เทมาเสค” จากบัญชีนั้นก็จะต้องเป็น "โมฆะ" ไปด้วย แต่นี่การซื้อขายหุ้นดังกล่าวก็เป็นไปอย่างเสร็จสมบูรณ์ทุกประการ ผู้ซื้อได้หุ้น ผู้ขายได้เงิน และเป็นการซื้อขาย "นอกตลาดหลักทรัพย์" ซึ่งมีกฎระบุชัดเจนว่า จะต้องมีการจัดเก็บภาษี

6. ถ้ากรมสรรพากรจะไม่เรียกเก็บภาษีจากกรณีนี้ โดยอ้างว่าเป็น "นิติกรรมอำพราง" นั้น ก็จะต้องตอบคำถามด้วยว่า เหตุใดกรณีนี้จึงเป็น "โมฆะ" เฉพาะในส่วนของเรื่องการ "จัดเก็บภาษี" ในขณะที่ การ "ซื้อขายหุ้น"ให้เทมาเสคในกรณีนี้ ไม่ได้เป็น "โมฆะ" ไปด้วย

ในส่วนคำถามที่มีต่อตัวผมว่า ช่วงที่ผมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ดำเนินการอย่างไรในเรื่องนี้บ้าง ก็ขอเรียนว่า เมื่อความเห็นของผมและทางกรมสรรพากรไม่ตรงกัน กรมสรรพากรจึงต้องพิจารณาหาข้อเท็จจริงและคดีก็ยังอยู่ในอายุความ แต่ทางกรมสรรพากรก็ต้องระวังไม่ให้มีการถ่วงเวลาจนหมดอายุความ มิเช่นนั้นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอาจติดคุกติดตะรางกันได้

สำหรับผู้ที่เบื่อหน่ายกับเรื่องนี้ และอยากให้เลิกรากันไปเสียที ผมก็ต้องเรียนว่าเงินภาษีที่เราจะจัดเก็บได้จากกรณีนี้เป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว และข้อสำคัญคือ มันจะเป็นการไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งสำหรับคนไทยทุกคนที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี

เมื่อมองจากการทำงานที่ผ่านมาของกรมสรรพากรอันเป็นที่ขึ้นชื่อในการเก็บภาษีขนาดที่พูดกันว่า มีการไปนั่งเฝ้านับชามก๋วยเตี๋ยวเพื่อจะคำนวณภาษีที่จะจัดเก็บจากร้านนั้น แล้วนี่คือภาษีของประชาชนที่ควรจะจัดเก็บได้มูลค่าเป็น "หมื่นล้านบาท" กรมสรรพากรจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ถ้างดเว้นการจัดเก็บภาษีในกรณีหุ้นชินคอร์ปนี้ ก็จะต้องมีคำถามอย่างแน่นอนว่าเหตุผลของกรมสรรพากรในการที่จะงดเว้นการจัดเก็บภาษีนั้นเป็นเหตุผลที่เหมาะสมและถูกต้องหรือไม่


-------------------------

ตัวอย่างบางความคิดเห็นจากผู้อ่านคนอื่น ๆ ที่ได้อ่านที่คุณกรณ์โพส ที่น่าสนใจ ดังนี้

"ถ้าเก็บตามหน้าที่ ได้เงินเยอะเกินเป้า จะได้ไม่ต้องไปรีดไถ นั่งเฝ้านับชามให้เจ้าของร้​านเครียด ประสาทเสีย มันเกินไปจริงๆ รังแกได้แต่ประชาชนที่ไม่มี​อิทธิพล เกลียดจังกรมคันไถ"

" แล้วควรจะเป็นยังไงต่อไปครั​บ เช่น ต้องปล่อยให้คืน ไม่สามารถยับยั้งได้ หรือต้องฟ้องสรรพากรแล้วให้​คนพวกนั้นรับผิดชอบแทน หรือทำอะไรได้บ้างครับ สงสัยครับ เพราะดูเหมือนว่าจะหมดหนทาง​ขัดขวางเลยครับ อย่างนี้กระบวนการยุติธรรมก็ไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือมาก​ขึ้นไปอีก ขัดกับกระแสรับสั่งของในหลว​งเลยครับ..... ปชป.มีนักกฎหมายเยอะมากไม่ส​ามารถจะทำให้ความผิดกลับเป็​นความผิดอย่างที่ควรจะเป็นไ​ด้เลยเหรอครับ....."

