พระเทวทัต
พระเทวทัตในสมัยพระพุทธกาลเป็นพี่ชายของพระยางยโสธรา หรือพระนางพิมาซึ่งเป็นพระมเหสีของเจ้าชายสิทธัตถะ และเป็นลูกของลุงของพระพุทธเจ้า พระเทวทัตนั้นตามจองล้างพระพุทธเจ้ามานานหลายชาติ
ในอดีตชาตินานมาแล้ว ซึ่งถือเป็นอดีตชาติแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ก่อให้เกิดความอาฆาตของพระเทวทัตที่มีต่อพระพุทธเจ้า นั่นก็คือ ชาติที่พระเทวทัตเป็นพ่อค้าวานิช มีจิตละโมบทุจริตและในชาตินั้น พระพุทธองค์ได้เสวยพระชาติเป็นพ่อค้าวานิชด้วยเช่นกันแต่เป็นฝ่ายสุจริต
วันหนึ่งหญิงชราซึ่งเป็นผู้ดีตกยากมีถาดทองคำของต้นตระกูลเหลืออยู่ จึงนำออกมาขาย อดีตชาติของพระเทวทัตได้เกิดเป็นพ่อค้าชื่อ เสรีวะ ได้เห็นเช่นนั้นจึงลวงด้วยเล่ห์ต่อหญิงชรานั้นว่า ถาดนั้นมิใช่ทองคำแท้เป็นทองปลอม จึงเสนอขอซื้อราคาถูกแต่หญิงชรานั้นรู้ดีว่าถาดที่แกนำออกมาขายนั้นทำด้วยทองคำแท้จึงมิยอมขายให้
พ่อค้าเสรีวะผู้ทุจริต จึงแกล้งทำเป็นไม่สนใจที่จะซื้อ แล้วเดินทางออกไป แต่คิดว่าเดี๋ยวจะแวะกลับมาใหม่ เพราะเชื่อว่า หญิงชราผู้นี้จนมาก ๆ แถมมีหลานสาวที่กำลังหิวโหย ยังไง ๆ ก็ต้องยอมขายถาดทองให้แก่ตนอย่างแน่นอน
ในช่วงเวลาใกล้กันนั้น พระพุทธองค์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพ่อค้าชื่อ เสรีวะ (ชื่อเหมือนกัน) เดินมาพบเข้า เห็นเป็นถาดทำด้วยทองคำแท้ก็ให้ราคาตามความเป็นจริง
เมื่อเสรีวะพ่อค้าผู้ทุจริตย้อนกลับมา จึงรู้ว่าถูกเสรีวะผู้สุจริต ได้ซื้อถาดทองคำแท้ตัดหน้าไปแล้ว จึงเกิดความโกรธแค้นเป็นยิ่งนัก ถ้าไม่มีเสรีวะพ่อค้าผู้สุจริตหรือพระพุทธองค์มาซื้อถาดทองคำนั้น ในมิช้าหญิงชราก็จักต้องนำถาดทองคำมาขายแก่ตนเพราะความยากจน
ด้วยเหตุนี้พระเทวทัตจึงผูกพยาบาทด้วยการกอบเม็ดทรายขึ้นมา ๑ กำมือหว่านลงกับพื้นดินประกาศว่า .. "เราจะจองล้างจองผลาญท่านต่อไปเท่าเม็ดทรายในกำมือ ๑ เม็ด เท่ากับ ๑ ชาติ"
(ในระหว่างจองเวรกรรมนี้ต่างฝ่ายต่างก็เกิดเป็นทั้งคนและสัตว์หลายภพหลายชาติ เป็นเวลานานถึง 5 กัป ซึ่งทุกชาติเทวทัตก็ไม่หยุดอาฆาตจองเวรเลย)
พระเทวทัตได้ตามเบียดเบียนพยาบาทจองเวรกันมานับภพชาติไม่ถ้วนเรื่อยมา จนกระทั่งพระชาติสุดท้ายก่อนจะที่จะมาตรัสรู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือได้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร พระเทวทัตได้มาเกิดเป็นพระพราหมณ์นามว่า “ชูชก”
