วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คลิปแผ่นดินวิกฤติจากแนวความคิดทุนนิยมเงินตรา








รายการแผ่นดินไท ตอน แผ่นดินวิกฤต 1
เมื่อทุนนิยมเติบโตอย่างไร้ขอบเขต ความโลภครอบงำโลกไปทุกหัวระแหง มนุษย์ตักตวงเอาความร่ำรวยจากโลกอย่างเกินพอดี จึงเกิดภาวะวิกฤติขึ้นทั่วแผ่นดินโลกรวมถึงแผ่นดินไทย มีหนทางใดที่จะแก้วิกฤติแผ่นดิน







รายการแผ่นดินไท ตอน แผ่นดินวิกฤต 2






รายการแผ่นดินไท ตอน แผ่นดินวิกฤต 3








รายการแผ่นดินไท ตอน แผ่นดินวิกฤต 4






รายการแผ่นดินไท ตอน แผ่นดินวิกฤต 5






รายการแผ่นดินไท ตอน แผ่นดินวิกฤต 6 (จบ)




.
.

แอ๊ด คาราบาว กับ เบิร์ด ธงไชย ใครรวยกว่ากัน?

.
.
(โดย ประชาชาติธุรกิจ)
.
เจาะขุมทรัพย์ 1,000 ล้าน "ป๋าเบิร์ด" VS "แอ๊ดบาว" ซูเปอร์สตาร์ มาร์เก็ตติ้ง ใครรวยกว่าใคร?

ถ้าในวงการเศรษฐีหุ้น ต้องยกให้ เสี่ยตึ๋ง อนันต์ อัศวโภคิน เจ้าพ่อแลนด์แอนด์เฮ้าส์ แต่ถ้าในการศิลปินนักร้อง ระดับแถวหน้า ถามว่า ใครรวยกว่าระหว่าง ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว เจ้าพ่อเพลงเพื่อชีวิต กับ เสี่ยเบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ ซูเปอร์สตาร์ค่ายเพลงดัง ... เราจะพาไปเปิดกระเป๋าของอภิศิลปินระดับเสี่ย

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาแวดวงศิลปินนักร้องในเมืองไทยมีนักร้องระดับตำนานอยู่ 2 คน
หนึ่ง ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว เจ้าพ่อเพลงเพื่อชีวิต
อีกหนึ่ง เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ ซูเปอร์สตาร์ค่ายเพลงดัง

บทเพลงของคนทั้งคู่ติดหูคนฟังมานาน แต่ไม่มีเครื่องวัดความดังว่ากี่เดซิเบล และใครดังกว่ากัน
ทั้ง 2 คนต่างมีแฟนคลับทุกเพศทุกวัยนับล้านคน โดยเฉพาะรายหลังว่ากันว่าไม่สามารถนั่งกินข้าวแกงข้างถนน หรือเดินไปช็อปปิ้งในเมืองไทยได้ เนื่องจากมีแฟนคลับรุมกรี๊ดรุมตอมคับคั่ง
"แอ๊ด" เป็นเจ้าของบทเพลงเกือบ 100 อัลบั้ม

ขณะที่ผลงานของ "เบิร์ด" มียอดขายสูงลิ่วกว่า 20 ล้านชุด ทำให้มีฐานะระดับท็อปในหมู่นักร้องด้วยกัน
หากตั้งคำถามว่า "แอ๊ดบาว" กับ "ป่าเบิร์ด" ใครรวยกว่ากัน?

เชื่อว่าหลายคนอยากรู้คำตอบ

"แอ๊ด" เกิดปี 2497 เป็นคนตำบลท่าพี่เลี้ยง จ.สุพรรณบุรี เป็นลูกแฝดคนเล็ก ครอบครัวมีอาชีพค้าขาย เรียนชั้นประถมศึกษาโรงเรียนวัดสุวรรณภูมิ ระดับมัธยมโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย ระดับอุดมศึกษาที่อุเทนถวาย และบินไปเรียนต่อระดับปริญญาที่ประเทศฟิลิปปินส์