"อยากเรียนถามว่า ใครมีสิทธิที่จะฟ้องร้องเจ้​าหน้าที่กรมสรรพากรข้อหาละเ​ว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้บ้า​ง ประชาชนทั่วไปอยากฟ้องแต่ไม่มีข้อมูลความรู้เพียงพอ มีใครเปนตัวแทนได้บ้างหรือร​่วมลงชื่อกันอย่างไร พึ่งสภาทนายความได้ไหม ไม่อยากร่วมมือกันโกงแบบหน้​าด้านๆ อย่างนี้"

"ถ้าเอาตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วมีการขายหุ้นให้เท​มาเสกโดยไม่มีการอายัดหุ้น ต้องถือว่าเป็นการให้สัตยาบันแล้ว ดังนั้นสรุปว่าพานทองแท้ต้อ​งเสียภาษี ไม่เป็นนิติกรรมอำพราง"

"พรุ่งนี้ผมจะไปทำ "นิติกรรมอำพราง" บ้างจะได้ไม่ต้องเสียภาษี มิน่าเราจ่ายมาตลอด เพราะเราทำแต่นิติกรรม ปกตินี่เอง แนะนำให้คนไทยทุกคนทำเวอร์ชั่นอำพรางครับ tax free สรรพากรก็ไม่ต้องเหนื่อยด้ว​ย โมฆะทุกอย่าง..."

-------------------------


และคำถามที่น่าสนใจที่สุดคือ

"ผมไม่เห็นด้วยกับคุณกรณ์อย่​างยิ่งที่บอกว่า โดยผมเห็นว่าเราควรจะตามไป​เก็บภาษีจากเจ้าของบัญชีตัว​จริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"


และคุณกรณ์ได้ตอบคำถามนี้อย่างน่าสนใจว่า

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากครับ ก็ในเมื่อเจ้าของหุ้นตัวจริ​งคือทักษิณ แล้วทักษิณให้ลูกชายและลูกส​าวถือแทน ก็ควรต้องเก็บภาษีจากสองคนนี้แทน ไม่ใช่บอกว่าในเมื่อไม่ใช่เ​จ้าของหุ้นตัวจริงก็เลยเลี่​ยงภาษีได้ ให้ไปตามเก็บกับเจ้าของตัวจ​ริงๆ ทั้งๆ ที่เงินจำนวนมากของเจ้าของตัวจริงอยู่ที่ ๒ คนนี้

ลูกชายและลูกสาวของทักษิณได้เงินจำนวนมากจากการขายหุ้น​ดังกล่าว แต่กลับบอกว่า ในเมื่อเป็นการถือแทน (นิติกรรมอำพราง) จึงไม่ต้องรับผิดชอบในการเสียภาษีจากเงินที่ตัวเองได้ อย่างนี้มันไม่ถูกต้อง

ถามว่า คนที่ถือหุ้นแทนสามารถทำนิติกรรม (โอนหรือขายหุ้นนั้น) อย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไ​ม่???

การที่สองคนนี้ถือหุ้นแทนทั​กษิณแล้วขายให้เทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์ได้อย่างถูกต้​องตามกฏหมาย ก็แสดงว่า สองคนนี้ที่ถือหุ้นแทนทักษิ​ณก็เป็นเจ้าของตัวจริงด้วยเ​หมือนกันจึงต้องเสียภาษีตาม​กฏหมาย (แม้จะถือแทน แต่ได้เงินจากก​ารขายหุ้นและสามารถใช้จ่ายเ​งินนั้นได้ถูกต้องตามกฏหมาย​ แล้วจะไม่ต้องเสียภาษีได้อย่างไร)

สรุปความว่า จะเรียกว่าเป็น "นิติกรรมอำพราง" หรือไม่ก็ตาม แต่เงินภาษีที่สองคนนี้เสีย​ก็ต้องถือเป็นเงินของทักษิณ​เหมือนกัน เพราะเห็นได้ชัดว่ามันกระเป๋าเดียวกัน

---------------------------

อัพเดทล่าสุด

เมื่อคดีเก็บภาษีขายหุ้นชินฯ กำลังจะหมดอายุความสิ้นเดือนมีนาคม 2560 (ประเด็นวันหมดอายุความยังมีข้อโต้แย้ง) คุณกรณ์ได้โพสเฟสบุ้ค ในวันที่ 15 มี.ค. 2560 ตามนี้


ภาษีชิน - จะเก็บได้จริงหรือไม่?