จนกระทั่งมาถึงพระชาติที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระเทวทัตมีจิตริษยาพระพุทธเจ้านับตั้งแต่เยาว์วัย
ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เจ้าชายเทวทัตได้ออกบวชด้วยเช่นกัน เมื่อบวชแล้วได้โลกีย์ญาณ มีความชำนาญในอภิญญา สามารถนิรมิตกายเหาะเหินเดินอากาศได้ จึงเกิดความกำเริบใจเพราะอกุศลกรรมเข้าสนับสนุน ใช้ฤทธิ์แปลงกายเป็นพระศาสดา กล่าวให้ร้ายในพรหมจรรย์ของพระพุทธองค์ว่า ยังอนุญาตให้สงฆ์สาวกฉันเนื้อสัตว์ที่ถูกนำมาถวายเป็นพระกระยาหาร
แล้วพระเทวทัตก็เริ่มต้นสร้างความเลื่อมใสด้วยการฉันมังสวิรัติ เพื่อชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ยินยอมให้พุทธสาวกปฏิบัตินั้นคือความเสื่อม
มิเพียงเท่านั้น เทวทัตยังลวงเจ้าชายอชาติศัตรูให้กบฏต่อพระราชบิดาแล้วตั้งตัวเองเป็นพระราชา พระเจ้าอชาติศัตรูนั้นเคยเลื่อมใสพระพุทธองค์ แต่เมื่อถูกพระเทวทัตลวงก็ตัดอุปนิสัยแห่งมรรคผลเบื้องต้นเสีย ทำตัวเองไปสู่ความพินาศอย่างใหญ่หลวงถึงขั้นทำกรรมหนักปลงพระชนม์พระราชบิดา และพระเทวทัตได้ยุยงให้พระเจ้าอชาติศัตรูมอมเหล้าช้าง “นาฬาคีรี” จนมึนเมาดุร้ายแล้วปล่อยออกไปทำร้ายพระพุทธองค์
พระเทวทัตกระทำการถึงขั้นที่เสนอให้พระพุทธเจ้าลาออกจากตำแหน่งพระศาสดาแล้วให้พระเทวทัตเป็นพระศาสดาแทน
ต่อมาพระเทวทัตเองก็คิดปลงพระชนม์พระพุทธองค์แล้วจะตั้งตนเป็นพระศาสดาเสียเอง คือส่งนายขมังธนูเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธองค์ ตลอดจนกระทั่งยุยงหมู่พระสงฆ์ให้เห็นความมัวหมองในพรหมจรรย์ของพระพุทธองค์
ขณะเดียวกันพระเทวทัตได้หันมาฉันมังสวิรัติ เป็นเพื่อการโอ้อวดพรหมจรรย์ที่สูงกว่า เสนอพระวินัยอย่างเคร่งครัด เช่น กินมังสวิรัติตลอดชีวิต อยู่ป่าตลอดชีวิต แก่พระพุทธเจ้าเพื่อให้ทรงบัญญัติ แต่พระพุทธเจ้าทรงมิได้ทำตามที่พระเทวทัตเสนอ
แม้ภายหลังพระเทวทัตจะได้สำนึกผิด และเดินทางไปขอขมาพระพุทธเจ้า แต่ทว่าด้วยกรรมที่ท่านสร้างไว้นั้นหนักมาก จนแผ่นดินที่รองรับอยู่นั้นทนมิได้ แยกตัวออก และสูบเอาพระเทวทัตตกสู่ขุมนรกอเวจี ณ ริมสระโบกขรณีหน้าวัดพระเชตวันมหาวิหาร ต้องเสวยอกุศลวิบากอีกนานเท่านาน จนแทบจะนับกาลเวลาไม่ได้
ตามคัมภีร์อรรถกถากล่าวว่า สถานที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบอยู่ริมสระน้ำหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร ในปัจจุบันบริเวณหน้าวัดเชตวันยังคงมีพื้นที่ว่างแปลงหนึ่งอยู่กลางนา ไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าไปปรับพื้นที่ทำนา เนื่องจากเล่าสืบต่อกันมาว่าเป็นสถานที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบ
------------------------------
พระเจ้าสุปปพุทธะ
พระเจ้าสุปปพุทธะเป็นกษัตริย์โกลิยะวงศ์เป็นพระราชบิดาของพระเทวทัต เมื่อทราบว่า พระเทวทัตถูกธรณีสูบลงมหาอเวจีนรกก็มิสำนึกในบาปบุญคุณโทษ กลับมีจิตอาฆาตพยาบาทพระพุทธองค์มากขึ้น เพราะนอกจากจะทำให้พระเทวทัตต้องธรณีสูบ พระพุทธองค์ยังทำให้เจ้าหญิงยโสธราธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะเป็นม่าย
พระเจ้าสุปปพุทธะจึงกลั่นแกล้งพระพุทธองค์ด้วยการเกณฑ์อำมาตย์ข้าราชบริพารไปนั่งเสพเมรัยขวางทางที่พระพุทธองค์จะออกบิณฑบาตโปรดเวไนยสัตว์ ซึ่งทางนั้นมีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่พระพุทธองค์จะทรงเสด็จดำเนินไปได้
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดำเนินผ่านไม่ได้ เพราะพระเจ้าสุปปพุทธะกับบริวารขวางอยู่ ทำให้วันนั้นพระพุทธองค์ทรงอดพระกระยาหาร ๑ วัน พระอานนท์จึงทูลถามอยากจะทราบโทษของพระเจ้าสุปปพุทธะ
พระพุทธองค์จึงทรงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า “อานันทะดูก่อนอานนท์ หลังจากนี้ไปนับได้ ๗ วัน พระเจ้าสุปปพุทธะจะลงอเวจีตามเทวทัตไป”
เมื่อบริวารของพระเจ้าสุปปพุทธะนำเรื่องที่พุทธฎีกากลับไปถวายรายงาน พระเจ้าสุปปพุทธะก็มีจิตต้องการให้พุทธฎีกาของพระพุทธองค์มิเป็นความจริง จึงขึ้นประทับ ณ ปราสาท ๗ ชั้น แต่ละชั้นมีนายทวารป้องกันแข็งขัน แล้วทรงตรัสกับนายทวารที่มีร่างกายกำยำนั้นว่า “ในระหว่าง ๗ วันนี้ ถ้าฉันลงมาละก็ พวกเธอจงขัดขวางเราเอาไว้จะไม่มีใครต้องโทษ” โดยประกาศต่ออำมาตย์ ข้าราชบริพาร และพระบรมวงศานุวงศ์ไว้ดังนั้น เพื่อมิให้นายทวารทั้งหลายต้องโทษ
จนกระทั่งถึงวันที่ ๗ วันนั้นปรากฏว่า ม้าแก้ว ซึ่งเป็นม้าทรงศึกที่พระเจ้าสุปปพุทธะโปรดปราน อาละวาดกระทืบโรง ร้องเสียงดังมาก พระเจ้าสุปปพุทธะเกิดเป็นห่วงม้า ด้วยอาการขาดสติจึงทรงลงจากปราสาทชั้น ๗ แต่ปรากฏว่านายทวารมิได้ขัดขวาง ด้วยคิดว่าเลยครบกำหนด ๗ วันแล้ว
พอพระเจ้าสุปปพุทธะย่างพระบาทเหยียบแผ่นดิน ก็ถูกพระธรณีสูบหายไปสู่มหานรกอเวจี ตรงตามพุทธฎีกาที่ตรัสไว้แก่พระอานนท์
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.kanlayanatam.com/sara/sara60.htm
คลิกอ่าน แผนให้ร้ายพระพุทธเจ้า ทำสงฆ์แตกแยกของพระเทวทัต