ขณะเรียนร่วมกับ กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร หรือ เขียว คาราบาว เพื่อนสมัยเรียนที่ฟิลิปปินส์ก่อตั้งวงคาราบาว เรียนจบเข้าทำงานเป็นสถาปนิกที่การเคหะแห่งชาติ 5 ปีและเล่นดนตรีตอนกลางคืนไปด้วย จากนั้นเป็นโปรดิวเซอร์ให้วงแฮมเมอร์

จากการตรวจสอบพบว่า "แอ๊ด" เปิดห้องบันทึกเสียงครั้งแรก ปี 2528 ชื่อ บริษัท บัฟฟาโล่เฮด ทุน 4 ล้านบาท อยู่แถวริมคลองวัดพระงาม อ.เมือง จ.นครปฐม4 ปีจากนั้นลุยธุรกิจเพลง 4 แห่งรวด

ปี 2532 ก่อตั้ง บริษัท วินด์ซอง จำกัด ทุน 12 ล้านบาทเศษ อยู่ในจังหวัดนครปฐมเช่นเดียวกัน
ปี 2534 ก่อตั้ง บริษัท ออบาแร็ค จำกัด ทุน 12 ล้านบาทเศษ อยู่ในซอยหลังสนามกอล์ฟ ถนนกรุงเทพกรีฑา แขวงหัวหมาก ถือหุ้นใหญ่ร่วมกับ นายศุภชัย จันท์แสนโรจน์ นางวาสนา ศิลปิกุล เจ้าของบริษัท เทเลซีน, เขียว-กีรติ, เล็ก-ปรีชา ชนะภัย, เทียรีสุทธิยง เมฆวัฒนา, ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี, อนุพงษ์ ประถมปัทมะ และ อำนาจ ลูกจันทร์
ปี 2538 ก่อตั้ง บริษัท กระบือแอนด์โค จำกัด ทุน 1 ล้านบาท อยู่แถวถนนอุดมสุข แขวงหนองบอน เขตประเวศ นางวาสนา ศิลปิกุล ถือหุ้นใหญ่
ปี 2544 ก่อตั้ง บริษัท มองโกล จำกัด ทุน 1 ล้านบาท อยู่ในซอยลาดพร้าว 64 กรุงเทพฯ แอ๊ด ลินจง ภรรยา และเพื่อนวงคาราบาวร่วมถือหุ้น

หลังจากธุรกิจเพลงเริ่มอิ่มตัว "แอ๊ด" แปรวิกฤตเป็นโอกาส แปลง "ซูเปอร์สตาร์" เป็น "ทุน" ร่วมหุ้นกับเสี่ย เสถียร เศรษฐสิทธิ์ ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อคาราบาวแดง ในชื่อ บริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2544 ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท

ตัวแอ๊ดถือหุ้น 516,500 หุ้น หรือ 25.8% มูลค่า 51.6 ล้านบาท, นางสาวณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ 540,000 หุ้น หรือ 27% มูลค่า 54 ล้านบาท, นายเสถียร 380,000 หุ้น คือ 19% มูลค่า 38 ล้านบาท, นางดารารัตน์ เศรษฐสิทธิ์ 300,000 หุ้น หรือ 15% มูลค่า 30 ล้านบาท, นายสุพจน์ ธีระวัฒนชัย 190,000 หุ้น หรือ 9.5% มูลค่า 19 ล้านบาท

"ลิโพ" จับตลาดบน แต่ "คาราบาวแดง" จับตลาดล่าง ขายถูกกว่า นอกจากนี้ "แอ๊ด" ยังแต่งเพลงและเป็นพรีเซ็นเตอร์อีกด้วย ทำให้ยอดขายพุ่งกระฉูด

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ปี 2549 เครื่องดื่มคาราบาวแดง มีรายได้ 1,364.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 10.3 ล้านบาท ปี 2550 รายได้ 1,934.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 61.7 ล้านบาท ปี 2551 รายได้ 2,256.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 145.4 ล้านบาท

เท่ากับสร้างเม็ดเงินให้เจ้าพ่อเพลงเพื่อชีวิตมากสุดในขณะนี้ และเจ้าตัวยังไม่มีทีท่าที่จะขายหุ้นให้กลุ่ม นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อเบียร์ช้างแต่อย่างใด