ก่อนอื่นขอลำดับขั้นตอนสำคัญจากอดีตสู่วันนี้

๑. กรมสรรพากรออกหมายเรียกและประเมินภาษี นายพานทองแท้- พินทองทา (๓ สิงหา ๕๐)
๒. พาน/พิน ไม่ยอมจ่าย ยื่นฟ้องสรรพากร (๑๑ ธันวา ๕๒)
๓. ศาลฎีกาพิพากษายึดทรัพย์นายทักษิณ วินิจฉัยว่า พาน/พิน เพียง 'ถือแทน' (๒๖ กุมภา ๕๓)
๔. ศาลภาษีกลางพิพากษาถอนการประเมินภาษี พาน/พิน โดยอ้างการวินิจฉัยศาลฎีกาฯ(๒๙ ธันวา ๕๓)
๕. สำนักงานอัยการสูงสุดแนะนำสรรพากรไม่ให้อุทธรณ์
๖. กรมสรรพากรเห็นด้วยว่าไม่ควรอุทธรณ์ (๑๗ มีนา ๕๔)
๗. กระทรวงคลังรับทราบการไม่อุทธรณ์ แต่เสนอให้กรมสรรพากรดำเนินการประเมินภาษีจาก 'บุคคลที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง' (๒ พฤษภา ๕๔)
๘. นายกฯ อภิสิทธิ์ยุบสภาฯ (๙ พฤษภา ๕๔)
๙. นายกฯ ยิ่งลักษณ์รับตำแหน่ง (๕ สิงหา ๕๔)
๑๐. อธิบดีสรรพากรสั่งให้ยุติการเก็บภาษี โดยอ้างว่าเป็นการซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์จึงได้รับการยกเว้นภาษี (๒ มีนา ๕๕)
๑๑. หมดอายุความการออกหมายใหม่ (๓๑ มีนา ๕๕)

จากการลำดับเหตุการณ์จะเห็นว่า ในปี ๒๕๕๔ กระทรวงการคลังยอมรับการใช้อำนาจไม่อุทธรณ์โดยอธิบดีกรมสรรพากรภายใต้เงื่อนไขว่า เมื่อไม่เก็บภาษีจากนอมินีก็ให้ไปเก็บจากเจ้าของบัญชีตัวจริง

แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลในปี ๒๕๕๕ อธิบดีไม่ได้ทำเช่นนั้น และในภายหลังยังอ้างว่า ที่เก็บไม่ได้เพราะเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งๆที่การประเมินภาษีแต่เดิมนั้น เป็นการประเมินจากการที่คุณทักษิณใช้ลูกๆเป็นนอมินีซื้อหุ้น (นอกตลาดหลักทรัพย์) จาก Ample Rich ในราคา ๑ บาท ซึ่งตํ่ากว่ามูลค่าที่แท้จริงถึง ๔๘ บาท จึงเท่ากับมีกำไรที่ต้องเสียภาษีทันที ซึ่งหลังจากนั้นที่ไปขายให้สิงค์โปร์ 'ในตลาดหลักทรัพย์' นั้นไม่ใช่ประเด็น

ที่น่าเสียดายคือ ในวันที่อธิบดีสรรพากรสั่งยุติเรื่อง (ขั้นตอนที่ ๑๐) ทำไม สตง. หรือกระทรวงการคลังเองถึงไม่ได้ทักท้วง ทั้งๆ ที่คำสั่งของอธิบดีนั้นขัดกับข้อสังเกตโดยกระทรวงคลังเองก่อนหน้านั้นว่ากรมสรรพากรควรต้องเก็บภาษีจากเจ้าของบัญชีจริง (ขั้นตอนที่ ๗)

หากทักท้วงแต่ตอนนั้น ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องอายุความการออกหมายเรียกเก็บภาษีดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ (ในช่วงนั้นผมทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านและได้ยื่นเรื่องร้องเรียนในประเด็นนี้ต่อกระทรวงการคลังให้ดำเนินการตามข้อเสนอของกระทรวงที่กำหนดไว้ในอาทิตย์สุดท้ายที่ผมอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรี)

ต่อคำถามว่าสุดท้ายรัฐจะเก็บภาษีนี้ได้หรือไม่นั้น ?

ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน โดยที่กรมสรรพากรในยุคปัจจุบันได้พูดไว้ว่า อายุความในการเรียกเก็บภาษีนั้นหมดไปตั้งแต่ปี ๒๕๕๕

แต่วันนี้มีการตีความด้วยช่อง 'กฎหมายนอมินี' ว่าการที่เคยเรียกเก็บจากพานทองแท้-พินทองทา ก็เสมือนเป็นการเรียกเก็บจากทักษิณ ไม่ต้องเรียกใหม่ ตามตรรกะผมว่าถูกต้อง และหวังว่าตามหลักกฎหมายจะถูกต้องด้วย แต่ผมเข้าใจว่ากรมสรรพากรไม่เคยใช้กฎหมายแนวนี้มาก่อน ทั้งหมดจึงคงต้องจบที่ศาล

เรื่องนี้แต่แรกก็เป็นที่เข้าใจกันว่าต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งเสียภาษี ซึ่งกรมสรรพากรมีโอกาสจะทำให้เป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมาได้ตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ แต่แล้วก็ไม่ทำ ซึ่งจากวันนี้ทั้งหมดก็ต้องไปสู้กันในชั้นศาลอีกรอบ ผลจะออกมาอย่างไรต้องติดตาม