ขณะที่บริษัท มองโกล มีรายได้ไม่มากนัก ปี 2549-2551 รายได้ 13.8 ล้านบาท, 17.8 ล้านบาท, 21.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1.5 ล้านบาท, 9 แสนบาท, 8 แสนบาท ตามลำดับ

บริษัท กระบือแอนด์โค ปี 2549-2551 รายได้ 10.7 ล้านบาท, 9.6 ล้านบาท, 7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1 แสนบาทเศษ, 4 แสนบาทเศษ, ขาดทุนสุทธิ 4 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนอีก 3 บริษัทเลิกกิจการนานแล้ว

"แอ๊ด" ยังมีรายได้จากแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ ละคร หลายเรื่อง งานโฆษณาหลายชิ้น เช่น เพื่อเมืองไทยด้วยใจและใจของโค้ก เพลงประกอบโฆษณาเบียร์ช้าง รถปิกอัพโตโยต้า แต่งเพลงให้รายการเกมส์แก้จน รวมทั้งเล่นหนัง

"แอ๊ด" ชอบไก่ชนตัวละนับแสนบาท จนได้รับแต่งตั้งเป็นนายกสมาคมส่งเสริมอาชีพไก่ชนไทย มีเครือข่ายนักธุรกิจและนักการเมือง อาทิ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งซีพี สมศักดิ์ เทพสุทิน และมีที่ดินจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือเมืองกาญจน์

ขณะที่ "เบิร์ด" อายุน้อยกว่า เกิดปี 2501 เป็นลูกคนที่ 9 ใน 10 คน เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนนิมมานรดี ระดับมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนปัญญาวรคุณ ระดับอนุปริญญาที่วิทยาลัยพาณิชยการธนบุรี เคยทำงานแบงก์กสิกรไทย สาขาท่าพระ ฝ่ายต่างประเทศ และรับจ๊อบถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา กระทั่ง ไก่-วรายุทธ มิลินทจินดา ชักชวนให้เล่นละคร "น้ำตาลไหม้" ทำให้เป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงหน้าใหม่

กระทั่งเข้าสู่วงการเพลง

"เบิร์ด" เป็นนักร้องไม่กี่คนที่ถือหุ้นและนั่งเป็นกรรมการในเครือแกรมมี่ ได้แก่ บริษัท แกรมมี่ ภาพยนตร์ จำกัด, บริษัท เบิร์ด ไลเซ็นส์ จำกัด, บริษัท เมจิค ฟิล์ม จำกัด และ หจก.พรพิริช (ขายสินค้า)

มีธุรกิจส่วนตัว 2 แห่ง ชื่อ บริษัท ยูนิคซัพพลาย ก่อตั้งปี 2527 ด้วยทุน 1 ล้านบาท อยู่ในหมู่บ้านสุขใจ ถนนรามคำแหง โดยมี นางแคธริน-พันโทยงยุทธ นันทิทรรภ นางสุธา พิจิตรคดีพล ร่วมถือหุ้น และ บริษัท บี.พูล จำกัด ก่อตั้ง ปี 2539 ทุน 1 ล้านบาท เกือบทั้งหมดเลิกกิจการ ยกเว้น "เมจิค ฟิล์ม" ซึ่งมีรายได้ปีละไม่กี่ล้านบาทและขาดทุนหลายปีติดต่อกัน

ในยุคขาขึ้น "เบิร์ด" มีรายได้จากโฆษณาสินค้าหลายชิ้น หนึ่งในนั้นคือมันฝรั่งยี่ห้อหนึ่ง ได้ค่าตัวสูงปรี๊ด ระยะหลังมีงานโฆษณาน้อยชิ้น ที่ยังพอเห็นคือพรีเซ็นเตอร์ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แต่ค่าตัวยังแพงลิ่วกว่า 7 หลัก

"เบิร์ด" มีบ้านหรูและที่ดินกว่า 100 ไร่อยู่ใน ต.เวียงกาหลง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เครือญาติเปิดบริษัทออแกไนซ์อยู่ย่านถนนปิ่นเกล้า สินทรัพย์รวมนับร้อยล้าน

เบิร์ดอาจมีขุมข่าย สายป่าน และความเป็นธุรกิจ อาจไม่ลึกเท่า "แอ๊ด"
แต่งานเพลงของคนทั้งคู่ สร้างความสุขให้คนฟังเหมือนกัน
.
.
ขอบคุณบทความจาก ประชาชาติธุรกิจ
.
.
.
.

.
.

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อดีคฑูตไทยชี้เขมรละเมิดเรื่องการดักฟัง


นายสุรพงษ์ ชัยนาม

'สุรพงษ์ ชัยนาม'จวกเขมรไม่ให้เกียรติไทย ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของนักการทูต แสดงเจตนาให้เห็นว่า ไม่เคารพและให้เกียรติในอธิปไตยของไทย....

นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตไทยกล่าวถึงข้อกล่าวหาว่ากัมพูชาดักฟังโทรศัพท์นักการทูตของไทยว่า แม้ว่าอนุสัญญากรุงเวียนนาว่า ด้วยความสัมพันธ์ทางการทูตจะไม่กำหนดชัดเจนว่า ห้ามมิให้ประเทศผู้รับทูตดักฟังโทรศัพท์

แต่อนุสัญญาฯดังกล่าว ก็วางหลักเอาไว้ว่า ประเทศผู้รับทูตต้องส่งเสริมอำนวยความสะดวกให้ทูตได้ทำหน้าที่ โดยปราศจากอุปสรรค ไม่ทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดความบาดหมาง หรือหวาดระหว่างซึ่งกันและกัน

อดีตเอกอัครราชทูตไทย กล่าวว่ การที่กัมพูชาอ้างว่า รู้ข้อมูลการสนทนาของนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกสถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงพนมเปญ กับนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ซึ่งอาจจะมาจากการดักฟังทางโทรศัพท์

ก็เป็นการกระทำที่ไม่ให้เกียรติกัน ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของนักการทูต แม้จะไม่ใช่นักการทูตก็ไม่ควรทำ เป็นสิ่งที่กัมพูชาไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง

อดีตเอกอัครราชทูตไทย กล่าวอีกว่า ถ้ามีหลักฐานว่า มีการดักฟังโทรศัพท์ของนักการทูตจริง ก็แสดงเจตนาให้เห็นว่า กัมพูชาไม่เคารพและให้เกียรติในอธิปไตยของไทย เพราะไม่รู้ว่าที่ผ่านมาดักฟังกันตลอดหรือไม่

ซึ่งถือว่า ฝ่าฝืนหลักความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างร้ายแรง ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมที่ประเทศที่มีอารยะพึงปฎิบัติ แสดงให้เห็นว่ากัมพูชายังเป็นประเทศอนารยะคือไม่มีความเป็นอารยะ

ผู้สื่อข่ามถามถึงกรณีที่ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศไม่ยอมรับรัฐบาลชุดปัจจุบัน อดีตเอกอัครราชทูตไทย กล่าวว่า ถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเปิดพื้นที่ให้นักโทษหนีคดีเคลื่อนไหวปลุกระดมโค่นล้มรัฐบาลไทย ถือว่าทำผิดกฎบัตรสหประชาชนอย่างร้ายแรง

แต่ฮุน เซนไม่แคร์เพราะสมเด็จฮุน เซน คือ ทุกสิ่งทุกอย่างของกัมพูชา ไม่มีระบบถ่วงดุลใดๆ ทั้งสิ้นเขาจึงเล่นการเมืองโดยไม่สนใจมารยาททางการทูต

อดีตเอกอัครราชทูตไทย กล่าวว่า การที่เขาออกมาแสดงท่าทีแทรกแซงข่มขู่ เหยียดหยามประเทศไทย ก็เพราะต้องการให้นายอภิสิทธิ์ ตบะแตกหมดความอดทนแล้วลงไปคลุกโคลนกับเขาด้วย

ดังนั้นนายอภิสิทธิ์ต้องแสดงให้โลกเห็นถึงความอดทนอดกลั้นอย่างถึงที่สุดไม่ กลายเป็นอันธพาลทางการเมืองเหมือนฮุนเซน แต่ก็ต้องใช้วิธีการทางทูตในทางลับตอบโต้กลับไปซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลได้เตรียมแผนไว้แล้ว.