คลิกอ่าน การโกงระดับพื้นฐานของทักษิณ



วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พระเจ้าอยู่หัว , พ่อและลุง




เป็นเรื่องสั้น2ภาษาครับ เขียนโดยคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์

The amulet, His Majesty, Father and Uncle – Arjin
พระพระเจ้าอยู่หัว พ่อและลุง


พ่อเล่าให้ฟังว่า เมื่อพ่ออายุได้ 25 ปี มีผ้าม่วงผืนเดียว เสื้อนอกตัวเดียว พระกำแพงห้อยคอหนึ่งองค์ ตะกรุดคาดเอวอีกเส้นหนึ่ง กับตำแหน่งปลัดอำเภอบางเลน
Father told me that when he was twenty-five, he wore only one silk hip wrapper, a single jacket, a Buddha amulet round his neck and a thin magic chain* fastened to his waist, and held the position of assistant district officer in Bang Len**.


พ่อได้กับแม่ที่นี่ พี่ชายของแม่เป็นนัก เลงใหญ่ ออกชื่อได้ทั่วตั้งแต่งิ้วรายไปจนถึงเดิมบางนางบวช ปลูกตลาดให้คนเช่าอยู่บางไทร ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอบางเลน พ่อเป็นข้าราชการ ทำไมได้แม่ซึ่งเป็นน้องของนักเลง ตอนนี้พ่อไม่ได้เล่า
Father had known Mother there. Her elder brother was a big gangster whose reputation stretched from Ngiu Rai to what used to be Bang Nang Buat. He had built a market with stalls to let at Bang Sai, which was in the Bang Len district. Father was a civil servant. How he came to marry the little sister of an underworld boss, this Father left unsaid.


พ่อกับลุง เป็นคนละชั้นกันเลย เทียบกันไม่ได้แน่ ลุงกิน จอนนี่ วอล์คเกอร์ทุกมื้อ มีไก่ตอนแกล้ม นอนกินบนเก้าอี้ผ้าใบ มีคนพัด 1 คน คนนวดอีก 1 คน มีเมียนับสิบประจำการอยู่ตลอดวันยังค่ำคืนยังรุ่ง พอลุงเบื่อไก่ตอนที่นั่น ลุงจะไปเที่ยวบางกอกเหมา “เสียโป” ทั้งหาบกินกับบริวาร ซึ่งกางเกงแพรปังลิ้น ดูละครแม่บุนนาค แล้วยกพวกกลับบางไทร ทั้งขาไปขากลับนั่งเรือเมล์ฟรีหมดทุกคน
Father and Uncle were of different walks of life. They couldn’t be compared. Uncle drank Johnny Walker with every meal, along with capon titbits he ate reclining on a canvas seat. One man fanned him, another massaged him. He had a dozen wives in attendance round the clock. As soon as he got fed up with capon there, he would go for an outing in Bangkok, buy up basketfuls of red pork crack-lings* for him and his retinue to nibble, buy moiré dark trousers**, go to Mother Bunnag’s theatre*** and then return with his escort to Bang Len. Coming and going, they all sat in the boat free of charge.


เสียโป


ส่วนพ่อกินแต่ข้าว คร่ำเคร่งอยู่กับราชการ และแม่ต้องหาบน้ำใส่ตุ่มเอง
As for Father, he ate only rice, was absorbed in his duties, and it was Mother who carried water on shoulder poles to fill the jar.


ทำไมพ่อจึงจน ทำไมลุงจึงรวย?
Why was Father poor? Why was Uncle rich?


เพราะพ่อเป็นข้าราชการเล็กๆ ผู้ซื่อสัตย์ แต่ลุงเป็นนายบ่อนการพนันผู้มีอิทธิพล
Because Father was a lowly civil servant and an honest man, but Uncle was a gambling lord, a man of influence.


ไม่มีใครปราบลุงได้ เพราะลุงมียามคอยอยู่ฟากแม่น้ำตรงข้ามฝั่งอำเภอ พอมีคำสั่งจับบ่อนของลุง พรรคพวกก็จะโบกมือให้สัญญาณ เจ้าหน้าที่ผู้จับกุมก็ลงเรือจ้างแจวจากบางเลนมาบางไทร พอมาถึงก็พบว่าไม่มีแม้แต่ไพ่ตัวเดียวในบ้านของลุง ทั้งนี้เพราะคนของลุงมาถึงก่อนเจ้าหน้าที่ พวกเจ้าหน้าที่มาเรือจ้าง แต่คนของลุงขี่ม้ามา
No one could suppress Uncle, because he had sentries watch­ing on the side of the river opposite the district office. As soon as the order came to raid Uncle’s gambling den, they would signal with their hands. The officers in charge of suppression would take a hired boat and paddle from Bang Len to Bang Sai. By the time they got there, they would find not a single playing card in Uncle’s house, because his men had preceded them. The officers had come by boat; Uncle’s men had ridden horses.


เขาจึงพากันพูดว่า เพราะพ่อเป็นน้องเขยจึงไม่ถูกจับสักที เขาหาว่าพ่อนี่แหละเป็นสายให้ลุง แล้วเขาก็สั่งให้พ่อจับลุงดูบ้าง พ่อไปคนเดียว ไปเรือจ้าง ไม่มีปืน มีแต่พระกำแพงกับตะกรุดคาดเอวเส้นนั้น
So it was rumoured that it was because Father was his brother-in-law that Uncle was never arrest­ed, that Father himself was his accomplice. Thus one day Father was order­ed to arrest Uncle. Father went alone. He went in the hired boat. He had no gun. He had only his amulet, and his magic chain at the waist.


ยามของลุงขี่ม้ามาบอกลุงว่า พ่อกำลังลงเรือมาแล้ว มาคนเดียว ลุงจึงบอกว่าถ้างั้นเล่นกันต่อไปไม่ต้องหยุด มาคนเดียวจะทำอะไรกูได้
One horse-riding sentry arrived and told Uncle that Father was already in the boat, and was coming alone. Uncle thus said, ‘In that case let’s go on playing. No need to stop: coming on his own what can he do to me?’


พ่อขึ้นเรือจ้างหน้าตลาดของลุง เดินเข้าบ่อน ทางเข้าเป็นซอกแคบๆ และไกล ลุงทำไว้เพื่อบังคับให้คนที่จะเข้าบ่อนต้องเดินเรียงหนึ่ง และเมื่อจะจุกหัวจุกท้ายซอกนี้เพื่อปิดประตูตีแมว ก็จะทำได้โดยง่าย ปากซอกมียามคนหนึ่ง ยกมือไหว้พ่อ ปล่อยให้พ่อผ่านไปถึงก้นซอก ซึ่งมีประตูเปิดเข้าในบ่อน คนยามอีกคนหนึ่งก็ยกมือไหว้พ่อ และเปิดประตูให้เข้าไปโดยดี
Father got out of the boat in front of Uncle’s market and walked up to the gambling den. The entrance was a long and narrow corridor Uncle had built to force people to file in and to make it easy to handle officials by locking the doors at both ends. The entrance to the corridor had a guard. He raised his joined hands and bowed to Father, letting him go through. At the end of the corridor was a door opening onto the gambling den. Another guard there raised his joined hands and bowed to Father and then opened the door for him to enter.


ลุงนอนกินเหล้าบนเก้าอี้ผ้าใบ ไฮโลกำลังคลั่ง เผสองวงเสียงลั่น จั้บยีกีกำลังโกยเงิน ไพ่จีนก็ไม่เลว พอเสียงประตูเปิด ลุงเอี้ยวตัวมามองแล้วทักว่า อ้อ ปลัดมา
Uncle was reclining on his canvas seat, drinking whisky. Hi-lo was in full swing. Two circles of poker were clamour­ing. Jap Yee Kee* was scooping fistfuls of money. The Chinese card game wasn’t doing badly either. When he heard the door open, Uncle turned to look and then greeted, ‘Oh, there you are, officer!’


พ่อยกมือไหว้แล้วว่า สบายดีหรือพี่?
Father raised his hands and bowed and then said, ‘How are you, Big Brother?’


คนทั้งหมดแตกฮือเหมือนไฟพะเนียง ฝาเฝืองแทบพัง แต่คนเข้ามาอยู่ในนี้แล้วออกไปไหนไม่ได้เหมือนกัน กำแพงบ่อนของลุงทำด้วยสังกะสี หนาสองชั้น สูงท่วมหัวสองช่วงตัวคน คนทั้งหลายตะปบเงินยุ่งไปหมด
The room exploded like a Roman candle, the walls almost burst, but whoever came in there couldn’t get out. The walls of Uncle’s den were made of double-plated corrugated iron, high as twice a man’s height. Everyone grabbed their money in utter confusion.


ลุงตะโกนว่า อยู่เฉยๆ โว้ย ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร
Uncle shouted out, ‘Quiet, you fools! It’s all right, it’s all right.’


พ่อตะโกนซ้ำว่า อยู่เฉยๆ อย่าหนี
Father shouted out as well, ‘Quiet! Don’t flee!’


ทุกคนเงียบไม่กระดุกกระดิก เหมือนถูกสาปด้วยคำสั่งของข้าราชการเล็กๆ ผู้นี้
Everybody was silent and still, as if under the spell of this lowly civil servant.


ลุงถามพ่อว่า มาธุระอะไร
Uncle asked Father, ‘Why have you come?’