“รัฐบาลต้องยืนยันเงื่อนไข 3 ข้อ ที่เป็นสาเหตุของปัญหาทั้งหมดคือการที่กัมพูชาแทรกแซงกิจการภายในของไทย ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมและแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายศิวรักษ์ ถึงแม้กัมพูชาจะปล่อยตัวมาแต่ถ้าเงื่อนไข 3ข้อยังอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องปรับระดับความสัมพันธ์”อดีตเอกอัครราชทูตไทย
.
.
ข่าวจาก ไทยรัฐ

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รวมคลิปแฉ แดงล้มเจ้า

.
.


คลิป1 ขบวนการปล่อยข่าวอัปมงคลทุบหุ้นไทย






คลิป2 แดงสาธารณรัฐ






คลิป3 จักรภพจะปฏิวัติ ทักษิณจะเอามั้ย






คลิป4 ขบวนการล้มเจ้าแฝงตัวในนปช.






คลิป5 แดงล้มเจ้าวงแตก ช่วงชิงการนำ






คลิป6 ชำแหล่ะคำสัมภาษณ์ทักษิณ คุกคามจาบจ้วง






คลิป7 ชำแหล่ะคำสัมภาษณ์ทักษิณ คุกคามจาบจ้วง2


.
.

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ศักดิ์ศรี (ส่วนตัว) ของ"ฮุน เซน" ที่ชาวเขมรเป็นผู้รับเคราะห์

โดย นงนุช สิงหเดชะ



หากใครคิดว่าฮุน เซน เป็นฝ่ายเป็นต่อ กรณีพิพาทกับไทยเรื่องทักษิณ ชินวัตรแล้ว อาจจะต้องประเมินใหม่

เพราะนับวันพฤติกรรมของ "ฮุน เซน" ยิ่งฟ้องประจานตัวเองออกมาสู่สายตาชาวโลกและอาเซียนทุกขณะ นับจากการจับวิศวกรชาวไทยโดยหาว่าจารกรรมข้อมูลเรื่องเที่ยวบินของทักษิณ ที่ต่อมาหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเขมรกำลังจับมือกับทักษิณเล่นละครเพื่อสร้างภาพให้ทักษิณเป็นฮีโร่ โดยที่เหยื่อรายนี้ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยหรือไม่

นอกจากนี้การที่ฮุน เซน ออกมาประกาศยกเลิกเงินกู้จากไทยเพื่อนำไปสร้างถนนเพื่อความอยู่ดีของชาวกัมพูชา

พร้อมกับโจมตีรัฐบาลไทย บอกว่าไม่มีความสุขตราบเท่าที่รัฐบาลไทยมีนายกฯชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แล้ว ก็ยิ่งทำให้อาเซียนและประชาคมโลกได้เห็นชัดเจนขึ้นว่า

นับวันฮุน เซน ยิ่งทำตัวเป็นคนพาล และไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ของชาวเขมร แต่ชอบอ้างศักดิ์ศรีของตัวเองแทน ทั้งที่ศักดิ์ศรีนั้นอาจไม่ได้หมายถึงศักดิ์ศรีของชาวกัมพูชาที่อยากอยู่ดีกินดีก็เป็นได้

การประกาศยกเลิกกู้เงินจากไทย เกิดขึ้นหลังจากฝ่ายไทยยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ปี 2544 ว่าด้วยการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างสองประเทศ ซึ่งทำขึ้นสมัยทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากเห็นว่าขณะนี้เขมรแต่งตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ เกรงจะทำให้ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการเจรจาเพราะทักษิณซึ่งรู้ข้อมูลดี ได้ไปอยู่กับฝ่ายของเขมรแล้ว

การยกเลิกเอ็มโอยูกับเขมรเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้กรณีที่เขมรไม่ส่งตัวทักษิณให้ไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนและยังตั้งเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าเป็นการตอบโต้ที่สมเหตุผล เพราะหากนายอภิสิทธิ์ไม่ทำอะไรเลย นายอภิสิทธิ์ก็จะอยู่ไม่ได้เช่นกันเพราะจะถูกคนในประเทศตำหนิเอาว่าอ่อนแอไม่ปกป้องศักดิ์ศรีของประเทศ เนื่องจากนายฮุน เซน ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรมของไทยซึ่งผิดมารยาทอย่างร้ายแรง

แต่รัฐบาลไทยได้ย้ำชัดว่าปัญหาพิพาทที่เกิดขึ้นจะไม่ให้กระทบต่อความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจหรือต่อปากท้องของประชาชนทั้งสองประเทศ จะไม่มีการปิดชายแดน ปิดการทำมาค้าขายหรืออะไรทั้งนั้น ขณะที่เรื่องเอ็มโอยูยังไม่เป็นรูปธรรม เป็นเพียงเรื่องบนกระดาษที่ยังไม่มีการลงมือปฏิบัติหรือดำเนินโครงการอยู่ ดังนั้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจจึงยังไม่เกิดขึ้น

แต่สำหรับฮุน เซน แล้ว หลังจากไทยประกาศเลิกเอ็มโอยู ก็พาลด้วยการยกเลิกกู้เงินจากไทยเพื่อสร้างถนน และในวันต่อมา ฮุน เซน ให้สัมภาษณ์ว่าไม่มีความสุขตราบใดที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีและนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยหาว่าทั้งสองคนดูหมิ่นกัมพูชา

เท่านั้นยังไม่พอฮุน เซน ยังจะเรียกนักศึกษาเขมรที่ได้รับทุนจากฝ่ายไทยให้มาศึกษาในมหาวิทยาลัยของไทยกลับประเทศอีกด้วย โดยอ้างเรื่องเดิมคือศักดิ์ศรี

ฮุน เซน ประกาศเลิกกู้เงินจากไท ทั้งที่ก่อนหน้านั้น 1 วัน นายอภิสิทธิ์ได้โทรศัพท์ไปถึงฮุน เซน ด้วยตัวเองว่าไทยไม่มีนโยบายจะยกเลิกการให้เงินกู้ดังกล่าวแก่กัมพูชา ซึ่งนายอภิสิทธิ์โทร.ไปตามการประสานงานของผู้ใหญ่คนหนึ่งหลังจากกัมพูชาต้องการให้ฝ่ายไทยยืนยันว่าจะไม่มีการยกเลิกเงินกู้ แต่สุดท้ายแล้วฮุน เซน ก็ออกมาประกาศยกเลิกการกู้

จะเห็นว่านายอภิสิทธิ์ได้แสดงความเป็นผู้ใหญ่ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยแคร์ความเป็นอยู่และปากท้องของชาวเขมร

แต่เมื่อฮุน เซน เป็นฝ่ายบอกยกเลิก ชาวเขมรจึงไม่สามารถตำหนิรัฐบาลไทยได้ อย่างที่นายอภิสิทธิ์ได้ย้ำว่า ให้ชาวเขมรโปรดรับทราบว่าการยกเลิกกู้เงินครั้งนี้เป็นการตัดสินใจของรัฐบาลกัมพูชา ไม่ใช่การตัดสินใจของไทย แรงกดดันและภาพลบจึงตกอยู่กับฮุน เซน

ฮุน เซน ไม่เคยสำนึกว่าสิ่งที่ตนเองทำกับรัฐบาลไทยคือการไม่ส่งตัวทักษิณให้ไทยและยังก้าวล่วงศาลของไทย คือการดูถูกศักดิ์ศรีของประเทศอื่น แต่เมื่อถูกตอบโต้บ้างก็หาว่าอีกฝ่ายดูหมิ่น ราวกับว่าศักดิ์ศรีของตัวเองสำคัญกว่าศักดิ์ศรีของประเทศอื่น

ถามว่าทำไมตลอด 10 เดือนที่นายอภิสิทธิ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ความสัมพันธ์ของทั้งไทยและกัมพูชาเป็นไปอย่างไม่มีปัญหามากนักแม้จะไม่จัดว่าชื่นมื่นก็ตาม ฮุน เซน พบปะหารือกับนายอภิสิทธิ์หลายครั้ง นายกษิตก็พบปะกับรัฐมนตรีต่างประเทศเขมรนับครั้งไม่ถ้วน เคยไปเยี่ยมคารวะฮุน เซน ก็เห็นว่าฮุน เซน ต้อนรับขับสู้ดี