พ่อตอบสั้นๆ ว่า จับ
Father answered simply, ‘To arrest you.’

ลุงหัวเราะร่วน ยกเหล้าขึ้นกิน แล้วว่า จะไหวหรือวะ
Uncle burst out laughing, raised his glass, drank and then said, ‘You think you can?’

พ่อบอกว่า ไหวไม่ไหวก็ต้องทำ
Father told him, ‘Whether I can or not, I must.’

ลุงว่า จะทำอีท่าไหน
Uncle said, ‘How do you intend to go about it?’

พ่อตอบ ก็เอาตัวไปอำเภอทุกคน
Father answered, ‘Well, have everyone here go to the district office.’

ลุงว่า ข้าหากินมานานแล้ว ยังไม่เคยขึ้นอำเภอเลยแหละ ข้าจะไม่ยอมขึ้นเป็นอันขาด
Uncle said, ‘I’ve long been in this business and never once gone to the district office and there’s no way I ever will.’

พ่อว่า เดี๋ยวนี้อำเภอก็อุตส่าห์ลงมาหาพี่แล้ว มาเชิญ มามือเปล่า
Father said, ‘Well, now the district office has come to you, unarmed.’


ลุงว่า ยิ่งมือเปล่า ยิ่งไม่มีวันสำเร็จ ข้าจะยิงแกเสียก็ได้ ปลัด
Uncle said, ‘And unarmed to boot! You’ll never succeed. I’ll shoot you first, you know, officer.’

พ่อว่า ก็เชิญ
Father said, ‘Suit yourself.’

ลุงว่า กลัวน้องสาวข้าจะเป็นหม้ายเสียเท่านั้นแหละวะ
Uncle said, ‘I’m only afraid my sister will be widowed.’

พ่อว่า ตอนนี้อย่าเอาเรื่องวงศ์ญาติมาพูดกันเลย ฉันมาราชการ เร็วเข้า ทุกคนไปลงเรือ
Father said, ‘Leave family relations out of it. I’ve come on official business. Come on, everybody into the boat!’

ลุงว่า แกคนเดียวคุมเขาไหวหรือ พอปล่อยออกไปข้างนอกมันก็วิ่งเปิดตูดกันไปหมด
Uncle said, ‘Do you think you can control every­one on your own? As soon as you’re outside, they’ll show you their backside and scarper every which way.’


พ่อว่า นั่นต้องแล้วแต่พี่ พี่คุมไป ไม่ใช่ฉันคุม พี่คุมคนพวกนี้ ฉันคุมพี่อีกทีหนึ่ง
Father said, ‘That’s up to you. You control them, not me. You control these people and I control you.’

ลุงว่า พูดแปลกๆ อย่างนี้ เฮ้ย ใครหยิบปืนให้กูทีเถอะวะ
Uncle said, ‘What’s this nonsense? Someone pass me a gun.’

สมุนส่งปืนให้ลุง ลุงยังคงนอนอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ รับปืนมาเดาะเล่นในมือ แล้วถามว่า ยังจะต้องจับอยู่อีกหรือ
An underling handed Uncle a gun. Uncle, still reclining on the canvas seat, took the gun and toss­ed and caught it playfully in his hand and then ask­ed, ‘Do you still want to arrest me?’

พ่อยืนยัน
Father confirmed.

ลุงส่ายหน้า แล้วว่า ทำไมคนที่มาจับข้าจะต้องเป็นแก ทำไมไม่ส่งคนอื่นมา ทำไมข้าจะต้องยิงน้องเขยของข้า
Uncle shook his head and then said, ‘Why does it have to be you arresting me? Why couldn’t they send someone else? Why do I have to shoot my own brother-in-law?’


พ่ออธิบายให้ฟังว่า เขาพูดกันว่า การที่พี่ปิดบ่อนได้ทันทุกทีนั้นเป็นเพราะมีน้องเขยเป็นปลัดอำเภอ ฉันต้องมาพิสูจน์ให้คนเห็น ยิงฉันเสียก็ดี จะได้รู้กันชัดๆ ว่าปลัดอำเภอคนนี้ มิได้เข้าข้างผู้ทุจริตเลย
Father explained, ‘People say that if you can close your gambling joint on time every time it’s because the assistant district officer is your brother-in-law. I have to show those people. If I die they’ll know for good that this assistant district officer doesn’t side with the crooked.’

ลุงตวาดว่า การเล่นการพนันนี้ทุจริตตรงไหนวะ
Uncle roared, ‘What the hell’s crooked about gamb­ling?’

พ่อว่า มันนอกกฎหมาย อะไรๆ นอกกฎหมายทุจริตทั้งนั้น
Father said, ‘It’s illegal. Everything that’s illegal is wrong.’