แต่ทำไมปัญหาเริ่มปะทุขึ้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2552 ที่ฮุน เซน ประกาศว่ายินดีจะต้อนรับทักษิณไปอยู่เขมร พร้อมกับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาล ถามว่าทำไมตลอด 10 เดือนนั้น ฮุน เซน ทำอะไรอยู่ จึงไม่แสดงท่าทีออกมา ทำไมเพิ่งมาจงใจเปิดศึกกับไทยช่วง 1-2 เดือนมานี้ในลักษณะสอดรับกับการเคลื่อนไหวของฝ่ายสนับสนุนทักษิณในไทย

ฮุน เซน ไม่มีความสุขเพราะว่ารัฐบาลไทยในปัจจุบันทำตามครรลองของประชาธิปไตยระบบรัฐสภาในการเจรจาผลประโยชน์กับต่างชาติใช่หรือไม่ จึงทำให้ฮุน เซน หงุดหงิดไม่ทันอกทันใจ ต่างจากยุคทักษิณที่มักใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวไปเจรจากับฮุน เซน หรือเปล่า

การอ้างเรื่องศักดิ์ศรีของฮุน เซน ในการยกเลิกกู้เงินจากไทยแถมยังจะเรียกนักศึกษาเขมรในไทยกลับนั้น

ฮุน เซน อาจไม่เดือดร้อนเรื่องปากท้องและความเป็นอยู่ เพราะฮุน เซน และชนชั้นปกครองร่ำรวยอยู่แล้ว มีหนทางแสวงประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องได้ง่าย แต่คนที่เดือดร้อนและรับเคราะห์จากศักดิ์ศรี (ส่วนตัว) ของฮุน เซน ก็คือชาวบ้านตาดำๆ ที่ยากจน

เขมรเป็นหนึ่งในชาติยากจนที่สุดในโลก และมีปัญหาคอร์รัปชั่นสูงติดอันดับของโลก ปัญหาคอร์รัปชั่นทำให้ในปี 2549 ธนาคารโลกยกเลิกการให้เงินกู้ช่วยเหลือแก่กัมพูชา 64 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2,112 ล้านบาท) เนื่องจากพบว่ามีการคอร์รัปชั่น ผลประโยชน์ไม่ตกไปถึงชาวกัมพูชาอย่างแท้จริง ขณะที่บรรดาประเทศผู้บริจาคเงินแก่กัมพูชา (ผู้บริจาครายใหญ่คือญี่ปุ่น) ได้บ่นเรื่องคอร์รัปชั่นอยู่เสมอ

ที่ผ่านมาฮุน เซน มักทำอวดเก่งปากดี ไม่รับเงินช่วยเหลือจากประเทศอื่นที่กำหนดเงื่อนไขการใช้เงินอย่างเข้มงวดและโปร่งใส โดยไม่สนใจว่าประชาชนของตัวเองจะยากจนเพียงใด การไม่อยากยอมรับเงื่อนไขเรื่องความโปร่งใสก็คงเป็นเพราะฮุน เซน ปฏบัติไม่ได้นั่นเอง

หนทางเดียวที่ฮุน เซน จะนำมาอ้างในการไม่รับความช่วยเหลือจากต่างชาติก็คือการอ้างเรื่องศักดิ์ศรี (ของตัวเอง)
"
"
บทความจาก มติชนออนไลน์

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข่าวสส.เพื่อไทยโวยเสื้อแดง! เปลือง!!


ส.ส.พท.โวย เสื้อแดงจัดชุมนุมบ่อยทำกระเป๋าแฟบ

ส.ส.พท. โวย กลุ่มเสื้อแดงจัดกิจกรรมบ่อย ชาวบ้านไม่ว่างและต้องใช้จ่ายเยอะ“ศิริวัฒน์”ย้ำแดงเคลื่อนต้องยึดอุดมการณ์ห่วง ส.ส.รับภาระจ่ายไม่ไหวหากถูกขอบ่อย ...