ลุงยกปืนขึ้นส่อง คนหลบกันเป็นแถวๆ แต่พ่อยืนนิ่งๆ ลุงบอกว่าตลอดชีวิต ข้าก็ดูเหมือนทำนอกกฎหมายทั้งนั้น การยิงคนก็นอกกฎหมาย ข้าทำมานานจนเคยมือ ทำอีกสักทีคงจะไม่กระไรนัก
Uncle raised the gun and pointed it. People scrambled out of the way. But Father stood still. Uncle told him, ‘Everything I’ve done all my life is illegal, you could say. Shooting someone is illegal too. I’ve done it so often I’m used to it. Doing it once more is nothing much.’


พ่อยืดอก สายตะกรุดที่เอวเสียดสีอยู่ที่เอว พระกำแพงเต้นอยู่ที่หน้าอก พ่อพูดว่า ฉันมาราชการของพระเจ้าอยู่หัว ใครยิงฉันก็เท่ากับหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ!!
Father thrust out his chest. The magic chain rub­bed against his waist. The Buddha amulet jolted on his chest. Father said, ‘I’m here on His Majesty’s service. Shooting me is tantamount to committing lèse-majesté.’


ลุงลดปืน ราวกับว่ามันหนักอึ้งขึ้นมาจนคอนไว้ไม่ไหว สะบัดหัวงงๆ ลุงเคยเป็นมหาดเล็กในกรมพระองค์หนึ่งมาแล้ว พระบารมีนั่นเองที่ทำให้ลุงเป็นนักเลงใหญ่ได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ พูดกันง่ายๆ ลุงก็เป็นชีวิตหนึ่งใต้ร่มพระบารมีพระเจ้าอยู่หัวเหมือน กับพ่อ
Uncle lowered the gun as if it had grown so heavy he couldn’t hold it up. He shook his head, mystified. Uncle had once been a royal page. It was the prestige of royal service that had made him a big shot more easily than anyone else. To put it plainly, Uncle was yet another life under His Majesty’s benevolent protection just as Father was.

เลิกแล้วต่อกันสักทีไม่ได้หรือ ปลัด
‘Can’t we just give this up, officer?’

เลิกไม่ได้ มามือเปล่า กลับไปต้องมีของติดมือ
‘I can’t. I came empty-handed. When I return, I must have something in hand.’


ลุงโยนปืนทิ้งแล้วว่า ข้าจะต้องวิ่งเต้นให้แกย้ายไปอยู่อำเภออื่นเสียแล้วละ ปลัด
Uncle threw the gun away and then said, ‘I’ll have to pull strings and get you transferred to some other district, officer.’

พ่อว่า ดีซี พี่จะได้เปิดบ่อนได้สะดวก ฉันไม่อยากอยู่อำเภอนี้เหมือนกัน ถ้าอยู่ก็ต้องจับกันเรื่อยอย่างนี้แหละ
Father said, ‘That’s fine. That way you won’t have prob­lems keeping your den open. I don’t want to stay in this district anyway. If I stay I must keep arresting you.’

ลุงว่า ข้าพูดจริงๆ นา
Uncle said, ‘I’m telling the truth, you know.’

พ่อว่า ฉันก็พูดจริง อยู่อำเภอนี้ต้องจับคนด้วยมือเปล่า อยากให้ไปที่อื่น อยากถือปืนจับคนเสียบ้าง
Father said, ‘So am I. If I stay here, I have to make arrests with my bare hands. I’d like to go some­where else where I can make arrests at gunpoint.’


ถึงตอนนี้ลุงนิ่งอึ้ง พิจารณาใบหน้าอันซื่อเศร้าและวิงวอนของพ่ออยู่เป็นเวลานาน แล้วลุกขึ้นเอามือไพล่หลังเดินไปเดินมา ผลสุดท้ายมาหยุดตรงหน้าพ่อ แล้วว่า เอาวะ ข้ายอมแพ้ จับก็จับ คงไม่เท่าไหร่หรอก
By now, Uncle was stumped. He scrutinised Father’s honest, sad and worried face for a long time, then got up and paced up and down with his hands clasped behind his back. Finally he came to a stop in front of Father and said, ‘All right, I give up. So be it. It won’t amount to much anyway.’

พ่อว่า ถ้างั้นไปลงเรือทุกคน
Father said, ‘In that case, everybody to the boat!’

ลุงไม่ตกลง บอกว่า ไม่ได้แน่ แกจะคุมข้าไปไม่ได้หรอก มันไม่น่าเชื่อ และอีกประการหนึ่ง คนอย่างข้าถูกใครคุมไม่ได้ ขอทีเถอะวะ
Uncle didn’t agree and said, ‘No way! You can’t put me under arrest. It’s unheard of. And besides, no one can lord over someone like me. I won’t have it.’

พ่อว่า อ้าว ไหนว่ายอม
Father said, ‘What now? Didn’t you say you were giving up?’