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงกรณีการจัดกิจกรรมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ(นปช.) หรือคนเสื้อแดง ว่า ตนสังเกตว่ากลุ่มเสื้อแดงมีการจัดกิจกรรมกันบ่อยครั้ง โดยที่เป็นลักษณะกิจกรรมระดมทุน ไม่ใช่การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เหมือนที่ผ่านมา เพราะสังเกตเห็นว่าหลายพื้นที่มีการจัดกิจกรรมระดมทุนในลักษณะต่าง ๆ อย่างมากมาย
.
ขณะเดียวกันประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งมีทั้งสมาชิกคนเสื้อแดงและไม่ใช่เสื้อแดง ต่างกำลังขะมักเขม้นกับการทำมาหากิน โดยเฉพาะในช่วงนี้ประชาชนกำลังเก็บเกี่ยวข้าว ข้าวโพด บางแห่งประสบภัยหนาว นอกจากนี้ยังมีกลุ่มประชาชนอีกหลายกลุ่มที่ต้องการได้รับการส่งเสริมอาชีพ ดังนั้นโดยส่วนตัวคิดว่าหากเสื้อแดงจะจัดกิจกรรมควรคำนึงช่วงเวลาและความคล่องตัวของเม็ดเงินในมือของผู้ร่วมกิจกรรมด้วย

ส.ส.พท. กล่าวต่อว่า หลายครั้งที่ตัวแทนกลุ่มเสื้อแดงได้มีการมาติดต่อประสานงานกับ ส.ส.ในพื้นที่หลายคนเพื่อขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่ารถ ค่าร่วมกิจกรรม ตรงนี้อยากสร้างความเข้าใจกับกลุ่มเสื้อแดงว่า กิจกรรมของเสื้อแดงหากมีความเหมาะสมและจำเป็นเพื่อบ้านเมืองแล้ว ย่อมควรได้รับการสนับสนุนตามอัตภาพ

แต่หากบ่อยครั้ง เกรงว่าผู้ที่ให้การสนับสนุนและผู้ร่วมกิจกรรมอาจจะไม่สะดวก โดยเฉพาะสถานภาพด้านการเงิน ซึ่งทุกคนต้องมีภาระรับผิดชอบ ถึงแม้นเงินจะไม่มากแต่ก็มีความหมายสำหรับทุกชีวิตด้าน

นายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ผู้ประสานงานกลุ่มแดงพะเยา กล่าวว่า การเคลื่อนไหวใด ๆ ก็ตาม นักเคลื่อนไหวจะต้องมีอุดมการณ์และจุดยืนที่ชัดเจน ไม่ควรเรียกร้องผลประโยชน์จากผู้ใด เพราะเมื่อทุกคนที่เต็มใจร่วมกิจกรรมทางการเมืองก็ต้องพร้อมเสียสละ
.
สำหรับตนคิดว่าหากกลุ่มเสื้อแดงไปขอรับการสนับสนุนหรือหวังพึ่งนักการเมืองจนบ่อยครั้ง อาจจะทำให้นักการเมืองต้องรับภาระหนักเรื่องค่าใช้จ่าย โดยส่วนตัวคิดว่าผู้ที่เป็น ส.ส. มีภาระหน้าที่หนักอยู่แล้ว คือการทำหน้าที่ในสภา ฯ หากต้องมารับหน้าที่เป็นแม่บ้านให้กับเสื้อแดงในแต่ละพื้นที่อีก ตนเกรงว่า ส.ส.จะแบกรับภาระไม่ไหว “เพราะภารกิจ ส.ส. ต้องดูแลประชาชนทุกกลุ่ม ไม่เฉพาะกลุ่มเสื้อแดงเท่านั้น

ดังนั้นน้ำหนักการให้ความสำคัญกับกลุ่มประชาชนต้องเท่าเทียมกัน หากเสื้อแดงที่จริงใจร่วมกิจกรรมจริงจะต้องไม่รบกวนนักการเมืองให้เขาลำบากใจนายศิริวัฒน์ กล่าว


จากไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/content/pol/49211
.
.