ลุงว่า ก็ยอม แต่ไม่ต้องคุมไป ให้เกียรติแก่ข้าสักครั้งเถอะ แกกลับไปก่อน พรุ่งนี้ข้าจะเอาไอ้พวกนี้ทุกคนไปใส่ห้องขังคอยท่าแกก่อนตื่น
Uncle said, ‘I did. But you don’t have to arrest me. Show me some respect for once. You go back first. Tomorrow I’ll have everyone here waiting in the jail for you to wake up.’


พ่อยืนนิ่งตัดสินใจ แล้วว่า ถ้างั้นขอกระดาษดินสอจดชื่อคนพวกนี้ให้ครบหมดทุกคน ฉันจะยึดบัญชีชื่อไว้ พรุ่งนี้พี่พาไปถึงอำเภอเมื่อไหร่ ฉันจะได้ตรวจถูก
Father stood still, making up his mind, and then said, ‘In that case, let me have some paper and pencil to take down the names of all the people here. I’ll keep the list so that tomorrow when you take them to the district I can check correctly.’

ลุงว่า ข้อนั้น ไม่ขัดข้อง
Uncle said, ‘No objection to that.’


พ่อลงเรือจ้างกลับไปพร้อมด้วยบัญชีรายชื่อ คนทั้งอำเภอมองพ่ออย่างเหยียดๆ บางคนมองทะลุเข้าไปเห็นมัดเงินเป็นปึกๆ ในกระเป๋าพ่อ คงพากันคิดว่าพ่อเหลว กลับมาด้วยถูกเงินติดสินบน
Father took the hired boat back along with the list of names. The entire district looked at him with despise. Some people even saw wads of banknotes in Father’s pockets, convinced as they were that he was returning with a bribe.

พ่อเดินหงอยๆ กลับบ้าน บอกแม่ด้วยเสียงสั่นๆ ว่า ฉันไปจับพี่เขามาแล้ว
Father walked back home dejectedly, and told Mother with a shaky voice, ‘I’ve gone and arrested your brother.’

แม่ร้องลั่นบ้านว่า ตายแล้ว พ่อว่าเกือบไป แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แม่นอนร้องไห้ทั้งคืนพ่อก็พลอยนอนตาไม่หลับไปด้วย
Mother’s shout shook the house: ‘We’re done for!’ Father said, ‘Not yet,’ then told her the whole story. Mother lay crying all night. Father didn’t sleep a wink either.


รุ่งขึ้น ลุงยกขบวนพวกเล่นการพนันมาจริงๆ เอาเรือแท็กซี่ของลุงเองขนมาแน่นยังกับคนจะไปทอดกฐิน ลุงแต่งดำทั้งชุด กางเกงแพร และเสื้อกุยเฮง เคี้ยวหมากหยับๆ นั่งพิงหมอนสามเหลี่ยมอยู่หัวเรือ มองเห็นเด่นกว่าใคร จอดเรือที่ท่าหน้าอำเภอ ต้อนคนทั้งหลายไปอำเภอ
The next morning, Uncle truly took the whole gang of gamblers into his own taxi boat, which was full as if on an outing to present monks with new robes. Uncle was dressed all in black, silk trousers and Chinese jacket, and chewed betel sloppily as he sat with his back on a triangular cushion at the prow, which offered the best view. He had the boat stop at the pier in front of the district office and herded the whole group inside.


ไต่สวนกันอย่างละเอียดลออ ซื่อเข้าหากันทั้งสองฝ่าย ตกลงเป็นการปรับ ลุงรับออกค่าปรับทั้งหมดแต่ผู้เดียวเป็นเงินหลายชั่ง ซึ่งพ่อได้รางวัลนำจับ ชักจากเงินนี้ถึงสองชั่ง เสร็จธุระ ลุงก็ยกพวกกลับ ไม่แวะไปเยี่ยมแม่เลย
A detailed inquiry was held, a straightforward confront­ation. Fines were agreed upon. Uncle paid all the fines himself. They amounted to quite a lot of chang*. Father received a reward for the arrest, taken from that money and amounting to two chang. Business concluded Uncle took his people back, without calling on his sister.


พ่อถือเงินสองชั่งกลับบ้าน เล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟังและปรึกษาว่า ฉันจะเอาเงินสองชั่งนี้ไปคืนพี่เขาเย็นนี้แหละ
Father took the two chang back home, told Mother the whole story and added, ‘This evening, I’ll go and give this money back to your brother.’

แม่พูดว่า คราวนี้เขายิงแน่ล่ะ แล้วแม่ก็เป็นลม
Mother said, ‘If you do that, this time he’ll shoot you for sure,’ and then she fainted.


ลอกมาจาก http://thaifiction.wordpress.com/